|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,อัตลักษณ์,การเมือง,ทรัพยากร,สิ่งแวดล้อม,การจัดการ,เชียงใหม่ |
Author |
ดริญญา โตตระกูล |
Title |
การเมืองของการเสนอภาพตัวแทนในการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมของชุมชนม้ง : กรณีศึกษาบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
108 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม คณะศิลปศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้มีเนื้อหาครอบคลุมในหลายประเด็น ได้แก่ ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ การปรับตัวของม้งบ้านแม่สาใหม่ในพื้นที่อนุรักษ์ ทุนทางวัฒนธรรมของม้ง กระบวนการสร้างความเป็นม้ง อำนาจเชิงสัญลักษณ์และการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นม้งภายใต้บริบทของการแย่งชิงอำนาจในการจัดการทรัพยากร โดยพุ่งเป้าไปที่การทำความเข้าใจภาพลักษณ์และตัวตนในรูปแบบใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยเฉพาะต่อกระบวนการสร้างภาพลักษณ์ ที่มีรากฐานที่มาจากต้นทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Focus |
ทำความเข้าใจภาพลักษณ์ ตัวตนในรูปแบบใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยเฉพาะต่อกระบวนการสร้างภาพลักษณ์ อันมีรากฐานที่มาจากต้นทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผ่านกระบวนการเลือกรับ ปรับใช้ที่มุ่งหวังผลการช่วงชิงการนำกับอำนาจรัฐ (หน้า ง) |
|
Theoretical Issues |
ใช้กรอบแนวคิดเรื่องทุนทางวัฒนธรรมของ Bourdieu มาเป็นหลักในการทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง เศรษฐศาสตร์การเมืองของอำนาจเชิงสัญลักษณ์และภาคปฏิบัติการต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อการสะสมและได้มาซึ่งอำนาจเชิงสัญลักษณ์โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้าง และนำเสนอภาพด้านบวกดังกล่าวทั้งจากผู้นำม้งและกลุ่มที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น นักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชน (หน้า จ.) อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาใช้วิธีการคุณภาพเป็นหลักและใช้ข้อมูลเชิงปริมาณบางส่วนมาประกอบ โดยใช้ข้อมูลทั้งที่มาจากมุมมองของคนนอกเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนอยู่กับป่า และที่มาจากมุมมองของคนที่ถูกศึกษาวิจัยต่อนโยบายวาทกรรมการอนุรักษ์ของรัฐและองค์ความรู้ท้องถิ่น เพื่อการเห็นภาพและทำความเข้าใจกับวิเคราะห์พลวัตรองค์ความรู้ท้องถิ่น รวมทั้งการสนทนากับชุมชนม้งในพื้นที่ศึกษา เพื่อทำการตรวจสอบความเข้าใจในการวิเคราะห์ประเด็นปัญหา ซึ่งใช้วิธีการเข้าถึงและเก็บข้อมูลจาก การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลัก การสังเกตการณ์ และการสนทนากลุ่ม (หน้า 25 - 26) |
|
Ethnic Group in the Focus |
"ม้ง" เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ที่อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ภาคเหนือของหลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในบางประเทศในโลกตะวันตก (หน้า 29) กลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมี 2 กลุ่มตามลักษณะการแต่งกายและสำเนียงภาษา คือ "ม๊งเดลอ๊ะ" หรือ "ม้งขาว" และ "ม๊งจั๊วะ" หรือ "ม้งเขียว" (หน้า 30) สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่เป็นกลุ่มศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้ คือ กลุ่มชาติพันธุ์ม้งในบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงเวลาที่ศึกษาคือเหตุการณ์ก่อน พ.ศ.2500 - 2546 (หน้าสารบัญ) |
|
History of the Group and Community |
ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ แบ่งเป็น 5 ยุค คือ 1.ยุคก่อนอพยพสู่แผ่นดินไทยของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (ก่อน พ.ศ. 2500) และประชากรในปัจจุบัน : กลุ่มชาติพันธุ์ม้งอพยพเข้าจากจีนผ่านลาวเข้าสู่ประเทศไทยประมาณปี ค.ศ.1850 (พ.ศ. 2400) ในระยะแรกเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอฝางในปัจจุบันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม จากนั้นก็แยกย้ายกันไปคนละที่ กลุ่มหนึ่งไปอยู่ในพม่า กลุ่มที่สองไปอยู่ในอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนกลุ่มที่สามที่มีเกือบทุกตระกูลแซ่ไปอยู่บริเวณดอยช้าง จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ในจังหวัดน่านและตาก ช่วงแรกที่อยู่ในประเทศไทยกลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้ปลูกฝิ่นโดยเฉพาะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะขณะนั้นฝิ่นยังไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย (หน้า 29 - 31) 2.ยุคการจัดระเบียบชุมชนบนพื้นที่สูงในกระบวนการสร้างรัฐชาติ (พ.ศ. 2410-2510) : ซึ่งแบ่งเป็นช่วงย่อย ๆ ได้อีก 2 ช่วง คือ 2.1.ช่วงการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานในบริบทการทำไม้ ค้าฝิ่น และสร้างรัฐ ( พ.ศ. 2410 - 2470) : หลังจากอพยพจากจีนผ่านลาวมาอาศัยอยู่ในบริเวณอำเภอฝางได้ประมาณ 30 ปีแล้ว ม้งก็อพยพย้ายเข้าไปพม่า ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2440 ก็อพยพมาอยู่บริเวณบ้านแม่อูคอ จ.แม่ฮ่องสอน บ้านปางอุ๋ง และบ้านปางเกี๊ยะ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ หลังจากนั้นประมาณปี พ.ศ. 2480 ก็ได้อพยพไปอยู่บริเวณบ้านแม่ตะละและบ้านดงสามหมื่น อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ต่อมาประมาณปี พ.ศ.2508 ก็อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณบ้านแม่สาใหม่ในปัจจุบัน (หน้า 31 - 32) 2.2.ช่วงการจัดระเบียบชุมชนบนพื้นที่สูงในบริบทการสร้างชาติ (พ.ศ. 2471 - 2510) : ปี พ.ศ. 2517 หลังจากกลุ่มชาติม้งอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านแม่สาใหม่ได้ 9 ปี (นับจากก่อตั้งชุมชนในปี 2508) ก็มีกลุ่มม้งจากหมู่บ้านอื่น ๆ ทยอยอพยพเข้ามาสมทบเพิ่มขึ้น จึงได้แยกการปกครองเป็นหมู่บ้านอิสระจากหมู่บ้านโป่งแยงนอกที่เคยเป็นส่วนหนึ่งมาก่อน, ภายหลังตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการในปี 2517 แล้ว ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ก็ยังคงมีการปกครองโดยผู้นำชุมชนอยู่อีกหลายปี จนถึงปี 2525 จึงได้มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้นำตามระบอบการปกครองที่เป็นทางการ (หน้า 32 - 35) 3.ยุคส่งเสริมพืชพาณิชย์ทดแทนฝิ่นในบริบทสงครามอุดมการณ์การเมือง (พ.ศ.2511 - 2523) : ช่วงนี้ได้เกิดสงครามระหว่างรัฐบาลกับคอมมิวนิสต์ขึ้น รัฐบาลจึงได้ร่วมมือกับสหประชาชาติส่งเสริมให้ชุมชนบนพื้นที่สูงในภาคเหนือหันมาปลูกพืชพาณิชย์ทดแทนฝิ่นด้วยข้ออ้างเป็นการปราบปรามยาเสพติดและลดการทำลายป่า จึงส่งผลให้ชุมชนบนพื้นที่สูงรวมทั้งชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ถูกส่งเสริมให้ปลูกพืชเพื่อการค้าทดแทนฝิ่นมากกว่าที่จะปลูกพืชที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ซึ่งโครงการทั้งหมดล้วนมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น (หน้า 35 - 37) 4.ยุคแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติในบริบทสิ่งแวดล้อมนิยมและความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2525 - 2535) : ช่วงนี้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติกันอย่างหนัก รัฐจึงได้ประกาศให้พื้นที่บนพื้นที่สูงหลายแห่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ของรัฐ ในปี 2524 รัฐได้ประกาศให้พื้นที่บ้านชุมชนบ้านแม่สาใหม่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ - ปุย ในปี 2525 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่สาใหม่ก็ได้จัดตั้งขึ้นโดยร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ ทำการวิจัยพืชผักเมืองหนาวและปลูกทดแทนฝิ่น แต่ต่อมาก็เลิกการปลูกผัก ต่อมาในปี 2535 พื้นที่บางส่วนของชุมชนบ้านแม่สาใหม่ ก็ได้ถูกอนุมัติให้จัดตั้ง้ป็นองค์การสวนพฤกษ์ศาสตร์ โดยได้จ่ายชดเชยค่าทับซ้อนกับพื้นที่การเกษตรให้แก่ชาวบ้านแม่สาใหม่เป็นเงินเจริงประมาณ 3,968,100 บาท (หน้า 38 - 41) 5.ยุคการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อสิทธิในทรัพยากรและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (พ.ศ. 2536 - ปัจจุบัน) : หลังจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ในภาคใต้ในปี 2531 ก็ได้มีการเคลื่อนไหวให้มีการปิดป่าและเลิกสัมปทานป่าจนเกิดป่าชุมชนห้วยแก้ว กิ่งอำเภอ แม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นเป็นแห่งแรกและได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชุมชนอย่างจริงจัง ระหว่างปี 2530 - 2536 ได้มีการจัดตั้งองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านป่าชุมชนและสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ชนพื้นที่สูงขึ้นหลายองค์กร ในช่วงนี้ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ก็ได้เข้าร่วมโครงการวิจัยทั้งของรัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง เช่น ร่วมมือกับหน่วยวิจัยการฟื้นฟูป่า โครงการศึกษาฟื้นฟูและจัดการลุ่มน้ำแม่ตาช้าง และโครงการวิจัยการใช้ที่ดินบนพื้นที่สูงและพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ภายในชุมชนยังมีการปฏิบัติการในชีวิตประจำวันในเชิงนำเสนอทางเลือกของการจัดการทรัพยากรที่เน้นแนวคิดการอยู่ร่วมกันของคนกับป่าด้วย (หน้า 43 - 44) |
|
Demography |
ในปี 2545 ประชากรทั้งหมดในชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่มีจำนวนทั้งสิ้น 1,715 คน, 205 ครัวเรือน, 264 ครอบครัว, แบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 เขตหรือกลุ่มบ้านเฉลี่ยกลุ่มละ 35 ครัวเรือน ทุกครัวเรือนในแต่ละเขตเป็นสายตระกูลเดียวกัน (หน้า 55) |
|
Economy |
ด้วยผลกระทบจากเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของการพัฒนาและอนุรักษ์ ได้ทำให้ชุมชนบ้านแม่สาใหม่ต้องปรับระบบการเกษตรที่สามารถลดพื้นที่ให้มากที่สุด โดยปรับเป็น 2 ระบบ คือ ระบบเชิงเดี่ยวกับระบบผสมผสาน เช่น ทำสวน ทำสวนผสมไร่ ทำไร่ ทำนา รับจ้าง และค้าขาย แต่การปลูกส่วนไม้ผลลิ้นจี่ก็ยังคงเป็นอาชีพหลักของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่อยู่เช่นเดิม แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับภัยธรรมชาติและต้นทุนการผลิตที่สูงมาก รวมทั้งกลไกตลาดที่ไม่แน่นอน เมื่อรายได้จากการเป็นผู้ผลิตในภาคการเกษตรไม่พอ ม้งบางส่วนจึงหันออกไปใช้แรงงานรับจ้างในภาคการเกษตรและประกอบอาชีพอื่น ๆ เพื่อหารายได้นอกภาคการเกษตรด้วย เช่น ตั้งร้านขายของชำ รับจ้างทำงานในสวนพฤกษ์ศาสตร์ รับจ้างการเกษตรให้กับบริษัทฟาร์มต่าง ๆ ออกไปขายของให้กับนักท่องเที่ยว รับจ้างเย็บปักลายผ้า ทำงานในเมือง และ ฯลฯ (หน้า 51 - 53) อย่างไรก็ตาม ม้งบ้านแม่สาใหม่มีการทำไร่แบบย้ายที่ที่มีลักษณะการจัดเตรียมพื้นที่เพราะปลูกโดยถางต้นไม้และวัชพืชแล้วเผาทิ้ง ในแปลงของไร่ข้าวจะปลูกฟักทองแปลงไร่ข้าวโพดจะปลูกฟักเขียว แตงกว่าด้วย เนื่องจากพื้นที่ทำไร่เป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นเก่าที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร มีอากาศหนาว และชุ่มชื้นตลอดปี ส่วนขั้นตอนในการทำไร่หมุนเวียนของม้งบ้านแม่สาใหม่มีดังนี้ สำรวจพื้นที่ทำไร่ในเดือนมกราคม ลงมือฟันไร่ในเดือนกุมภาพันธ์ ทิ้งไม้ที่ตัดไว้ให้แห้งเพื่อรอการเผาในเดือนมีนาคม ลงมือปลูกข้าวหรือพืชผักในเดือนพฤษภาคม ถอนวัชพืชที่ขึ้นในไร่ในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม และลงมือเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม (หน้า 66 - 71) |
|
Social Organization |
สังคมม้งโดยทั่วไปมีลักษณะชายเป็นใหญ่และเป็นผู้สืบเชื้อสาย รวมทั้งความเชื่อการสืบผีบรรพบุรุษผ่านผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนตามเงื่อนไขความจำเป็นและเป็นครอบครัวขยายในครัวเรือนเดียวกัน หรือจะแยกครัวเรือน แต่ก็ยังถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะผู้ชายเป็นผู้ที่สืบตระกูลและทำพิธีบูชาผีบรรพบุรุษ สำหรับการจำแนกกลุ่มคนภายในชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ ด้วยมิติทางวัฒนธรรมตามกลุ่มย่อยผีบรรพบุรุษมี 15 กลุ่มด้วยกัน โดยแต่ละกลุ่มย่อยจะมีผู้นำทางสังคมและวัฒนธรรมรวม 33 คน (ดูตารางที่ 3.3. ประกอบ) (หน้า 54 - 55) นอกจากนี้ ในปัจจุบัน โครงสร้างทางสังคมของชุมชนบ้านแม่สาใหม่ยังมีลักษณะของการผสมผสานระหว่างรูปแบบการจัดการองค์กรบริหารการปกครองหมู่บ้านกับกลุ่มองค์กรชุมชนที่ขึ้นกับจารีตทางสังคมอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดกลุ่มตามรูปแบบการปกครองหมู่บ้าน หรือ กลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น คณะกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ กลุ่มอาสาสมัครป้องกันพลเรือน ชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบ้านแม่สาใหม่ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มเลี้ยงสัตว์กลุ่มกองทุนสวัสดิการกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มฌาปนกิจศพบ้านแม่สาใหม่ กลุ่มออมทรัพย์กองทุนแซ่ยาง และกลุ่มออมทรัพย์เขต 6 เป็นต้น ส่วนการจัดองค์กรบริหารการปกครองชุมชนในปัจจุบันนั้น แม้ว่าชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่จะมีคณะกรรมการหมู่บ้าน แต่ก็ยังได้แต่งตั้งกลุ่มผู้อาวุโสหรือผู้นำทางวัฒนธรรมรวมทั้งสิ้นประมาณ 30 คน ให้เป็นคณะกรรมการผู้อาวุโสและคณะกรรมการฝ่ายปกครองด้วย โดยมีบทบาททางพิธีกรรมความเชื่อและการตัดสินคดีความตามจารีตประเพณีและตามกฎข้อบังคับของหมู่บ้าน แต่หากพิจารณาตามจารีตแล้วยังไม่ยุติก็จะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ราชการตามกระบวนการศาลยุติธรรม (หน้า 56 - 57) |
|
Political Organization |
ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2517 ในระยะแรกมีการปกครองโดยผู้นำชุมชน จนกระทั่งถึงปี 2525 จึงได้มีผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้นำตามระบอบการปกครองที่เป็นทางการ (หน้า 32 - 35) อย่างไรก็ตาม ระบอบการปกครองของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ในปัจจุบันมีลักษณะผสมผสานระหว่างรูปแบบการจัดการองค์กรบริหารการปกครองหมู่บ้านกับกลุ่มองค์กรชุมชนที่ขึ้นกับจารีตทางสังคมอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดกลุ่มตามรูปแบบการปกครองหมู่บ้านหรือกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น คณะกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ กลุ่มอาสาสมัครป้องกันพลเรือน ชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบ้านแม่สาใหม่ กลุ่มแม่บ้าน และ ฯลฯ ส่วนการจัดองค์กรบริหารการปกครองชุมชนในปัจจุบันนั้น แม้ว่าชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่จะมีคณะกรรมการหมู่บ้าน แต่ก็ยังได้แต่งตั้งกลุ่มผู้อาวุโสหรือผู้นำทางวัฒนธรรมรวมทั้งสิ้นประมาณ 30 คน ให้เป็นคณะกรรมการผู้อาวุโสและคณะกรรมการฝ่ายปกครองด้วย โดยมีบทบาททางพิธีกรรมความเชื่อ และการตัดสินคดีความตามจารีตประเพณีและตามกฎข้อบังคับของหมู่บ้าน แต่หากพิจารณาตามจารีตแล้วยังไม่ยุติก็จะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ราชการตามกระบวนการศาลยุติธรรม (หน้า 56 - 57) |
|
Belief System |
ม้งเชื่อว่า โลกจักรวาลเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจเหนือธรรมชาติและโลกนี้มีชีวิตจึงเป็นสาเหตุที่โลกหมุนรอบตัวเองและดวงอาทิตย์ได้ สภาพภูมิประเทศแต่ละแห่งจึงมีพลังงานไหลเวียนไปมา หากมนุษย์ตั้งถิ่นฐานในที่ดี ก็จะส่งผลให้ชีวิตลูกหลานเจริญรุ่งเรือง ด้วยจักรวาลวิทยาเช่นนี้ ม้งจึงเชื่อว่าพร้อมกับที่โลกได้ถูกสร้างขึ้นมา จะมีเทวดาอารักษ์คอยปกปักรักษาควบคุมสรรพสิ่งในโลกโดยประจำอยู่ตามทิศทั้งสี่ คือ ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก ดังนั้น สรรพสิ่งในโลกจึงล้วนมีชีวิต มีผู้ที่ให้กำเนิด และการกำเนิดของธรรมชาตินั้น ดำรงอยู่ก่อนการเกิดของมนุษย์ ธรรมชาติจึงมีอิทธิพลควบคุมการกระทำของผู้คน มนุษย์จึงเป็นเพียงผู้ใช้และผู้ดูแลธรรมชาติเท่านั้น (หน้า 62) ระบบความเชื่อต่ออำนาจเหนือธรรมชาติเช่นนี้ ถูกผลิตซ้ำในพิธีกรรมที่ม้งได้สัมพันธ์กับธรรมชาติ เช่น ทุกปีก่อนฤดูลงทำนาหรือทำไร่ ม้งจะประกอบพิธีกรรมเพื่อบอกกล่าวแก่เจ้าชีวิตผู้ดูแล เพื่อขออนุญาตตัดใบไม้เพื่อถางป่าหรือขุดพลิกหน้าดินเพื่อทำไร่ หรือเมื่อจะใช้ประโยชน์จากน้ำ ก็จะมีการทำพิธีขออนุญาตด้วยถ้อยคำง่าย ๆ เพื่อให้เจ้าที่ที่สถิตอยู่ในน้ำจะให้อนุญาตและไม่เป็นการทำผิดต่อผู้พิทักษ์ความสะอาดในน้ำแม่สาใหม่ ในทุก ๆ ปีม้งบ้านแม่สาใหม่จะทำพิธีเลี้ยงผีขุนน้ำเพื่อขอการคุ้มครอง ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณในสรรพสิ่งที่คอยคุ้มครองอยู่ในป่าเขาซึ่งมนุษย์ไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่ทำพีธีกรรมไม่ได้ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า เจ้าแห่งป่าเขาที่ให้ความเป็นธรรมแก่คนดีและลงโทษต่อผู้กระทำผิดจึงกลายมาเป็นฐานคิดสำคัญในเรื่องการดูแลทรัพยากรป่าไม้ในเขตหมู่บ้านแม่สาใหม่ (หน้า 77) นอกจากนี้ ชุมชนบ้านแม่สาใหม่ยังมีการผลิตซ้ำกระบวนคิดและสำนึกในอำนาจเหนือธรรมชาติดังกล่าวผ่านพิธีกรรมเชิงอนุรักษ์ต่าง ๆ ด้วย เช่น พิธีกรรมรักษาป่า "ดงเซ้ง", การบวชป่า และการทำแนวกันไฟ พิธีกรรมรักษาป่า "ดงเซ้ง" มีรากมาจาก "พิธีดงเซ้ง" ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ม้งบ้านแม่สาใหม่ทำกันมานาน กล่าวคือ เมื่อจะมีการตั้งหมู่บ้าน ม้งจะหาพื้นที่ที่เหมาะสม คือที่ตั้งต้องมีภูเขาโอบล้อม มีความอุดมสมบูรณ์ของดินน้ำป่า จากนั้นก็จะกำหนดพื้นที่ "ป่าดงเซ้ง" ของหมู่บ้านขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเป็นป่าต้นน้ำ โดยจะเลือกต้นไม้ที่มีความเด่นสง่า เมื่อได้แล้วก็จะลงมือประกอบพิธีด้วยการอันเชิญเทพสี่องค์ ได้แก่ เทพถือติ เทพฌ้างเฌ่งติจือ เทพฌ้างเฌ่งจือติ และเทพเจ้าจื้อเซ้งล่งเม่ มาเป็นผู้คุ้มครองผืนดิน ผืนป่า และคน ระหว่างประกอบพิธีจะมีการปฏิญาณตนต่อด้งเซ้งเพื่อให้ปกป้องคุ้มครองครอบครัวและชุมชน เมื่อประกอบพิธีเสร็จจะถือกันว่า ป่าดงเซ้งเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ (หน้า 87 - 88) การบวชป่า เป็นการประยุกต์ความเชื่อทางพุทธศาสนามารักษาป่า และการทำแนวกันไฟ มีการจัดพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีกรรม "เฟ๋แหยะ" เพื่อป้องกันไฟ พิธีสืบชะตาต้นนำเพื่อรักษาน้ำ เป็นต้น (หน้า 93) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากงานวิจัยสามารถสรุปได้ว่า สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็น "อัตลักษณ์" ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้แก่ (1) วัฒนธรรมของคนรักป่าพึ่งพาอาศัยดูแลป่าไม้และระบบนิเวศด้วยความเคารพยำเกรงอ่อนน้อม (2) มีความเชื่อที่ว่า โลกจักรวาลเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจเหนือธรรมชาติ และโลกนี้มีชีวิต จึงเป็นสาเหตุที่โลกหมุนรอบตัวเองและดวงอาทิตย์ได้ (3) มีการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับธรรมชาติตามความเชื่อนี้ด้วย เช่น ทุกปีก่อนฤดูลงทำนาหรือทำไร่ ม้งจะประกอบพิธีกรรมเพื่อบอกกล่าวแก่เจ้าชีวิตผู้ดูแล เพื่อขออนุญาตตัดใบไม้เพื่อถางป่าหรือขุดพลิกหน้าดินเพื่อทำไร่ หรือเมื่อจะใช้ประโยชน์จากน้ำ ก็จะมีการทำพิธีขออนุญาตด้วยถ้อยคำง่าย ๆ เพื่อให้เจ้าที่ที่สถิตอยู่ในน้ำให้อนุญาต และไม่เป็นการทำผิดต่อผู้พิทักษ์ความสะอาดในน้ำแม่สาใหม่ ในทุก ๆ ปีม้งบ้านแม่สาใหม่จะทำพิธีเลี้ยงผีขุนน้ำเพื่อขอการคุ้มครอง (4) มีการปรับปรุงพิธีกรรมความเชื่อเก่าแก่มาใช้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พิธีกรรมรักษาป่า "ดงเซ้ง" ซึ่งเชื่อในเรื่องเทพทั้งสี่องค์ ได้แก่ เทพถือติ เทพฌ้างเฌ่งติจือ เทพฌ้างเฌ่งจือติ และเทพเจ้าจื้อเซ้งล่งเม่ การบวชป่า และการทำแนวกันไฟ เป็นต้น (5) ส่วนอาศัยอยู่บนภูเขาสูงประกอบอาชีพเกษตรกรรม เป็นหลัก (6) มีลักษณะผสมผสานระหว่างรูปแบบการจัดการองค์กรบริหารการปกครองหมู่บ้านกับกลุ่มองค์กรชุมชนที่ขึ้นกับจารีตทางสังคมอย่างหลากหลาย (7) รูปแบบสังคมมีลักษณะชายเป็นใหญ่และเป็นผู้สืบเชื้อสาย รวมทั้งความเชื่อการสืบผีบรรพบุรุษผ่านผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนตามเงื่อนไขความจำเป็นและเป็นครอบครัวขยายในครัวเรือนเดียวกัน หรือจะแยกครัวเรือน แต่ก็ยังถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะผู้ชายเป็นผู้ที่สืบตระกูลและทำพิธีบูชาผีบรรพบุรุษ เป็นต้น |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีต บรรพบุรุษของม้งบ้านแม่สาใหม่ต้องเผชิญกับหลายสิ่ง ตั้งแต่การอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน การทำการเกษตรเพื่อยังชีพ การปราบปรามข้อหาคอมมิวนิสต์และฝิ่น ความล้มเหลวจากการสนับสนุนให้ปลูกพืชพาณิชย์โดยรัฐ การข่มขู่คุกคามจับกุมจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และสภาวะของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม แต่ในปัจจุบันนี้ ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ได้กลับไปรื้อค้นมรดกทางประเพณีวัฒนธรรมทั้งการหยิบยกบางประเด็นขึ้นมาอธิบายและนิยามความหมายใหม่ และการหยิบยืมประเพณีและองค์ความรู้ใหม่มาเติมเต็มเสริมให้วัฒนธรรมของตนมีความแข็งแกร่งขึ้น และมีการสร้างแนวร่วมกับนักวิชาการ นักพัฒนาเอกชน และสื่อมวลชน เพื่อให้เกิดการรับรู้สภาพความเป็นจริงตลอดจนวิถีชีวิต / อัตลักษณ์ของชุมชนม้ง และเพื่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างขึ้น นอกจากนี้ ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ยังได้เลือกหยิบยืมความรู้และวิทยาการสมัยใหม่จากภายนอกเข้ามาผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยการสร้างองค์กรทางสังคมต่างๆ เช่น "เครือข่ายวัฒนธรรมและต่อต้านยาเสพติด" และ "เครือข่ายฟื้นฟูวัฒนธรรมม้งตระกูลแซ่ฒ่อ" ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเวทีการเรียนรู้และใช้เป็นเวทีต่อรองเพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างเข้มแข็งด้วย |
|
Map/Illustration |
แผนภาพ : บริเวณที่ตั้งพื้นที่หมู่บ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่และหมู่บ้านใกล้เคียง(หน้า 21) การจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินและพื้นที่ป่าไม้บ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 85) |
|
|