|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มูเซอแดง,ชุมชน,การจัดการไฟป่า,เชียงราย |
Author |
สุริยา กาฬสินธุ์ |
Title |
ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนต่อการรับรู้ในการจัดการไฟป่า : ศึกษากรณีชุมชนชาวมูเซอแดง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
108 |
Year |
2539 |
Source |
หลักสูตรปริญญาสังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยาประยุกต์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
จากการศึกษาพบว่า การเกิดไฟป่าสัมพันธ์กับวัฒนธรรมชุมชนหลายอย่างที่ใช้ "ไฟ" เป็นเครื่องมือสำคัญ ได้แก่ วัฒนธรรมการตั้งถิ่นฐาน วัฒนธรรมการเกษตร และวัฒนธรรมการดำรงชีพบางอย่าง เช่น เก็บหาของป่าและล่าสัตว์ นอกจากนี้ ไฟป่ายังสัมพันธ์กับการรับรู้ของชุมชนที่สะท้อนออกมาจากโลกทัศน์ ความเชื่อ ซึ่งถือเป็นการอธิบายธรรมชาติให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม
จากการศึกษายังพบด้วยว่า ชาวชุมชนมีการจัดการไฟป่ามาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว โดยเฉพาะการเข้ามาขององค์กรพัฒนาเอกชน กฎหมายรัฐจึงทำให้ชุมชนมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้เนื่องจากชุมชนเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ชาวชุมชนบางส่วนออกไปขายแรงงานในต่างถิ่น จึงทำให้ศักยภาพในการจัดการไฟป่าของชุมชนลดลง (หน้า ก - ข) |
|
Focus |
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ไฟป่ากับปรากฏการณ์ทางสังคมของชุมชน การรับรู้ และพฤติกรรม ตลอดจนโลกทัศน์ความเชื่อของคนในชุมชนต่อปรากฏการณ์ไฟป่า และรูปแบบการจัดการไฟป่าของชุมชนชาวเขาเผ่ามูเซอแดง หมู่บ้านห้วยน้ำจัน หมู่ที่ 19 (หน้า 42) ตำบลป่าตึง (หน้า 5) อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มูเซอในประเทศไทย แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ได้ 7 กลุ่ม ได้แก่ มูเซอดำ, มูเซอแดง, มูเซอเฌเล, มูเซอบาหลา หรือมูเซอเหลือง, มูเซอบาเกียว, มูเซอลาบา, และมูเซอพูหรือมูเซอขาว แต่บางท่านกล่าวว่ามีกลุ่มที่อพยพเข้ามาเพิ่มอีก 4 กลุ่มรวมเป็น 11 กลุ่ม ที่เพิ่มมาได้แก่ มูเซอปู่โหล, มูเซอล่าเลา, มูเซอไก๋ซี, และมูเซอเวหยะ (หน้า 35) ในจำนวน 11 กลุ่ม
มูเซอแดงมีจำนวนมากที่สุด คือ มีประมาณร้อยละ 46 ของประชากรมูเซอในประเทศไทย คำเรียก "มูเซอแดง" มีความหมาย 2 นัย นัยแรกหมายถึงแถบสีแดงบนเสื้อผ้าของผู้หญิงส่วนนัยที่สองหมายถึงพรานป่า (หน้า 37) ในด้านลักษณะทางชาติพันธุ์ มูเซอจัดอยู่ในกลุ่มชนชาติตระกูลจีน - ธิเบต โดยทั่วไปมีผิวสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างล่ำสันสมส่วน ผู้ชายสูงประมาณ 5 ฟุต 5 นิ้ว ใบหน้ายาวแบน ปากกว้าง ตาดำ ผมเป็นเส้นตรงสีดำ ส่วนผู้หญิงสูงประมาณ 5 ฟุต 3 นิ้ว โครงร่างและหน้าตาบ่งชัดว่าเป็นชนเผ่ามองโกลอยด์ มีนิสัยขี้อายแต่มีความสามารถในการล่าสัตว์สูง (หน้า 37 - 38) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดของมูเซอจัดเป็นภาษาหนึ่งในตระกูลพม่า - ธิเบต หรือ จัดเป็นภาษาหนึ่งในตระกูลจีน - ธิเบต หรือ จะจัดเป็นภาษาหนึ่งในตระกูลโลโลก็ได้ ตามการจัดแบ่งของนักชาติพันธุ์วิทยาถือเป็นทำนองเดียวกับภาษาพูดของลีซอและอีก้อ อย่างไรก็ตาม ในการติดต่อระหว่างมูเซอกับกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งลีซอและอีก้อ จะใช้ภาษามูเซอเป็นภาษากลาง ส่วนภาษาเขียนของมูเซอนั้นไม่ปรากฏว่ามีอย่างชัดเจน (หน้า 38) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนธันวาคม 2538 - เมษายน 2539 (หน้า ก) |
|
History of the Group and Community |
ชนเผ่ามูเซอที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห้วยน้ำจัน อพยพมาจากประเทศพม่าเข้าสู่ประเทศไทยนานแล้ว ครั้งแรกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่หมู่บ้านเก่สาพะยา บริเวณเขตแม่สะลองใน ซึ่งมีทั้งลีซอและมูเซอแดงอาศัยอยู่ปนกัน ต่อมาได้มีจีนฮ่ออพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณเขตแม่สะลองในมากขึ้นและผู้นำหมู่บ้านเสียชีวิตลง ทั้งลีซอและมูเซอแดงจึงอพยพแยกย้ายกันไป มูเซอแดงย้ายไปทางทิศตะวันออกและตั้งหมู่ใหม่ชื่อ หมู่บ้านจะบูสี ไม่นานก็มีมูเซอเข้ามาเพิ่มอีกจนหมู่บ้านขยายใหญ่ขึ้นเป็น 40 หลังคาเรือน มูเซออาศัยอยู่ที่บ้านจะบูสีนานกว่า 20 ปีก็พากันอพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านเฮโกในปัจจุบัน มีชื่อหมู่บ้านว่า "จะคะต่อ" เนื่องจากสภาพป่าที่หมู่บ้านจะบูสีเริ่มเสื่อมโทรมลงจนขาดความสมบูรณ์
ในระยะแรกที่อพยพมาตั้งเป็นหมู่บ้านจะคะต่อ มีเฉพาะตระกูลแอแตะ ซึ่งเป็นตระกูลของผู้นำหมู่บ้านอาศัยอยู่เท่านั้น จากนั้นใน 1 ปีต่อมาจึงมีตระกูลแสนใจเข้ามาสมทบ ทั้งนี้เพราะลูกชายคนโตของนางนาเป่อ แสนใจ ได้มาแต่งงานกับลูกสาวของจะคะต่อ และต่อมาพี่น้องตระกูลแสนใจจึงย้ายมาสมทบเรื่อยๆ จากนั้นจึงมีมูเซอจากพม่าและหมู่บ้านใกล้เคียงย้ายเข้ามาเพิ่มขึ้นจนขยายเป็นชุมชนใหญ่
ต่อมาเมื่อจะคะต่อซึ่งเป็นผู้นำหมู่บ้านตายลง ชาวบ้านก็ได้พากันอพยพแยกย้ายกันไปหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่อีกครั้ง โดยมีลูกชายคนโตเป็นผู้นำมาตั้งถิ่นฐานอยู่บนสันดอย ห่างจากบ้านจะคะต่อเดิมมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 4 กม. ให้ชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านห้วยจัน" และต่อมาได้มีนกโพระดกมาร้อง ซึ่งมูเซอเชื่อว่าเป็นลางร้าย และเกิดสงครามขึ้น ชาวบ้ายจึงพากันย้ายลงมาตั้งเรือนอยู่บริเวณเชิงดอยใกล้ฝั่งน้ำฮาฮุ แต่อยู่นานเพียง 2 เดือนเมื่อสงครามสงบลง ชาวบ้านจึงย้ายกลับมาอยู่ที่เดิมจนถึงปัจจุบัน (หน้า 40 - 41) |
|
Settlement Pattern |
ดูในหัวข้อ Community Site |
|
Demography |
ปัจจุบัน (ปี 2539) หมู่บ้านห้วยน้ำจันมีจำนวนประชากรทั้งหมด 22 หลังคาเรือน 24 ครอบครัว ชาย 68 คน หญิง 62 คน รวม 130 คน โดยแบ่งเป็นช่วงอายุต่าง ๆ ดังนี้ อายุ 0 - 9 ปี ชาย 24 คน หญิง 23 รวม 47 คน อายุ 10 - 19 ปี เป็นชาย 16 คน หญิง 17 คน รวม 33 คน อายุ 20 - 29 ปี เป็นชาย 13 คน หญิง 9 คน รวม 21 คน อายุ 30 - 39 ปี เป็นชาย 5 คน หญิง 6 คน รวม 11 คน, อายุ 40 - 49 ปี เป็นชาย 5 คน หญิง 4 คน รวม 9 คน, อายุ 50 - 59 ปี เป็นชาย 4 คน หญิง 2 คน รวม 6 คน และอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นชาย 1 หญิง 1 รวม 2 คน (หน้า 55 - 56) |
|
Economy |
อาชีพหลักของชุมชน คือ เกษตรกรรม โดยเพาะปลูกพืชไร่จำพวกข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง ฯลฯ ผลผลิตที่ได้ส่วนใหญ่ใช้บริโภคภายในครัวเรือน หากมีปริมาณของผลผลิตมากพอจึงจะนำไปขาย แต่พืชบางชนิดนั้นทำการเพาะปลูกเพื่อขายโดยตรง ซึ่งในปัจจุบันต้องประสบกับปัญหาดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ทำให้การเพาะปลูกไม่ได้ผล
นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่ดินไม่เพียงพอ จึงทำให้ได้ผลผลิตต่อปีน้อยลงไม่เพียงพอต่อการบริโภคและขาย เกิดปัญหาขาดทุนและกู้หนี้ยืมสินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รายได้หลักของชุมชนยังได้มาจากการขายผลผลิตทางการเกษตรเหล่านี้และการขายสัตว์เลี้ยงต่างๆ รวมทั้งได้มาจากการขายของป่าต่างๆ ซึ่งถือเป็นอาชีพรองของชาวบ้านด้วย บางครอบครัวที่ไม่มีที่ดินทำกินหรือมีที่ดินน้อย จะยึดอาชีพหาของป่าและรับจ้างทางการเกษตรเป็นอาชีพหลัก มีรายได้เฉลี่ย 30 - 60 บาทต่อวัน
หนี้สินและการกู้ยืม : จากปัญหารายรับไม่พอกับรายจ่าย ผลผลิตไม่พอเพียงต่อการบริโภคจึงทำให้เกิดการกู้ยืมมากขึ้น การกู้ยืมมีทั้งภายในและภายนอกหมู่บ้านทั้งที่เป็นเงินและสิ่งของ แหล่งเงินกู้ที่สำคัญคือ คนจีนแม่สะลอง ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน และจากมูลนิธิพัฒนาชุมชนในเขตภูเขา ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือน โดยต้องนำเงินต้นมาคืนภายในเวลา 3 ปี บางรายติดหนี้ธนาคารข้าวของหมู่บ้านในรูปข้าวสาร ซึ่งส่วนใหญ่ติดหนี้กันครอบครัวละ 1 ถังคิดเป็นเงิน 660 บาท
ดังนั้น โดยภาพรวมแล้ว ชุมชนจึงมีฐานะค่อนข้างยากจนถึงปานกลางมีรายได้เฉลี่ยตั้งแต่ 5,000 - 10,000 บาทต่อปี ปัญหาที่สำคัญคือ มีข้าวไม่เพียงพอต่อการบริโภค ทำให้มีการกู้ยืมเงินซื้อข้าวจากภายนอก และยังมีครัวเรือนที่ยังคงมีการสูบฝิ่น จึงทำให้รายรับที่ได้มาหมดไปกับการซื้อฝิ่นมากกว่านำมาซื้ออาหาร (หน้า 62 - 63) |
|
Social Organization |
ระบบครอบครัวและเครือญาติ : รูปแบบครอบครัวของมูเซอในหมู่บ้านห้วยน้ำจันส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว มีเพียง 2 ครอบครัวเท่านั้นที่เป็นครอบครัวขยายและมักอยู่ในตระกูลของฝ่ายหญิง ตามธรรมเนียมของมูเซอที่แต่งงานแล้ว ฝ่ายชายต้องต้องไปอยู่รวมกับตระกูลฝ่ายหญิง. ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวนั้น เนื่องจากมีการแต่งงานกันระหว่างตระกูล ทั้งหมู่บ้านจึงมีความผูกพันและเป็นเครือญาติซึ่งกันและกัน ในหมู่บ้านมีตระกูลใหญ่ๆ อยู่ 4 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลแอแตะ, แสนใจ, กะเสาะ, และ แสนพู ในจำนวนทั้งหมด ตระกูลแอแตะเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลและมีบทบาทในหมู่บ้านมากที่สุด เนื่องจากตระกูลของผู้นำหมู่บ้านและเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน (หน้า 56)
นอกจากนี้ มูเซอแดงยังยึดถือระบบอาวุโสเป็นหลัก ดังนั้น ผู้อาวุโสจึงเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลในหมู่บ้านด้วย (หน้า 57)
การแต่งงานและการหย่าร้าง : มูเซอยึดถือการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว อายุของคู่แต่งงานมักมีอายุน้อย คือตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และการแต่งงานของครอบครัวหนึ่งๆ จะเป็นไปตามลำดับพี่น้อง พิธีแต่งงานมักเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีสินสอดใดๆ มีเพียงไก่และน้ำประกอบพิธีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การหย่าร้างก็เกิดขึ้นได้ง่ายด้วย คือ หากฝ่ายไหนต้องการเลิกรากันก็ให้นำเงินประมาณ 10 - 50 บาทไปเสียผีให้กรรมการหมู่บ้านก็สามารถเลิกรากันได้ (หน้า 57)
การติดต่อกับชุมชนภายนอก : การติดต่อกับโลกภายนอกของชุมชน ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของการไปรักษาพยาบาล และการซื้อขายสินค้า ซึ่งมีทั้งออกไปติดต่อด้วยตนเอง และ คนจากภายนอกเข้ามาติดต่อ เช่น มีพ่อค้าเข้ามาซื้อผลผลิต เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐและเอกชนเข้ามาพัฒนาหมู่บ้าน เป็นต้น ในปัจจุบันนี้ มูเซอในบ้านห้วยน้ำจันมีการติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น เนื่องจากการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างชุมชนนั้นมีความสะดวกมากขึ้น (หน้า 57) |
|
Political Organization |
เดิมทีหมู่บ้านห้วยน้ำจันถูกปกครองโดยผู้นำหมู่บ้านซึ่งมาจากตระกูลใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ผู้นำทางศาสนา และหมอผีประจำหมู่บ้าน แต่ต่อมาได้มีองค์กรพัฒนาเอกชนได้เข้ามาสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกรรมการหมู่บ้านขึ้น เพื่อทำหน้าที่ประสานงานพัฒนาในด้านต่างๆ ดังนั้น หมู่บ้านห้วยน้ำจันในปัจจุบันจึงปกครองด้วยระบอบที่เป็นทางการมากขึ้น คือมี ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และ กรรมการหมู่บ้าน 3 ฝ่าย ได้แก่ กรรมการฝ่ายศึกษา ฝ่ายกองทุนหมุนเวียน และฝ่ายไฟป่า (หน้า 64) |
|
Belief System |
ประเพณี : มูเซอมีประเพณีและพิธีกรรมมากมาย แต่สำหรับประเพณีและพิธีกรรมหลัก ๆ ประจำชุมชน มีดังนี้
1) ประเพณีปีใหม่ หรือ เขาะจ๊าเว จัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นช่วงเวลาเดียวกับเทศกาลตรุษจีนของชาวจีน
2)ประเพณีล้างบาป หรือ เซะก่อเว เป็นพิธีกรรมที่จัดขึ้นหลังจากที่ชาวบ้านได้เตรียมพื้นที่ด้วยการเผาไร่เสร็จสิ้นแล้ว และเตรียมจะเพาะปลูกต่อไป จุดประสงค์ของการจัดพิธีกรรมคือ เพื่อล้างบาปจากการเผาไร่ทำให้สัตว์ต่าง ๆ ล้มตาย
3) พิธีซะละเตเว เป็นพิธีกรรมที่ทำพร้อมกับการเพาะปลูก จัดขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อ นกหนู ผีน้ำ ผีไร่ เจ้าที่เจ้าทาง
4) พิธีข่าเว หรือ พิธีเข้าพรรษา จัดในช่วงเดือนกรกฎาคม เพื่อถวายผลผลิตที่ได้ในช่วงนี้และเป็นการรำลึกบุญคุณแก่เทวดา
5) พิธีเอาะเว หรือ พิธีออกพรรษา จัดในเดือนตุลาคม เพื่อระลึกถึงบุญคุณและถวายผลผลิตแก่เทพเจ้า
6) พิธีกินข้าวใหม่ หรือ จะสืออ่อจ๊ะเว จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของการผลิตข้าว ซึ่งมักจัดในช่วงที่ข้าวสุก ประมาณเดือนกันยายน ถือเป็นการขอบคุณ "เทพเจ้าหงื่อซา" ที่ได้ประทานความสำเร็จในการปลูกข้าวให้ (หน้า 60 - 61)
ความเชื่อ : นอกเหนือจากจะมีความเชื่อในเรื่อง "เทพเจ้าหงื่อซา" อันถือเป็นเทพเจ้าสูงสุดของมูเซอแล้ว ชาวชุมชนยังมีความเชื่อเรื่องผี ทั้งผีร้ายและผีดี อีกด้วย ผีเหล่านี้ล้วนแต่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านอย่างมาก เพราะเชื่อว่าในธรรมชาติทุกๆ อย่างมีผีสิงสถิตย์อยู่ทั้งสิ้น เช่น ผีน้ำ ผีฟ้าผ่า ผีปลวก ผีต้นไม้ ผีหน้าผา ฯลฯ ดังนั้น การกระทำใดๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับธรรมชาติจึงต้องมีการไหว้ผีเสมอ เพื่อให้การกระทำนั้นได้ผลดีและประสบผลสำเร็จ เช่น มีการจัดพิธีมอเหล่เวเพื่อไหว้ผีป่าดอย เพื่อให้การเพาะปลูกหรือล่าสัตว์ได้ผลดี เป็นต้น นอกจากนี้ ชาวชุมชนยังเชื่อว่าหากมีการกระทำที่ผิดผีเกิดขึ้ก็จะส่งผลร้ายมาสู่ชุมชนและตัวเอง ซึ่งก็จะต้องมีการจัดพิธีขอขมาลาโทษแก่ด้วยเช่นกัน (หน้า 61 - 62) |
|
Education and Socialization |
ภายในหมู่บ้านมีโรงเรียน 1 โรง คือ ศูนย์ศึกษาชุมชนในเขตภูเขาบ้านห้วยน้ำจัน สังกัดศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนมาตั้งแต่ปี 2537 ปัจจุบันมีครูประจำอยู่ 1 คน การเรียนการสอนเป็นการปูพื้นฐานความรู้ด้านภาษาไทยให้นักเรียนก่อนที่จะเข้าไปศึกษาต่อในโรงเรียนภาคบังคับ เน้นความเข้าใจด้านการพูด อ่าน เขียน ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับสังคมภายนอก การเรียนการสอนมี 2 ช่วง กลางวันสอนเด็กเล็ก กลางคืนสอนผู้ใหญ่และเด็กโต ปัญหาสำคัญคือ การเรียนการสอนเป็นไปอย่างไม่ค่อยต่อเนื่อง เพราะเด็กนักเรียนต้องช่วยผู้ปกครองทำการเพาะปลูก
ปัจจุบันมีนักเรียนในหมู่บ้านได้เข้าเรียนในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านรวมใจจำนวน 8 คน ส่วนระดับความรู้ของชาวบ้านนั้น ส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาไทยได้เล็กน้อยถึงปานกลาง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กจะสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดีกว่ากลุ่มผู้ใหญ่ เนื่องจากมีโอกาสได้เรียนหนังสือมากกว่า และกลุ่มผู้ชายสามารถเข้าใจภาษาไทยได้ดีกว่าผู้หญิง (หน้า 64 - 65) |
|
Health and Medicine |
อนามัยแม่และเด็ก : การคลอดบุตรของชาวบ้าน ส่วนใหญ่แล้วนิยมคลอดที่บ้านโดยหมอตำแยหรือผู้อาวุโสเป็นผู้ทำคลอดให้ มีเพียง 3 รายเท่านั้นที่ไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล ทั้งนี้เนื่องจากระยะทางไกลไม่สะดวกในการเดินทาง สำหรับวิธีเลี้ยงลูก ชาวบ้านนิยมเลี้ยงด้วยนมแม่ โดยเริ่มให้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 2 ปี หรือมากกว่านั้น ช่วง 6 เดือนแรกให้กินนมและดื่มน้ำ หลังจากนั้นจึงให้อาหารเสริมจำพวกข้าวบดและกล้วยบด ดังนั้น เด็กมูเซอในช่วงแรกเกิดถึง 2 ปี จึงมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีน้ำหนักตัวมาก เด็กมักเป็นโรคขาดสารอาหาร เนื่องจากช่วงนั้นไม่ได้ดื่มนมแม่แล้ว ประกอบกับอาหารที่บริโภคไม่ถูกสุขลักษณะและครบทั้ง 5 หมู่ อาหารส่วนใหญ่ที่บริโภคเป็นข้าว พริกและเกลือตามอัตภาพ (หน้า 65 - 66)
โรคภัยไข้เจ็บและการรักษา : หมู่บ้านห้วยน้ำจันอยู่ในเขตรับผิดชอบของสถานบริการสาธารณสุขชุมชนบ้านสันติสุข ซึ่งก็ยังไม่ทั่วถึงและต่อเนื่อง เพราะระยะทางไกล การคมนาคมไม่สะดวก กิจกรรมของสถานบริการจึงทำได้เพียงมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปตรวจรักษาและฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ภายในหมู่บ้านปีละ 2 ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ในระยะแรกจะใช้วิธีรักษาโรคแบบพื้นบ้านก่อน แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้นจนวิธีการรักษาแบบพื้นบ้านไม่สามารถรักษาได้ ก็จะไปตรวจรักษาที่สถานีอนามัยแม่ฟ้าหลวงบริเวณแม่สะลองใน หรือ โรงพยาบาลแม่จัน ส่วนโรคที่เป็นกันมาก ได้แก่ โรคผิวหนังและโรคขาดสารอาหารสำหรับเด็กโต ส่วนทารกมักเป็นโรคบาดทะยัก เนื่องจากการคลอดที่ไม่ถูกวิธี (หน้า 66 - 67)
การวางแผนครอบครัว : ในหมู่บ้านมักไม่นิยมคุมกำเนิดแบบถาวรหรือแบบทำหมัน เนื่องจากยังมีความเชื่อว่า หลังจากที่ทำหมันแล้ว จะทำให้ไม่มีแรงทำงานเหมือนเดิม ในปัจจุบันมีเพียง 4 รายเท่านั้นที่ทำหมัน ขณะที่ส่วนใหญ่นิยมการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว เช่น ฉีดยาคุม กินยาคุม เป็นต้น
การสุขาภิบาล : การใช้น้ำของชาวบ้านไม่ได้มีการแบ่งแยกระหว่างน้ำดื่มน้ำใช้ สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้ง 2 อย่าง น้ำที่ใช้มาจากประปาภูเขาและมักไม่ต้ม จะต้มก็ต่อเมื่อจะชงชาเท่านั้น เนื่องจากความไม่คุ้นเคยและมีราคาแพง ดังนั้น ในหมู่บ้านจึงมีส้วมเพียง 2 หลัง เท่านั้น คือ ที่บ้านผู้นำหมู่บ้านและในโรงเรียน และชาวบ้านส่วนใหญ่มักไปถ่ายอุจจาระกันในป่า (หน้า 67) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของความเป็นมูเซอแดงนั้น ได้แก่
1) มีผิวสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างล่ำสันสมส่วน ผู้ชายสูงประมาณ 5 ฟุต 5 นิ้ว ใบหน้ายาวแบน ปากกว้าง ตาดำ ผมเป็นเส้นตรงสีดำ ส่วนผู้หญิงสูงประมาณ 5 ฟุต 3 นิ้ว โครงร่างและหน้าตาบ่งชัดว่าเป็นชนเผ่ามองโกลอยด์ มีนิสัยขี้อายแต่มีความสามารถในการล่าสัตว์สูง, 2) มีภาษาพูดเป็นภาษาหนึ่งในตระกูลพม่า - ธิเบต หรือ จัดเป็นภาษาหนึ่งในตระกูลจีน - ธิเบต หรือ จะจัดเป็นภาษาหนึ่งในตระกูลโลโล, 3) นิยมตั้งบ้านเรือนเรียงรายไปตามที่ราบบนสันเขาและไหล่เขา, 4) มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก, 5) มักอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยวแต่ทั้งหมู่บ้านมีความผูกพันและเป็นเครือญาติซึ่งกันและกัน, 6) การจัดพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย, 7)มีประเพณีและพิธีกรรมมากมาย ได้แก่ ประเพณีปีใหม่, ประเพณีล้างบาป, พิธีซะละเตเว, พิธีข่าเว หรือ พิธีเข้าพรรษา, พิธีเอาะเว หรือ พิธีออกพรรษา, พิธีกินข้าวใหม่ หรือ จะสืออ่อจ๊ะเว, มีความเชื่อในเรื่อง "เทพเจ้าหงื่อซา" และเชื่อว่ามีผีต่างๆ สิงสถิตย์อยู่ตามธรรมชาติ เป็นต้น. |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ูมิที่ 5 แสดงพื้นที่ทำกินและลักษณะการใช้ที่ดินบริเวณบ้านห้วยน้ำจันปี 2535 (หน้า 48), แผนภูมิที่ 6 ภาพมุมสูงและภาพตัดขวางแสดงทิศทางไฟของหมู่บ้านห้วยน้ำจัน (หน้า 71) |
|
|