สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การยอมรับนวัตกรรม,การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ สังคม,เชียงราย
Author อดิศร ภู่สาระ
Title การศึกษาเปรียบเทียบการยอมรับนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจสังคมชาวม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบกับบนภูเขา ในกิ่งอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย
Document Type ปริญญานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 153 Year 2536
Source สาขาวิชาเอกภูมิศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
Abstract

งานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเศรษฐกิจกับการยอมรับนวัตกรรม ของม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นราบกับบนภูเขา ในกิ่งอำเภอเวียงแก่น จ.เชียงราย โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มม้งสองกลุ่มเป็นจำนวน 300 ครัวเรือน พบว่า ม้งที่อยู่บนพื้นราบมีการยอมรับนวัตกรรมมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขา ในด้านการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร การรักษาพยาบาล การคุมกำเนิด รายได้ ขนาดพื้นที่ทำการเกษตร การนับถือศาสนา การก่อสร้างบ้าน อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนและการแต่งกาย ดังนั้น ผลจากการยอมรับนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ จึงส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจของม้งทั้งสองกลุ่มในระดับที่แตกต่างกันไป เช่น รายได้ของม้งพื้นราบสูงกว่าม้งบนภูเขา เนื่องจากมีการคมนาคมที่สะดวก พบเห็นวิธีการผลิตทางการเกษตรจากหมู่บ้านอื่น อีกทั้งถูกกระตุ้นให้เปลี่ยนวิถีการผลิตเป็นเพื่อการค้า ซึ่งม้งที่อยู่บนภูเขายังคงมีการเพาะปลูกแบบกึ่งยังชีพ เป็นต้น ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเศรษฐกิจของม้งแห่งนี้ คือ การยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตร การศึกษา และการสาธารณสุข ซึ่งนอกจากจะทำให้ม้งมีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ก็ส่งผลกระทบต่อระบบวัฒนธรรมด้วย ทั้งในด้านภาษา การแต่งกาย รูปแบบการก่อสร้าง ขนาดของครัวเรือนที่มีลักษณะเลียนแบบคนไทยพื้นราบ อีกทั้งยังส่งผลต่อระบบความเชื่อในการเชื่อถือโชคลางและศาสนาอีกด้วย

Focus

ศึกษาถึงการยอมรับนวัตกรรมและสภาพเศรษฐกิจสังคมม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบและบนภูเขา นอกจากนี้ ยังศึกษาเปรียบเทียบความสำคัญของตัวแปรทั้ง 2 ในสองพื้นที่ที่มีระบบนิเวศต่างกัน

Theoretical Issues

จากการศึกษาพบว่า การยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตรของม้งทั้งสองกลุ่ม ที่มีการปลูกพืชชนิดใหม่ใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร ใช้ปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่แตกต่างกันเนื่องด้วยสภาพความแตกต่างทางพื้นที่ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการยอมรับนวัตกรรม เช่น การใช้รถไถหรือรถไถเดินตาม อย่างไรตาม ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ม้งได้มีผลผลิตและรายได้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการก่อสร้างบ้านที่อยู่อาศัยให้มีความคงทนถาวรมากขึ้น และสามารถซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในครัวเรือนได้มากขึ้น (หน้า 123-125) ส่วนการยอมรับนวัตกรรมการศึกษา ซึ่งส่งผลให้เกิดการยอมรับวัฒนธรรมไทยมากขึ้น จึงส่งผลต่อการรับรู้ข่าวสารทางการเกษตร การติดต่อสื่อสารกับคนไทย รวมทั้งการรับเอารูปแบบวัฒนธรรมบางอย่างมาใช้ เช่น การแต่งกาย การสร้างบ้านเรือน เป็นต้น (หน้า 126) และสุดท้ายคือ การยอมรับนวัตกรรมการสาธารณสุข ในด้านการรักษาพยาบาลนั้นจะสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานที่อยู่บนพื้นราบเพราะถือว่ามีความสะดวกในการคมนาคม ส่วนในด้านการคุมกำเนิดมีความสัมพันธ์อย่างมากต่อม้งที่อยู่บนพื้นราบ เพราะนอกจากจะคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรแล้ว ยังได้รับคำแนะนำในการวางแผนครอบครัวอีกด้วยสำหรับม้งที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 127-128)

Ethnic Group in the Focus

ม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบและบนภูเขา

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ม้งเริ่มอพยพเข้าสู่ประเทศไทยประมาณ พ.ศ. 2393 โดยผ่านตามแนวชายแดนลาวซึ่งมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ราบภูเขาสูง หากมีที่ราบไม่พอ หมู่บ้านก็จะกระจายลงมาตามความลาดภูเขา ซึ่งม้งในประเทศไทยไม่มีแนวโน้มในการอพยพลงมายังพื้นที่ราบหรือเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์และแบบแผนในการดำรงชีพ จนกระทั่งปี พ.ศ.2515 ได้มีการอพยพม้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์มาตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบ ดังนั้น จึงสามารถแบ่งลักษณะการตั้งถิ่นฐานของม้งได้ 2 ลักษณะ คือ การตั้งถิ่นฐานบนภูเขาและการตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบ (หน้า 35)

Settlement Pattern

โดยประเพณีม้ง นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่บนพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,000 - 5,000 ฟุต โดยเกณฑ์ในการเลือกที่ตั้งหมู่บ้าน ก็คือ 1.เป็นบริเวณที่อยู่บนสันเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขา 3-4 ลูกเพื่อจะได้ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ 2. ภูเขานั้นต้องกำบังลมพายุได้ 3. การตั้งบ้านเรือนที่ล้อมรอบด้วยภูเขาจะได้รับการคุ้มครองจากผีป่า 4. การตั้งหมู่บ้านนั้นต้องไม่อยู่ในบริเวณที่เคยเป็นหมู่บ้านมาก่อน 5.รอบหมู่บ้านต้องมีที่ดินเพียงพอในการทำเกษตร 6.บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านอยู่ใกล้หมู่บ้านอื่น (หน้า 34-35) แต่ในระยะหลัง เนื่องจากการอพยพและความจำเป็นทางเศรษฐกิจ มีม้งบางกลุ่มอพยพลงมาอยู่ในที่ราบหรือที่ตั้งอยู่ในระดับที่ต่ำลงมา ม้งที่อยู่พื้นที่ราบและบนภูเขาส่วนใหญ่สร้างบ้านชั้นเดียว ส่วนวัสดุในการก่อสร้างแตกต่างกันออกไป กล่าวคือ วัสดุในการสร้างบ้านม้งพื้นราบมีความหลากหลาย เช่น ไม้ไผ่ ไม้กระดาน ปูนซีเมนต์ สังกะสี กระเบื้อง เนื่องจากมีควาสะดวกในการขนส่งวัสดุอุปกรณ์และเกิดการเลียนแบบการสร้างบ้านจากคนไทย ในขณะที่ม้งบนภูเขาจะใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ ไม้กระดาน หญ้าคา เป็นต้น ยกเว้นครอบครัวที่มีฐานะดีก็จะซื้อวัสดุก่อสร้างที่มีความคงทนแข็งแรงกว่า (หน้า 81)

Demography

ประชากรกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นราบมีจำนวน 6 หมู่บ้าน 515 ครัวเรือน ส่วนประชากรกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานบนภูเขามีจำนวน 7 หมู่บ้าน 412 ครัวเรือน (หน้า 37) ม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบและบนภูเขาส่วนใหญ่มีขนาดครัวเรือน 4-6 คน และยังมีขนาดครัวเรือน 7-9 คน และมากกว่า 9 คน มากน้อยตามลำดับ (หน้า 75)

Economy

การเกษตรกรรม - ม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบและบนภูเขาต่างก็มีการยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตรในการปลูกพืชชนิดใหม่ ซึ่งพืชที่ปลูก ได้แก่ กะหล่ำปลีสำหรับม้งบนพื้นราบ และขิงหรือเมล็ดเดือยสำหรับม้งบนภูเขา นอกจากนี้ยังมีม้งจำนวนหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานทั้ง 2 แห่งยังคงปลูกพืชชนิดเดิมอยู่ คือ ข้าวและข้าวโพด สำหรับการปลูกพืชชนิดเดิมและชนิดใหม่จะใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเร่งการเติบโตของต้นกล้าเท่านั้น ซึ่งม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบจะมีการใช้ปุ๋ยเคมีเพียง 1 สูตร เนื่องจาก ข้อจำกัดด้านการลงทุนที่มากกว่าม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนภูเขาจึงสามารถจัดซื้อปุ๋ยเคมีได้มากกว่า 1 สูตร ส่วนในเรื่องการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร ม้งที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่ราบส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการเตรียมพื้นที่และการแปรรูป คิดเป็นร้อยละ 90.7 หรือ 136 ครัวเรือน แต่ม้งบนภูเขาส่วนใหญ่จะใช้เครื่องจักรกลเพื่อการแปรรูปผลผลิตเท่านั้น นอกจากนี้ ม้งกลุ่มนี้จะไม่ใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรมากเท่าม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ราบ เนื่องจากการนำรถไถหรือรถไถเดินตามและเครื่องสีข้าวโพดเข้าสู่พื้นที่ได้ไม่สะดวกนัก (หน้า 48-55) รายได้ - การเปรียบเทียบเกี่ยวกับรายได้ของม้งทั้ง 2 แห่ง พบว่า มีความแตกต่างกันไม่มากนัก โดยม้งบนพื้นที่ราบจะมีรายได้สูงกว่า 15,000 บาท ในขณะที่ม้งที่ตั้งถิ่นฐานบนภูเขามีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท เนื่องจากม้งบนพื้นที่ราบสามารถส่งขายผลผลิตออกสู่ตลาดได้สะดวก และทราบภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงราคาผลผลิตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีขนาดพื้นที่ทำกินมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขา นอกจากนี้ยังได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืชและการปลูกพืชตามความต้องการของตลาดอีกด้วย ขนาดพื้นที่ทำกิน - พื้นที่ทำการเกษตรของม้งที่อยู่บนพื้นที่ราบ ร้อยละ 66 มีขนาดใหญ่กว่า 10 ไร่ แต่ม้งที่อยู่บนภูเขาร้อยละ 60 มีขนาดพื้นที่น้อยกว่า 10 ไร่ ดังนั้น ม้งที่อยู่บนพื้นราบจึงเป็นกลุ่มที่ใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรมากกว่า ซึ่งนอกจากใช้ในพื้นที่ทำการเกษตรของตนเองแล้วยังใช้ในการรับจ้างเพื่อนบ้านอีกด้วย แรงงาน - ม้งทั้ง 2 แห่ง ส่วนใหญ่มีจำนวนแรงงานในครอบครัว 3-4 คน โดยที่ม้งบนพื้นราบใช้แรงงานในครัวเรือนในการเพาะปลูก ควบคุมกำจัดวัชพืช และเก็บเกี่ยวผลผลิตในพื้นที่ทำการเกษตรขนาดใหญ่ ส่วนม้งที่อยู่บนภูเขายังใช้แรงงานในครัวเรือนเพื่อการเตรียมพื้นที่อีกด้วย ซึ่งจะเป็นพื้นที่ทำกินขนาดเล็ก (หน้า62-67)

Social Organization

ครัวเรือนม้งที่อยู่บนพื้นราบและบนภูเขามีทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย โดยที่ครอบครัวเดี่ยวจะมีสมาชิกพียงบิดา มารดาและบุตร ในขณะที่ครอบครัวขยายจะมีบุตรที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่ได้แยกครัวเรือนออกไป ซึ่งการทำการเกษตรภายในครอบครัวขยายจะเป็นการร่วมกันทำรายได้จากการจำหน่ายผลผลิต และค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนจะอยู่ในความดูแลของหัวหน้าครัวเรือน (หน้า 76) กลุ่มกิจกรรมที่ม้งบนพื้นราบและบนภูเขาเป็นสมาชิก ก็คือ กลุ่มผู้อาวุโส ที่ทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีม้งและการตัดสินข้อขัดแย้งในแต่ละหมู่บ้าน (หน้า 78)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ม้งทั้ง 2 กลุ่มต่างก็ยังมีการนับถือผีมากกว่าการนับถือศาสนาคริสต์ แต่ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่จะอยู่ในชุมชนสังคมพื้นราบมากกว่าม้งบนภูเขา เนื่องจากระยะเวลาในการตั้งถิ่นฐานเป็นเวลานานและผู้เผยแพร่ศาสนาก็สะดวกต่อการคมนาคมเข้าถึงชุมชนได้ดีกว่า ม้งที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์จะเป็นผู้ที่มีฐานะยากจนไม่สามารถซื้อสัตว์เลี้ยงเพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อเดิมได้ อีกทั้งได้รับคำแนะนำจากญาติพี่น้อง โดยเห็นว่าจะได้รับความช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหาต่างๆ ส่วนการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์ของม้งบนภูเขาจะทำจากเทปบันทึกเสียง หากจำเป็นต้องประกอบพิธีกรรม เช่น งานศพก็จะติดต่อผู้เผยแพร่ศาสนาให้เดินทางมาประกอบพิธีกรรมให้ (หน้า 68-69) ความเชื่อถือโชคลางของม้งในเรื่องต่าง ๆ เช่น การออกไปทำงานในวันศีลจะทำให้เจ็บป่วย การประกอบพิธีกรรม (ทำผี) จะทำให้หายป่วย หรือหญิงที่ไม่มีสามีจะคลอดบุตรในบ้านไม่ได้ เนื่องจากจะทำให้ผีไม่พอใจจะบันดาลให้คนในบ้านอยู่ไม่เป็นสุข เป็นต้น ซึ่งความเชื่อถือในโชคลางดังกล่าว ม้งที่อยู่บนภูเขาจะมีมากกว่าม้งที่อยู่บนพื้นราบ เนื่องด้วยม้งกลุ่มหลังมีการปฏิสัมพันธ์กับคนไทย ทำให้มีความคิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น (หน้า 68-74)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ม้งที่อยู่บนพื้นราบส่วนใหญ่จะเข้ารับบริการการรักษาพยาบาลจากสาธารณสุขมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขา เนื่องจากมีความสะดวกในการเดินทางไปยังสถานพยาบาล ดังนั้นม้งที่อยู่บนภูเขาหากมีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีความรู้ด้านการใช้ยาสามัญประจำบ้านจะซื้อยาจากร้านขายยาในเมือง ส่วนม้งที่ฐานะไม่ดี ไม่มีความรู้ด้านการใช้ยาสามัญประจำบ้าน และไม่มีโอกาสปรึกษาด้านการใช้ยา ก็จะใช้วิธีการรักษาโดยการประกอบพิธีกรรมของหมอผี และการใช้ยาสมุนไพร (หน้า 58-59) นอกจากนี้ ม้งบนพื้นราบยังมีการยอมรับในเรื่องการคุมกำเนิดมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขาอีกด้วย โดยใช้วิธีการฉีดยาและฝังยาคุมกำเนิดมากกว่าวิธีอื่นๆ ทั้งการใช้ถุงยางอนามัย กินยาเม็ดคุมกำเนิดหรือแม้แต่การทำหมัน เนื่องด้วยการฉีดยาและการฝังยาคุมกำเนิดสามารถขอรับบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังสะดวกต่อการมีบุตรเมื่อยาหมดอายุ แต่ก็ยังมีม้งบางกลุ่มที่ยังไม่ยอมรับในเรื่องการคุมกำเนิด เนื่องจากยังต้องการแรงงานในครัวเรือน อีกทั้งยังเชื่อว่าการทำหมันทำให้ไม่มีแรงทำงาน (หน้า 60-61)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย - มังทั้งสองกลุ่มมักซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป เช่น เสื้อ กางเกง กระโปรง เนื่องจากการตัดเย็บเครื่องแต่งกายชุดม้งต้องใช้เวลานานและแรงงานมาก ม้งจึงหันมาซื้อจากตลาด นอกจากนี้ยังพบว่า หญิงม้งทั้งสองกลุ่มยังนิยมแต่งกายด้วยชุดม้ง ในขณะที่ชายม้งที่อยู่บนพื้นราบนิยมแต่งกายแบบคนไทยพื้นราบ แต่ชายม้ง ที่อยู่บนภูเขาก็ยังคงแต่งกายด้วยชุดม้งที่ตัดเย็บเอง โดยจะซื้อผ้ามาจากตลาดแทนการใช้ผ้าทอภายในหมู่บ้าน (หน้า 84-85)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ผลจากการยอมรับนวัตกรรมในด้านต่างๆ ทั้งการเกษตร การศึกษา และการสาธารณสุขของม้งทั้งสองกลุ่ม ในกิ่งอำเภอเวียงแก่น จ.เชียงราย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพทางเศรษฐกิจสังคม ดังนี้ - การเกษตรกรรม การเปลี่ยนแปลงชนิดของพืชที่ปลูกจากเดิมได้แก่ ข้าวและข้าวโพด ไปสู่การปลูกพืชชนิดใหม่ซึ่งได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรจากการเข้าเป็นสมาชิก ธกส. สามารถปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ได้ตรงตามความต้องการของตลาดและมีราคาดี นอกจากนี้การนำเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้ ได้แก่ รถไถหรือรถไถเดินตามและเครื่องสีข้าวโพด รวมทั้งการใช้ปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืชก็ช่วยให้ม้งทำการเพาะปลูกได้สะดวกและได้ผลผลิตมากขึ้น ส่งผลให้ม้งทั้งสองกลุ่มมีรายได้สูงขึ้น - การศึกษา เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม เนื่องจากม้งสามารถติดต่อสื่อสารกับคนไทยพื้นราบทำให้มีโอกาสและมีระยะเวลาในการปฏิสัมพันธ์กับคนไทยพื้นราบมากกว่าม้งที่อยู่บนภูเขา ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ได้แก่ ภาษา การแต่งกาย รูปแบบการก่อสร้างบ้าน (หน้า 126) - ความเชื่อและการนับถือศาสนา ม้งบางคนหันไปนับถือศาสนาคริสต์แทนการนับถือผี และยังไม่เชื่อถือในเรื่องของโชคลางอีกด้วย เพราะในปัจจุบันได้รับการศึกษาและปฏิสัมพันธ์กับคนไทย ทำให้ม้งเห็นว่าสตรีเองรู้จักคิดในสิ่งที่เป็นเหตุผล จึงยอมรับฟังความคิดเห็นจากสตรีมากขึ้น (หน้า 74, 98-100) - การสาธารณสุข ได้เปลี่ยนจากการรักษาพยาบาลแบบเดิม คือ หมอผีประกอบพิธีกรรมและการใช้ยาสมุนไพรมาเป็นการรักษาด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อกลุ่มม้งที่ตั้งอยู่ใกล้และมีความสะดวกในการคมนาคมเป็นปัจจัยสำคัญ อีกทั้งมีการยอมรับในเรื่องการคุมกำเนิดที่มากขึ้นอีกด้วย (หน้า 127-128)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนภูมิ : แผนภูมิที่ 1 แสดงการตั้งถิ่นฐานของชาวมูเซอ (หน้า 36), แผนภูมิที่ 2 แสดงการย้ายถิ่นฐานของชุมชนบ้านห้วยน้ำจัน(หน้า 41), แผนภูมิที่ 3 แสดงลักษณะที่ตั้งชุมชนบ้านห้วยน้ำจัน (หน้า 45), แผนภูมิที่ 4 ภาพตัดขวางแสดงที่ตั้งของชุมชนบ้านห้วยน้ำจัน(หน้า 46), แผนภูมิที่ 5 แสดงพื้นที่ทำกินและลักษณะการใช้ที่ดินบริเวณบ้านห้วยน้ำจันปี 2535 (หน้า 48), แผนภูมิที่ 6 ภาพมุมสูงและภาพตัดขวางแสดงทิศทางไฟของหมู่บ้านห้วยน้ำจัน (หน้า 71) รูปภาพ : รูปที่ 1 ภาพจำลองของ System model of human ecology (หน้า 15), รูปที่ 2 แผนภาพแสดงกรอบแนวคิดในการศึกษา (หน้า 26), รูปที่ 3 แสดงความสัมพันธ์ของการเกิดไฟป่าระหว่างกิจกรรมกับฤดูไฟป่า (หน้า 76), รูปที่ 4 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเผาไร่กับการเกิดไฟป่า (หน้า 83), รูปที่ 5 แสดงลำดับการเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติกับสิ่งเหนือธรรมชาติของชาวมูเซอแดงบ้านห้วยน้ำจัน (หน้า 86), รูปที่ 6 แสดงการรับรู้เรื่องไฟป่าของชุมชนมูเซอแดง บ้านห้วยน้ำจัน(หน้า 94)

Text Analyst ศรายุทธ โรจน์รัตนรักษ์ Date of Report 01 ม.ค. 2548
TAG ม้ง, การยอมรับนวัตกรรม, การเปลี่ยนแปลง, เศรษฐกิจ สังคม, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง