|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,นโยบาย,รัฐ,ชายแดนภาคใต้ |
Author |
Ministry of Foreign Affair |
Title |
Thai Muslims |
Document Type |
เอกสารวิชาการ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
24 |
Year |
2522 |
Source |
เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ |
Abstract |
ประเทศไทยมีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามหรือที่เรียกว่า "มุสลิม" ประมาณ 2 ล้านคน โดยจะมีความหนาแน่นในบริเวณ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ซึ่งต่างก็ได้รับสิทธิและเสรีภาพภายใต้กฎหมายไทยไม่แตกต่างกับราษฎรในศาสนาอื่น ๆ ไทยมุสลิมอยู่ภายในพระบรมราชูปถัมป์ ซึ่งต่างก็ได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนไม่แตกต่างกับคนไทยโดยทั่วไป รวมทั้งรัฐบาลไทยที่ได้ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมอยู่หลายประการ ในด้านการเมืองคือเรื่องการเคลื่อนไหวของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยที่พยายามต่อต้านอำนาจรัฐและประกาศจัดตั้งรัฐอิสระในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งต้องการสร้างแนวร่วมไทยมุสลิมในพื้นที่เพื่อก่อการโดยใช้ความแตกต่างด้านศาสนา ขนบธรรมเนียมและประเพณีเป็นเครื่องมือ ส่วนในด้านเศรษฐกิจพบว่าไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำการเกษตรเป็นหลัก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ และราคาในท้องตลาด ประกอบกับความไม่มั่นคงปลอดภัยในการประกอบอาชีพท่ามกลางการก่อความไม่สงบของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ในด้านสังคมพบว่าไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเข้าใจผิดในเรื่องศาสนาและปฏิเสธการศึกษาในระบบภาษาไทย นโยบายของรัฐบาลไทยจึงมุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาต่างๆ โดยที่ยังคงให้รักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีและศาสนาไว้ พยายามหลีกเลี่ยงมาตรการที่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น โดยแบ่งเป็นนโยบายด้านศาสนา นโยบายด้านการศึกษา นโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ นโยบายด้านสังคม และนโยบายด้านการบริหารและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ |
|
Focus |
เน้นไทยมุสลิมในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล โดยระบุถึงประวัติศาสตร์การเข้ามาของอิสลามในประเทศไทย ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับราษฎรไทยมุสลิม สภาพปัญหาของไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาดังกล่าว |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมุสลิม โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเขต 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล (หน้า 2 และหน้า 7) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุชัดเจน แต่อธิบายว่า ไทยมุสลิมมองว่าการศึกษาภาษาอื่นนอกจากภาษามาเลย์ (Malay) และภาษาอาหรับ (Arabic) เป็นบาป (หน้า 12) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ศาสนาอิสลามเผยแพร่เข้ามาในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในระหว่างศตวรรษที่ 12 โดยพ่อค้าพาณิชย์จากคาบสมุทรอาหรับ และจากมุสลิมชาวอินเดียผู้มาค้าขายในแถบนี้ ในเริ่มแรกอิสลามแพร่หลายมาในเกาะสุมาตรา และเขตเมืองที่เจริญริมชายฝั่ง หลังจากนั้นก็ขยายเข้าสู่เกาะอื่นๆ ในอินโดนีเซีย และคาบสมุทรมาเลย์ ราวศตวรรษที่ 13 ศาสนาอิสลามได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในสมัยที่สุโขทัยเป็นราชธานี เมื่ออยุธยาเป็นราชธานี มุสลิมได้ทำการค้าขายอย่างมั่นคงและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้การอุปถัมป์ของพระมหากษัตริย์ไทย นอกจากนี้อิสลามได้เข้ามาแพร่หลายในภาคเหนือของประเทศไทยโดยมุสลิมชาวจีนซึ่งอพยพเข้ามา จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศจีนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (หน้า 2) |
|
Demography |
ประเทศไทยมีประชากรที่เป็นมุสลิม 3.8 % หรือประมาณ 2 ล้านคน (จากประชากรไทยประมาณ 44,039,000 คน - สถิติปี ค.ศ. 1977) ราว 75 % ของไทยมุสลิมจะอาศัยอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันได้แก่ ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล (หน้า 1) ในส่วนของประชากรใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีประมาณ 1,212,673 คน (ปัตตานี 415,150 คน, ยะลา 244,587 คน, นราธิวาส 405,916 คน และสตูล 147,020 คน) นอกจากนี้ ราว 75 % หรือ 909,500 คนเป็นมุสลิม (หน้า 2) |
|
Economy |
ระบุเพียงว่า มุสลิมส่วนใหญ่ในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ผลผลิตและรายได้จึงขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ และความไม่แน่นอนของราคาผลผลิตในตลาด (หน้า 11) |
|
Social Organization |
ไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจน |
|
Political Organization |
นโยบายพื้นฐานของรัฐบาลต่อการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น คือจะต้องเคารพต่อจารีตประเพณี และศาสนาของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งหลีกเลี่ยงมาตรการใดๆ ก็ตามที่จะส่งผลให้สร้างความขัดแย้ง และกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของประชาชน นอกจากนี้ นโยบายด้านศาสนาระบุว่า จะให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา และสนับสนุนการปฏิบัติศาสนกิจของอิสลาม ด้านนโยบายการศึกษามุ่งสร้างมาตรฐานด้านการศึกษาในพื้นที่ให้สูงขึ้น ถึงระดับอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย นโยบายนี้จะได้รับคุณวุฒิและโอกาสที่จะเข้าถึงบริการของรัฐหรือมีอาชีพที่มั่นคงมากขึ้น นโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ มุ่งให้ความสนใจและความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่ในพื้นที่ที่หลากหลาย ขณะเดียวกันมาตรการเหล่านี้จะยังคงรักษาซึ่งประเพณีและวัฒนธรรมราวกับเป็นศาสนาของประชาชนในพื้นที่ ส่วนนโยบายด้านกิจการสังคม รัฐบาลได้ขยายและแก้ไขการบริการในส่วนของการสื่อสาร สาธารณูปโภค และสาธารณสุข และสุดท้ายนโยบายด้านบริหารและแก้ไขกฎหมายและระเบียบ รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารส่วนท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับชาติ มุสลิมหลายคนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมหมู่บ้านและคณะกรรมการตำบล และได้รับเลือกเข้าสภาจังหวัด ในส่วนข้าราชการไทยมุสลิมจะได้รับการแต่งตั้งให้บรรจุในตำแหน่งบริหารหลายตำแหน่ง อาทิเช่น นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด และในระดับชาติ รัฐบาลส่งเสริมให้ไทยมุสลิมเข้ารับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับตำแหน่งวุฒิสมาชิก ในแง่ของสถานะทางกฎหมาย สิทธิ และเสรีภาพของผู้ที่มีสัญชาติไทย ซึ่งรวมทั้งมุสลิมไทย ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1965 อันถือว่าแม้จะมีความแตกต่างในด้านศาสนา ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยให้สถานะทางกฎหมาย สิทธิ และเสรีภาพของมุสลิมไทยแตกต่างกับคนส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธแต่อย่างใด (หน้า 4) นอกจากนี้ไทยมุสลิมยังได้รับสิทธิพิเศษภายใต้กฎหมายเฉพาะ 3 ฉบับที่ใช้ในหมู่มุสลิมไทย อันได้แก่ (หน้า 4 - 6) - พระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับมัสยิดอิสลาม ปี ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) ซึ่งได้ให้การรับรองฐานะของคณะกรรมการมัสยิด อันประกอบด้วย อีมาม (Imam) คอเต็บ (Khatib) และมุอัซซิน (Muazzin) รวมทั้งเป็นการรับรองฐานะของมัสยิดอีกด้วย - พระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลผู้ดำรงตำแหน่ง "จุฬาราชมนตรี" อันเป็นบุคคลสำคัญและเป็นผู้ที่มีทางศาสนาอิสลาม และได้รับเลือกจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ซึ่งจะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับด้านศาสนาอิสลามแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ ยังมีพระบรมราชโองการจัดตั้งคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นหน่วยงานให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เช่นเดียวกับที่ในระดับจังหวัดก็มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 26 จังหวัดทั่วประเทศ - พระราชบัญญัติปี ค.ศ.1946 ในเรื่องการประกาศใช้กฎหมายอิสลามใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในหัวข้อกฎหมายมรดก และกฎหมายครอบครัวซึ่งระบุในหมวดที่ 5 และ 6 ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งดาโต๊ะยุติธรรม (Islamic Judges) จำนวน 2 คน เพื่อทำหน้าที่พิพากษาในกรณีดังกล่าว |
|
Belief System |
ไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจน |
|
Education and Socialization |
ระบุแต่เพียงว่าในเขต 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีโรงเรียน 1,500 โรงเรียน และสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัยอีกจำนวนหนึ่ง ประกอบด้วยอาจารย์ประมาณ 10,850 คน และนักเรียนประมาณ 283,000 คน และในจำนวนนี้ 23,000 คนเป็นนักเรียนในโรงเรียนปอเนาะ (Pondok) ซึ่งเป็นโรงเรียนของมุสลิม (หน้า 9) การศึกษาของไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีแนวโน้มที่จะปฏิเสธการเรียนการสอนในภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาราชการ จึงมีการส่งบุตรหลานเข้าเรียนเพียงระดับเกณฑ์บังคับเท่านั้น และนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนปอเนาะ (Pondok) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ส่งผลให้เป็นการยากที่นักเรียนในแถบนี้จะได้ศึกษาในระดับสูงทางด้านสามัญและด้านการอาชีพ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงโอกาสในการประกอบอาชีพที่มีรายได้สูงอีกด้วย (หน้า 9 และหน้า 12) |
|
Health and Medicine |
ในแต่ละจังหวัดมีเครือข่ายโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ศูนย์ผดุงครรภ์ และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่อย่างเพียงพอ (หน้า 9) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ปัญหาของไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีหลายมิติ แต่ไม่ได้เป็นความขัดแย้งเกี่ยวกับศาสนา ประเทศไทยให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา และไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มใดในเรื่องการนับถือศาสนาเลย ในทางตรงกันข้ามกลับได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนจากรัฐบาลเสียอีก (หน้า 10) |
|
Social Cultural and Identity Change |
อาจสรุปได้ว่าปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือผลของความไม่สมดุลของการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เกิดขึ้น (หน้า 10-12) ในด้านการเมือง : สืบเนื่องมาจากการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินซึ่งรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางในอดีต ทำให้มีผู้สูญเสียผลประโยชน์จำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วย และนำไปสู่การก่อตัวขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพื่อปลดปล่อยจังหวัดชายแดนภาคใต้และจัดตั้งรัฐขึ้นมา ในการนี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้ใช้ความแตกต่างทางด้านศาสนา ขนบธรรมเนียมและประเพณีระหว่างมุสลิมกับกลุ่มอื่น ๆ เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม มุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้สนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวมีการร่วมผสมโรงจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไทย ซึ่งร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายา โดยสัมพันธ์กับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในแง่ของการแลกเปลี่ยนประโยชน์บางประการ พบว่า มีปัจจัยในเรื่องความไม่ปลอดภัยในการประกอบอาชีพของคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันส่งผลมาจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่จะล้มล้างรัฐบาล จึงทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการป้องกันและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแก่ประชาชน ขณะเดียวกัน ก็ผลักดันจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าเป็นพื้นที่เร่งรัดพัฒนา (Accelerated Development Areas) ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 (ค.ศ.1977 - 1981) ไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยึดถือว่าขนบธรรมเนียมและประเพณีของตนเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม และมักจะปฏิเสธต่อสิ่งที่อยู่นอกศาสนา อันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการศึกษา เพราะไทยมุสลิมในพื้นที่มักไม่ยอมรับการศึกษาในภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาราชการ ยอมรับแต่ภาษามาเลย์ (Malay) และภาษาอาหรับ (Arabic) ส่งผลให้ไทยมุสลิมในพื้นที่เน้นการศึกษาของบุตรหลานในวิชาศาสนามากกว่าด้านสามัญและวิชาชีพ |
|
Map/Illustration |
แผนที่ประเทศไทย (ไม่ระบุเลขหน้า) รูปภาพพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเยี่ยมราษฎรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น - ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และทรงไต่ถามถึงทุกข์สุขของราษฎรเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด |
|
|