สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,อัตลักษณ์,การเมือง,ทรัพยากร,สิ่งแวดล้อม,การจัดการ,เชียงใหม่
Author ดริญญา โตตระกูล
Title การเมืองของการเสนอภาพตัวแทนในการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมของชุมชนม้ง : กรณีศึกษาบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 108 Year 2546
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม คณะศิลปศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

งานวิจัยชิ้นนี้มีเนื้อหาครอบคลุมในหลายประเด็น ได้แก่ ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ การปรับตัวของม้งบ้านแม่สาใหม่ในพื้นที่อนุรักษ์ ทุนทางวัฒนธรรมของม้ง กระบวนการสร้างความเป็นม้ง อำนาจเชิงสัญลักษณ์และการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นม้งภายใต้บริบทของการแย่งชิงอำนาจในการจัดการทรัพยากร โดยพุ่งเป้าไปที่การทำความเข้าใจภาพลักษณ์และตัวตนในรูปแบบใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยเฉพาะต่อกระบวนการสร้างภาพลักษณ์ ที่มีรากฐานที่มาจากต้นทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

Focus

ทำความเข้าใจภาพลักษณ์ ตัวตนในรูปแบบใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยเฉพาะต่อกระบวนการสร้างภาพลักษณ์ อันมีรากฐานที่มาจากต้นทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผ่านกระบวนการเลือกรับ ปรับใช้ที่มุ่งหวังผลการช่วงชิงการนำกับอำนาจรัฐ (หน้า ง)

Theoretical Issues

ใช้กรอบแนวคิดเรื่องทุนทางวัฒนธรรมของ Bourdieu มาเป็นหลักในการทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง เศรษฐศาสตร์การเมืองของอำนาจเชิงสัญลักษณ์และภาคปฏิบัติการต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อการสะสมและได้มาซึ่งอำนาจเชิงสัญลักษณ์โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้าง และนำเสนอภาพด้านบวกดังกล่าวทั้งจากผู้นำม้งและกลุ่มที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น นักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชน (หน้า จ.) อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาใช้วิธีการคุณภาพเป็นหลักและใช้ข้อมูลเชิงปริมาณบางส่วนมาประกอบ โดยใช้ข้อมูลทั้งที่มาจากมุมมองของคนนอกเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนอยู่กับป่า และที่มาจากมุมมองของคนที่ถูกศึกษาวิจัยต่อนโยบายวาทกรรมการอนุรักษ์ของรัฐและองค์ความรู้ท้องถิ่น เพื่อการเห็นภาพและทำความเข้าใจกับวิเคราะห์พลวัตรองค์ความรู้ท้องถิ่น รวมทั้งการสนทนากับชุมชนม้งในพื้นที่ศึกษา เพื่อทำการตรวจสอบความเข้าใจในการวิเคราะห์ประเด็นปัญหา ซึ่งใช้วิธีการเข้าถึงและเก็บข้อมูลจาก การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลัก การสังเกตการณ์ และการสนทนากลุ่ม (หน้า 25 - 26)

Ethnic Group in the Focus

"ม้ง" เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ที่อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ภาคเหนือของหลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในบางประเทศในโลกตะวันตก (หน้า 29) กลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมี 2 กลุ่มตามลักษณะการแต่งกายและสำเนียงภาษา คือ "ม๊งเดลอ๊ะ" หรือ "ม้งขาว" และ "ม๊งจั๊วะ" หรือ "ม้งเขียว" (หน้า 30) สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่เป็นกลุ่มศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้ คือ กลุ่มชาติพันธุ์ม้งในบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ช่วงเวลาที่ศึกษาคือเหตุการณ์ก่อน พ.ศ.2500 - 2546 (หน้าสารบัญ)

History of the Group and Community

ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ แบ่งเป็น 5 ยุค คือ 1.ยุคก่อนอพยพสู่แผ่นดินไทยของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (ก่อน พ.ศ. 2500) และประชากรในปัจจุบัน : กลุ่มชาติพันธุ์ม้งอพยพเข้าจากจีนผ่านลาวเข้าสู่ประเทศไทยประมาณปี ค.ศ.1850 (พ.ศ. 2400) ในระยะแรกเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอฝางในปัจจุบันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม จากนั้นก็แยกย้ายกันไปคนละที่ กลุ่มหนึ่งไปอยู่ในพม่า กลุ่มที่สองไปอยู่ในอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนกลุ่มที่สามที่มีเกือบทุกตระกูลแซ่ไปอยู่บริเวณดอยช้าง จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ในจังหวัดน่านและตาก ช่วงแรกที่อยู่ในประเทศไทยกลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้ปลูกฝิ่นโดยเฉพาะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะขณะนั้นฝิ่นยังไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย (หน้า 29 - 31) 2.ยุคการจัดระเบียบชุมชนบนพื้นที่สูงในกระบวนการสร้างรัฐชาติ (พ.ศ. 2410-2510) : ซึ่งแบ่งเป็นช่วงย่อย ๆ ได้อีก 2 ช่วง คือ 2.1.ช่วงการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานในบริบทการทำไม้ ค้าฝิ่น และสร้างรัฐ ( พ.ศ. 2410 - 2470) : หลังจากอพยพจากจีนผ่านลาวมาอาศัยอยู่ในบริเวณอำเภอฝางได้ประมาณ 30 ปีแล้ว ม้งก็อพยพย้ายเข้าไปพม่า ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2440 ก็อพยพมาอยู่บริเวณบ้านแม่อูคอ จ.แม่ฮ่องสอน บ้านปางอุ๋ง และบ้านปางเกี๊ยะ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ หลังจากนั้นประมาณปี พ.ศ. 2480 ก็ได้อพยพไปอยู่บริเวณบ้านแม่ตะละและบ้านดงสามหมื่น อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ต่อมาประมาณปี พ.ศ.2508 ก็อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณบ้านแม่สาใหม่ในปัจจุบัน (หน้า 31 - 32) 2.2.ช่วงการจัดระเบียบชุมชนบนพื้นที่สูงในบริบทการสร้างชาติ (พ.ศ. 2471 - 2510) : ปี พ.ศ. 2517 หลังจากกลุ่มชาติม้งอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านแม่สาใหม่ได้ 9 ปี (นับจากก่อตั้งชุมชนในปี 2508) ก็มีกลุ่มม้งจากหมู่บ้านอื่น ๆ ทยอยอพยพเข้ามาสมทบเพิ่มขึ้น จึงได้แยกการปกครองเป็นหมู่บ้านอิสระจากหมู่บ้านโป่งแยงนอกที่เคยเป็นส่วนหนึ่งมาก่อน, ภายหลังตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการในปี 2517 แล้ว ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ก็ยังคงมีการปกครองโดยผู้นำชุมชนอยู่อีกหลายปี จนถึงปี 2525 จึงได้มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้นำตามระบอบการปกครองที่เป็นทางการ (หน้า 32 - 35) 3.ยุคส่งเสริมพืชพาณิชย์ทดแทนฝิ่นในบริบทสงครามอุดมการณ์การเมือง (พ.ศ.2511 - 2523) : ช่วงนี้ได้เกิดสงครามระหว่างรัฐบาลกับคอมมิวนิสต์ขึ้น รัฐบาลจึงได้ร่วมมือกับสหประชาชาติส่งเสริมให้ชุมชนบนพื้นที่สูงในภาคเหนือหันมาปลูกพืชพาณิชย์ทดแทนฝิ่นด้วยข้ออ้างเป็นการปราบปรามยาเสพติดและลดการทำลายป่า จึงส่งผลให้ชุมชนบนพื้นที่สูงรวมทั้งชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ถูกส่งเสริมให้ปลูกพืชเพื่อการค้าทดแทนฝิ่นมากกว่าที่จะปลูกพืชที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ซึ่งโครงการทั้งหมดล้วนมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น (หน้า 35 - 37) 4.ยุคแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติในบริบทสิ่งแวดล้อมนิยมและความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2525 - 2535) : ช่วงนี้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติกันอย่างหนัก รัฐจึงได้ประกาศให้พื้นที่บนพื้นที่สูงหลายแห่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ของรัฐ ในปี 2524 รัฐได้ประกาศให้พื้นที่บ้านชุมชนบ้านแม่สาใหม่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ - ปุย ในปี 2525 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่สาใหม่ก็ได้จัดตั้งขึ้นโดยร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ ทำการวิจัยพืชผักเมืองหนาวและปลูกทดแทนฝิ่น แต่ต่อมาก็เลิกการปลูกผัก ต่อมาในปี 2535 พื้นที่บางส่วนของชุมชนบ้านแม่สาใหม่ ก็ได้ถูกอนุมัติให้จัดตั้ง้ป็นองค์การสวนพฤกษ์ศาสตร์ โดยได้จ่ายชดเชยค่าทับซ้อนกับพื้นที่การเกษตรให้แก่ชาวบ้านแม่สาใหม่เป็นเงินเจริงประมาณ 3,968,100 บาท (หน้า 38 - 41) 5.ยุคการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อสิทธิในทรัพยากรและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (พ.ศ. 2536 - ปัจจุบัน) : หลังจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ในภาคใต้ในปี 2531 ก็ได้มีการเคลื่อนไหวให้มีการปิดป่าและเลิกสัมปทานป่าจนเกิดป่าชุมชนห้วยแก้ว กิ่งอำเภอ แม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นเป็นแห่งแรกและได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชุมชนอย่างจริงจัง ระหว่างปี 2530 - 2536 ได้มีการจัดตั้งองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านป่าชุมชนและสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ชนพื้นที่สูงขึ้นหลายองค์กร ในช่วงนี้ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ก็ได้เข้าร่วมโครงการวิจัยทั้งของรัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง เช่น ร่วมมือกับหน่วยวิจัยการฟื้นฟูป่า โครงการศึกษาฟื้นฟูและจัดการลุ่มน้ำแม่ตาช้าง และโครงการวิจัยการใช้ที่ดินบนพื้นที่สูงและพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ภายในชุมชนยังมีการปฏิบัติการในชีวิตประจำวันในเชิงนำเสนอทางเลือกของการจัดการทรัพยากรที่เน้นแนวคิดการอยู่ร่วมกันของคนกับป่าด้วย (หน้า 43 - 44)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ในปี 2545 ประชากรทั้งหมดในชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่มีจำนวนทั้งสิ้น 1,715 คน, 205 ครัวเรือน, 264 ครอบครัว, แบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 เขตหรือกลุ่มบ้านเฉลี่ยกลุ่มละ 35 ครัวเรือน ทุกครัวเรือนในแต่ละเขตเป็นสายตระกูลเดียวกัน (หน้า 55)

Economy

ด้วยผลกระทบจากเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของการพัฒนาและอนุรักษ์ ได้ทำให้ชุมชนบ้านแม่สาใหม่ต้องปรับระบบการเกษตรที่สามารถลดพื้นที่ให้มากที่สุด โดยปรับเป็น 2 ระบบ คือ ระบบเชิงเดี่ยวกับระบบผสมผสาน เช่น ทำสวน ทำสวนผสมไร่ ทำไร่ ทำนา รับจ้าง และค้าขาย แต่การปลูกส่วนไม้ผลลิ้นจี่ก็ยังคงเป็นอาชีพหลักของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่อยู่เช่นเดิม แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับภัยธรรมชาติและต้นทุนการผลิตที่สูงมาก รวมทั้งกลไกตลาดที่ไม่แน่นอน เมื่อรายได้จากการเป็นผู้ผลิตในภาคการเกษตรไม่พอ ม้งบางส่วนจึงหันออกไปใช้แรงงานรับจ้างในภาคการเกษตรและประกอบอาชีพอื่น ๆ เพื่อหารายได้นอกภาคการเกษตรด้วย เช่น ตั้งร้านขายของชำ รับจ้างทำงานในสวนพฤกษ์ศาสตร์ รับจ้างการเกษตรให้กับบริษัทฟาร์มต่าง ๆ ออกไปขายของให้กับนักท่องเที่ยว รับจ้างเย็บปักลายผ้า ทำงานในเมือง และ ฯลฯ (หน้า 51 - 53) อย่างไรก็ตาม ม้งบ้านแม่สาใหม่มีการทำไร่แบบย้ายที่ที่มีลักษณะการจัดเตรียมพื้นที่เพราะปลูกโดยถางต้นไม้และวัชพืชแล้วเผาทิ้ง ในแปลงของไร่ข้าวจะปลูกฟักทองแปลงไร่ข้าวโพดจะปลูกฟักเขียว แตงกว่าด้วย เนื่องจากพื้นที่ทำไร่เป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นเก่าที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร มีอากาศหนาว และชุ่มชื้นตลอดปี ส่วนขั้นตอนในการทำไร่หมุนเวียนของม้งบ้านแม่สาใหม่มีดังนี้ สำรวจพื้นที่ทำไร่ในเดือนมกราคม ลงมือฟันไร่ในเดือนกุมภาพันธ์ ทิ้งไม้ที่ตัดไว้ให้แห้งเพื่อรอการเผาในเดือนมีนาคม ลงมือปลูกข้าวหรือพืชผักในเดือนพฤษภาคม ถอนวัชพืชที่ขึ้นในไร่ในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม และลงมือเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม (หน้า 66 - 71)

Social Organization

สังคมม้งโดยทั่วไปมีลักษณะชายเป็นใหญ่และเป็นผู้สืบเชื้อสาย รวมทั้งความเชื่อการสืบผีบรรพบุรุษผ่านผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนตามเงื่อนไขความจำเป็นและเป็นครอบครัวขยายในครัวเรือนเดียวกัน หรือจะแยกครัวเรือน แต่ก็ยังถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะผู้ชายเป็นผู้ที่สืบตระกูลและทำพิธีบูชาผีบรรพบุรุษ สำหรับการจำแนกกลุ่มคนภายในชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ ด้วยมิติทางวัฒนธรรมตามกลุ่มย่อยผีบรรพบุรุษมี 15 กลุ่มด้วยกัน โดยแต่ละกลุ่มย่อยจะมีผู้นำทางสังคมและวัฒนธรรมรวม 33 คน (ดูตารางที่ 3.3. ประกอบ) (หน้า 54 - 55) นอกจากนี้ ในปัจจุบัน โครงสร้างทางสังคมของชุมชนบ้านแม่สาใหม่ยังมีลักษณะของการผสมผสานระหว่างรูปแบบการจัดการองค์กรบริหารการปกครองหมู่บ้านกับกลุ่มองค์กรชุมชนที่ขึ้นกับจารีตทางสังคมอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดกลุ่มตามรูปแบบการปกครองหมู่บ้าน หรือ กลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น คณะกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ กลุ่มอาสาสมัครป้องกันพลเรือน ชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบ้านแม่สาใหม่ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มเลี้ยงสัตว์กลุ่มกองทุนสวัสดิการกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มฌาปนกิจศพบ้านแม่สาใหม่ กลุ่มออมทรัพย์กองทุนแซ่ยาง และกลุ่มออมทรัพย์เขต 6 เป็นต้น ส่วนการจัดองค์กรบริหารการปกครองชุมชนในปัจจุบันนั้น แม้ว่าชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่จะมีคณะกรรมการหมู่บ้าน แต่ก็ยังได้แต่งตั้งกลุ่มผู้อาวุโสหรือผู้นำทางวัฒนธรรมรวมทั้งสิ้นประมาณ 30 คน ให้เป็นคณะกรรมการผู้อาวุโสและคณะกรรมการฝ่ายปกครองด้วย โดยมีบทบาททางพิธีกรรมความเชื่อและการตัดสินคดีความตามจารีตประเพณีและตามกฎข้อบังคับของหมู่บ้าน แต่หากพิจารณาตามจารีตแล้วยังไม่ยุติก็จะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ราชการตามกระบวนการศาลยุติธรรม (หน้า 56 - 57)

Political Organization

ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2517 ในระยะแรกมีการปกครองโดยผู้นำชุมชน จนกระทั่งถึงปี 2525 จึงได้มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้นำตามระบอบการปกครองที่เป็นทางการ (หน้า 32 - 35) อย่างไรก็ตาม ระบอบการปกครองของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ในปัจจุบันมีลักษณะผสมผสานระหว่างรูปแบบการจัดการองค์กรบริหารการปกครองหมู่บ้านกับกลุ่มองค์กรชุมชนที่ขึ้นกับจารีตทางสังคมอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดกลุ่มตามรูปแบบการปกครองหมู่บ้านหรือกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น คณะกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ กลุ่มอาสาสมัครป้องกันพลเรือน ชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบ้านแม่สาใหม่ กลุ่มแม่บ้าน และ ฯลฯ ส่วนการจัดองค์กรบริหารการปกครองชุมชนในปัจจุบันนั้น แม้ว่าชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่จะมีคณะกรรมการหมู่บ้าน แต่ก็ยังได้แต่งตั้งกลุ่มผู้อาวุโสหรือผู้นำทางวัฒนธรรมรวมทั้งสิ้นประมาณ 30 คน ให้เป็นคณะกรรมการผู้อาวุโสและคณะกรรมการฝ่ายปกครองด้วย โดยมีบทบาททางพิธีกรรมความเชื่อ และการตัดสินคดีความตามจารีตประเพณีและตามกฎข้อบังคับของหมู่บ้าน แต่หากพิจารณาตามจารีตแล้วยังไม่ยุติก็จะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ราชการตามกระบวนการศาลยุติธรรม (หน้า 56 - 57)

Belief System

ม้งเชื่อว่า โลกจักรวาลเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจเหนือธรรมชาติและโลกนี้มีชีวิตจึงเป็นสาเหตุที่โลกหมุนรอบตัวเองและดวงอาทิตย์ได้ สภาพภูมิประเทศแต่ละแห่งจึงมีพลังงานไหลเวียนไปมา หากมนุษย์ตั้งถิ่นฐานในที่ดี ก็จะส่งผลให้ชีวิตลูกหลานเจริญรุ่งเรือง ด้วยจักรวาลวิทยาเช่นนี้ ม้งจึงเชื่อว่าพร้อมกับที่โลกได้ถูกสร้างขึ้นมา จะมีเทวดาอารักษ์คอยปกปักรักษาควบคุมสรรพสิ่งในโลกโดยประจำอยู่ตามทิศทั้งสี่ คือ ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก ดังนั้น สรรพสิ่งในโลกจึงล้วนมีชีวิต มีผู้ที่ให้กำเนิด และการกำเนิดของธรรมชาตินั้น ดำรงอยู่ก่อนการเกิดของมนุษย์ ธรรมชาติจึงมีอิทธิพลควบคุมการกระทำของผู้คน มนุษย์จึงเป็นเพียงผู้ใช้และผู้ดูแลธรรมชาติเท่านั้น (หน้า 62) ระบบความเชื่อต่ออำนาจเหนือธรรมชาติเช่นนี้ ถูกผลิตซ้ำในพิธีกรรมที่ม้งได้สัมพันธ์กับธรรมชาติ เช่น ทุกปีก่อนฤดูลงทำนาหรือทำไร่ ม้งจะประกอบพิธีกรรมเพื่อบอกกล่าวแก่เจ้าชีวิตผู้ดูแล เพื่อขออนุญาตตัดใบไม้เพื่อถางป่าหรือขุดพลิกหน้าดินเพื่อทำไร่ หรือเมื่อจะใช้ประโยชน์จากน้ำ ก็จะมีการทำพิธีขออนุญาตด้วยถ้อยคำง่าย ๆ เพื่อให้เจ้าที่ที่สถิตอยู่ในน้ำจะให้อนุญาตและไม่เป็นการทำผิดต่อผู้พิทักษ์ความสะอาดในน้ำแม่สาใหม่ ในทุก ๆ ปีม้งบ้านแม่สาใหม่จะทำพิธีเลี้ยงผีขุนน้ำเพื่อขอการคุ้มครอง ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณในสรรพสิ่งที่คอยคุ้มครองอยู่ในป่าเขาซึ่งมนุษย์ไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่ทำพีธีกรรมไม่ได้ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า เจ้าแห่งป่าเขาที่ให้ความเป็นธรรมแก่คนดีและลงโทษต่อผู้กระทำผิดจึงกลายมาเป็นฐานคิดสำคัญในเรื่องการดูแลทรัพยากรป่าไม้ในเขตหมู่บ้านแม่สาใหม่ (หน้า 77) นอกจากนี้ ชุมชนบ้านแม่สาใหม่ยังมีการผลิตซ้ำกระบวนคิดและสำนึกในอำนาจเหนือธรรมชาติดังกล่าวผ่านพิธีกรรมเชิงอนุรักษ์ต่าง ๆ ด้วย เช่น พิธีกรรมรักษาป่า "ดงเซ้ง", การบวชป่า และการทำแนวกันไฟ พิธีกรรมรักษาป่า "ดงเซ้ง" มีรากมาจาก "พิธีดงเซ้ง" ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ม้งบ้านแม่สาใหม่ทำกันมานาน กล่าวคือ เมื่อจะมีการตั้งหมู่บ้าน ม้งจะหาพื้นที่ที่เหมาะสม คือที่ตั้งต้องมีภูเขาโอบล้อม มีความอุดมสมบูรณ์ของดินน้ำป่า จากนั้นก็จะกำหนดพื้นที่ "ป่าดงเซ้ง" ของหมู่บ้านขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเป็นป่าต้นน้ำ โดยจะเลือกต้นไม้ที่มีความเด่นสง่า เมื่อได้แล้วก็จะลงมือประกอบพิธีด้วยการอันเชิญเทพสี่องค์ ได้แก่ เทพถือติ เทพฌ้างเฌ่งติจือ เทพฌ้างเฌ่งจือติ และเทพเจ้าจื้อเซ้งล่งเม่ มาเป็นผู้คุ้มครองผืนดิน ผืนป่า และคน ระหว่างประกอบพิธีจะมีการปฏิญาณตนต่อด้งเซ้งเพื่อให้ปกป้องคุ้มครองครอบครัวและชุมชน เมื่อประกอบพิธีเสร็จจะถือกันว่า ป่าดงเซ้งเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ (หน้า 87 - 88) การบวชป่า เป็นการประยุกต์ความเชื่อทางพุทธศาสนามารักษาป่า และการทำแนวกันไฟ มีการจัดพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม "เฟ๋แหยะ" เพื่อป้องกันไฟ พิธีสืบชะตาต้นนำเพื่อรักษาน้ำ เป็นต้น (หน้า 93)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

จากงานวิจัยสามารถสรุปได้ว่า สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็น "อัตลักษณ์" ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้แก่ (1) วัฒนธรรมของคนรักป่าพึ่งพาอาศัยดูแลป่าไม้และระบบนิเวศด้วยความเคารพยำเกรงอ่อนน้อม (2) มีความเชื่อที่ว่า โลกจักรวาลเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจเหนือธรรมชาติ และโลกนี้มีชีวิต จึงเป็นสาเหตุที่โลกหมุนรอบตัวเองและดวงอาทิตย์ได้ (3) มีการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับธรรมชาติตามความเชื่อนี้ด้วย เช่น ทุกปีก่อนฤดูลงทำนาหรือทำไร่ ม้งจะประกอบพิธีกรรมเพื่อบอกกล่าวแก่เจ้าชีวิตผู้ดูแล เพื่อขออนุญาตตัดใบไม้เพื่อถางป่าหรือขุดพลิกหน้าดินเพื่อทำไร่ หรือเมื่อจะใช้ประโยชน์จากน้ำ ก็จะมีการทำพิธีขออนุญาตด้วยถ้อยคำง่าย ๆ เพื่อให้เจ้าที่ที่สถิตอยู่ในน้ำให้อนุญาต และไม่เป็นการทำผิดต่อผู้พิทักษ์ความสะอาดในน้ำแม่สาใหม่ ในทุก ๆ ปีม้งบ้านแม่สาใหม่จะทำพิธีเลี้ยงผีขุนน้ำเพื่อขอการคุ้มครอง (4) มีการปรับปรุงพิธีกรรมความเชื่อเก่าแก่มาใช้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พิธีกรรมรักษาป่า "ดงเซ้ง" ซึ่งเชื่อในเรื่องเทพทั้งสี่องค์ ได้แก่ เทพถือติ เทพฌ้างเฌ่งติจือ เทพฌ้างเฌ่งจือติ และเทพเจ้าจื้อเซ้งล่งเม่ การบวชป่า และการทำแนวกันไฟ เป็นต้น (5) ส่วนอาศัยอยู่บนภูเขาสูงประกอบอาชีพเกษตรกรรม เป็นหลัก (6) มีลักษณะผสมผสานระหว่างรูปแบบการจัดการองค์กรบริหารการปกครองหมู่บ้านกับกลุ่มองค์กรชุมชนที่ขึ้นกับจารีตทางสังคมอย่างหลากหลาย (7) รูปแบบสังคมมีลักษณะชายเป็นใหญ่และเป็นผู้สืบเชื้อสาย รวมทั้งความเชื่อการสืบผีบรรพบุรุษผ่านผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนตามเงื่อนไขความจำเป็นและเป็นครอบครัวขยายในครัวเรือนเดียวกัน หรือจะแยกครัวเรือน แต่ก็ยังถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะผู้ชายเป็นผู้ที่สืบตระกูลและทำพิธีบูชาผีบรรพบุรุษ เป็นต้น

Social Cultural and Identity Change

ในอดีต บรรพบุรุษของม้งบ้านแม่สาใหม่ต้องเผชิญกับหลายสิ่ง ตั้งแต่การอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน การทำการเกษตรเพื่อยังชีพ การปราบปรามข้อหาคอมมิวนิสต์และฝิ่น ความล้มเหลวจากการสนับสนุนให้ปลูกพืชพาณิชย์โดยรัฐ การข่มขู่คุกคามจับกุมจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และสภาวะของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม แต่ในปัจจุบันนี้ ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ได้กลับไปรื้อค้นมรดกทางประเพณีวัฒนธรรมทั้งการหยิบยกบางประเด็นขึ้นมาอธิบายและนิยามความหมายใหม่ และการหยิบยืมประเพณีและองค์ความรู้ใหม่มาเติมเต็มเสริมให้วัฒนธรรมของตนมีความแข็งแกร่งขึ้น และมีการสร้างแนวร่วมกับนักวิชาการ นักพัฒนาเอกชน และสื่อมวลชน เพื่อให้เกิดการรับรู้สภาพความเป็นจริงตลอดจนวิถีชีวิต / อัตลักษณ์ของชุมชนม้ง และเพื่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างขึ้น นอกจากนี้ ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ยังได้เลือกหยิบยืมความรู้และวิทยาการสมัยใหม่จากภายนอกเข้ามาผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยการสร้างองค์กรทางสังคมต่างๆ เช่น "เครือข่ายวัฒนธรรมและต่อต้านยาเสพติด" และ "เครือข่ายฟื้นฟูวัฒนธรรมม้งตระกูลแซ่ฒ่อ" ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเวทีการเรียนรู้และใช้เป็นเวทีต่อรองเพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างเข้มแข็งด้วย

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนภาพ : บริเวณที่ตั้งพื้นที่หมู่บ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่และหมู่บ้านใกล้เคียง(หน้า 21) การจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินและพื้นที่ป่าไม้บ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 85)

Text Analyst ธิกานต์ ศรีนารา Date of Report 07 พ.ค. 2556
TAG ม้ง, อัตลักษณ์, การเมือง, ทรัพยากร, สิ่งแวดล้อม, การจัดการ, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง