|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอญ,วิถีชีวิต,ความเป็นอยู่,การเปลี่ยนแปลงของสังคม,วัฒนธรรม,นนทบุรี |
Author |
ณัฐประวีณ ศรีทรัพย์ |
Title |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม และการธำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ของชาวมอญ : ศีกษากรณีชุมชนมอญบ้านลัดเกร็ด ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มอญ รมัน รามัญ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
199 |
Year |
2537 |
Source |
ภาควิชาสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
เป็นการศึกษาถึงการเกิดและการเปลี่ยนแปลงและวัฒนธรรมที่มาจากสถานที่ตั้งติดกับชุมชนใกล้เขตเมืองหลวงเป็นปัจจัยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการศึกษา ด้านสาธารณูปโภคเน้นให้เห็นถึงการจัดการปกครอง ประกอบกับชุมชนบ้านลัดเกร็ดเป็นสังคมแบบเปิดทำให้พวกเขามีโอกาสในการอยู่ร่วมกันกับคนไทยในบริเวณใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นทางภาครัฐและเอกชนรวมไปถึงการปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจในด้านการผลิตแต่อีกส่วนหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปคือการนับถือศาสนาที่เป็นจุดให้คนไทยกับคนมอญปรับตัวเข้ากันได้โดยง่ายยอมรับวัฒนธรรมซึ่งกันและกันผู้วิจัยได้ใช้หลักการพิจารณาที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของพวกตนไว้ก็คือ ภาษา ศาสนา พิธีกรรมเพื่อคงความเป็นเอกลักษณ์การรวมกลุ่มกันเป็นปึกแผ่นเพื่อธำรงไว้ซึ่งความเป็นชนชาติมอญ ( หน้า 187-193, 195-196,199 ) |
|
Focus |
เป็นการศึกษาวิถีการดำเนินชีวิตของมอญบ้านลัดเกร็ด ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อเน้นให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสังคม การปกครอง เศรษฐกิจ รวมไปถึง เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ที่เป็นจุดเด่นทางสังคมของมอญ ทั้งนี้ ยังได้ศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของมอญบ้านลัดเกร็ดอีกด้วย |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในการศึกษาระบุว่าภาษามอญเป็นภาษาที่จัดอยู่ในตระกูลภาษาโมนิค ซึ่งภาษาโมนิคนี้มีภาษาเขมรรวมอยู่ด้วยมอญมีภาษาเป็นของตนเองมีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนตัวอักษรของมอญมีที่มาจากอักษรอินเดียทางตอนใต้เพราะฉะนั้นรูปแบบตัวอักษรของมอญกับอักษรของชาวอินเดียทางตอนใต้จึงมีรูปแบบที่เหมือกัน ส่วนภาษาพูดของมอญที่ใช้พูดกันในปัจจุบันมีทั้งภาษามอญและภาษาไทย คนที่อยู่ในวัยกลางคนส่วนใหญ่จะพูดภาษามอญแต่พวกเด็ก ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ภาษาไทยเด็ก ๆ ในสมัยปัจจุบันพูดภาษามอญไม่ได้ โดยให้เหตุผลที่ว่าภาษามอญเป็นภาษาที่พูดยากและเคยชินกับภาษาไทยมากกว่า (หน้า 34 ,138-139 ) |
|
Study Period (Data Collection) |
กรกฎาคม 2536-กรกฎาคม 2537 |
|
History of the Group and Community |
เดิมทีบริเวณปากเกล็ดเป็นที่อาศัยของคนไทย เป็นด่านสำหรับตรวจดูแลสิ่งของต้องห้าม ที่ผ่านเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา ครั้นต่อมาปี 2310 พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้เข้ามายึดบ้านปากเกล็ดและด่านขนอนไว้สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีได้กอบกู้อิสรภาพคืนจากพม่าได้และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี ขณะนั้นทางเมืองมอญถูกพม่าเผาทำลายบ้านเรือน มอญบางส่วนหนีอพยพเข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารจากกษัตริย์ไทยในปี 2317 พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้มอญตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านปากเกล็ดแขวงเมืองธนบุรี อีกส่วนหนึ่งให้ไปอยู่ที่สามโคก แขวงเมืองปทุมธานี จึงเกิดชุมชนมอญขึ้นที่ด่านปากเกล็ดแห่งนี้ มอญกลุ่มนี้จึงทำหน้าที่เป็นนายด่าน คอยตรวจตราไม่ให้พม่ามาตีกรุงธนบุรี และทำหน้าที่นี้เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มอญจึงมีบทบาทในการทำศึกษาสงครามการปกป้องเอกราชของไทยมาโดยตลอด จากนั้นมีการอพยพของมอญเข้ามาอยู่ในไทยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมอญที่อยู่ในประเทศพม่าถูกชาวพม่ารุกราน ได้รับคามเดือนร้อนและได้หนีเข้ามาในไทยรัชกาลที่ 3 ในปี 2358 โดยเดินทางเข้ามาอยู่ 3 ทาง คือ ทางอุทัยธานี ด่านเจดีย์ 3 องค์ และเมืองตาก มอญกลุ่มนี้จึงตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ปากเกล็ด นนทบุรีบ้าง ปทุมธานีบ้าง และอยู่อาศัยมาจนถึงปัจจุบันนี้ มอญส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มมีวิถีการดำเนินที่เรียบง่าย สำหรับมอญบ้านปากเกล็ดได้ยึดอาชีพการทำเครื่องปั้นดินเผา (หน้า 38-42) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งบ้านเรือนของมอญจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรกจะเป็นการตั้งบ้านเรือนอยู่เรียงรายตามริมน้ำ อีกส่วนหนึ่งจะตั้งบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่ม ซึ่งการตั้งบ้านเรือนในลักษณะแรก มอญถือว่าบรรพบุรุษของพวกเขาอพยพมาจากทางทิศเหนือ มีวิถีชีวิตผูกพันกับแม่น้ำ การตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำสะดวกต่อการประกอบอาชีพการทำเครื่องปั้นดินเผาซึ่งเป็นอาชีพที่เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ การสร้างบ้านอยู่ตามริมน้ำจะได้สะดวกต่อการขนส่งวัตถุดิบ การสร้างบ้านแบบที่ 2 นั้น นิยมปลูกบ้านติดกัน ญาติพี่น้องเดียวกันจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน บางบ้านหลังคาเกือบติดกันทำให้ดูไม่เป็นระเบียบมากนัก คนมอญส่วนใหญ่ถ้าแต่งงานไปมีครอบครัว พวกเขาจะนิยมปลูกบ้านอยู่ใกล้พ่อใกล้แม่ของตนเอง เพราะจะได้คอยช่วยเหลือพ่อแม่การทำงานต่างๆ รูปแบบการสร้างบ้านของมอญจะเป็นแบบยกพื้นสูง เสาจะสูงประมาณ 2-3 เมตร เป็นบ้านชั้นเดียว ใต้ถุนโล่ง ตัวบ้านแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนที่ชัดเจน มีชานยื่นออกมาตามริมน้ำ ใช้เป็นที่นั่งเล่นพักผ่อนกัน มีบันไดไว้สำหรับลงไปอาบน้ำ และไว้ใช้ประโยชน์จากลำน้ำ ใน การปลูกบ้านของมอญ มอญจะหาวันที่ดีในการปลูกบ้าน การหาวันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พวกเขาจะหาวันที่เป็นมงคลในการสร้างบ้านใหม่ และทิศทางการปลูกบ้านต้องเลือกให้ถูกทิศถูกทางด้วยไม่อย่างนั้นจะทำให้คนในบ้านเกิดการเจ็บป่วยได้ เพราะพวกเขามีความเชื่อในเรื่องการเลือกทิศทางในการปลูกบ้านมาก ถ้าเลือกวันและเดือนดี จะทำให้บ้านนั้นมีเงินมีทองอยู่กันอย่างมีความสุขแต่ถ้าเลือกวันไม่ดีบ้านนั้นก็จะเกิดทุกข์บางครั้ง และอาจทำให้เกิดความหายนะได้ (หน้า 50-54 ) |
|
Demography |
ในการศึกษากล่าวว่าชุมชนมอญบ้านลัดเกร็ดมีจำนวน 135 ครัวเรือน ประชากรรวม 543 คน ชาย 261 คน หญิง 282 คน (ปี 2536 ) แบ่งแยกเป็นมอญโดยแท้ 90 ครัวเรือน และอีก 45 ครัวเรือนเป็นคนไทย (หน้า 55,56 ) |
|
Economy |
มีพื้นฐานอาชีพมาจากการผลิตเครื่องปั้นดินเผา อาชีพการทำเครื่องปั้นดินเผาเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับครอบครัวที่ยึดถือปฏิบัติมาตั้งแต่อดีตจนถึงสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะที่บ้านลัดเกร็ดแห่งนี้ ระบบเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะเน้นระบบการผลิตเพื่อการขายเห็นได้จากการที่ได้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาไม่ว่าจะเป็นโอ่งน้ำ อ่าง ครก หม้อน้ำลายวิจิตรที่เป็นสินค้าส่งออกไปจำหน่ายยังที่ต่าง ๆทั่วประเทศ แต่ในสมัยก่อนมอญบ้านลัดเกร็ดแห่งนี้จะปั้นหม้อดิน โอ่งน้ำไว้ใช้เอง ไม่ได้ทำเป็นการค้าเหมือนสมัยปัจจุบันนี้ หากบ้านใดไม่ได้ปั้นเครื่องปั้นดินเผาพวกเขาก็จะแบ่งปันกันใช้ บางครั้งก็นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกัน อย่างบางคนมีเครื่องปั้นดินเผาก็จะนำมาแลกข้าวสาร อาหารต่าง ๆ เป็นต้น แต่ต่อมาก็เกิดการพัฒนาเป็นการผลิตที่เน้นการผลิตเพื่อการขายมากขึ้น มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อสินค้าในหมู่บ้าน ปัจจุบันนี้นอกจากมอญบ้านลัดเกร็ดจะทำเครื่องปั้นดินเผาแล้ว ยังมีอาชีพอีกหลายอาชีพที่ทำรายได้ให้กับครอบครัวก็คือการทำสวนผลไม้ การเข้ารับราชการ การทำงานโรงงาน รวมไปถึงการรับจ้างทั่วไปด้วย อย่างอาชีพรับราชการ อาชีพครู เป็นอาชีพที่นิยมกัน เพราะพวกเขาคิดว่าผู้ที่รับราชการ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีฐานะดี คนที่เรียนจบสูง ๆส่วนใหญ่ก็จะเข้ารับราการ อาชีพการทำสวนผลไม้ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่เป็นที่นิยมกัน ผลไม้ที่ปลูกกันส่วนใหญ่จะเป็นทุเรียน ชมพู่ มังคุด มะม่วง มะพร้าว ส้มโอ ส่วนทุเรียนถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้เป็นอย่างดี และขายได้ดีตลอดเวลาเพราะจะมีคนมาซื้อและรับจองไว้ตั้งแต่ผลทุเรียนยังไม่สุก อาชีพค้าขายเป็นอาชีพที่ทำรายได้ให้กับชุมชนเป็นจำนวนมากจึงทำให้เศรษฐกิจของมอญบ้านลัดเกร็ดดีและภายในหมู่บ้านก็ยังมีร้านขายของต่าง ๆ ในชุมชนอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นร้านขายของชำ ร้านอาหาร จึงทำให้ระบบการค้าขายคึกคักเป็นอย่างมากในชุมชนมอญบ้านลัดเกร็ดแห่งนี้ โดยรวมแล้วถือว่าอาชีพค้าขายเป็นอาชีพที่สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชุมชนมอญบ้านลัดเกร็ดนี้ได้อย่างดียิ่ง (หน้า 56-60 ) |
|
Social Organization |
ครอบครัวส่วนใหญ่ของมอญลัดเกร็ดเป็นครอบครัวเดี่ยว มีพ่อแม่ลูก แต่เป็นระบบวัฎจักร คือเริ่มจากเป็นครอบครัวเดี่ยว แล้วไปสู่ครอบครัวขยาย เมื่อบุตรมีคู่สมรส เข้ามาอยู่ด้วย และกลับเป็นครอบครัวเดี่ยวอีกครั้ง เมื่อครอบครัวของลูกย้ายออกไป พ่อทำหน้าที่เป็นผู้นำของครอบครัว มีหน้าที่ในการตัดสินใจในเรื่องการดำรงชีวิต อบรมสั่งสอนลูกให้เป็นคนดี และทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ส่วนมารดาจะทำงานช่วยสามี ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวและรับผิดชอบงานในครอบครัว (หน้า 61,62 ) การจัดตั้งชมรมเยาวชนมอญเป็นการรวมตัวกันของมอญที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยให้เกิดความรักและความสามัคคีในการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีมอญให้คงอยู่ตลอดไป อีกสิ่งหนึ่งก็เพื่อเป็นการสร้างสันติภาพระหว่างมอญกับสังคมไทยให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งนี้เป็นการปลูกจิตสำนึกของความเป็นมอญให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น (หน้า 82,83) |
|
Political Organization |
ในอดีตที่ผ่านมามอญแต่ละหมู่บ้านจะเลือกผู้นำหรือหัวหน้าหมู่บ้านของตนขึ้นมาโดยคัดเลือกจากผู้อาวุโสที่มีเชื้อสายมอญซึ่งเป็นคนดีและเป็นคนที่ชาวบ้านเคารพนับถือ รู้หลักการประพฤติปฏิบัติตนตามจารีตประเพณี แล้วสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ หัวหน้าหมู่บ้านจะมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน หากในหมู่บ้านมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ตัดสินคดีร่วมกับชาวบ้าน กฎระเบียบที่ชาวบ้านยึดถือและปฏิบัติกันมาคือกฎจารีตประเพณีที่เป็นบรรทัดฐานทำให้สังคมของมอญอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข นอกจากจะมีผู้นำหมู่บ้านแล้ว ยังมีพระสงฆ์ที่มีบทบาทในการอบรมสั่งสอนขัดเกลาจิตใจให้คนเป็นคนดี ในสมัยของรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูปการปกครอง ให้มีนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นคนมอญด้วย ในการปกครองระดับหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านต้องอยู่ในกฎของทางราชการ โดยมาจากการเลือกตั้งแบบเปิดเผย หรือเป็นแบบลงคะแนนเสียงแบบลับก็ได้ ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ดูแลความทุกข์สุขของประชากรในหมู่บ้าน คอยประสานงานกับทางราชการและคอยเป็นสื่อกลางนำข่าวสารมาแจ้งแก่ลูกบ้าน ทั้งนี้ผู้ใหญ่บ้านจะมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาทำหน้าที่ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระการงาน และมีคณะกรรมการซึ่งผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้เลือกตั้งร่วมกับชาวบ้านมาคอยช่วยเหลืองานในหมู่บ้านอีกแรงหนึ่ง ซึ่งระบบการปกครองในปัจจุบันของมอญ มีรูปแบบเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ ในการออกเสียงการลงสมัครเลือกตั้งหากมีการเลือกผู้นำในหมู่บ้าน เขาจะออกมาลงคะแนนเสียงอย่างพร้อมเพียงกัน จะเห็นได้ว่ามอญจะอยู่ภายใต้บริบทของสังคมและวัฒนธรรมของไทย มีการปรับตัวเข้ากับสังคมไทย ยอมรับซึ่งกันและกัน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของภาครัฐซึ่งทำให้มอญมีความคุ้นเคยกับทางราชการเพิ่มมากขึ้น (หน้า 72-84 ) |
|
Belief System |
มอญบ้านลัดเกร็ดนับถือศาสนาพุทธ และเคร่งครัดในหลักธรรมคำสอน โดยจะปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา เห็นได้จากที่หมู่บ้านของมอญแต่ละแห่งจะมีวัดอยู่ทุกหมู่บ้าน เพราะมอญจะชอบทำบุญ อย่างในเทศกาลสำคัญที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเราจะพบเห็นมอญบ้านลัดเกร็ดมาทำบุญที่วัด แต่พวกเขายังมีความเชื่อเรื่องผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย มอญลัดเกร็ดเชื่อว่าถ้าพวกเขาบูชากราบไหว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะทำให้พวกเขาอยู่ดีมีสุข ประสบความสำเร็จในทุก ๆ สิ่ง หากพวกเขาไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะทำให้ครอบครัวของพวกเขาเดือดร้อนได้ เห็นได้จากการที่มีความเชื่อเรื่องการทำเครื่องปั้นดินเผาของมอญบ้านลัดเกร็ด พวกเขาเชื่อว่า หากได้ทำพิธีบนบานศาลกล่าวต่อเจ้าแม่เตาเผาแล้วเครื่องปั้นดินเผาของพวกเขาจะไม่แตกเสียหาย เพราะการทำเครื่องปั้นดินเผานั้น เวลาเผาผู้ที่คอยดูแลเตาเผาต้องมีความชำนาญ และมีประสบการณ์ในการเรียงรายเครื่องปั้นดินเผาเข้าสู่เตาเผา ไม่เช่นนั้นเครื่องปั้นดินเผาจะแตก พวกเขาจึงทำพิธีเซ่นไหว้แม่เตาเผาขึ้น ในเรื่องพิธีกรรมที่เกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผานี้ เรียกว่า พิธีเซ่นไหว้แม่เตาเผา พิธีนี้ทำขึ้นมา 3 ครั้ง ต่อการเผาเครื่องปั้นดินเผา 1 เตา คือครั้งแรกก่อนการเรียงรายเครื่องปั้นเข้าสู่เตา มีการนำธูปเทียนดอกไม้มาถวายแก่เจ้าแม่เตาเผา ครั้งที่ 2 หลังจากนำเครื่องปั้นดินเผาใส่เตาครอบ 5 วัน จะนำเครื่องเซ่นอันได้แก่ ข้าวปากหม้อ ไข่ต้ม ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว กล้วย 1 หวี มะพร้าวอ่อน 1 ลูก ธูป 7 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกไม้ นำมาถวายแก่เจ้าแม่เพื่อที่เจ้าแม่จะได้ดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จดังความปรารถนาของพวกเขา การเซ่นไหว้ครั้งสุดท้าย คือในช่วงปิดเตาเผา จะทำพิธีเซ่นไหว้เพื่อบอกกล่าวว่าการเผาเครื่องปั้นในครั้งนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว จากนั้นก็จะนำเครื่องปั้นออกจากเตา เครื่องปั้นนั้นจะไม่แตกเลย นอกจากพิธีกรรมเกี่ยวกับเครื่องปั้นแล้ว ยังมีพิธีบูชาศาลเจ้าพ่อประจำหมู่บ้าน พวกเขาจัดพิธีรำเจ้าประจำทุกปีถือเป็นงานที่มอญบ้านลัดเกร็ดยังคงปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ พิธีจะจัดขึ้นที่บริเวณศาลเจ้ามีการเตรียมเครื่องเซ่น ตอนเช้าพระสงฆ์จะมาทำพิธีสวด มอญแต่ละครอบครัวจะมาร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน ในตอนบ่ายจะมีร่างทรงมาอันเชิญเจ้าพ่อหนุ่มมาเข้าทรง ชาวบ้านก็จะถามไถ่เรื่องต่าง ๆ จากเจ้าพ่อร่างทรง พิธีนี้ถือว่าเป็นการรวมญาติก็ว่าได้ เพราะพวกเขาจะอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมเกี่ยวกับ การเกิด การบวชนาค การแต่งงาน และงานศพด้วย ( หน้า 63,126,140-146,150-151 ) |
|
Education and Socialization |
ในสมัยก่อนการศึกษาของมอญบ้านลัดเกร็ด จะอยู่ในวงแคบคือเรียนในวัด โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้สอนหนังสือให้ แต่ปัจจุบันการศึกษาได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าเด็กหญิงเด็กชายที่มีสัญชาติไทยจะได้รับการศึกษาในระดับปฐมศึกษาอย่างทั่วถึง มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาในหมู่บ้านลัดเกร็ด ครูมีบทบาทต่อการศึกษาของเด็ก ในขณะที่พระสงฆ์เริ่มลดบทบาทลง เมื่อเด็ก ๆ ได้รับการศึกษามากขึ้นรัฐบาลก็กำหนดให้ใช้ภาษาไทยเป็นหลักในการเรียนการสอน ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ทำให้พวกเขาสามารถประกอบอาชีพทำงานในตำแหน่งสูง ๆ ใน สังคมไทยได้ (หน้า 107-115 ) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไม่ได้กล่าวถึงด้านสถาปัตยกรรมไว้อย่างชัดเจนกล่าวแต่เพียงว่ามอญบ้านลัดเกร็ดนิยมสร้างบ้านแบบยกพื้นสูงใต้ถุนโล่งมีชานยื่นออกมาตามริมน้ำเพราะพวกเขานิยมสร้างบ้านอยู่ตามริมน้ำ ด้านศิลปการแสดง กล่าวถึงศิลปะพื้นบ้านที่เก่าแก่ที่สุด คือเพลงพื้นเมืองที่ร้องรำทำเพลงเป็นภาษามอญ มีเนื้อร้องทั้งบทไหว้ครู ชมนก ชมไม้ เกี้ยวพาราสี การร้องเพลงมอญเรียกว่า ทะแยมอญ แสดงได้ในงานทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานแก้บน เนื้อเพลงคล้ายกับเพลงลำตัดของไทย มีดนตรีประกอบการร้อง การรำมอญก็เป็นนาฏศิลป์ที่เก่าแก่ของมอญเหมือนกัน รำมอญเป็นการรำที่มีความอ่อนช้อยมาก ใช้แสดงในงานมงคลต่าง ๆ แตกต่างจากการรำไทย เพราะการรำมอญจะใช้มือในการรำน้อยมาก ส่วนใหญ่จะใช้เท้าในการรำ นอกจากนี้ยังมีการละเล่นสะบ้ามอญที่ใช้เล่นในเทศกาลสำคัญ สถานที่เล่นจะมีบริเวณลานกว้าง อย่างใต้ถุนเรือน ลูกสะบ้าที่ใช้เล่นทำมาจากวัสดุหลายอย่าง อย่างแก่นไม้ประดู่ งาช้าง กระดูกวัว กระดูกควาย ปัจจุบันการเล่นสะบ้านิยมเล่นในวันสงกรานต์ ด้านหัตถกรรม มีการทำเครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อแดงไม่มีการเคลือบ อย่างหม้อน้ำลายวิจิตรที่เป็นที่รู้จักกัน ส่วนการแต่งกาย มอญบ้านลัดเกร็ดจะแต่งตัวเหมือนคนไทยคือแต่งตัวตามสมัยนิยม โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ เวลาไปวัดผู้ชายจะนุ่งกางเกงแพรหรือโสร่งลายหมากรุกแบบมอญสวมเสื้อคอกลมสีขาวมีผ้าขาวม้าคาดเอว เวลามีเทศกาลสำคัญมอญจะแต่งกายตามแบบมอญดั้งเดิม คือนุ่งผ้าโสร่งตาหมากรุกมีผ้าขาวม้าพาดไหล่สองข้างสวมเสื้อคอกลมสีขาว สำหรับผู้หญิงการแต่งกายเป็นไปตามสมัยนิยม ส่วนหญิงสูงอายุจะเกล้าผมปักปิ่นเงินและสวมเสื้อคอกลมสีขาวพาดผ้าสไบผ้าถุงหลายสี (หน้า56,62,166-179 ) |
|
Folklore |
ตำนานเรื่องเล่าต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับประเพณี ไม่ว่าจะเป็นประเพณีสงกรานต์ ประเพณีปล่อยนกปล่อยปลา เช่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์ เริ่มจากการที่บุตรของเศรษฐีผู้หนึ่ง ได้ขอบุตรจากเทวดา ซึ่งได้ประทานกุมารที่มีสติปัญญาเป็นเลิศให้แก่เศรษฐี ชื่อธรรมบาลกุมาร ที่เมื่อโตขึ้นได้ประลองปัญญากับท้าวกบิลพรหมและชนะ ท้าวกบิลพรหมจึงโดนตัดเศียร แต่ถ้าเศียรตกสู่ที่ใด พื้นดินจะวอดวาย ท้าวกบิลพรหมจึงให้บุตรทั้ง 7 คนนำพานมารับเศียรไว้ และในแต่ละปีบุตร-ธิดาจะผลัดเปลี่ยนกันอัญเชิญพระเศียรแห่รอบพระเมรุ จึงเป็นเหตุให้เกิดประเพณีสงกรานต์ขึ้น ส่วนเรื่องการปล่อยนกปล่อยปลาก็มีเรื่องเล่าสอดคล้องกับชีวิต โดยมีมูลเหตุมาจากพระสารีบุตรที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าในอนาคตได้ วันหนึ่งท่านได้จับยามดู ล่วงรู้ว่าสามเณรจะสิ้นอายุขัยอีก 7 วัน จึงให้สามเณรเดินทางไปร่ำลาพ่อแม่แต่ระหว่างได้เจอกับปลาตัวหนึ่งที่กระเสือกกระสนอยู่ในน้ำที่แห้งขอดสามเณรจึงช่วยปลาตัวนั้นไว้ เหตุนี้สามเณรจึงรอดชีวิต จึงเป็นที่มาของการปล่อยนกปล่อยปลา ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ( หน้า 153,156,162 ) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มอญจะมีความสัมพันธ์กับพวกพ้องมอญด้วยกันเป็นอย่างดี รักใคร่กันอย่างแน่นแฟ้นรวมทั้งกับคนไทยด้วย ไม่มีการขัดแย้งกันและไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือมอญ (หน้า 124,125) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชีวิตความเป็นอยู่แต่เดิมของมอญจะอยู่กันอย่างเรียบง่าย มีวัฒนธรรมเป็นของตนเองมีความสัมพันธ์กันแบบพี่น้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันแต่ต่อมาวิถีชีวิตของมอญบ้านลัดเกร็ดได้เปลี่ยนแปลงไป สาเหตุก็มาจากการอยู่ใกล้กับเมืองหลวงทำให้ได้รับความเจริญจากภายนอกเข้าสู่ชุมชนอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ด้านสาธารณูปโภค เครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็เข้ามาอย่างมากมายจากแต่เดิมไปไหนมาไหนจะเดินไป แต่ปัจจุบันก็จะใช้ยวดยานพาหนะแทนการเดินเท้า มีการรับรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์มากขึ้น มอญจึงซึมซับเอาวัฒนธรรมและค่านิยมตามแบบอย่างของคนไทยในทุกด้าน แต่เดิมเคยประกอบอาชีพทำเครื่องปั้นดินเผา ปัจจุบันก็หันไปประกอบอาชีพรับราชการ ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้วิถีชีวิตของมอญเปลี่ยนแปลงไปเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ประเพณีที่ยึดถือและปฏิบัติมาแต่สมัยโบราณก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป มีการรับวัฒนธรรมและประเพณีบางอย่างจากคนไทย ส่งผลทำให้วิถีชีวิตทางสังคมของมอญกับคนไทยมีลักษณะคล้ายคลึงกันจนแยกไม่ออกเพราะพวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันมานาน ถึงแม้ว่าวัฒนธรรมของมอญจะเปลี่ยนแปลงไปแต่มอญบ้านลัดเกร็ดยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นมอญไว้ได้อย่างดีในระดับหนึ่ง ( หน้า 70-73 ) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงที่ตั้งจังหวัดนนทบุรี ( หน้า 45 ) ภาพแสดงที่ตั้งตำบลเกาะเกร็ดและพื้นที่การศึกษา ( หน้า 46 ) แผนที่แสดงที่ตั้งบ้านเรือนของชาวมอญบ้านลัดเกร็ด หมู่ 1 ต. เกาะเกร็ด อ. ปากเกร็ด จ. นนทบุรี ( หน้า 47 ) |
|
|