|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ภูมิปัญญาท้องถิ่น,การถ่ายทอด,นิเวศวิทยา,ดอยอินทนนท์,เชียงใหม่ |
Author |
ทัศนีย์ หิรัญวงษ์ |
Title |
การถ่ายทอดภูมิปัญญาด้านนิเวศวิทยาของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
หอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
74 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
จุดมุ่งหมายการวิจัยของผู้เขียนคือ มุ่งศึกษาการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านนิเวศวิทยาของกะเหรี่ยงที่อยู่บนดอยอินทนนท์ โดยศึกษาสองหมู่บ้านคือ หมู่บ้านแม่กลางหลวง และหมู่บ้านอ่างกาน้อย โดยศึกษาครอบคลุมถึงบริบท ข้อจำกัด และสภาพปัญหาการถ่ายทอดความรู้ด้านนิเวศวิทยา รวมถึงศึกษาแนวทางการถ่ายทอดความรู้ที่เหมาะสม ผู้เขียนได้สรุปผลการศึกษาไว้ว่ารูปแบบการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านนิเวศวิทยาของกะเหรี่ยงมีสามรูปแบบคือ การถ่ายทอดโดยครอบครัว การถ่ายทอดโดยสังคมและการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมทางสังคม ในด้านอุปสรรคการถ่ายทอดภูมิปัญญาเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการจัดการของภาครัฐและการรับค่านิยมใหม่ ๆ จากสังคมภายนอกเข้ามากะเหรี่ยงรุ่นใหม่ที่ไดรับการศึกษาสมัยใหม่มองว่าสิ่งที่คนรุ่นเก่าเชื่อและปฏิบัติเป็นสิ่งงมงายไร้เหตุผล ทำให้ภูมิปัญญาด้านนิเวศวิทยาของกะเหรี่ยงสูญหายไป ในประเด็นแนวทางการถ่ายทอดภูมิปัญญาด้านนิเวศวิทยาเป็นการถ่ายทอดที่อาศัยประสบการณ์การปฏิบัติจริง |
|
Focus |
เน้นการศึกษาบริบทและแนวทางการถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ด้านนิเวศวิทยาที่สั่งสมมาของกะเหรี่ยง ว่ามีการถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวด้วยวิธีการใด (หน้า 39-58) อีกทั้งยังศึกษาปัญหาและอุปสรรคการถ่ายทอดที่เกิดขึ้น (หน้า 65-68) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (ปกาเกอะยอ) ในหมู่บ้านแม่กลางหลวง และหมู่บ้านอ่างกาน้อย ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ โดยแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่ม คือ กลุ่มผู้อาวุโสที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 2 ปี ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 5 คน กลุ่มผู้นำท้องถิ่นจำนวน 5 คนกลุ่มเยาวชนอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป จำนวน 5 คนกลุ่มประกรวัยทำงาน จำนวน 5 คนกลุ่มมัคคุเทศน์ท้องถิ่น จำนวน 5 คน (หน้า 3-4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านแม่กลางหลวงไม่ได้ระบุ หมู่บ้านอ่างกาน้อยตั้งเมื่อประมาณ พ.ศ. 2495 (หน้า 40) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงจะตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่ม ลักษณะบ้านของกะเหรี่ยงจะสร้างกะเหรี่ยงจะตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่ม ลักษณะบ้านของกะเหรี่ยงจะสร้างฟากหรือใบตองตึง มุงหลังคา ภายในบ้านมีห้องเดียวแบ่งพื้นที่ใช้สอยอยู่ภายในห้องนั้น (หน้า 44) |
|
Demography |
ประชากรในหมู่บ้านแม่กลางหลวงมี 54 หลังคาเรือน มีจำนวนประชากร 242 คน ชาย 84 คน หญิง 89 คน เด็กชาย 35 คน เด็กหญิง 35 คน ประชากรหมู่บ้านอ่างกาน้อยมี 42 หลังคาเรือน มีจำนวนประชากร 226 คน ชาย 76 คน หญิง 75 คน เด็กชาย 36คน เด็กหญิง 39 คน (หน้า 39-40) |
|
Economy |
ประชากรของทั้งสองหมู่บ้านมีอาชีพเกษตรกรรมคือการปลูกข้าว (การทำนาขั้นบันได) นอกจากนั้น ยังมีการปลูกพืชเศรษฐกิจเช่น ไม้ดอกอย่างลิลลี่ และ เยอบีร่า หรือพืชผักต่าง ๆ เช่น มะเขือเทศ พริกหวาน พริกยักษ์ ถั่วแขก สตรอเบอรี่และ พืชผักสวนครัวอื่น ๆ (หน้า 40) การทำไร่ก็เป็นอีกอาชีพหลักของกะเหรี่ยง เป็นลักษณะการทำไร่หมุนเวียน แต่ในระยะหลังเมื่อทางภาครัฐจำกัดเขตที่อยู่ของกะเหรี่ยง ทำให้ไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้อย่างเคย จึงหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทน บางครัวเรือนก็ละทิ้งไร่นา ออกไปรับจ้างในเมือง บ้างก็ให้นายทุนเข้ามาเช่าที่เพาะปลูก (หน้า 55-56) ลักษณะการทำไร่หมุนเวียนของกะเหรี่ยงเริ่มตั้งแต่เตรียมพื้นที่ด้วยการหักล้างถางพง จากนั้นก็จะมีการเผาพื้นที่และหยอดเมล็ดพันธุ์ รอจนสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ พื้นที่นั้นจะถูกใช้ไปอีกราวสองหรือสามครั้ง แล้วกะเหรี่ยงก็จะไปหาพื้นที่ใหม่ ปล่อยให้พื้นที่ดังกล่าวได้ฟื้นตัวจนกลายเป็นป่า จึงเข้ามาใช้พื้นที่อีกครั้ง (หน้า 55) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงมีความเชื่อในเรื่องผีธรรมชาติว่ามีความยิ่งใหญ่กว่าตัวมนุษย์ มนุษย์ ไม่ใช่เจ้าของธรรมชาติ แต่เป็นเพียงผู้มาขอใช้ธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดกะเหรี่ยงจึงปฏิบัติต่อธรรมชาติด้วยความเคารพ (หน้า จ,46-49) พีธีกรรมในรอบปีของกะเหรี่ยงจะเกี่ยวพันกับธรรมชาติ ได้แก่ เดือนมกราคม (เต่อเล) พิธีกินข้าวใหม่ เดือนกุมภาพันธ์ (ทีแพ้) พิธีหนี่ซอโข่ เป็นพิธีขึ้นปีใหม่มีการเรียกขวัญ เสี่ยงทายเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เดือนเมษายน (ลาเซอ) พิธีสืบชะตาบ้าน พิธีไล่นกหนู เดือนพฤษภาคม (เด่ญา) พิธีบอแซะคลี มีการหยอดเมล็ดพันธุ์ เดือนกรกฎาคม (ลาเคาะ) พีธีเลี้ยงผีไร่ ผีไฟ ไล่แมลง มัดมือคน วัวและ ควาย เดือนธันวาคม (ลาหปรือ) ส่งนกโถ่บีคาขึ้นสวรรค์ พีธีกรรมต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาด้านนิเวศวิทยาออกมาในรูปแบบพิธีกรรม (หน้า 60-62) กะเหรี่ยงมีความเชื่อที่มีประโยชน์ในด้านการจัดการป่า โดยจำแนก พื้นที่ออกเป็น 7 ประเภท ซึ่งถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามไม่ให้มีการบุกเบิกทำกิน สร้างบ้านหรือแม้กระทั่งล่าสัตว์ ได้แก่ พื้นที่บริเวณหุบเขา เพราะเชื่อกันว่าเป็นทางเดินของผี พื้นที่ป่าที่เป็นเนินมีลำน้ำไหลอ้อมผ่าน เชื่อกันว่าที่บริเวณนี้ผีดุ พื้นที่ที่เป็นป่ามีน้ำซึมลงใต้ดินเชื่อว่าผีดุจะทำให้คนเจ็บไข้ พื้นที่ที่มีลำน้ำสองสายไหลมาบรรจบกันเชื่อว่าผีน้ำ "แรง" พื้นที่ดินโป่งเชื่อว่าผีดุ หากจะล่าสัตว์จะต้องขออนุญาตผีก่อน พื้นที่บริเวณยอดเขาสูง เชื่อว่าผีดุ หากฝ่าฝืนเข้าไปทำกิจกรรมจะต้องแลกด้วยชีวิต และพื้นที่ป่าประเพณีที่มีการทำพิธีกรรมเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของผีไม่ควรไปรบกวนจากความเชื่อดังกล่าวทำให้ป่าไม่ถูกรบกวนมากจนเกินไป (หน้า 51-52) |
|
Education and Socialization |
กระบวนการขัดเกลาทางสังคมในด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นกระทำผ่านตัวแทนคือสถาบันครอบครัว ผู้สูงอายุของครอบครัวจะเป็นผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ด้านนิเวศวิทยาที่สั่งสมกันมาในรูปแบบมุขปาฐะแก่ลูกหลาน (หน้า 58) ผ่านการ สั่งสอน ตักเตือน แนะนำมอบหมายงานให้ทำ ร่วมกิจกรรมของครอบครัว (หน้า 62) การขัดเกลาในระดับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้พื้นฐานในการดำรงชีพ มีทักษะในการแก้ปัญหามีสำนึกตระหนักในคุณค่าของธรรมชาติ ปลูกฝังโลกทัศน์ให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสงบสุข ไม่เบียดเบียนธรรมชาติมากจนเกินไป การถ่ายทอดในระดับสังคมผู้อาวุโสจะมีบทบาทอย่างมาก เพราะเป็นผู้ที่รู้กฏเกณฑ์ วัฒนธรรมและ ประเพณีเป็นอย่างดี การถ่ายทอดในระดับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สมาชิกในสังคมประพฤติปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน (หน้า 63) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นได้แก่ 1.) การเปลี่ยนแปลงด้านรูปแบบการผลิต สมาชิกในกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงหันมาทำอาชีพรับจ้าง แล้วนำที่ดินไปให้นายทุนเช่าทำการเพาะปลูก สมาชิกในครอบครัวมีเวลาให้กันน้อยลง การถ่ายทอดภูมิปัญญาจึงไม่สมบูรณ์เนื่องจากขาดองค์ประกอบการสื่อสารคือผู้ส่งสารและผู้รับสาร (หน้า 58) 2.) การเปลี่ยนแปลงด้านการขัดเกลาทางสังคม โดยระบบการศึกษาสมัยใหม่ ซึ่งดำเนินการโดยภาครัฐเข้ามามีบทบาทแทนสถาบันครอบครัว ความรู้ที่โรงเรียนถ่ายทอดก็เป็นความรู้ที่ถูกกำหนดมา มีความรู้ด้านนิเวศวิทยาแทรกอยู่น้อย (หน้า 59) 3.) การเปลี่ยนแปลงด้านความเชื่อ การเข้ามาของคริสต์ศาสนาทำให้ความเชื่อเรื่องผีธรรมชาติหมดไป พิธีกรรมต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมือการถ่ายทอดความรู้ด้านนิเวศวิทยาและสร้างจิตสำนึกต่อธรรมชาติถูกละเลย (หน้า 59) |
|
Other Issues |
transfer of local wisdom กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้ชื่อว่ามีภูมิปัญญาในการอนุรักษ์ป่ามาช้านาน แต่ภายใต้กระแสการพัฒนาของรัฐ กะเหรี่ยงประสบปัญหาการถ่ายทอดภูมิปัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการศึกษาระบบนิเวศของป่า เพราะคนรุ่นเก่ามีปัญหาด้านการสื่อสารกับคนรุ่นหลัง ในเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น เมื่อระบบคุณค่าใหม่ ๆ เข้ามาผ่านระบบโรงเรียนทำให้ทรัพยากรถูกมองว่าจะใช้อย่างไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเพราะผีที่ดูแลป่าไม่ได้เป็นทียอมรับนับถือ เด็กนักเรียนใช้เวลากับโรงเรียนมากและสื่อสารกับครอบครัวและท้องถิ่นน้อยลง และการสาธารณะสุขที่ทันสมัยก็แพร่ขยายเข้าไปทำให้ภูมิปัญญาเดิมมีความสำคัญน้อยลงและค่อย ๆ สูญหายไป (หน้า 65-68) |
|
Map/Illustration |
ตาราง ประชากรหมู่บ้านแม่กลางหลวง (หน้า 39) ประชากรหมู่บ้านอ่างกาน้อย (หน้า 40) ประเภทสัตว์ป่าสงวน (หน้า 50) ปฏิทินการทำไร่หมุนเวียนของกะเหรี่ยง (หน้า 60) แผนภูมิ ทิศทางการสื่อสารแบบทางเดียว (หน้า 22) ทิศทางการสื่อสารแบบสองทาง (หน้า 23) กรอบแนวคิดและขอบเขตการศึกษา (หน้า 34) แผนที่ หมู่บ้านในพื้นที่ที่ศึกษา (หน้า 41) หมู่บ้านแม่กลางหลวง (หน้า 42) หมู่บ้านอ่างกาน้อย (หน้า 43) แผนภาพ การแบ่งเขตพื้นที่ป่า (หน้า 45) การทำไร่หมุนเวียน (หน้า 55) |
|
|