|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง,พิธีกรรม,โครงสร้างทางสังคม,นครปฐม |
Author |
วาสนา อรุณกิจ |
Title |
พิธีกรรมและโครงสร้างทางสังคมของลาวโซ่ง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
220 |
Year |
2529 |
Source |
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
สังคมลาวโซ่งมีพิธีกรรมมากมายที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายตามความเชื่อดั้งเดิม โดยลาวโซ่งถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติพิธีกรรมถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของลาวโซ่งในอันที่จะอยู่ในสังคม ไม่มีใครบังคับแต่ทุกคนพอใจและพร้อมใจที่จะปฏิบัติโดยไม่มีใครสงสัยหรือโต้แย้ง
อย่างไรก็ตาม การกระทำพิธีกรรมของลาวโซ่งนั้นมิใช่การกระทำเพียงเพื่อหน้าที่เท่านั้น แต่ยังมีวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นด้วย กล่าวคือ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เพื่อให้มีการพบปะสังสรรค์กันในหมู่ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านใกล้เคียงเพื่อกระชับความสัมพันธ์ เพื่อสร้างความสามัคคี เพื่อแสดงถึงสถานภาพและศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล ตลอดจนกระทำเพื่อตอบสนองความมั่นคงทางจิตใจ รวมทั้งเพื่อเป็นการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมของกลุ่มชนไว้สืบไป (หน้า 160) |
|
Focus |
ความสัมพันธ์ของพิธีกรรมและโครงสร้างทางสังคมของลาวโซ่งที่บ้านสระ จังหวัดนครปฐม |
|
Theoretical Issues |
วิเคราะพิธีกรรมและโครงสร้างทางสังคม และความสัมพันธ์ระหว่างพิธีกรรมกับโครงสร้างทางสังคม โดยมีสมมติฐานว่า พิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิมของลาวโซ่งจะสะท้อนให้เห็นโครงสร้างทางสังคมของกลุ่ม (หน้า ง) โดยอาศัยการผสมผสานแนวความคิดของ Durkheim, Merton, Van Gennep และ Leach
ผู้เขียนให้ความสนใจที่จะพิจารณาความสัมพันธ์ในเชิงหน้าที่ ระหว่างพิธีกรรมและโครงสร้างสังคมของลาวโซ่งที่บ้านสระ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม (หน้า 2-15) และพบว่า สามารถจัดประเภทพิธีกรรมของลาวโซ่ง ซึ่งมีหลากหลายมากมาย (หน้า 160) ได้เป็น 2 ประเภท คือ พิธีทางศาสนาพุทธและพิธีในความเชื่อดั้งเดิม (หน้า 159) แต่พิธีกรรมทั้ง 2 ประเภทก็ทำหน้าที่ยกระดับความสัมพันธ์ของคนในชุมชนให้แน่นแฟ้นขึ้น (หน้า 161)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิธีกรรมต่าง ๆ ในความเชื่อเดิม เช่น พิธีเสนเรือน ซึ่งแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นลาวโซ่ง (หน้า 161) อีกด้วย
นอกจากนี้ พิธีกรรมต่างๆ ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางสถานภาพของบุคคลและกลุ่มบุคคลในสังคมลาวโซ่ง เช่น ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว เพราะว่าลูกชายจะเป็นผู้สืบผี และเครือญาติที่ถือผีเดียวกันก็จะมีความสำคัญในพิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีเสนเรือน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกกลุ่มชาติพันธ์ที่ศึกษาว่า "ลาวโซ่ง" ซึ่งเป็นผู้ที่มีบรรพบุรุษเป็นผู้ไทดำหรือที่เรียกไทดำ เนื่องจากการแต่งกายด้วยสีดำ ส่วนคำว่าลาวโซ่งนั้น เข้าใจว่ามาจากการที่ผู้ไทดำนุ่งกางเกงทั้งหญิงและชาย และคำว่ากางเกงนี้ ผู้ไทดำเรียกว่า "ข่วง" ซึ่งหมายถึง "ลาวนุ่งกางเกง" และต่อมาก็เพี้ยนเป็น "ลาวโซ่ง" ตามคำเรียกของคนไทยและลาวพวนในถิ่นที่ไทดำอาศัยอยู่ (หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาวโซ่งมีภาษาเขียนและภาษาพูดเป็นของตนเอง เรียกว่าภาษาลาวโซ่ง ซึ่งมีรากฐานมาจากภาษาไทดำนั่นเอง จัดอยู่ในตระกูลภาษาไท (Tai Family) สาขาตะวันตกเฉียงใต้ (Southwestern Branch)
สำเนียงภาษาพูดผิดเพี้ยนจากลาวเวียงจันทน์และลาวทางภาคอีสานไม่มากนัก
ตัวหนังสือคล้ายของลาว ส่วนระเบียบหรือไวยกรณ์เป็นแบบเดียวกับภาษาไทย ลาวโซ่งบ้านสระจะใช้ภาษาลาวโซ่งกับพวกลาวโซ่งด้วยกัน แต่จะใช้ภาษาไทยกลางติดต่อกับคนภายนอกกลุ่ม (หน้า 56) |
|
Study Period (Data Collection) |
วันที่ 20 มีนาคม-30 ตุลาคม 2538 |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านสระเกิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 110 ปีเศษ กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากคือลาวโซ่งที่อพยพมาจากตำบลมับคาง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากที่ตำบลทับคางไม่มีที่ทำมาหากิน และคิดว่าหนทางที่จะมีที่ทำกินคือการกลับประเทศลาวบ้านเดิม จึงเดินทางขึ้นเหนือมาเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงที่บ้านสระ พบว่ามีหนองน้ำใหญ่ คงจะพอทำมาหากินได้และยังไม่มีใครจับจอง จึงได้สร้างบ้านเรือนใกล้กับหนองน้ำนั้น ต่อจากนั้นก็มีญาติพี่น้อง และลาวโซ่งคนอื่น ๆ ที่มาตามคำชักชวน (หน้า 34) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้านบ้านสระ แม้ว่าจะประกอบด้วยหมู่บ้าน 2 หมู่ แต่ชาวบ้านทั้ง 2 หมู่ยังคงมีความรู้สึกว่าเป็นชุมชนเดียวกัน และไม่มีเขตแบ่งที่แน่นอน
นอกจากนี้ ยังใช้สถานที่สาธารณะหลายอย่างร่วมกัน ตลอดจนบูชานับถือศาลประจำหมู่บ้านศาลเดียวกัน
ลักษณะการตั้งบ้านเรือนมีการตั้งบ้านเป็นกลุ่มหรือเป็นกระจุก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มญาติพี่น้องกัน หรือลูกหลานที่แต่งงานแล้วแยกบ้านไปปลูกเรือนอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของพ่อแม่ บ้านเรือนที่ตั้งขึ้นนั้นชายคาบ้านแต่ละหลังเกือบจะติดกัน
นอกจากบ้านที่พอจะมีฐานะดีจะมีบริเวณลานบ้านกว้างมีรั้วกั้น กลุ่มบ้านเรือนกับที่นาจะแยกกัน โดยที่นาอยู่ทางตะวันออกของตัวหมู่บ้าน แต่บ้านเรือนส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ตรงกลางโดยมีถนนสายเก่าและสายใหม่ล้อมอยู่ (หน้า 30)
การตั้งบ้านเรือนจะแยกกันระหว่างผู้ท้าว (ชนชั้นสูง) กับผู้น้อย (ชนชั้นสามัญ) โดยผู้ท้าวจะอยู่บริเวณทิศตะวันออกของหมู่บ้านในเขตหมู่ที่ 1 ติดกับคลองเจริญสุข ส่วนผู้น้อยมักจะอยู่ทางด้านทิศใต้ติดกับตำบลสระสี่มุม (หน้า 123) ภายในหมู่บ้านมีวัด 1 วัด คือวัดสระสี่มุม โรงเรียน 1 โรง คือโรงเรียนวัดสระสี่มุม มีร้านขายอาหาร 4 ร้าน ร้านค้าของชำและขายผักสด อาหารสด อาหารแห้ง 14 ร้าน ร้านขายยา 1 ร้าน ร้านซ่อมรถจักรยานมอเตอร์ไซด์ 2 ร้าน มีโรงสีขนาดใหญ่ 1 แห่ง โรงสีขนาดกลาง 1 แห่ง และโรงสีเล็ก 2 แห่ง (หน้า 30)
(ดูรายละเอียดโครงสร้างและลักษณะเรือนที่หัวข้อ Art and Crafts) |
|
Demography |
จากสถิติทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. 2527 บ้านสระมีครัวเรือน 186 ครัวเรือน มีจำนวนประชากร 1,275 คน เป็นชาย 651 คน เป็นผู้หญิง 624 คน (หน้า 36) ที่เป็นครัวเรือนลาวโซ่งมี 160 หลัง เป็นไทย 16 หลัง และคนจีนอีก 10 หลัง |
|
Economy |
ชาวบ้านบ้านสระมีอาชีพหลักคือการทำนาและทำไร่อ้อย โดยจะขายข้าวให้กับพ่อค้าในหมู่บ้าน และจะขายอ้อยให้กับหัวหน้าโควต้าของตน เพื่อขายส่งโรงงานอีกทีหนึ่ง เนื่องจากผู้ที่ทำไร่อ้อยส่วนมากมีฐานะค่อนข้างยากจน ต้องขอเข้าไปเป็นลูกไร่ของหัวหน้าโควต้า เพื่อจะได้รับความช่วยเหลือทางด้านการเงิน
อาชีพรองลงมาคือการเลี้ยงสัตว์ สัตว์ที่เลี้ยงได้แก่ หมู ไก่ และวัว หมูที่นิยมเลี้ยงมักจะเป็นแม่หมู ซึ่งเลี้ยงไว้ทำพันธุ์และเพื่อขายลูก ส่วนไก่เลี้ยงไว้บริโภคเอง สำหรับวัวจะเลี้ยงไว้ขายเนื้อ การเลี้ยงกุ้ง ปลูกพืชสวนครัวโดยชาวบ้านจะนำออกมาขายส่งที่ตลาดหนองพงนก การทอผ้าไหม โดยปลูกต้นหม่อนไว้ข้างๆ บ้าน ผ้าที่ทอได้มักขายกันเองในหมู่บ้าน การทำหัตถกรรมในครัวเรือน โดยนำเศษผ้าไหมสีต่างๆ มาทำเป็นเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ โดยมีพ่อค้าจากจังหวัดนครปฐมและกรุงเทพฯ มาจ้างให้ทำและรับซื้อถึงที่ ส่วนผู้ชายมักทำเครื่องจักสานไว้ใช้เองหรือขายให้กัยผู้ที่ต้องการซื้อ
นอกจากนี้ก็มีอาชีพค้าขาย ตลอดจนการรับจ้างทั่วไป ทางด้านเทคโนโลยี ชาวบ้านนิยมใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยในการทำนาและไร่อ้อย (หน้า 40-47)
อาหารของลาวโซ่งบ้านสระ มักหาได้จากไร่นา คลองและหนองน้ำต่างๆ มีเพียงเล็กน้อยที่หาซื้อจากตลาดในหมู่บ้าน นอกจากนี้ลาวโซ่งมักปลูกพืชผักและทำอาหารไว้กินเอง เช่น กะปิ, น้ำปลา, ปลาร้า ไว้กินตลอดปีด้วย (หน้า 55)
ลาวโซ่งบ้านสระโดยทั่วไปประสบปัญหาเรื่องเงินทุนในการเพาะปลูก ผลผลิตที่ได้จากการเพราะปลูก ชาวบ้านมักเก็บไว้บริโภคและส่วนหนึ่งสำหรับทำพันธุ์ ที่เหลือจะขายนำเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รายได้ที่เหลือเก็บไว้เป็นทุนในการปลูกครั้งต่อไป ซึ่งมักจะมีไม่เพียงพอก่อให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน โดยส่วนใหญ่จะกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ แต่ก็มีหลายคนที่ กู้เงินจากพ่อค้าหรือเจ้าของกิจการโรงสีโชคถาวร นอกจากนี้ ยังมีบางรายที่กู้เงินจากญาติ เพื่อนบ้าน และธนาคารพาณิชย์ อื่น ๆ (หน้า 47-48)
อาหารการกินที่ลาวโซ่งนิยม คือ แจ่ว-น้ำพริกปลาร้า แกงหน่อไม้เปรี้ยว-แกงส้มหน่อไม้ดองกับไก่หรือปลา แกงผำ-ผำ มีลักษณะคล้ายแหน มีสีเขียว นำมาแกงแบบแกงป่า ไม่ต้องใส่กะทิ, จุ๊บ-ยำผักชนิดต่างๆ เช่น ผักเปลาะ ผักบุ้ง, เลือดต้า - หมูสับหุ้มด้วยเลือดหมูสดเป็นก้อนๆ ปรุงด้วยเครื่อง, แกงคั้วะ - แกงเผ็ดใส่ลูกอ็อดตัวเล็ก ๆ แกงหยวก - แกงเผ็ดต้นกล้วยอ่น ๆ เป็นอาหารที่ใช้ในงานศพเท่านั้น ลูกเขียดเคล้าเกลือตากแห้ง - ทอดในน้ำมันให้กรอบ (หน้า 55)
เหล้าแกลบ - ทำจากปลายข้าวกับแกลบ (หน้า 66), จุ๊บหน่อไม้ - ยำเครื่องในหมูกับหน่อไม้ดอง เครื่องปรุงมี พริกเผา หอมเผา น้ำปลาร้า เป็นอาหารสำคัญในการเซ่นผีเรือนจะขาดไม่ได้ (หน้า 68), จุ๊บหมู - ยำเนื้อหมูกับใบมะม่วงอ่อนและใบมะกอกอ่อน ถ้าไม่มีใบมะม่วงอาจใช้ใบเปลาะหรือดอกมะละกอหรือผักแว่น แต่ใบมะกอกอ่อนจะขาดไม่ได้ เพราะให้รสเปรี้ยว เครื่องปรุงมี พริกเผา หอมเผา และน้ำปลาร้า (หน้า 72) |
|
Social Organization |
ครอบครัวขยายมีถึงร้อยละ 57.86 ในขณะที่เป็นครอบครัวเดี่ยวร้อยละ 42.14 (หน้า 49) และครอบครัวเหล่านี้อาจจะอยู่ใน "สิง" (คล้ายแซ่ของจีน) เดียวกันหรือต่างกัน สิงที่อยู่ในสิงเดียวกันคือผู้ที่ถือ "ผีบรรพบุรุษ" เดียวกัน ซึ่งถือผีฝ่ายพ่อเป็นสำคัญ (patrilineal) และบิดาเป็นใหญ่ในครอบครัว ส่วนเขยนั้นถือว่าเป็นญาติต่างผีกัน (หน้า 144)
มีการจัดลำดับชั้นทางสังคมโดยใช้วงศ์ตระกูลเป็นเกณฑ์ในการแบ่งชนชั้น คือ ชนชั้นผู้ท้าวและชนชั้นผู้น้อย แต่ชนชั้นของลาวโซ่งมีลักษณะเปิด เนื่องจากหนุ่มสาวจากสองชนชั้นสามารถแต่งงานกันได้ และไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับการแต่งงานกับบุคคลนอกกลุ่ม แต่ห้ามแต่งงานกับบุคคลที่มีสายโลหิตเดียวกันคืออยู่ในผีเดียวกัน ดังนั้นสถานภาพการเป็นผู้ท้าวหรือผู้น้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยผ่านการแต่งงาน (หน้า 154)
ลักษณะครอบครัวเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) การแต่งงานของลาวโซ่งดั้งเดิมจะต้องมีการ "อาสา" คือการที่ฝ่ายชายจะไปอยู่ช่วยทำงานให้กับครอบครัวของพ่อตาแม่ยายเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระและเพิ่มผลผลิตในครอบครัว ตามระยะเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อครบตามกำหนดแล้วจึงนำภรรยาไปเข้าผีฝ่ายตน (หน้า 112)
นอกจากนี้ยังได้อาศัยความเชื่อในการนับถือผีและสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในชุมชน ก่อให้เกิดความเป็นระเบียบในหมู่บ้าน (หน้า จ-ฉ) การอบรมเลี้ยงดูลูกนั้นถือเป็นหน้าที่ของแม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญพ่อจะเป็นผู้ตัดสินและลงโทษ และจะให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว เพราะลูกชายจะเป็นผู้สืบผีบรรพบุรุษของตระกูล และยังให้ความสนใจกับลูกคนโตเป็นพิเศษอีกด้วย (หน้า 110-111)
ลักษณะครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยาย (stem family) คือมีลักษณะหมุนเวียนจากครอบครัวเดี่ยวไปเป็นครอบครัวขยาย และจากครอบครัวขยายกลับมาเป็นครอบครัวเดี่ยวอีกครั้ง กล่าวคือ ในครอบครัวเดี่ยวจะประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก
ต่อมาเมื่อลูกชายแต่งงานก็จะนำภรรยาเข้ามาอยู่ด้วย ทำให้ครอบครัวเดี่ยวกลายเป็นครอบครัวขยาย เมื่อมีลูกชายคนอื่นในครอบครัวแต่งงาน ลูกชายคนที่แต่งงานคนแรกก็จะแยกตัวออกมาปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านเดิมของพ่อแม่ กลายเป็นครอบครัวเดี่ยว แต่ก็ยังมีความผูกพันกันในเครือญาติอยู่ (หน้า 49-50) |
|
Political Organization |
มีกรรมการหมู่บ้านที่มาจากการเลือกตั้งของชาวบ้าน ซึ่งเป็นบุคคลที่แต่งตั้งขึ้นจากทางภาครัฐ นอกจากนี้ ก็ยังมีคณะกรรมการศาลหมู่บ้าน โดยมีผู้ใหญ่บ้าน 2 คนเป็นหัวหน้า ซึ่งชาวบ้านจะให้การนับถือและเชื่อฟังคณะกรรมการศาลหมู่บ้านมากกว่าคณะกรรมการหมู่บ้านที่ทางการแต่งตั้ง ข่าวสารจากทางภาครัฐชาวบ้านรับรู้ผ่านทางผู้ใหญ่บ้านแทบทั้งสิ้น ส่วนเจ้าหน้าที่ราชการระดับอำเภอนั้น ชาวบ้านจะติดต่อด้วยเมื่อจำเป็นเท่านั้น โดยบางคนเวลาที่มาติดต่อราชการก็จะชวนผู้ใหญ่บ้านมาเพื่อช่วยพูดธุระของตนให้ ชาวบ้านมีความสนใจและตื่นตัวทางการเมืองในระดับต่ำ ไม่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง ค่านิยมทางการเมืองมีแนวโน้มยึดถือตัวบุคคลมากกว่านโยบายในการเลือกตั้งผู้นำในระดับต่างๆ (หน้า 60-61)
และเนื่องจากในสังคมลาวโซ่งให้ความสำคัญกับลูกชายมาก ดังนั้นในการเลือกตั้งหรือกิจกรรมอื่นๆ ของหมู่บ้าน ก็มักจะมีผู้ชายออกมาแสดงความคิดเห็นมากกว่าผู้หญิงที่มักจะคล้อยตามพ่อหรือสามี (หน้า 121) และถึงแม้ว่าจะมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 2 หมู่บ้าน แต่ก็ยังมีศาลผีประจำหมู่บ้านร่วมกัน และผู้ใหญ่บ้านก็ได้อาศัยความเชื่อเรื่องผีประจำหมู่บ้านเป็นเครื่องมือที่จะก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชุมชน (หน้า 156) และเนื่องจากลาวโซ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมประจำกลุ่มที่ไม่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมของชนส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยมีปัญหาในทางการเมืองสักเท่าไร (หน้า 166) |
|
Belief System |
มีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับการนับถือผีและการบูชาบรรพบุรุษ (animism) โดยให้ความสำคัญกับพิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิมมาก ซึ่งมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกับวัฒนธรรมจีน (หน้า จ) โดยได้นำเอาพุทธศาสนาไปเพิ่มจากความเชื่อเดิมของตนเท่านั้นมิได้ไปทดแทนของเดิม (หน้า 16)
ลาวโซ่งมีความเชื่อว่า ผู้ที่ตายไปแล้วจะต้องไปเฝ้าแถน ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุด (หน้า 15) เชื่อว่าแถนเป็นผู้สร้างมนุษย์ให้เกิดมาและมีขวัญประจำตัว ถ้าตกใจหรือเจ็บป่วย ขวัญจะไม่อยู่กับตัว ต้องทำพิธีเรียกว่าขวัญที่เรียกว่า "สู่ขวัญ" และเมื่อคนตายแล้วขวัญก็จะออกจากร่างกายแยกย้ายไปอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ (หน้า 53)
พิธีกรรมที่สำคัญได้แก่ พิธีเสนเรือน หมายถึง การเซ่นไหว้ผีเรือน คือ ผีบรรพบุรุษ ให้มากินเครื่องเซ่น ทำให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วไม่อดอยาก โดยจะทำในช่วง 2-3 ปีต่อครั้ง โดยมักนิยมทำในเดือน 4, 6, 12 และจะไม่นิยมทำในเดือน 5 เพราะถือว่าเป็นเดือนร้อน ส่วนเดือน 9-11 ก็จะไม่นิยมทำ เพราะเป็นช่วงที่ผีไปเฝ้าแถน (ผีฟ้า) และเลือกวันที่ไม่ตรงกับวันตาย วันเผา วันเก็บกระดูกของบรรพบุรุษ ลาวโซ่งจะมีห้องสำหรับผีบรรพบุรุษหรือผีเรือน เรียกว่า "กะล่อหอง" ผู้ที่ไม่ใช่เครือญาติเดียวกันจะเข้าไปไม่ได้ เพราะจะทำให้เจ้าของบ้านเจ็บป่วย (หน้า 64-67)
การเซ่นนั้น หมอเสนจะฉีกใบตองสดเป็นแผ่นยาว ๆ เสียบเข้าไปในช่องเล็ก ๆ ที่เจาะไว้ข้างฝาห้องผีเรือน แล้วก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารลงไปในช่องเล็ก ๆ นั้น (หน้า 71) หลังจากเซ่นผีเรียบร้อยแล้ว หมอเสนจะทำพิธี "แปงไท้" ให้กับลูกหลานผู้ชายที่อยู่ในบ้านเจ้าภาพทุกคน ทำให้อายุมั่นขวัญยืน โดยใช้ "ไต" สัญลักษณ์ของเด็กชายที่เสียบอยู่ในห้องผีเรือนมาให้ญาติผีเดียวกันใส่หมากพลู ข้าวสาร ข้าวเปลือกลงในไต แล้วนำเอาไปให้หมอเสนเซ่นผีไท้ (หน้า 74)
พิธีศพ เสื้อฮีที่สวมให้ศพนี้จะต้องเอาด้านในออก เพื่อให้ผู้ตายได้แต่งกายสวยงามไปเฝ้าแถนบนเมืองฟ้า การมัดศพก็ผูกหัวแม่เท้าทั้ง 2 ข้างให้ติดกัน และตอนนำไปเผาก็จะต้องตัดด้ายสายสิญจน์ออก เพราะเชื่อว่าผู้ตายต้องเดินทางกลับไปสู่ถิ่นเดิม (หน้า 87)
หลังจากนั้นก็จะทำพิธีซ่อนขวัญญาติผีเดียวกันที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ให้ไปกับผู้ตาย โดยให้ญาติผีเดียวกันเดินวนจากซ้ายไปขวารอบหีบศพ 3 รอบ เมื่อครบรอบที่ 3 จะมีหญิงชรามาดึงเอาตัวญาติผีเดียวกันออกไปทีละคนจนหมด ต่อจากนั้นก็จะมีผู้หญิง 2 คนถือสวิงที่ใส่เสื้อผ้าของญาติผีเดียวกัน คนละอันเดินวนรอบหีบศพ 2 รอบ เพื่อซ่อนขวัญญาติผีเดียวกันไม่ให้ตามไปกับผู้ตาย แล้วจึงแห่ศพไปยังที่เผาศพ โดยหันเท้าของศพไปทางเมืองลาว ตามปกติ ถ้าผู้ตายมีอายุต่ำกว่า 50 ปี จะเก็บศพไว้ 1 คืน โดยเผาและเก็บกระดูกในวันเดียวกัน แต่ถ้าผู้ตายมีอายุสูงกว่า 50-60 ปีขึ้นไป เรียกว่า ศพพ่อบ้านแม่เรือน จะเก็บศพไว้ 2 คืนเผาวันหนึ่งและเก็บกระดูกอีกวันหนึ่ง (หน้า 89-90)
พิธีบูชาศาลหมู่บ้าน ในเวลาที่ชาวบ้านมีเรื่องทุกข์ร้อน ก่อนจะทำอะไร เวลามีพิธีกรรมใด หรือเดินทางออกนอกหมู่บ้านไกล ๆ ก็จะต้องบอกกล่าวให้ผีประจำหมู่บ้านทราบ เพื่อขอความคุ้มครองรักษา ดังนั้น จึงมีการเซ่นศาลเจ้าพ่อประจำหมู่บ้านเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด โดยทำในเดือน 6 ข้างขึ้นในช่วง 1-6 ค่ำ (ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม) โดยเลือกเอาวันที่ไม่ตรงกับวันพระ (หน้า 97-98) ชาวบ้านทุกครัวเรือนต้องมาทำพิธีเลี้ยงศาล ถ้าไม่มีใครในบ้านมาได้ ก็ต้องฝากอาหารคาวหวานแก่เพื่อนบ้านมาแทน (หน้า 103) |
|
Education and Socialization |
มีโรงเรียนประจำหมู่บ้าน 1 โรง คือโรงเรียนวัดสระสี่มุม ตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2477 เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา เปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 - 6 มีครู 20 คน ครูในโรงเรียนมีเพียงคนเดียวที่มีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้าน นอกนั้น เป็นครูจากหมู่บ้านอื่น โดยมีผู้ช่วยครูใหญ่เป็นลาวโซ่ง และมีครูอื่นๆ ที่เป็นลาวโซ่งอีก 5 คน มีนักเรียนทั้งหมด 431 คน (สถิติ 2528) เป็นชาย 236 คน หญิง 195 คน นักเรียนทั้งหมด 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นลาวโซ่งจากบ้านสระและหมู่บ้านใกล้เคียง โดยทั่วไปลาวโซ่งในหมู่บ้านจะส่งลูกให้เข้าโรงเรียนตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ
การศึกษาของประชากรส่วนใหญ่จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 แต่ผู้สูงอายุส่วนมากไม่ได้รับการศึกษา ส่วนในเด็กรุ่นใหม่จะมีการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนประจำอำเภอ และศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในจังหวัดนครปฐมและกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นลูกหลานของผู้ที่ฐานะดีเท่านั้น และคนที่มีการศึกษาสูง มักจะไม่กลับมาอยู่ในหมู่บ้าน (หน้า 37) |
|
Health and Medicine |
นอกจากการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันทั่วไป ลาวโซ่งที่บ้านสระก็ยังคงมีการรัษาตามแบบของลาวโซ่งอยู่ทั่วไป ผู้ทำหน้าที่รักษาเรียกว่า "หมอมด" (ผู้ชาย) หรือ "แม่มด" (ผู้หญิง) ซึ่งรักษาโดยการเจรจากับผีที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ และเซ่นสรวงเพื่อให้ผีร้ายออกจากร่างของผู้ป่วย รวมถึงการรับขวัญหลังจากหายเจ็บป่วยแล้ว การรักษาแบบโบราณนี้ก็รักษาควบคู่ไปกับการรักษาแบบใหม่ แต่ชาวบ้านมักเชื่อง่าการรักษาแบบโบราณมีโอกาสหายมากกว่าการรักษาแผนปัจจุบัน (หน้า 38-39)
นอกจากนี้ ชาวบ้านยังเชื่อว่า น้ำมนต์และน้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเลี้ยงศาลประจำหมู่บ้านสามารถใช้กินแก้โรคต่าง ๆ ได้ (หน้า 105,108) หมู่บ้านบ้านสระมีสถานีอนามัยประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง มีเจ้าหน้าที่ 2 คน ให้การรักษาโรคต่าง ๆ ที่ไม่รุนแรง รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ (หน้า 38) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะบ้านเรือนของลาวโซ่งนั้น ตัวบ้านเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูงประมาณ 1.5 เมตร ที่มุมห้องด้านในสุดแบ่งเป็น 3 ห้อง คือ ห้องผีบรรพบุรุษ เรียกว่า "กะล่อห้อง" ซึ่งจะใช้ฝากั้น ส่วนอีก 2 ห้อง คือ ห้องกลาง และห้องผีมด บ้านที่มีฐานะดีจะกั้นด้วยฝา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่กั้นด้วยฝา โดยจะแบ่งจากเสาเรือนเป็นหลัก นอกจากนั้น ยังมีนอกชานกว้างมีไม้ระแนวกั้น หลังคาบ้านส่วนใหญ่มุงด้วยสังกะสี มีบางส่วนมุงด้วยกระเบื้อง และมีส่วนน้อยที่มุงด้วยแฝก (หน้า 31)
เสื้อผ้าในชีวิตประจำวัน :
- ผู้ชาย สวมเสื้อแขนยาวทรงกระบอกสีดำรัดข้อมือ ผ่าหน้าติดกระดุมเงินประมาณ 10-15 เม็ด (หรือมากกว่านั้น) เรียกว่า "เสื้อไท" และนุ่งกางเกงขาสั้นสีดำหรือสีคราม เรียกว่า "ช่วงขาเต้น"
- ผู้หญิง สวมเสื้อแขนยาวทรงกระบอกสีดำรัดข้อมือ ผ่าหน้า ติดกระดุมเงินประมาณ 9-10 เม็ด (หรือมากกว่านั้น) เรียกว่า "เสื้อก้อม" นุ่งผ้าซิ่นสีดำหรือสีครามเข้ม มีลายขาวเป็นทางลงสลับดำคล้ายลายบนผลแตงโม มีเชิงผ้าเป็นขอบขวางกว้างประมาณ 2-3 นิ้ว (ถ้าสามีตายจะเอาเชิงออก) วิธีนุ่งซิ่นของลาวโซ่งจะไม่ขมวดชายพกไว้ด้านข้างของเอว แต่จับผ้ามาทบกันตรงกลางให้จีบแยกจากกันแล้วขมวดไว้ตรงหน้าท้องหรือใช้เข็มขัดคาดแล้วดึงซิ่นข้างหน้าให้สูงกว่าด้านหลังมาก เพื่อความสะดวกในการเดินและทำงาน ผู้หญิงลาวโซ่งที่แต่งงานแล้วยังนิยมคาดอกด้วยผ้าคาดอก เรียกว่า "ผ้าเบี่ยว" ซึ่งทำด้วยผ้าฝ้ายสีดำหรือสีครามแก่ มีความกว้างประมาณ 6 นิ้ว ยาวประมาณ 1 เมตร ที่ริมด้านหนึ่งปักลวดลายแบบโซ่ง ผ้าเบี่ยวเป็นผ้าสารพัดประโยชน์เช่นเดียวกับผ้าขาวม้า คือใช้คาดอกเวลาร้อน ใช้คลุมศีรษะกันแดดกันฝน หรือใช้คลุมไหล่ หรือห่มเฉียงไหล่ทับเสื้อก้อมเวลาไปวัดหรือมีงานพิธีต่าง ๆ
เสื้อผ้าในโอกาสพิเศษ :
- ผู้ชาย นุ่งกางเกงขายาวสีดำ เรียกว่า "ช่วงขาฮี" สวมเสื้อที่ในโอกาสพิเศษ เรียกว่า "เสื้อฮี" ทำด้วยผ้าฝ้ายย้อมคราม ตัวเสื้อเข้ารูปเล็กน้อย ผ่าหน้าตลอด ความยาวคลุมสะโพก ทางด้านข้างของตัวเสื้อจะฝ่าข้างขึ้นมาถึงเอว คอเสื้อเป็นคอกลม กุ๊นรอบคอด้วยผ้าไหมสีแดงแล้วเดินเส้นทับด้วยผ้าไหมสีแสด เขียว และสีขาว ตรงคอเสื้อมีกระดุมติดคล้องไว้ 1 เม็ด แขนเสื้อเป็นแขนยาวทรงกระบอก ปักตกแต่งรักแร้และด้านข้างของตัวเสื้อด้วยเศษไหมสีต่างๆ พร้อมทั้งติดกระจกชิ้นเล็ก ๆ ตามลวดลาย
- ผู้หญิง เสื้อฮีของผู้หญิงใหญ่กว่าของผู้ชายมาก เป็นเสื้อแขนสามส่วนทรงกระบอกคอแหลมลึกใช้สวมหัว ใช้เศษผ้าสีต่าง ๆ มาตกแต่งด้านหน้าของเสื้อ นิยมปักตกแต่งปลายแขนด้วยไหมสีแดง สีแสด สีเขียว และสีขาว เวลาใส่เสื้อฮีนั้นมักสวมทับเสื้อผ้าที่ใช้อยู่ปกติอีกทีหนึ่ง แต่ถ้าอากาศร้อนก็อาจใช้พาดผ่าหรือเคียนเอวหรือผูกทับไปกับผ้าเบี่ยวก็ได้ เพียงเพื่อให้เป็นเครื่องหมายว่า ได้สวมเสื้อฮีไว้แล้ว
ในด้านทรงผมของผู้ชายลาวโซ่ง นิยมตัดผมสั้นเกรียนติดหนังศีรษะและนิยมสักตามตัว แขน และขา เพื่อความสวยงาม ส่วนผู้หญิงก็ไว้ผมยาวเกล้ามวย ถ้าเป็นวัยสาวจะเกล้ามวยสูง ถ้าแต่งงานแล้วจะเกล้ามวยต่ำ โดยจะใช้ปิ่นเสียบไม่ให้ผมหลุดลุ่ยลงมา ปิ่นปักทำด้วยเงินหรือนาค
ส่วนเครื่องประดับนั้นนิยมเครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน ทอง นาค มากกว่าเพชรพลอย เครื่องประดับที่มักใช้กันทุกคนคือต่างหู และกำไลมือ การแต่งกายแบบลาวโซ่งนี้ในปัจจุบันนี้จะเห็นได้จากผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรือในโอกาสพิเศษเท่านั้น (หน้า 55-57)
นอกจากนี้ยังมีเสื้อไว้ทุกข์ ซึ่งทำด้วยผ้าดิบสีขาวคอแหลม แขนสั้น ไม่ต้องเย็บให้เรียบร้อย และโพกหัวด้วยผ้าดิบสีขาว (หน้า 87) และลูกชายของผู้ตายจะต้องโกนศีรษะ ส่วนลูกสาวและลูกสะใภ้จะเกล้ามวยต่ำ ไม่ผัดหน้าทาแป้ง (หน้า 95)
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องใช้ไม้สอยของลาวโซ่งแบบดั้งเดิมที่ยังคงใช้ในชีวิตประจำวันและพิธีต่าง ๆ คือ "กะแอบ" ใช้ใส่ข้างเหนียวที่สุกแล้วทำให้ข้าวเหนียวอุ่นอยู่เป็นเวลานาน ในอดีตทำด้วยไม้ขุด แต่ปัจจุบันทำด้วยไม่ไผ่สาน เป็นภาชนะมีผาปิดและหูหิ้ว
"กะเหล็บ" เป็นเครื่องสานจากไม้ไผ่และหวายคล้ายตะกร้าแต่เรียวกว่า ก้นสอบ ปากเป็นกระพุ้งเล็กน้อย เป็นเครื่องใช้เอนกประสงค์ มีหลายขนาดตามแต่วัตถุประสงค์ในการใช้
"ขมุก" เป็นเครื่องจักสานใช้สำหรับเก็บของมีลักษณะคล้ายหีบมีฝาปิด ลาวโซ่งใช้ใส่เสื้อผ้าที่ใช้ในโอกาสสำคัญ เช่น เสื้อฮี รวมทั้งของมีค่าอื่น ๆ
"ปานเสน" เป็นภาชนะที่ใช้ใส่เครื่องเซ่นในพิธีเสนต่าง ๆ ห้ามนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน มีลักษณะคล้ายตะลุ่ม 2 ชั้น โดยชั้นล่างใส่อาหารคาว ชั้นบนใส่อาหารหวาน ทำจากหวายขัดไป-มาอย่างหยาบ มีขาสูงประมาณ 1-2 นิ้ว ส่วนมากจะมีขนาดใหญ่
"ปานเผือน" เป็นปานเสนอีกชนิดหนึ่งแต่มีลักษณะใหญ่กว่าปานเสนมาก ใช้ใส่อาหารทำพิธีเซ่นผีเรือน ทำจากหวายหรือไม้ไผ่สานขัดเป็นลวดลายคล้ายเข่ง แต่ต่างจากลวดลายของปานเสน
"ซ้าไก่ไถ่" คือตะกร้าหวายขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายเข่ง มีหู 2 หู สานด้วยหวายหรือไม้ไผ่อย่างหยาบ ๆ ใช้ใส่เครื่องเซ่นในพิธีเสนเป่าปี่หรือเสนเสดาะเคราะห์ต่ออายุผู้ป่วย
"ตาเหลว" (เฉลว) คือเครื่องสานที่ใช้ปัก 4 มุมบ้านเพื่อกันไม่ให้ผีอื่นเข้ามาในบ้านขณะที่ทำพิธีเซ่นสรวงผีบรรพบุรุษ ทำด้วยไม้ไผ่สานหยาบ ๆ เป็นรูป 5 เหลี่ยมหรือ 6 เหลี่ยม และมีก้านสำหรับปักกับพื้น
"ไม้ทู" เป็นตะเกียบที่ใช้ในพิธีเสนต่างๆ ทำจากไม้รวกเหลาและเกลาให้มีรูปร่างคล้ายตะเกียบของจีน และจะไม่นำไม้ทูมาใช้ในชีวิตประจำวัน
"ไม้มอ" เป็นไม้เสี่ยงทาย มีทั้งหมด 20 อัน ใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ เป็นไม้ชิ้นเล็ก ๆ ยาวประมาณ 8 นิ้ว
"ไต" คือเครื่องจักสานจากไม้ไผ่ มีลักษณะคล้ายตะกร้าขนาดเล็กประมาณ 3-4 นิ้ว ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนเด็กชาย พ่อแม่จะทำให้เด็กชายลาวโซ่งทุกคนตั้งแต่แรกเกิด
"หอยา" คือสัญลักษณ์แทนตัวเด็กหญิง พ่อแม่จะทำให้เด็กหญิงที่เกิดใหม่ โดยทำจากใบตาลพันสอดสลับไปมาคล้ายวงโซ่ต่อกันเป็นชั้น ๆ เหมือนรูปกรวย (หน้า 58-60) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลาวโซ่งมีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่แสดงความแตกต่างจากคนไทยโดยทั่วไป ซึ่งแสดงสัญลักษณ์ความเป็นลาวโซ่ง อย่างเช่น พิธีเสนเรือน และแม้ว่าลาวโซ่งจะปฏิบัติพิธีทางพุทธศาสนาแบบคนไทย แต่ผู้มาร่วมงานพิธีกรรมนั้นยังคงแสดงเอกลักษณ์ของกลุ่มไว้ โดยการแต่งกายแบบลาวโซ่ง (หน้า 63) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ลาวโซ่งบ้านสระได้นำเอาความเชื่อทางพุทธศาสนาเข้ามาผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้ขัดแย้งกัน (หน้า 55) แม้แต่ในพิธีศพก็มีการให้พระสงฆ์มาเดินนำหน้าขบวนศพคู่ไปกับผู้ดำเนินพิธี หน้า 90)
การแต่งกายและการไว้ทรงผมในชีวิตประจำวันที่เป็นเอกลักษณ์ของลาวโซ่งมักจะพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนเด็กวัยรุ่นหรือคนหนุ่ม-สาว ก็แต่งกายและไว้ทรงผมแบบคนไทยภาคกลางทั่วไป แต่เวลามีพิธีกรรมต่าง ๆ ทุกคนก็ยังแต่งกายตามแบบประเพณีเดิมอยู่ (หน้า 57)
ในพิธีเสนเรือนในอดีต เจ้าภาพจะต้องหมักเหล้าแกลบ เพื่อใช้เซ่นผีเรือนและเลี้ยงแขก แต่ปัจจุบันใช้เหล้าที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดแทน (หน้า 66)
การเล่นคอน ซึ่งเป็นการเกี้ยวพาราสีของหนุ่ม-สาวลาวโซ่งนั้นมีน้อยลง ปัจจุบัน หนุ่ม-สาวมักเกี้ยวพาราสีกันตามงานพิธีกรรมและงานรื่นเริงต่างๆ ของหมู่บ้าน (หน้า 79)
การอาสาของเจ้าบ่าวในปัจจุบันมีน้อยมาก เมื่อแต่งงานเสร็จก็ทำพิธีแต่งลูกสะใภ้ แล้วฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะรับเจ้าสาวมาอยู่บ้านพ่อ-แม่เจ้าบ่าวเลย (หน้า 84) |
|
|