|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,การยอมรับนวัตกรรม,การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ สังคม,เชียงราย |
Author |
อดิศร ภู่สาระ |
Title |
การศึกษาเปรียบเทียบการยอมรับนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจสังคมชาวม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบกับบนภูเขา ในกิ่งอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
ปริญญานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
153 |
Year |
2536 |
Source |
สาขาวิชาเอกภูมิศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร |
Abstract |
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเศรษฐกิจกับการยอมรับนวัตกรรม ของม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นราบกับบนภูเขา ในกิ่งอำเภอเวียงแก่น จ.เชียงราย โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มม้งสองกลุ่มเป็นจำนวน 300 ครัวเรือน พบว่า ม้งที่อยู่บนพื้นราบมีการยอมรับนวัตกรรมมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขา ในด้านการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร การรักษาพยาบาล การคุมกำเนิด รายได้ ขนาดพื้นที่ทำการเกษตร การนับถือศาสนา การก่อสร้างบ้าน อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนและการแต่งกาย
ดังนั้น ผลจากการยอมรับนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ จึงส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจของม้งทั้งสองกลุ่มในระดับที่แตกต่างกันไป เช่น รายได้ของม้งพื้นราบสูงกว่าม้งบนภูเขา เนื่องจากมีการคมนาคมที่สะดวก พบเห็นวิธีการผลิตทางการเกษตรจากหมู่บ้านอื่น อีกทั้งถูกกระตุ้นให้เปลี่ยนวิถีการผลิตเป็นเพื่อการค้า ซึ่งม้งที่อยู่บนภูเขายังคงมีการเพาะปลูกแบบกึ่งยังชีพ เป็นต้น
ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเศรษฐกิจของม้งแห่งนี้ คือ การยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตร การศึกษา และการสาธารณสุข ซึ่งนอกจากจะทำให้ม้งมีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ก็ส่งผลกระทบต่อระบบวัฒนธรรมด้วย ทั้งในด้านภาษา การแต่งกาย รูปแบบการก่อสร้าง ขนาดของครัวเรือนที่มีลักษณะเลียนแบบคนไทยพื้นราบ อีกทั้งยังส่งผลต่อระบบความเชื่อในการเชื่อถือโชคลางและศาสนาอีกด้วย |
|
Focus |
ศึกษาถึงการยอมรับนวัตกรรมและสภาพเศรษฐกิจสังคมม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบและบนภูเขา นอกจากนี้ ยังศึกษาเปรียบเทียบความสำคัญของตัวแปรทั้ง 2 ในสองพื้นที่ที่มีระบบนิเวศต่างกัน |
|
Theoretical Issues |
จากการศึกษาพบว่า การยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตรของม้งทั้งสองกลุ่ม ที่มีการปลูกพืชชนิดใหม่ใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร ใช้ปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่แตกต่างกันเนื่องด้วยสภาพความแตกต่างทางพื้นที่ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการยอมรับนวัตกรรม เช่น การใช้รถไถหรือรถไถเดินตาม อย่างไรตาม ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ม้งได้มีผลผลิตและรายได้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการก่อสร้างบ้านที่อยู่อาศัยให้มีความคงทนถาวรมากขึ้น และสามารถซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในครัวเรือนได้มากขึ้น (หน้า 123-125) ส่วนการยอมรับนวัตกรรมการศึกษา ซึ่งส่งผลให้เกิดการยอมรับวัฒนธรรมไทยมากขึ้น จึงส่งผลต่อการรับรู้ข่าวสารทางการเกษตร การติดต่อสื่อสารกับคนไทย รวมทั้งการรับเอารูปแบบวัฒนธรรมบางอย่างมาใช้ เช่น การแต่งกาย การสร้างบ้านเรือน เป็นต้น (หน้า 126) และสุดท้ายคือ การยอมรับนวัตกรรมการสาธารณสุข ในด้านการรักษาพยาบาลนั้นจะสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานที่อยู่บนพื้นราบเพราะถือว่ามีความสะดวกในการคมนาคม ส่วนในด้านการคุมกำเนิดมีความสัมพันธ์อย่างมากต่อม้งที่อยู่บนพื้นราบ เพราะนอกจากจะคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรแล้ว ยังได้รับคำแนะนำในการวางแผนครอบครัวอีกด้วยสำหรับม้งที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 127-128) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบและบนภูเขา |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ม้งเริ่มอพยพเข้าสู่ประเทศไทยประมาณ พ.ศ. 2393 โดยผ่านตามแนวชายแดนลาวซึ่งมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ราบภูเขาสูง หากมีที่ราบไม่พอ หมู่บ้านก็จะกระจายลงมาตามความลาดภูเขา ซึ่งม้งในประเทศไทยไม่มีแนวโน้มในการอพยพลงมายังพื้นที่ราบหรือเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์และแบบแผนในการดำรงชีพ จนกระทั่งปี พ.ศ.2515 ได้มีการอพยพม้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์มาตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบ ดังนั้น จึงสามารถแบ่งลักษณะการตั้งถิ่นฐานของม้งได้ 2 ลักษณะ คือ การตั้งถิ่นฐานบนภูเขาและการตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบ (หน้า 35) |
|
Settlement Pattern |
โดยประเพณีม้ง นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่บนพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,000 - 5,000 ฟุต โดยเกณฑ์ในการเลือกที่ตั้งหมู่บ้าน ก็คือ 1.เป็นบริเวณที่อยู่บนสันเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขา 3-4 ลูกเพื่อจะได้ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ 2. ภูเขานั้นต้องกำบังลมพายุได้ 3. การตั้งบ้านเรือนที่ล้อมรอบด้วยภูเขาจะได้รับการคุ้มครองจากผีป่า 4. การตั้งหมู่บ้านนั้นต้องไม่อยู่ในบริเวณที่เคยเป็นหมู่บ้านมาก่อน 5.รอบหมู่บ้านต้องมีที่ดินเพียงพอในการทำเกษตร 6.บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านอยู่ใกล้หมู่บ้านอื่น (หน้า 34-35)
แต่ในระยะหลัง เนื่องจากการอพยพและความจำเป็นทางเศรษฐกิจ มีม้งบางกลุ่มอพยพลงมาอยู่ในที่ราบหรือที่ตั้งอยู่ในระดับที่ต่ำลงมา ม้งที่อยู่พื้นที่ราบและบนภูเขาส่วนใหญ่สร้างบ้านชั้นเดียว ส่วนวัสดุในการก่อสร้างแตกต่างกันออกไป กล่าวคือ วัสดุในการสร้างบ้านม้งพื้นราบมีความหลากหลาย เช่น ไม้ไผ่ ไม้กระดาน ปูนซีเมนต์ สังกะสี กระเบื้อง เนื่องจากมีควาสะดวกในการขนส่งวัสดุอุปกรณ์และเกิดการเลียนแบบการสร้างบ้านจากคนไทย ในขณะที่ม้งบนภูเขาจะใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ ไม้กระดาน หญ้าคา เป็นต้น ยกเว้นครอบครัวที่มีฐานะดีก็จะซื้อวัสดุก่อสร้างที่มีความคงทนแข็งแรงกว่า (หน้า 81) |
|
Demography |
ประชากรกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นราบมีจำนวน 6 หมู่บ้าน 515 ครัวเรือน ส่วนประชากรกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานบนภูเขามีจำนวน 7 หมู่บ้าน 412 ครัวเรือน (หน้า 37) ม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบและบนภูเขาส่วนใหญ่มีขนาดครัวเรือน 4-6 คน และยังมีขนาดครัวเรือน 7-9 คน และมากกว่า 9 คน มากน้อยตามลำดับ (หน้า 75) |
|
Economy |
การเกษตรกรรม - ม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบและบนภูเขาต่างก็มีการยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตรในการปลูกพืชชนิดใหม่ ซึ่งพืชที่ปลูก ได้แก่ กะหล่ำปลีสำหรับม้งบนพื้นราบ และขิงหรือเมล็ดเดือยสำหรับม้งบนภูเขา นอกจากนี้ยังมีม้งจำนวนหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานทั้ง 2 แห่งยังคงปลูกพืชชนิดเดิมอยู่ คือ ข้าวและข้าวโพด สำหรับการปลูกพืชชนิดเดิมและชนิดใหม่จะใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเร่งการเติบโตของต้นกล้าเท่านั้น ซึ่งม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบจะมีการใช้ปุ๋ยเคมีเพียง 1 สูตร เนื่องจาก ข้อจำกัดด้านการลงทุนที่มากกว่าม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนภูเขาจึงสามารถจัดซื้อปุ๋ยเคมีได้มากกว่า 1 สูตร ส่วนในเรื่องการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร ม้งที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่ราบส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการเตรียมพื้นที่และการแปรรูป คิดเป็นร้อยละ 90.7 หรือ 136 ครัวเรือน แต่ม้งบนภูเขาส่วนใหญ่จะใช้เครื่องจักรกลเพื่อการแปรรูปผลผลิตเท่านั้น นอกจากนี้ ม้งกลุ่มนี้จะไม่ใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรมากเท่าม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบ เนื่องจากการนำรถไถหรือรถไถเดินตามและเครื่องสีข้าวโพดเข้าสู่พื้นที่ได้ไม่สะดวกนัก (หน้า 48-55)
รายได้ - การเปรียบเทียบเกี่ยวกับรายได้ของม้งทั้ง 2 แห่ง พบว่า มีความแตกต่างกันไม่มากนัก โดยม้งบนพื้นที่ราบจะมีรายได้สูงกว่า 15,000 บาท ในขณะที่ม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนภูเขามีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท เนื่องจากม้งบนพื้นที่ราบสามารถส่งขายผลผลิตออกสู่ตลาดได้สะดวก และทราบภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงราคาผลผลิตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีขนาดพื้นที่ทำกินมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขา นอกจากนี้ยังได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืชและการปลูกพืชตามความต้องการของตลาดอีกด้วย
ขนาดพื้นที่ทำกิน - พื้นที่ทำการเกษตรของม้งที่อยู่บนพื้นที่ราบ ร้อยละ 66 มีขนาดใหญ่กว่า 10 ไร่ แต่ม้งที่อยู่บนภูเขาร้อยละ 60 มีขนาดพื้นที่น้อยกว่า 10 ไร่ ดังนั้น ม้งที่อยู่บนพื้นราบจึงเป็นกลุ่มที่ใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรมากกว่า ซึ่งนอกจากใช้ในพื้นที่ทำการเกษตรของตนเองแล้วยังใช้ในการรับจ้างเพื่อนบ้านอีกด้วย
แรงงาน - ม้งทั้ง 2 แห่ง ส่วนใหญ่มีจำนวนแรงงานในครอบครัว 3-4 คน โดยที่ม้งบนพื้นราบใช้แรงงานในครัวเรือนในการเพาะปลูก ควบคุมกำจัดวัชพืช และเก็บเกี่ยวผลผลิตในพื้นที่ทำการเกษตรขนาดใหญ่ ส่วนม้งที่อยู่บนภูเขายังใช้แรงงานในครัวเรือนเพื่อการเตรียมพื้นที่อีกด้วย ซึ่งจะเป็นพื้นที่ทำกินขนาดเล็ก (หน้า62-67) |
|
Social Organization |
ครัวเรือนม้งที่อยู่บนพื้นราบและบนภูเขามีทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย โดยที่ครอบครัวเดี่ยวจะมีสมาชิกพียงบิดา มารดาและบุตร ในขณะที่ครอบครัวขยายจะมีบุตรที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่ได้แยกครัวเรือนออกไป ซึ่งการทำการเกษตรภายในครอบครัวขยายจะเป็นการร่วมกันทำรายได้จากการจำหน่ายผลผลิต และค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนจะอยู่ในความดูแลของหัวหน้าครัวเรือน (หน้า 76) กลุ่มกิจกรรมที่ม้งบนพื้นราบและบนภูเขาเป็นสมาชิก ก็คือ กลุ่มผู้อาวุโส ที่ทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีม้งและการตัดสินข้อขัดแย้งในแต่ละหมู่บ้าน (หน้า 78) |
|
Belief System |
ม้งทั้ง 2 กลุ่มต่างก็ยังมีการนับถือผีมากกว่าการนับถือศาสนาคริสต์ แต่ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่จะอยู่ในชุมชนสังคมพื้นราบมากกว่าม้งบนภูเขา เนื่องจากระยะเวลาในการตั้งถิ่นฐานเป็นเวลานานและผู้เผยแพร่ศาสนาก็สะดวกต่อการคมนาคมเข้าถึงชุมชนได้ดีกว่า ม้งที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์จะเป็นผู้ที่มีฐานะยากจนไม่สามารถซื้อสัตว์เลี้ยงเพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อเดิมได้ อีกทั้งได้รับคำแนะนำจากญาติพี่น้อง โดยเห็นว่าจะได้รับความช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหาต่างๆ ส่วนการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์ของม้งบนภูเขาจะทำจากเทปบันทึกเสียง หากจำเป็นต้องประกอบพิธีกรรม เช่น งานศพก็จะติดต่อผู้เผยแพร่ศาสนาให้เดินทางมาประกอบพิธีกรรมให้ (หน้า 68-69)
ความเชื่อถือโชคลางของม้งในเรื่องต่าง ๆ เช่น การออกไปทำงานในวันศีลจะทำให้เจ็บป่วย การประกอบพิธีกรรม (ทำผี) จะทำให้หายป่วย หรือหญิงที่ไม่มีสามีจะคลอดบุตรในบ้านไม่ได้ เนื่องจากจะทำให้ผีไม่พอใจจะบันดาลให้คนในบ้านอยู่ไม่เป็นสุข เป็นต้น ซึ่งความเชื่อถือในโชคลางดังกล่าว ม้งที่อยู่บนภูเขาจะมีมากกว่าม้งที่อยู่บนพื้นราบ เนื่องด้วยม้งกลุ่มหลังมีการปฏิสัมพันธ์กับคนไทย ทำให้มีความคิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น (หน้า 68-74) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ม้งที่อยู่บนพื้นราบส่วนใหญ่จะเข้ารับบริการการรักษาพยาบาลจากสาธารณสุขมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขา เนื่องจากมีความสะดวกในการเดินทางไปยังสถานพยาบาล ดังนั้นม้งที่อยู่บนภูเขาหากมีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีความรู้ด้านการใช้ยาสามัญประจำบ้านจะซื้อยาจากร้านขายยาในเมือง ส่วนม้งที่ฐานะไม่ดี ไม่มีความรู้ด้านการใช้ยาสามัญประจำบ้าน และไม่มีโอกาสปรึกษาด้านการใช้ยา ก็จะใช้วิธีการรักษาโดยการประกอบพิธีกรรมของหมอผี และการใช้ยาสมุนไพร (หน้า 58-59)
นอกจากนี้ ม้งบนพื้นราบยังมีการยอมรับในเรื่องการคุมกำเนิดมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขาอีกด้วย โดยใช้วิธีการฉีดยาและฝังยาคุมกำเนิดมากกว่าวิธีอื่นๆ ทั้งการใช้ถุงยางอนามัย กินยาเม็ดคุมกำเนิดหรือแม้แต่การทำหมัน เนื่องด้วยการฉีดยาและการฝังยาคุมกำเนิดสามารถขอรับบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังสะดวกต่อการมีบุตรเมื่อยาหมดอายุ แต่ก็ยังมีม้งบางกลุ่มที่ยังไม่ยอมรับในเรื่องการคุมกำเนิด เนื่องจากยังต้องการแรงงานในครัวเรือน อีกทั้งยังเชื่อว่าการทำหมันทำให้ไม่มีแรงทำงาน (หน้า 60-61) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย - มังทั้งสองกลุ่มมักซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป เช่น เสื้อ กางเกง กระโปรง เนื่องจากการตัดเย็บเครื่องแต่งกายชุดม้งต้องใช้เวลานานและแรงงานมาก ม้งจึงหันมาซื้อจากตลาด นอกจากนี้ยังพบว่า หญิงม้งทั้งสองกลุ่มยังนิยมแต่งกายด้วยชุดม้ง ในขณะที่ชายม้งที่อยู่บนพื้นราบนิยมแต่งกายแบบคนไทยพื้นราบ แต่ชายม้ง ที่อยู่บนภูเขาก็ยังคงแต่งกายด้วยชุดม้งที่ตัดเย็บเอง โดยจะซื้อผ้ามาจากตลาดแทนการใช้ผ้าทอภายในหมู่บ้าน (หน้า 84-85) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผลจากการยอมรับนวัตกรรมในด้านต่างๆ ทั้งการเกษตร การศึกษา และการสาธารณสุขของม้งทั้งสองกลุ่ม ในกิ่งอำเภอเวียงแก่น จ.เชียงราย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพทางเศรษฐกิจสังคม ดังนี้
- การเกษตรกรรม การเปลี่ยนแปลงชนิดของพืชที่ปลูกจากเดิมได้แก่ ข้าวและข้าวโพด ไปสู่การปลูกพืชชนิดใหม่ซึ่งได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรจากการเข้าเป็นสมาชิก ธกส. สามารถปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ได้ตรงตามความต้องการของตลาดและมีราคาดี นอกจากนี้การนำเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้ ได้แก่ รถไถหรือรถไถเดินตามและเครื่องสีข้าวโพด รวมทั้งการใช้ปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืชก็ช่วยให้ม้งทำการเพาะปลูกได้สะดวกและได้ผลผลิตมากขึ้น ส่งผลให้ม้งทั้งสองกลุ่มมีรายได้สูงขึ้น
- การศึกษา เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม เนื่องจากม้งสามารถติดต่อสื่อสารกับคนไทยพื้นราบทำให้มีโอกาสและมีระยะเวลาในการปฏิสัมพันธ์กับคนไทยพื้นราบมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขา ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ได้แก่ ภาษา การแต่งกาย รูปแบบการก่อสร้างบ้าน (หน้า 126)
- ความเชื่อและการนับถือศาสนา ม้งบางคนหันไปนับถือศาสนาคริสต์แทนการนับถือผี และยังไม่เชื่อถือในเรื่องของโชคลางอีกด้วย เพราะในปัจจุบันได้รับการศึกษาและปฏิสัมพันธ์กับคนไทย ทำให้ม้งเห็นว่าสตรีเองรู้จักคิดในสิ่งที่เป็นเหตุผล จึงยอมรับฟังความคิดเห็นจากสตรีมากขึ้น (หน้า 74, 98-100)
- การสาธารณสุข ได้เปลี่ยนจากการรักษาพยาบาลแบบเดิม คือ หมอผีประกอบพิธีกรรมและการใช้ยาสมุนไพรมาเป็นการรักษาด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อกลุ่มม้งที่ตั้งอยู่ใกล้และมีความสะดวกในการคมนาคมเป็นปัจจัยสำคัญ อีกทั้งมีการยอมรับในเรื่องการคุมกำเนิดที่มากขึ้นอีกด้วย (หน้า 127-128) |
|
Map/Illustration |
แผนภูมิ : แผนภูมิที่ 1 แสดงการตั้งถิ่นฐานของชาวมูเซอ (หน้า 36), แผนภูมิที่ 2 แสดงการย้ายถิ่นฐานของชุมชนบ้านห้วยน้ำจัน(หน้า 41), แผนภูมิที่ 3 แสดงลักษณะที่ตั้งชุมชนบ้านห้วยน้ำจัน (หน้า 45), แผนภูมิที่ 4 ภาพตัดขวางแสดงที่ตั้งของชุมชนบ้านห้วยน้ำจัน(หน้า 46), แผนภูมิที่ 5 แสดงพื้นที่ทำกินและลักษณะการใช้ที่ดินบริเวณบ้านห้วยน้ำจันปี 2535 (หน้า 48), แผนภูมิที่ 6 ภาพมุมสูงและภาพตัดขวางแสดงทิศทางไฟของหมู่บ้านห้วยน้ำจัน (หน้า 71)
รูปภาพ : รูปที่ 1 ภาพจำลองของ System model of human ecology (หน้า 15), รูปที่ 2 แผนภาพแสดงกรอบแนวคิดในการศึกษา (หน้า 26), รูปที่ 3 แสดงความสัมพันธ์ของการเกิดไฟป่าระหว่างกิจกรรมกับฤดูไฟป่า (หน้า 76), รูปที่ 4 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเผาไร่กับการเกิดไฟป่า (หน้า 83), รูปที่ 5 แสดงลำดับการเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติกับสิ่งเหนือธรรมชาติของชาวมูเซอแดงบ้านห้วยน้ำจัน (หน้า 86), รูปที่ 6 แสดงการรับรู้เรื่องไฟป่าของชุมชนมูเซอแดง บ้านห้วยน้ำจัน(หน้า 94) |
|
|