|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอญ,ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน,การทำโลงมอญ,พระประแดง,สมุทรปราการ |
Author |
สุพิศวง ธรรมพันทา, กฤช เจริญน้ำทองคำ |
Title |
วัฒนธรรมมอญพระประแดง : กรณีศึกษาศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน การทำโลงมอญ พระประแดง สมุทรปราการ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มอญ รมัน รามัญ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
132 |
Year |
2546 |
Source |
สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุมความเป็นมาของมอญพระประแดง วัฒนธรรม ความเชื่อ และประเพณี ศิลปะพื้นบ้าน โดยเฉพาะการทำโลงศพมอญพระประแดง ซึ่งยังคงพบเห็นได้ในปัจจุบัน โดยมีพิธีกรรมต่างๆ เป็นสะพานเชื่อมโลกนี้กับโลกหน้า และระหว่างคนในชุมชน หัตถกรรมพื้นบ้านการทำโลงมอญเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมอญพระประแดง เพราะรูปทรงและลวดลายที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากโลงศพอื่น ปัจจุบัน การทำโลงมอญสกุลช่างปากลัด (โลงมอญน้ำจืด) ช่างผู้สืบทอดงานเหลือเพียงสองท่าน โลงมอญสกุลช่างปากลัดประกอบจากงานไม้และงานกระดาษเป็นหลัก ขั้นตอนเริ่มจากการทำตัวโลงและการตกแต่งทั้งตัวโลง ฝาโลง และการทำและตกแต่ง "ยอดครู" ใช้เวลาทำไม่น้อยกว่า 1-2 เดือน ใช้ลวดลายตกแต่งประมาณ 20-30 ลาย ตัวโลงเจาะช่องหน้าต่าง เรียกว่า ลายขุนแผนเปิดม่าน ส่วนที่สำคัญคือส่วน "ยอดครู" เพราะถือว่าเป็นที่อยู่ของครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการทำโลงมอญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ช่างประยุกต์ใช้วิธีง่ายและประหยัดเวลาในการทำโลงมากขึ้น และคนมอญนิยมโลงมอญมากกว่าก่อน |
|
Focus |
ความเป็นมาทางสังคมและวัฒนธรรม ของชุมชนมอญพระประแดง เน้นการทำโลงมอญพระประแดง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ (หน้า ค) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มอญ ชุมชนมอญพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ "มอญ" เป็นชนเผ่ามองโกลลอยด์ (Mongoloid) มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตะวันตกของประเทศจีน และเคยมีดินแดนอยู่ทางตอนล่างของพม่า เรียกว่า "รามัญเทศ" หรือ รามัญประเทศ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
มอญมีภาษาพูดอยู่ในตระกูล มอญ-เขมร (Mon- Khmer) แต่เดิมมอญที่อพยพเข้ามาอยู่บริเวณพระแดง สมุทรปราการ สื่อสารกันด้วยภาษามอญในชีวิตประจำวัน ส่วนภาษาเขียนได้เรียนจากวัดโดยมีพระเป็นผู้สอน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปโอกาสการใช้ภาษามอญน้อยลง การใช้ภาษามอญทั้งพูดและเขียนมีน้อยลง โดยคงเหลือการศึกษาภาษามอญอยู่ที่วัดอาษาสงคราม (หน้า 1-2) เด็กรุ่นใหม่ในชุมชนมอญพูดภาษามอญไม่ได้แล้ว เพราะใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน (หน้า 16) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระบุปีที่วิจัยว่าอยู่ในระหว่างปี พ.ศ.2543-2545 งานศึกษามีการค้นคว้าจากข้อมูลเอกสารบางส่วน และการศึกษาภาคสนาม (หน้า ค) มีการร่วมงานทำโลงศพมอญ ณ วัดทรงธรรมวรวิหาร พระประแดง ได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้รู้และผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน โดยช่วงเวลาศึกษาอยู่ระหว่างเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2543 ถึง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2545 (หน้า 58) |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานจารึกกัลยาณี มอญ ซึ่งเรียกตัวเองว่า "รามญเทส" หรือ รามัญประเทศ แต่ชาวพม่าเรียกมอญว่า ตะเลง (Talaing) มอญอพยพมาจากจีนเข้าสู่ชายแดนพม่าตั้งแต่ 1000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งแยกการเดินทางออกเป็น 2 สาย คือ สายหนึ่งลงมาทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอาณาจักรทวารวดีรุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่ 6-17 และอีกสายหนึ่งลงมาตามแม่น้ำอิรวดี และได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของพม่า มีอาณาเขตไปถึงเมืองทวาย มีศูนย์กลางของอาณาจักรคือเมืองสุธรรมวดี หรือเมืองสะเทิม (Thaton) ในปัจจุบันอยู่บริเวณปากแม่น้ำสะโตง (Sitong) ในเขตเมืองเมาะตะมะ ( Martabam) มอญเป็นดินแดนโพ้นทะเลที่ได้รับอารยธรรมจากอินเดียในราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล ทำให้มีวัฒนธรรมในระดับสูงกว่าอาณาจักรอื่น ๆ เช่น มอญรู้จักการเพาะปลูก และจัดการชลประทาน แต่อาณาจักรถูกรุกรานโดยราชวงศ์พุกาม ซึ่งมีพระเจ้าอะโนระทามังช่อเป็นกษัตริย์ในปี พ.ศ. 1057 และถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่าเป็นเวลานาน จนถึงในปี พ.ศ.1830 มอญได้ประกาศอิสรภาพคืนเพราะพม่าพ่ายแพ้ต่อมองโกล ยุคนี้เป็นยุคเฟื่อฟูของมอญ โดยเฉพาะมีความเจริญทางการค้า แต่มาสิ้นสุดลงในปี พ.ศ.2094 โดยพม่าในยุคของพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2283 มอญได้ประกาศอิสรภาพและขยายอาณาจักรไปทางเหนือ โดยมีฮอลันดาและโปรตุเกสเข้าช่วย แต่ท้ายที่สุดก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าในสมัยพระเจ้าอลองพญาในปี พ.ศ.2300 (หน้า 122-123) ภายหลังมีการอพยพเข้ามาประเทศไทย อยู่หนาแน่นแถบภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัด นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ หลังจากสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ ใน พ.ศ. 2358 รัชกาลที่ 2 ทรงโปรดให้ครอบครัวมอญจากเมืองปทุมธานีที่อพยพเข้ามาในสมัยพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งนำโดยพระยาแจ่ง ต้นตระกูล คชเสนี เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เมืองนครเขื่อนขันธ์ ซึ่งคือพระประแดงในปัจจุบัน (หน้า 1-2,7-9) |
|
Settlement Pattern |
มอญนิยมใช้ชีวิตอยู่ใกล้ริมน้ำ การปลูกเรือนจะปลูกขวางแม่น้ำ โดยจั่วบ้านหันไปทางแนวเหนือใต้ ทำให้มองเห็นบ้านเรือนขวาง คนทั่วไปเรียก "มอญขวาง" ตัวบ้านทำเป็นโครงสูง ใช้สำหรับประกอบอาชีพ พิธีกรรม และการละเล่นพื้นบ้าน มอญจะกระจายตัวตั้งหมู่บ้านและเรียกชื่อหมู่บ้านตามสภาพแวดล้อม และเรียกชื่ออยู่เช่นเดิมในพม่า (หน้า 11 ) |
|
Demography |
ไม่ได้ระบุชัดเจนสำหรับข้อมูลประชากร แต่กล่าวถึงการอพยพของมอญเข้าสู่ประเทศไทยไว้ โดยเริ่มตั้งเเต่สมัยอยุธยา ถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีการจดบันทึกทั้งหมด 11 ครั้ง โดยสมัยอยุธยา 8 ครั้ง สมัยกรุงธนบุรี 1 ครั้ง และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 2 ครั้ง (หน้า 126-129) ส่วนอำเภอพระประแดงมีประชากร 204,590 คน 69,207 ครัวเรือน (หน้า 20) |
|
Economy |
ในอดีตมอญมีอาชีพทำนาและเพาะปลูกพืชเล็กๆ น้อยๆ แถบอำเภอบางพลี อำเภอบางบ่อ เขตมีนบุรีและลาดกระบัง ในยามว่างจากการทำนาจะอยู่บ้านสานเสื่อกกเป็นงานอดิเรกประะมาณระหว่างเดือนสิงหาคม กันยายน และเดือนกุมภาพันธ์ ถึงพฤษภาคม การสานเสื่อมีความสำคัญกับมอญเพราะเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตและสำหรับใช้ในงานประเพณี ปัจจุบันชาวนาได้ขายที่นาและทิ้งอาชีพเดิมหันมาประกอบอาชีพอื่นทำให้อาชีพทำนาและการสานเสื่อจากหายไปจากชุมชนมอญพระประแดง (หน้า 15-16) |
|
Political Organization |
ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่บอกว่าอำเภอพระประเเดงมีรูปแบบการปกครอง 3 เเบบคือ - องค์การบริหารส่วนตำบล มี 6 ตำบล - การปกครองแบบเทศบาลเมือง มี 1 เทศบาล - การปกครองแบบเทศบาลตำบล มี 2 เทศบาล รวมองค์กรการปกครองเป็น 15 ตำบล 177 หมู่บ้าน 69,207 ครัวเรือน (หน้า 20) |
|
Belief System |
มอญพระประแดงนับถือศาสนาพุทธควบคู่กับการนับถือผี ผีที่มอญพระประแดงนับถือและมีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตคือ ผีบรรพบุรุษหรือผีเรือน และผีเจ้าพ่อ ตลอดจนมีการนับถือผีที่มีความสัมพันธ์กับระบบตระกูลหรือกลุ่มเครือญาติ (หน้า 25) ศาสนา - มอญพระประเเดงนับถือพุทธศาสนา สิ่งที่จรรโลงพุทธศาสนาให้เจริญมาจนปัจจุบันคือความรู้ด้านอักษรศาสตร์ และความสนใจพระไตรปิฎก มีการคัดลอกเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาลงในสมุดใบข่อย ใบลาน เพื่อเผยแพร่ และมีความผูกพันกับวัดในเรื่องของการทำบุญและการศึกษา วัดมีบทบาทในการศึกษาอบรมให้อ่านออกเขียนได้ และเรียนรู้เรื่องราวทางศาสนา มอญพระประเเดงนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ฝ่ายรามัญนิกาย ซึ่งเคร่งครัดมาก เช่น ในอดีตห้ามใส่รองเท้าเข้าวัด ห้ามผู้หญิงเข้าพระอุโบสถ เป็นต้น (หน้า 21 ) ความเชื่อ - มอญมีความเชื่อเรื่องผี มีผี 4 ประเภท ได้แก่ ผีเรือน ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่เสาเอกของบ้าน ผีเจ้าพ่อ จะเป็นผู้คุ้มครองคนในหมู่บ้าน ผีที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ผีต้นไม้ ผีเเม่น้ำ และ ผีร้าย ซึ่งเป็นพวกที่ตายไม่ดี มอญแต่ละกลุ่ม ต่างมีผีบรรพบุรุษหรือผีประจำตระกูลต่างกัน การนับถือผีของมอญมีความสัมพันธ์กับระบบตระกูลหรือกลุ่มเครือญาติ โดยเครือญาติในตระกูลเดียวกันต้องนับถือ และเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษที่เสาเอกของบ้านต้นตระกูล โดยต้องเป็นเชื้อสายฝ่ายชายเท่านั้น โดยมากลูกชายคนโตในตระกูลเป็นผู้รับต้นผี ถ้าไม่ใช่ลูกชายคนโต ก็อาจเป็นน้องชายหรือบุตรคนโตของน้องชาย เป็นต้น ทั้งนี้สมาชิกในสายตระกูลจะต้องเข้าร่วมพิธี ยกเว้นแต่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วออกจากตระกูลเดิม หรือตระกูลใหญ่ที่มีขนาดใหญ่มากเกินไป แล้วต้นผีไม่สามารถปกครองดูเเลทั่วถึงได้ ปัจจุบันมอญไม่สะดวกที่จะปฏิบัติตาม จึงมีพิธีปล่อยผี (หน้า 23-25) ประเพณี- มอญพระประเเดงมีประเพณีที่เเบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือประเพณีเกี่ยวกับชีวิต และประเพณีชุมชน - ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต เป็นเสมือนการรับรองสถานภาพใหม่ของบุคคลให้สังคมทราบและเป็นแนวปฏิบัติทางสังคม หรือบรรทัดฐานของสังคมมอญ โดยใช้ความเชื่อและความศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องรับรอง โดยอ้างถึงพุทธศาสนาและผีบรรพบุรุษ เช่น ประเพณีการเกิด ประเพณีการบวช ประเพณีการแต่งงาน และประเพณีการตาย เป็นต้น (หน้า 27-29) - ประเพณีของชุมชน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนในชุมชนมีความสามัคคีกัน เช่น ประเพณีสงกรานต์พระประแดง ประเพณีส่งข้าวสงกรานต์ ประเพณีสรงน้ำพระขอพรผู้ใหญ่ ประเพณีเล่นสะบ้า ประเพณีเล่นทะเเยมอญ ประเพณีแห่ธงตะขาบ ประเพณีการตักบาตรน้ำผึ้ง ประเพณีการเติมน้ำมันตะเกียงเรือสำเภา ประเพณีการรำเจ้าพ่อเจ้าเเม่เป็นต้น โดยภาพรวมวัฒนธรรมชุมชนพระประแดง มีความคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมมอญ ในท้องถิ่นอื่น ๆ (หน้า 29-39) ประเพณีงานศพของมอญพระประแดง แบ่งการตายออกเป็น 2 ประเภท คือตายดี และตายไม่ดี ตายดีผู้ตายต้องเป็นผู้สูงอายุ ตายด้วยโรคชรา หรือเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยและต้องตายในบ้านตน หากตายนอกบ้าน มอญห้ามนำศพเข้าบ้าน - ศพคนตายทั้งกลม การเลี้ยงพระห้ามทำในบ้าน มิฉะนั้น จะเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ขณะที่สามีเดินแบกดาบนำหน้าขบวนศพไปป่าช้า สามีจะต้องพูดว่า "เธอได้ตายจากไปแล้ว โดยเสื้อผ้าของเธอก็เอาไปให้ทั้งหมด อย่ากลับมาเข้าบ้านเข้าเมือง อย่าได้มาหลอกหลอน อย่ากลับไปบ้าน อย่ามาขอเสื้อผ้า ลูกของเธอก็ร่วมกับเธอไปแล้ว" (หน้า 41-42) - ศพเด็ก ถ้าอายุไม่ถึง 10 ปี ห้ามมีการสวดอภิธรรมและห้ามเผาศพถ้าฝ่าฝืนเจ้าของบ้านจะได้รับโทษ อายุจะสั้น เกิดโรคร้ายภูตผีจะทำร้าย หากต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทำนอกบ้าน - ศพคนตายด้วยโรคลมบ้าหมู โรควิกลจริตและโรคบวม ห้ามเผาศพ ห้ามเลี้ยงพระในบ้าน ให้ข้าวสารเป็นบุญทานได้ - คนตกต้นไม้ หรือผูกคอตาย ห้ามอาบน้ำศพ ห้ามรับของช่วยเหลือ เลี้ยงพระและให้ศีลมิได้ ถ้าคนตายไม่ตกลงมาต้องให้คนชรา หรือคนนุ่งขาวขึ้นไปตัดเชือกโดยใช้เสื่อรองรับ ห้ามญาติพี่น้องอยู่ใกล้ศพเวลาศพหล่นลงมา ห้ามพูดคุยกัน ห้ามร้องไห้ การจัดศพให้ทำกรณีเดียวกับคนถูกฟ้าผ่าตาย ถ้าไม่กระทำตาม ญาติพี่น้อง 7 ชั่วโคตรจะได้รับเภทภัย ยากจน อายุสั้น - ศพคนจมน้ำตาย ห้ามรับของช่วยเหลือ ห้ามสวดอภิธรรม ห้ามเลี้ยงพระที่บ้าน ต้องพ้น 7 วันหรือ 1 เดือนไปแล้ว จึงทำได้ แต่สามรถผูกข้อมือและเท้าศพได้ รวมทั้งศีลได้ นอกจากนี้ยังมีประเพณีการทำโลงมอญ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่มอญเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เมืองนครเขื่อนขันธ์ (หน้า 58-59) โดยจะบรรจุศพที่แห้ง เดิมใช้บรรจุพระภิกษุ ปัจจุบันจะใช้บรรจุศพผู้ที่มีความเคารพนับถือ การทำโลงมอญและปราสาทมอญนั้น มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางพุทธศาสนา และความเชื่อ ค่านิยม ความกตัญญูกตเวที เป็นการยกย่องเกียรติภูมิของผู้ตาย ( หน้า 114,116) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของมอญจะคล้ายคลึงกับคนไทยในปัจจุบัน แต่จะมีการเรียนการสอนภาษามอญที่วัดอาษาสงคราม (หน้า 20) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การทำโลงมอญและปราสาทมอญ การทำโลงมอญเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติมอญอย่างเด่นชัด ซึ่งประดิษฐ์จากภูมิปัญญาของมอญ มีความประณีตงดงาม โดยเเบ่งเป็น 2 สกุลช่าง คือ สกุลช่างปากลัด (พระประแดง) และสกุลช่างสมุทรสาคร สกุลช่างปากลัด เรียกว่า "โลงน้ำจืด" ส่วนสกุลช่างสมุทรสาคร เรียกว่า "โลงน้ำเค็ม" ซึ่งเรียกตามภูมิประเทศที่ตั้งของชุมชน โลงมอญของทั้งสกุลช่างมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ต่างกันเพียงลวดลายที่ตกแต่ง (หน้า 58-60) ปัจจุบัน การทำโลงมอญสกุลช่างปากลัด (โลงมอญน้ำจืด) ช่างผู้สืบทอดงานเหลือเพียง 2 ท่าน โลงมอญสกุลช่างปากลัดประกอบจากงานไม้และงานกระดาษเป็นหลัก ใช้เวลาการทำไม่น้อยกว่า 1-2 เดือน ขั้นตอนเริ่มจากการทำตัวโลง การตกแต่งทั้งตัวโลง ฝาโลง และ การทำและตกแต่ง "ยอดครู" ซึ่งต้องใช้ลวดลายประมาณ 20-30 ลาย ตัวโลงเจาะช่องหน้าต่างเรียกว่า "ลายขุนแผนเปิดม่าน" ส่วนที่สำคัญคือส่วนที่เป็นยอดครู เพราะถือว่าเป็นที่อยู่ของครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการทำโลงมอญ การทำยอดครูสกุลช่างปากลัดนั้นทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน โลงมอญยังแฝงด้วยการสอนธรรมจากการอุปมา เช่น ลายกระจังที่ตกแต่งฝาโลงมอญ หมายถึงอาการ 32 ของมนุษย์ หน้าต่างด้านหน้า 6 บานหมายถึง อายตนะ 6 เป็นต้น (หน้า ค,111) การทำปราสาทมอญเป็นการเทียบได้กับการส่งวิญญาณให้ไปสถิตอยู่แดนเทพสวรรค์ การทำโลงมอญกับปราสาทมอญเป็นการแสดงพลังวัฒนธรรมมอญ เพราะเป็นกิจกรรมรวมศูนย์ของมอญที่เเสดงถึงภูมิปัญญาทางศิลปกรรม และคุณค่าของวัฒนธรรมมอญที่ลูกหลานได้สืบต่อกันมาก (หน้า 57 ) ลักษณะปราสาทมอญ มีตั้งแต่ปราสาทครึ่งท่อน ปราสาท 1 ยอด ปราสาท 5 ยอด จนถึงปราสาท 9 ยอด (หน้า 112,ภาพประกอบปราสาทมอญ หน้า 112-113) การแต่งกาย ในอดีตมอญมีเอกลักษณ์การแต่งกายของตน การแต่งกายของสตรีและบุรุษมอญ มี 2 แบบคือ ชุดสามัญและชุดไปงาน ชุดสามัญหญิง สวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งผ้าถุงคาดเข็มขัด ชุดเทศกาลจะสวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งผ้าถุงใช้เข็มขัดมีค่าคาดเอวและเกล้าผมมวย สวมเครื่องประดับ ชุดสามัญชาย สวมเสื้อคอกลมสีขาว ผ้าขาวม้าพาดบ่า นุ่งกางเกงขาก๊วยหรือโสร่งลายตาราง ชุดงานเทศกาลใส่ผ้าลายสีสดหรือผ้าโสร่ง เสื้อลายดอก ห่มผ้าสไบพาดบ่าสองข้าง และจะนุ่งผ้าลอยชาย ปัจจุบัน สามารถพบการแต่งกายแบบสามัญของมอญในหมู่ผู้สูงอายุ ส่วนการแต่งกายแบบไปงานจะพบในเทศกาลต่าง ๆ โดยเฉพาะประเพณีสงกรานต์ (หน้า 16) |
|
Folklore |
มอญพระประเเดงมีนิทานเกี่ยวกับที่มาของความเชื่อเรื่องผี มีทั้งนิทานและตำนานที่มาจากความเชื่อ ตำนานที่ผู้วิจัยกล่าวถึงนั้นเกี่ยวข้องกับศาสนา อย่างเช่น ตำนานของความเชื่อเรื่องผีว่า ในสมัยบรรพกาลมีเศรษฐีอยู่ผู้หนึ่ง มีภรรยา 2 คน ภรรยาหลวงได้ฆ่าภรรยาน้อยตายเพราะความริษยา ครั้นเมื่อทั้งสองตายไปแล้วก็อาฆาตจองเวรกันและกินลูกของอีกฝ่ายหนึ่งสลับกันไปแต่ละชาติ ในที่สุดอีกฝ่ายก็ไปเกิดเป็นผี อีกฝ่ายเกิดเป็นมนุษย์และมีลูกด้วย ฝ่ายผีก็ไล่ตามจะกินลูกมนุษย์ ฝ่ายมนุษย์จึงหนีไปขอพึ่งพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงเทศนาโปรดให้ผีตัวนั้นเห็นโทษของการจองเวร นับแต่นั้นทั้งสองจึงเลิกจองเวรกัน และนางผีก็ได้ไปอยู่กับนางมนุษย์ ได้ช่วยเหลือนางมนุษย์จนบังเกิดผลดีมีโภคทรัพย์มั่นคง เป็นผลให้ข้าวปลาอาหาร พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ (หน้า 23) นอกจากนี้ก็ยังมีนิทานเรื่องการปล่อยนกปล่อยปลา มีภิกษุรูปหนึ่งล่วงรู้ชะตาของสามเณรที่กำลังจะสิ้นอายุขัย จึงให้ลากลับไปหาบิดามารดา ระหว่างทางสามเณรพบปลาอยู่ในหนองน้ำแห้งขอดจึงจับไปปล่อยลงแหล่งน้ำ อานิสงนี้ทำให้สามเณรมีชีวิตรอดต่อมา (หน้า 32-33) หรือตำนานการตักบาตรน้ำผึ้งซึ่งกลายเป็นประเพณี เล่าถึงผู้หญิงที่ถูกขายเป็นบ่าวขัดดอก 7 ปี ขณะเดินทางกลับบ้านก็เห็นภิกษุรูปหนึ่งอุ้มบาตรที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้ง ทำให้บาตรลื่น นางจึงถวายผ้ารองบาตรให้ไม่ลื่น ส่วนอีกตำนานว่า ในสมัยพระพุทธเจ้า ทรงพุทธอนุญาตให้ภิกษุฉันอาหารที่มีประโยชน์ที่ถือเป็นเภสัชทานในช่วงฤดูฝน ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำอ้อย และน้ำผึ้ง (หน้า 37-38) การแข่งลูกหนูของมอญ ในงานศพพระสงฆ์เชื่อว่านำมาจากตำนานสมัยพุทธกาลว่า เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว พระสงฆ์ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดต่างมาร่วมงานเพื่อเตรียมเผาพระบรมศพ แต่ขาดพระอรหันต์รูปหนึ่งคือพระกัสสปะ จึงตกลงกันว่ารอให้พระกัสสปะมากราบเคารพพระบรมศพก่อน เมื่อพระกัสสปะมาถึงจึงเข้าไปกราบ โดยมีปาฏิหาริย์คือเห็นพระบาทที่ยื่นออกมาให้กราบ เมื่อกราบเสร็จปรากฏมีพระเพลิงลุกขึ้นลอยมายังพระบรมศพโดยมิได้มีใครจุดไฟ (หน้า 52) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีตมอญมีอาชีพทำนาและเพาะปลูกพืชเล็ก ๆ น้อย ๆ ในยามว่างจากการทำนาจะอยู่บ้านสานเสื่อกกเป็นงานอดิเรก เพราะเสื่อเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตและสำหรับใช้ในงานประเพณี ปัจจุบัน ชาวนาได้ขายที่นาและทิ้งอาชีพเดิมหันมาประกอบอาชีพอื่น ทำให้อาชีพทำนาและสานเสื่อจางหายไปจากชุมชนมอญพระประแดง (หน้า 15-16) เดิมทุกหมู่บ้านใช้ภาษามอญสื่อสารกัน ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ในชุมชนมอญพระประแดงไม่สามารถพูดภาษามอญได้ เนื่องจากการติดต่อกับภายนอกทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้มีความจำเป็นต้องหันมาใช้ภาษาไทยมากขึ้น (หน้า 16) โลงมอญ ปัจจุบัน มีความนิยมโลงมอญมากกว่าก่อนเพราะ การเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนมอญ ส่วนหนึ่งนำโลงมอญมาบรรจุศพของบิดามารดา ปัจจุบัน ช่างประยุกต์ใช้วิธีที่ง่ายและประหยัดเวลาในการทำโลงมากขึ้น และคนมอญมีฐานะการเงินดีขึ้นจึงทำโลงมอญได้ (หน้า 10) |
|
Map/Illustration |
- แผนที่อำเภอพระประแดง(9) - แผนที่ตำบลที่บ้านมอญอาศัย(14) - แผนที่ตั้งหมู่บ้านมอญในพระประแดง(15) |
|
|