|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยลื้อ,การเล่าเรื่อง,oral narrative,การขับ,chanting,เชียงราย |
Author |
John F. Hartmann |
Title |
Linguistics and Memory Structures in Tai-Lue Oral Naratives |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
211 |
Year |
2527 |
Source |
Department of Linguistics Research School of Pacific Studies.The Australian National University |
Abstract |
การศึกษาการเล่าเรื่องปากเปล่าของไทลื้อนี้ต้องการศึกษาความเกี่ยวข้องกันระหว่างความจำกับความคิดสร้างสรรค์ โดยวิเคราะห์กระบวนการเล่าเรื่องด้วยการเปรียบเทียบภาษาไทลื้อกับไทถิ่นอื่น ๆ ข้อมูลบทขับลื้อที่ใช้ศึกษามาจากผู้ขับไทลื้อ 2 คนที่มีอายุต่างกัน ผลการศึกษาพบว่า ความจำและความคิดสร้างสรรค์ในการขับของไทลื้อเกี่ยวข้องกันโดยจะแสดงให้เห็นในโครงสร้างของบทขับ ได้แก่ การซ้ำคำ (replicated) การเชื่อมส่วนย่อยเข้าโครงสร้างใหญ่ บทขับของผู้ขับที่อายุมากกว่าซึ่งสามารถจำเนื้อเรื่องได้ดีมีการจัดระเบียบคำที่ชัดเจนและมีหลักเหตุผลในการดำเนินเรื่อง |
|
Focus |
ศึกษาเปรียบเทียบกระบวนการเล่าเรื่อง (oral narratives) ของไทลื้อซึ่งมีลักษณะเป็นการร้อง (chant) เรียกว่า "ขับลื้อ" โดยมีการนำเสนอเนื้อหาออกเป็น 2 ภาคคือ ภาคแรกนำเสนอเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของภาษาลื้อกับภาษาอื่น ๆ ในตระกูลภาษา "ไต" และเปรียบเทียบระบบเสียงและระบบวากยสัมพันธ์ (syntax) ในภาษาลื้อกับภาษาตระกูล "ไต" อื่น ๆ ส่วนภาคที่สอง เป็นเรื่องบทบาทการจัดระเบียบภาษา ความจำและความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ในการเล่าเรื่องในรูปของ "การขับ" ของลื้อ |
|
Theoretical Issues |
Hartmann สนใจประเด็นความเกี่ยวข้องกันระหว่างความจำและความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ในการเล่าเรื่องชนชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับแรงจูงใจจากงานศึกษาประเพณีการเล่าเรื่องในยูโกสลาเวียของ A. B. Lord (1960) ซึ่งมองการร้องเล่าเรื่องว่าเป็นการด้น (improvisation) คือ ต้องคิดสร้างสรรค์ในระหว่างการร้องเล่าเรื่อง บนข้อสมมุติฐานว่า ผู้ร้องไม่สามารถหรือไม่ได้ใช้ความจำในการร้องเพลง หากต้องเรียนรู้การสร้างถ้อยวลี (น. 2) แต่ Hartmann เห็นว่าในประเพณีการเล่าเรื่องของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความจำและความคิดสร้างสรรค์มีความเกี่ยวข้องกัน และเนื่องจากการขับลื้อเป็นพฤติกรรมวจนภาษา (a form of verbal behaviour) เขาจึงอาศัยมุมมองการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาภาษาศาสตร์ ศึกษาเปรียบเทียบผู้ขับสองคนในบริบทของภูมิวัฒนธรรม (น. 1) ในภาคแรก ผู้เขียนได้เสนอข้อถกเถียงต่าง ๆ ของนักภาษาศาสตร์เกี่ยวกับภาษาไทถิ่นต่าง ๆ เช่น Fang-Kuei Li, William J. Gedney, J. Marvin Brown, G. A. Grierson เป็นต้น เพื่อสรุปว่า ภาษาไทลื้ออยู่ในสาขากลุ่มไทใต้ - ตะวันตกของภาษาตระกูลไท (น. 7-12) และได้เปรียบเทียบระบบเสียงของภาษาลื้อกับภาษาไทยใหญ่ในรัฐฉาน ไทขาว ไทขึน ภาษาไทยกรุงเทพ ภาษาถิ่นนครศรีธรรมราช ภาษาถิ่นโคราช และไทลื้อที่พูดกันในเมืองต่าง ๆ เช่น เมืองยองในประเทศพม่า จังหวัดเชียงใหม่ในประเทศไทย (น.17-40) และยังแสดงให้เห็นว่า แม้ว่าในบริเวณสิบสองปันนาซึ่งเป็นถิ่นที่มีลื้ออยู่หนาแน่นก็ยังมีความแปรผันในภาษาไต ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 เขตใหญ่โดยดูจากการผันแปรเสียงพยัญชนะ คือ บริเวณที่หนึ่ง ลักษณะแบบลื้อเชียงรุ่ง บริเวณที่สอง ลักษณะแบบ "ชาน" บริเวณที่สาม ลักษณะผสมระหว่างลื้อกับชาน (น.41-43) นอกจากนี้ Hartmann ได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคำ โดยดูคำที่ใช้ตั้งคำถาม (question particles) คำบุรุษสรรพนาม คำในระดับข้อความ (discourse level particles) (น.48-56) และเสนอว่าภาษาไทลื้อมีความใกล้ชิดกับภาษาไทย (Siamese) ภาษาไทยใหญ่ (Shan) และภาษาลาว (น. 56) ในภาคที่สองเป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบบทขับ (oral text) 2 บทระหว่างผู้ร้องที่อายุมากคนหนึ่งและอายุน้อยกว่าอีกคนหนึ่ง เพื่อดูความจำและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งผลปรากฏว่า บทขับของผู้ขับที่มีอายุมากกว่ามีรูปแบบการจัดระเบียบคำที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการใช้ศัพท์ และมีหลักเหตุผลในการดำเนินเรื่อง แต่ผู้ขับที่อายุน้อยกว่าไม่สามารถจะจัดระเบียบหน่วยย่อยต่าง ๆ เป็นหน่วยที่ใหญ่ได้อย่างชัดแจ้ง ภาษาบทขับของเขาแสดงถึงความไม่สามารถในการสร้างความต่อเนื่องที่เป็นเหตุเป็นผล ระหว่างเหตุการณ์ต่าง ๆ กับความคิดได้ชัดเจน (น. 2) ในการวิเคราะห์ดังกล่าว Hartmann ดูความสัมพันธ์ระหว่างรูป (form) หน้าที่ (function) และความหมาย (meaning) โดยใช้ทฤษฎีต่าง ๆ เช่น "tagmemics-inspired model" "pragmatics of discourse" "conversational implicature" และแนวคิดของ Chomsky (น.3) และ Hartmann ได้สรุปว่า ความจำในการเล่าเรื่องของลื้อมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล (น.2) และความจำถูกรักษาไว้โดยผ่านการจัดระเบียบคำ (น.4) การเปลี่ยนแปลงหรือการตกแต่งเล็กน้อยในระหว่างการเล่าเรื่องก็อาจจะเป็นการสร้างสรรค์แบบหนึ่ง (น.192) ซึ่งมีความแตกต่างไปจากแนวคิดของ Lord (น.4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาลื้อเป็นภาษาถิ่นในตระกูลภาษา "ไต" ซึ่งมี 3 สาขา คือ ทางเหนือ ทางตอนกลาง และทางตะวันตกเฉียงใต้ โดยที่ภาษาลื้อถูกจัดว่าอยู่ในสาขาทางตะวันตกเฉียงใต้ |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นการศึกษาที่ใช้เอกสารและศึกษาภาคสนามที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายในปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) (น.V) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
ไม่ได้กล่าวถึงแบบแผนการตั้งถิ่นฐานชัดเจน แต่กล่าวถึงบริเวณถิ่นอาศัยของลื้ออย่างคร่าว ๆ ว่า เชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงเก่าของลื้อ ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ปัจจุบันคนไทลื้อตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในเมืองยอง ประเทศพม่า ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ประเทศไทย ในเมืองสิงห์ เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว รวมไปถึงทางตอนเหนือของเวียดนามที่เมือง Binh Lue และบริเวณชายแดนของจีน บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำดำ (น.6) |
|
Belief System |
มิได้กล่าวถึงโดยตรง แต่ก็เกี่ยวข้องบ้างในประเด็นความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างโลกตามคติฮินดู-พุทธ ซึ่งถ่ายทอดกันโดยการร้องขับ ข้อความในการขับจะกล่าวถึงการทำลายล้างโลกว่า เมื่อปรากฏดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นจากหนึ่งดวงเป็นสองดวง การสร้างโลกตามคติฮินดู-พุทธ ซึ่งถ่ายทอดกันโดยการร้องขับ ข้อความในการขับจะกล่าวถึงการทำลายล้างโลกว่า เมื่อปรากฏดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นจากหนึ่งดวงเป็นสองดวง โลกมีสภาพเป็นอย่างไร มนุษย์ประสบความทุกข์ยากอย่างไร การปรากฏดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นทีละดวง ๆ จนครบ 7 ดวง ทำให้น้ำเหือดแห้ง ต่อมาก็เกิดไฟประลัยกัลป์ล้างโลก แล้วก็เกิดลมพายุใหญ่พัดล้างโลกและสวรรค์ แล้วก็เกิดน้ำท่วมโลกเป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์แต่ละดวงจะปรากฏเพิ่มขึ้นนั้นนานนับหมื่นปี และหลังจากที่โลกถูกทำลายล้างหมดแล้ว ก็เกิดโลกขึ้นใหม่ มีพื้นดิน แล้วก็ค่อย ๆ เกิดสรรพสิ่งบนพื้นดิน จนกระทั่งมีต้นกำเนิดมนุษย์คือ ปู่สังกะสาย่าสังกะสี |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
การสร้างโลกตามคติฮินดู - พุทธ แต่มิได้กล่าวถึงรายละเอียดของเรื่อง คือเมื่อปรากฏดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นทีละดวงจนครบเจ็ดดวง น้ำเหือดแห้ง เกิดไฟ เกิดลมพายุใหญ่ทำลายล้างโลก แล้วก็เกิดชีวิตขึ้นใหม่บนโลก เกิดมนุษย์ขึ้นจากเทวดาที่กินง้วนดิน |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เกี่ยวข้องในประเด็นการเปรียบเทียบภาษาไทลื้อกับภาษาไทถิ่นต่าง ๆ การวิเคราะห์บทที่ 3 แสดงเป็นนัยให้เห็นอัตลักษณ์ของไทลื้อในแง่ภาษา นักมานุษยวิทยาพบว่า ในบริเวณภาษาเขตที่หนึ่งลักษณะแบบลื้อเชียงรุ่ง และบริเวณภาษาเขตที่สองลักษณะแบบ "ชาน" ผู้พูดจะมองตนเองเป็นคนลื้อบ้าง ไทยใหญ่ (Shan) บ้างหรือบางทีก็เป็นไทเหนือ (Tai Neua) (น.43) และในบทที่ 7 ซึ่งวิเคราะห์รูปแบบการร้องในภาษาไทถิ่นต่าง ๆ มีประเด็นที่แสดงลักษณะร่วมกันของคนไทว่า การขับเพลงโต้ตอบกันเป็นศิลปะการขับเพลงที่แพร่หลายและเป็นพื้นฐานร่วมกันของคนไท (น.76) และขณะเดียวกัน ในศิลปะการขับที่มีร่วมกันก็ใช้แสดงความต่างกันของกลุ่มด้วย โดย Hartmann กล่าวว่า ลักษณะทางชาติพันธุ์อย่างหนึ่ง (one ethnic emblem) ที่อาจจะแยกผู้คนที่มองตนเองว่าเป็นคนลื้อออกจากเพื่อนบ้านที่มีภาษาและวัฒนธรรมเหมือนกันกับตน อาจจะเป็นความจงรักภักดีเชิงอารมณ์ความรู้สึก (the emotional allegiance) ที่พวกเขามีต่อวรรณกรรมปากเปล่า (their distinctive oral literature) ได้แก่ การขับลื้อ. ความแตกต่างระหว่างกลุ่มนี้ อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยใช้วรรณกรรมปากเปล่าของพวกเขาเป็นการแบ่งแยกลักษณะคุณสมบัติของกลุ่ม (น.77) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่ 1 : แสดงบริเวณพื้นที่ของชาวลื้อ (น.13) แผนที่ 2: แสดงถิ่นที่พูดภาษาตระกูลไตในบริทิชอินเดีย (น.14) แผนที่ 3: การแบ่งเขตปกครองดินแดนบนฝั่งแม่น้ำโขงของฝรั่งเศส 'Laos Occidental' และ Laos oriental' - Mission Pave(1930(น.15) แผนที่ 4: แสดงบริเวณเขตภาษาลื้อ 3 เขตใหญ่ที่ศึกษาโดย Gedney (1964) และ Li(1964) (น.16) แผนที่ 5: แสดงการเปลี่ยนแปลงเสียง(isoglosses)จากเสียง *d ในภาษาแม่(Proto-Tai)มาเป็นเสียง t และ th ในภาษาไตปัจจุบันตามลำดับ (น.32) แผนที่ 6: แสดงความแตกต่างของความยาวเสียงสระระหว่างเหนือกับใต้ (น. 38) แผนที่ 7: บริเวณเขตภาษาถิ่น 3 เขตใหญ่ในสิบสองปันนา (น.42) แผนที่ 8: จุดต่างๆ ในสิบสองปันนาที่มีสระเสียงสั้น-ยาวต่างกันระหว่างคนหนุ่ม วัยกลางคนและคนแก่ (น.44) |
|
|