|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้อพยพชาวม้งลาว, ความเป็นชาติพันธุ์ม้งในบริบทรัฐชาติสมัยใหม่, ปัญหาความมั่นคง, นโยบายและปฏิบัติการของรัฐไทย, บ้านห้วยน้ำขาว, ชุมชนถ้ำกระบอก, ม้งลาว |
Author |
ประสิทธิ์ ลีปรีชา, สุภางค์ จันทวานิช |
Title |
ม้งลาวในประเทศไทย : นโยบายและการดำเนินการของภาครัฐไทย (2518 - 2552) |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) |
Total Pages |
197 |
Year |
2554 |
Source |
กรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย |
Abstract |
ปรากฎการณ์การอพยพข้ามเส้นแบ่งพรมแดนรัฐชาติของชาวม้งจากประเทศลาวเข้าสู่ประเทศไทยที่บ้านห้วยน้ำขาว เป็นผลพวงระยะยาวจากการล่าอาณานิคมของประเทศยุโรปกับการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ในภูมิภาคนี้ ตามมาด้วยบริบทความขัดแย้งทางการเมืองในยุคสงครามเย็นและบริบทของกระแสโลกาภิวัตน์ ในงานศึกษานี้เป็นการนำเสนอบริบททางด้านประวัติศาสตร์และการเมือง รวมทั้งอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ส่งผลต่อการอพยพของชาวม้งจากประเทศลาวที่บ้านห้วยน้ำขาวในจังหวัดเพชรบูรณ์ ม้งลาวชุมชนถ้ำกระบอก จังหวัดสระบุรีและม้งลาว จังหวัดหนองคาย (น.3-4) |
|
Focus |
งานศึกษานี้ต้องการทำความเข้าใจว่า ความเป็น “กลุ่มชาติพันธุ์ม้งลาว ”ในประเทศไทยมีความหมายอย่างไร ในบริบท “ ความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ของไทยและลาว ” รวมทั้งศึกษาถึงบริบททางประวัติศาสตร์และการเมืองที่ทำให้ชาวม้งลาวต้องอพยพเข้าสู่ประเทศไทย ตลอดจนการดำเนินนโยบายและปฏิบัติการของรัฐไทยในการจัดการกับปัญหาความมั่นคงที่เกิดขึ้นจากการอพยพเข้ามาของชาวม้งลาว (น.3) |
|
Theoretical Issues |
ก่อนยุคล่าอาณานิคม รูปแบบการปกครองที่ปรากฏในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์เป็นระบบรัฐจารีตหรืออาณาจักรต่าง ๆ ที่ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดนในเชิงภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนของแต่ละรัฐศูนย์กลางในยุคนั้น ภายใต้ระบบรัฐจารีต กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ มีการเดินทางไปมาหาสู่กันอยู่เป็นประจำและมีการอพยพโยกย้ายมาตั้งถิ่นฐานกระจายตัวในรัฐต่าง ๆ ด้วยเหตุผลของสงคราม การแต่งงาน และการค้าหรือการแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีเป็นหลัก (น. 5 – 6)
ผลพวงจากการล่าอาณานิคมของประเทศยุโรปในภูมิภาคในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่19 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้ก่อให้เกิดการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ (modern nation - state) อันนำไปสู่การขีดเส้นแบ่งพรมแดนทางภูมิศาสตร์ของรัฐชาติสมัยใหม่ในภูมิภาคนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จึงมีสถานะเป็น “พลเมือง” หรือ “คนในบังคับ” ของแต่ละรัฐชาติ ซึ่งนอกจากจะต้องประสบกับการแผ่ขยายอิทธิพลของรัฐบาลกลางที่ยึดกุมอำนาจโดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศแล้ว (น.6 – 7) การเดินทางข้ามเส้นแบ่งพรมแดนรัฐชาติของสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน แต่ถูกแบ่งแยกออกเป็นพลเมืองของอีกรัฐหนึ่ง โดยมิได้ปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ส่งผลทำให้สมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นมีสถานภาพเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย อันเป็นผลพวงมาจากการขีดเส้นแบ่งพรมแดนของรัฐชาติสมัยใหม่ที่ยึดเอาหลักทางภูมิศาสตร์กายภาพ โดยไม่คำนึงถึงเส้นแบ่งทางวัฒนธรรมและการกระจายตัวข้ามพรมแดนของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเคยดำรงอยู่มาก่อนการเกิดขึ้นของระบบรัฐชาติสมัยใหม่ (น.8 – 9)
อ้างอิง Appadurai ( 2002 อ้างใน น.39 ) ว่า บริบทของโลกยุคโลกาภิวัตน์ได้เอื้อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ข้ามพรมแดนรัฐชาติระหว่างผู้คนที่มีการอพยพโยกย้ายและเดินทางไปมาหาสู่กันตลอดเวลา อันก่อให้เกิดการลื่นไหลทางวัฒนธรรมของผู้คนที่ถูกปฏิบัติผ่านกลไกหลักห้าอย่าง คือ เครือข่ายความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์
(ethnoscapes) ระบบการสื่อสาร (mediaspace) ระบบเทคโนโลยี (technoscapes) เครือข่าย เงินทุน หรือธุรกิจ (financescape) และเครือข่ายอุดมการณ์ (ideoscapes) อันส่งผลทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นผู้พลัดถิ่นและคนไร้รัฐสามารถสร้างสำนึกร่วม (ethnic consciousness) หรือความเป็นชุมชนจินตกรรม
(imagined community) (Anderson 1991 อ้างถึงใน น.39) ของตนเองได้ เพื่อนําไปสู่การเปิดพื้นที่ของ ความเป็นชาติ (national space) โดยก้าวข้ามเส้นแบ่งความเป็น รัฐชาติหรือประเทศ หรือมีลักษณะของการเป็นชุมชนข้ามชาติ (transnational community) เช่นเดียวกับความเป็นม้งในบริบทโลกาภิวัตน์ที่แม้ว่าผู้อพยพลี้ภัยชาวม้งลาวได้ตั้งถิ่นฐานอย่างกระจัดกระจายในหลายประเทศทั่วโลก แต่เครือข่ายความสัมพันธ์ของผู้พลัดถิ่นข้ามชาติกลับทำงานได้ดีขึ้นในบริบทของยุคโลกาภิวัตน์ อีกทั้งเครือข่ายของชาวม้งพลัดถิ่นยังเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับมหาอำนาจตะวันตก สื่อ และองค์กรระหว่างประเทศอีกด้วย (น.39 -40) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง (Hmong / Hmoob) เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ภาคเหนือของพม่า ลาว เวียดนาม ไทย และบางส่วนกระจายไปในประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และอื่น ๆ ในบริบทของประเทศนั้น ชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” มักจะถูกใช้อย่างสับสนกับ “แม้ว” หรือ “เหมียว” ซึ่งรากศัพท์ของคำว่า “เหมียว” ในภาษาจีนนั้นหมายถึง ต้นข้าวอ่อน หน่อ หรือวัชพืช กับที่นา ซึ่งหมายถึง ลูกของแผ่นดินและชนพื้นเมืองที่แต่เดิมทำนาเป็นหลัก แต่ในระยะต่อมาถูกนำมาใช้ในลักษณะของการดูถูกทางชาติพันธุ์ โดยการผูกเข้ากับเสียงร้องของแมวและแสดงนัยยะของความเป็นคนป่าเถื่อน คำดังกล่าวเริ่มปรากฎในหลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนภายใต้ชื่อ “เหมียวหมิน” “หยูเหมียว” หรือ “ซาน” “เหมียว” ซึ่งเป็นการกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำฮวงโห ( แม่น้ำเหลือง ) เมื่อประมาณสองพันสองร้อยปีก่อนคริสตศักราช (น.9)
ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนในปี ค.ศ 1949 รัฐบาลจีนได้แบ่งกลุ่มชนชาติของจีน รวม 56 ชนชาติ โดยม้งเป็นเพียงกลุ่มย่อยหนึ่งที่ถูกรวมเข้าไว้ในกลุ่มชนชาติเหมียว ซึ่งประกอบด้วยหลายกลุ่มย่อยตามที่มีการแบ่งกลุ่มตามบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม นักมานุษยวิทยาได้สรุปตามชื่อที่กลุ่มชาติพันธุ์เรียกตัวเองและตามกลุ่มภาษาเอาไว้ว่า ชนชาติเหมียว ประกอบด้วยสามกลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “กอซ่ง” ( Koy Xyooi ) “ฮมู้” ( Humb ) หรือ “ฮม้อ” ( Hmob) และกลุ่ม “ม้ง” (Hmoob) เฉพาะในมณฑลยูนนานนั้น กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ม้ง ยังแบ่งออกเป็น 7 กลุ่มย่อยด้วยกัน คือ ม้งเด๊อ (Hmoob Dawb) ม้งจั๊วะ (Moob Ntsuab) ม้งซื้อ (Moob Swb) ม้งเป่ (Hmob Peg) ม้งเซา (Hmoob Xauv) ม้งซัว (Hmoob Sua) ม้งปัว (Hmoob Pua) โดยแต่ละชื่อดังกล่าวมีที่มาจากสถานที่อยู่อาศัยและชื่อผู้นำของเขาในอดีต แต่ในปัจจุบัน นักวิชาการและชาวบ้านมักจะนำเอาความแตกต่างของสำเนียงภาษาพูดและเครื่องแต่งกายมาเป็นเครื่องจำแนกกลุ่มย่อยเหล่านี้ สำหรับในประเทศไทยมีเพียงสองกลุ่มย่อย คือ ฮม้งเด๊อะ (Hmoob Dawb) โดยออกเสียงตัว “ ฮ ” ควบตัว “ ม ” หรือแปลเป็นไทยว่า ม้งขาว และกลุ่มม้งจั๊วะ (Moob Ntsuab) ซึ่งนิยมเรียกเป็นภาษาไทยว่า ม้งดำ ม้งน้ำเงิน หรือม้งลาย (น.10 - 11) |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งมีถิ่นฐานกำเนิดเดิมที่ประเทศจีน ในระหว่างคริสต์ศตวรรษ 1800 - 1900 ชาวม้งแพ้สงครามและถูกแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรจากชนเผ่าอื่นที่มีความเข้มแข็งกว่าในสมัยระบบรัฐจารีต และต่อมาต้องประสบกับการถูกกดขี่และขูดรีดภาษีจากการดำเนินนโยบายสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของชาวฮั่น ปัจจัยเหล่านี้ผลักดันให้ชาวม้งอพยพจากใจกลางของประเทศจีนที่เป็นพื้นที่ราบบริเวณสองฝั่งแม่น้ำฮวงโห เข้าสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ในมณฑลยูนนาน และบริเวณที่ปัจจุบันกลายมาเป็นประเทศพม่า ภาคเหนือของเวียดนาม ลาว และไทย (น.14)
ในสมัยที่บรรพบุรุษของชาวม้งเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนี้ยังเป็นช่วงก่อนการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ ซึ่งเส้นแบ่งพรมแดนของรัฐชาติต่าง ๆ ยังไม่ได้ถูกกำหนดขึ้น (น.21 - 22) ต่อมาในยุคอาณานิคม กลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้กลายเป็นพลเมืองของรัฐชาติสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้ และต้องประสบกับการถูกเก็บภาษีฝิ่นอย่างขูดรีดจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1896 จนก่อให้เกิดการลุกฮือของกบฏชาวม้ง หลังจากนั้น ฝรั่งเศสจึงได้จัดตั้งผู้นำชาวม้งในแขวงเชียงขวง โดยมอบอำนาจให้ปกครองตนเองอย่างอิสระจากคนลาวและชนเผ่าอื่นในพื้นที่ แต่ขึ้นตรงต่ออำนาจการปกครองของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส นับตั้งแต่ ค.ศ.1920 - 1954 เมื่อลัทธิอาณานิคมของฝรั่งเศสในอินโดจีนสิ้นสุดลง (น.32)
ในยุคสงครามเย็น ชาวม้งลาวอยู่ในสภาวะจำยอมที่ต้องกลายเป็นเครื่องมือทางทหารของทั้งฝ่ายประชาธิปไตยของรัฐบาลลาวที่เวียงจันทร์ ซึ่งสนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก กับฝ่ายประเทศลาวหรือคอมมิวนิสต์ที่เคลื่อนไหวในป่าที่แขวงหัวพันกับพงสาลี ซึ่งสนับสนุนโดยสหภาพโซเวียตและจีนเป็นหลัก อันส่งผลทำให้เกิดความแตกแยกภายในกลุ่มชาติพันธุ์ม้งลาว โดยฝ่ายที่เข้าร่วมกับประชาธิปไตยกับฝ่ายที่เข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ต้องสู้รบกันเอง ในปี ค.ศ.1975 ฝ่ายคอมมิวนิสต์ลาวสามารถยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จ สหรัฐอเมริกาต้องถอนทัพออกจากเอเชียอาคเนย์ ทำให้ทหารและพลเมืองชาวม้งลาวที่สหรัฐอเมริกาเคยให้การสนับสนุนต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง และต้องอพยพเข้ามาในประเทศไทย 2 ระลอกใหญ่ ๆ ได้แก่ ระลอกแรก อพยพมาพร้อมกับผู้นำกลุ่มฝ่ายขวาหรือประชาธิปไตยในลาว ภายหลังจากที่รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ลาวยึดกุมอำนาจ ระลอกที่สอง อพยพเข้ามาในประเทศไทย โดยมีปัจจัยผลักดัน คือปฏิบัติการของรัฐบาลลาวคอมมิวนิสต์ในการกวาดล้างฝ่ายต่อต้านรัฐบาลและขบวนการกู้ชาติลาวที่ยังแฝงตัวอยู่ในป่า รวมทั้งปัจจัยดึงดูดในศูนย์อพยพที่ประเทศไทยที่มีรัฐบาลตะวันตกและองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยให้ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม (น.34) ประเทศที่ผู้อพยพชาวม้งลาวเดินทางไปตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมากที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งยินดีให้ความช่วยเหลือผู้อพยพเหล่านี้ทันที เพราะถือว่าชาวม้งลาวเป็นพันธมิตรทางทหารของสหรัฐอเมริกาในการต่อสู้กับขบวนการคอมมิวนิสต์ในลาว (น.77)
ผู้อพยพชาวม้งจากลาวมักเดินทางเป็นกลุ่ม ๆ ละ ประมาณ 40 – 50 คน ส่วนใหญ่เดินทางมาจากแขวง 5 แขวง ในประเทศลาว ได้แก่ ไชยบูลี หลวงพระบาง เชียงของ เวียงจันทร์ หลวงน้ำทา และเมืองเพียงและเวียงไซ (น.83) รัฐบาลไทยได้จัดให้ผู้อพยพชาวม้งและผู้อพยพกลุ่มอื่น ๆ ในศูนย์อพยพ 21 แห่ง ต่อมา กระทรวงมหาดไทยได้ลดจำนวนศูนย์อพยพเหลือ 13 แห่ง ศูนย์อพยพที่มีชาวม้งอยู่มากที่สุด คือ ศูนย์อพยพบ้านวินัย (น.80 - 81) ชาวม้งลาวพักพิงอยู่ในศูนย์อพยพระหว่างปี 2519 จนถึง 2535 (น.149) |
|
Settlement Pattern |
การกระจายตัวตั้งถิ่นฐานของชาวม้งในประเทศไทย ส่วนใหญ่บริเวณภาคเหนือ รองลงมา คือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันตก และมีส่วนน้อยอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันได้แก่ ตาก (32,087 คน) เชียงราย (30,517 คน) น่าน (25,058 คน) เชียงใหม่ (24,895 คน) เพชรบูรณ์ (14,658 คน) พิษณุโลก (6,900 คน) พะเยา (7,945 คน) แม่ฮ่องสอน (3,893 คน) กำแพงเพชร (3,120 คน) แพร่ (2,419 คน) ลำปาง (983 คน) เลย (917 คน) สุโขทัย (563 คน) (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2545 อ้างถึงใน ตารางที่ 1, น. 12 - 13) |
|
Demography |
จำนวนผู้อพยพชาวม้งลาวที่หนีภัยสงครามเข้ามายังประเทศไทยในระหว่างปี พ.ศ.2518 – 2529 พบว่า ในปีแรก มีชาวม้งอพยพออกมามากถึง 44,659 ราย คิดเป็นร้อยละ 81 ของผู้อพยพจากลาวทั้งหมดในปีนั้น แสดงให้เห็นว่า คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนระบอบการปกครองในลาวมากที่สุด หลังจากปี พ.ศ.2518 จำนวนผู้อพยพชาวม้งลดเหลือ 7,266 คน และขึ้น ๆ ลง ๆ จนถึงปี พ.ศ.2521 -2522 จึงมีผู้อพยพออกมาอีกระลอกใหญ่ถึง 23,943 คน และ 14,801 คน เพราะฐานที่มั่นของชาวม้งในแขวงเชียงของถูกทำลายโดยทหารประเทศลาวและทหารเวียดนาม ผู้อพยพยังคงย้ายถิ่นมายังต่อเนื่องจนถึงปี 2529 รวมแล้วมีจำนวนถึง 120,665 นับเป็นร้อยละ 37.33 ของผู้อพยพจากลาวทั้งหมด (น.81)
สำหรับสถิติการกระจายตัวของประชากรม้งในประเทศไทยนั้น กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (2545 อ้างถึงใน ตารางที่ 1, น.12 - 13) ระบุว่า จากผลการสำรวจประชากรม้งในประเทศไทย ปี พ.ศ.2545 พบว่ามีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 153, 955 คน 253 กลุ่มบ้าน 19,287 ครัวเรือน
ในส่วนของจำนวนประชากรม้งที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศต่าง ๆ ตามผลสำรวจในปี ค.ศ.2001 และ 2003 ( อ้างในPrasit, 2001 2003) ได้แก่ จีน (7,398,035) เวียดนาม (787,604) ลาว (315,465) สหรัฐอเมริกา (250,000) ไทย (126,300) พม่า (25,000) ฝรั่งเศส (10,000) ออสเตรเลีย (1,600) กิอาน่า (ฝรั่งเศส) (1,400) แคนาดา (600) อาร์เจนตินา (500) เยอรมัน (150) นิวซีแลนด์ (100) |
|
Economy |
วิถีชีวิตปกติของชาวม้งลาว คือ ผู้ชายทำไร่ ผู้หญิงทำงานบ้านและงานฝีมือเย็บปักถักร้อย แต่เมื่ออพยพมาอยู่ในศูนย์อพยพบ้านวินัย สภาพชุมชนที่แออัดทำให้ชาวม้งส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานอะไร แต่มีรายได้หลักมาจากเงินส่งกลับบ้านจากญาติพี่น้องที่ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม ชาวม้งในศูนย์อพยพมีรายได้ส่วนนี้เฉลี่ยแล้วครอบครัวละ 1,700 บาทต่อครั้ง ปีหนึ่ง ๆ จะได้รับประมาณ 4 ครั้ง รวมแล้วจะได้รับเงินส่งกลับบ้านประมาณ 6,800 บาท (น.85 - 86)
ชาวม้งลาวถ้ำกระบอกไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยหรือUNHCR แต่ชาวม้งกลุ่มนี้ก็ได้รับเงินส่งกลับบ้านจำนวนมากจากญาติพี่น้องที่ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม จนทำให้รัฐบาลไทยต้องเปิดที่ทำการไปรษณีย์ชั่วคราวขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการทำธุรกรรมทางการเงินให้กับชาวม้งในชุมชนแห่งนี้
(154) ในแง่ของการประกอบอาชีพ พบว่า ชาวม้งในชุมชนมักจะได้รับการว่าจ้างงานจากผู้จ้างภายนอกชุมชนที่ติดต่อผ่านเจ้าหน้าที่ของที่พักสงฆ์ เพื่อตกลงอัตราค่าจ้าง (ประมาณ 80 – 200 บาท / วัน) และเจ้าหน้าที่ของสำนักสงฆ์หักค่าดูแลจัดหางาน 10 – 20 % โดยมีรถบริการรับส่งแรงงานชาวม้งถึงที่พักของชาวม้งในสำนักสงฆ์ สามารถสรุปอาชีพของชาวม้งลาวชุมชนถ้ำกระบอกได้ ดังต่อไปนี้ 1.) รับจ้างทั่วไป เช่น คนงานโรงโม่หิน ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน งานบ้านทั่วไป ประมาณ 40 % 2.) ทำมีด เครื่องประดับ งานฝีมือตัดเย็บเสื้อผ้าชาวเขาเพื่อส่งขายทั้งภายในและภายนอกประเทศ ประมาณ 10 % 3.) ค้าขายทั่วไป ประมาณ 10 % และ 4.) ไม่ประกอบอาชีพ ประมาณ 40 % (น.140)
สำหรับชาวม้งที่ไปตั้งถิ่นฐานที่สหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ขาดทักษะทางภาษา และอาชีพจึงมักประสบปัญหาในการดำรงชีพและปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ ส่วนหนึ่งจึงไม่มีงานทำและต้องพึ่งพิงระบบสวัสดิการสังคมของรัฐบาลท้องถิ่น แต่เยาวชนม้งมีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้ดีกว่ารุ่นพ่อแม่ (น.94) ในกลุ่มของชาวม้งลาวจากสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก ซึ่งเป็นกลุ่มที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่มสุดท้ายพบว่า ชาวม้งส่วนนี้ได้รับการดูแลทางด้านสวัสดิการสังคมจากสหรัฐอเมริกาอย่างจำกัด เพราะเป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจ ชาวม้งกลุ่มนี้พยายามพึ่งพิงญาติพี่น้องที่อพยพมาก่อน แต่ก็ไม่สามารถพึ่งพิงได้มากนักจึงต้องหางานทำที่รายได้ไม่มากนัก ชาวม้งกลุ่มนี้บางส่วนจึงพยายามส่งเงินกลับมาให้ญาติพี่น้องในประเทศไทย เพื่อให้ญาติซื้อที่ดินทางภาคเหนือของไทยในจ.เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา น่าน เพื่อเตรียมการกลับมาอยู่ประเทศไทย บางกลุ่มไปลงทุนปลูกยางพาราที่เมืองยอน ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยสัญชาติพม่า (น.163 - 165)
ในส่วนของชาวม้งลาวกลุ่มที่ถูกรัฐบาลไทยผลักดันให้เดินทางกลับไปยังประเทศลาวนั้น ผลการศึกษาติดตามของศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า แม้ว่า UNHCR และรัฐบาลลาวจะให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ชาวม้งลาวกลุ่มนี้ แต่เนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของลาวไม่เอื้อต่อการประกอบอาชีพทางเลือกที่หลากหลาย ประกอบกับการขาดความรู้และทักษะแรงงานที่มีฝีมือของชาวม้งลาว ส่วนใหญ่จึงต้องกลับไปประกอบอาชีพเกษตรกรรม บางส่วนประกอบอาชีพค้าขายและเป็นแรงงาน (Chantavanich and team, 1992, 84 อ้างถึงใน น.110) แต่โดยรวมแล้ว ชาวม้งลาวคืนถิ่นมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอัตคัด อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผลักดันให้ชาวม้งคืนถิ่นเหล่านี้พยายามลักลอบเข้ามาหางานในฝั่งประเทศไทยอีก อย่างไรก็ตาม ชาวม้งลาวอพยพที่กลับบ้านส่วนหนึ่งได้รับเงินช่วยเหลือที่ญาติส่งมาให้จากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ได้รับเฉลี่ยเดือนละประมาณ 25 เหรียญสหรัฐต่อครอบครัวซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อย โดยมีผู้ที่ได้รับสูงสุดถึง 300 เหรียญสหรัฐต่อครั้ง การส่งเงินนี้มีทั้งส่งเป็นประจำและส่งเป็นครั้งคราว ถ้าส่งเป็นครั้งคราวมักส่งครั้งละ 100 เหรียญสหรัฐ ฯ การได้รับเงินส่งกลับจากญาติในต่างประเทศมีความหมายต่อม้งที่กลับบ้านมากเพราะส่วนใหญ่ขาดเงิน (น.110 - 111) |
|
Social Organization |
ชาวม้งลาวและชาวม้งไทยมีความสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ทั้งในแง่ของสายสัมพันธ์ในความเป็นชาติพันธุ์เดียวกันที่มีความผูกพันในเชิงเครือญาติ และมีความใกล้ชิดทางภาษาและวัฒนธรรม รวมทั้งสายสัมพันธ์ที่เกิดจากประวัติศาสตร์พื้นที่ที่มีพรมแดนติดต่อกันระหว่างไทยและลาว อันเป็นบริเวณที่กลุ่มชาติพันธุ์ม้งอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นและมีปฏิสัมพันธ์ไปมาหาสู่ข้ามพรมแดนมาตั้งแต่สมัยก่อนรัฐชาติสมัยใหม่ เมื่อเข้าสู่บริบทการเมืองในช่วงสงครามเย็นที่ชาวม้งลาวและไทยที่ต่างก็เป็นชนชายขอบของรัฐและมีประสบการณ์ในการถูกใช้เป็นเครื่องมือของความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจต่างอุดมการณ์เหมือนกัน ทำให้ชาวม้งลาวและม้งไทยต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันและสร้างสายสัมพันธ์ด้วยการให้ความช่วยเหลือและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทั้งสองกลุ่มจึงมีความสนิทสนมในระดับหนึ่ง ดังนั้น เมื่อม้งลาวอพยพเข้าสู่ประเทศไทยจึงได้รับความช่วยเหลือจากม้งไทยบางส่วนที่ให้ที่พักพิงชั่วคราวจนกว่าม้งลาวจะสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ แต่ม้งไทยไม่ได้เข้าร่วมในขบวนการต่อต้านลาว เพราะสำนึกว่าตนเองเป็นคนไทยและไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับรัฐบาลลาว (น.142 - 145)
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างชาวม้งลาวที่ไปตั้งถิ่นฐานที่สหรัฐอเมริกานั้นพบว่า ชาวม้งกลุ่มที่อพยพมาก่อนมักจะช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้กับชาวม้งกลุ่มที่มาตั้งถิ่นฐานใหม่ ดังนั้น แบบแผนการตั้งถิ่นฐานของชาวม้งอพยพในสหรัฐอเมริกาจึงมักกระจุกตัวอยู่ตามเมืองที่ชาวม้งรุ่นก่อนอพยพมาตั้งรกรากแล้ว 7 เมือง ได้แก่ Fresno,Minniapolist-St.Paul,Orange County, Providence, Portland, Fort Smith และ Dallas-Fort Worth (น.93)
ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างชาวม้งลาวผู้พลัดถิ่นที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามกับชาวม้งลาวในลาวและไทย พบว่า ทั้งสองกลุ่มมีการติดต่อสื่อสารกันบนพื้นฐานความสัมพันธ์ในสองสถานะ สถานะแรก คือ ความเป็นญาติพี่น้องตามตระกูลแซ่ โดยในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ชาวม้งลาวที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ได้ติดต่อสื่อสารและเดินทางกลับมาเยี่ยมญาติที่ตกค้างในศูนย์อพยพในประเทศไทยและในหมู่บ้านในประเทศลาว และพยายามหาช่องทางช่วยให้ญาติพี่น้องเดินทางไปตั้งรกรากกับตนได้ง่ายขึ้น ด้วยการติดต่อให้ข้อมูลข่าวสารกับญาติพี่น้องที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทยและลาวให้พยายามหาช่องทางไปพำนักที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก ด้วยความเข้าใจว่าจะช่วยให้ญาติของตนได้รับโอกาสไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกาได้ง่ายขึ้น (น. 41 - 44) สถานะที่สอง คือ เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน กล่าวคือ ชาวม้งลาว อดีตผู้นำรัฐบาล และกองทัพลาวที่ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศตะวันตกได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นและขบวนการกู้ชาติลาวขึ้น 8 ขบวนการ ที่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสเป็นหลัก และมีการติดต่อสัมพันธ์และส่งเงินเข้ามาเคลื่อนไหวในไทยและลาว นับตั้งแต่ ปี ค.ศ.1975 เป็นต้นมา โดยเฉพาะกรณีของชาวม้งลาวจากสหรัฐอเมริกาที่มักจะเดินทางเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวเพื่อไปพบปะกับแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) และให้การสนับสนุนด้านการเงินเข้าไปในพื้นที่ประเทศลาว (น.154)
สำหรับการเชื่อมโยงของชาวม้งลาวถ้ำกระบอกกับชาวม้งในภูมิภาคเอเชียพบว่า ช่วงปี พ.ศ. 2534 แกนนำกลุ่มพรรคเจ้าฟ้า ซึ่งเป็นขบวนการกู้ชาติลาวที่พักพิงอยู่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกพร้อมด้วยชาวม้งสัญชาติอเมริกันจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปพบปะผู้นำม้งจีนที่คุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อชักชวนให้เข้าร่วมกับขบวนการกู้ชาติลาว แต่ม้งจีนไม่สนับสนุนแนวคิดในการกู้ชาติ เนื่องจากมองว่าชาวม้งยังไม่มีขีดความสามารถในการปกครองตนเองได้ (น.155) |
|
Political Organization |
รัฐบาลไทยถือว่าปัญหาการอพยพของผู้อพยพชาวม้งลาวเป็นประเด็นปัญหาความมั่นคงของชาติ และไม่ยินยอมให้ผู้อพยพเหล่านี้พำนักอย่างถาวรในประเทศไทย แต่ยินยอมเปิดพื้นที่ให้พักพิงชั่วคราวและให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมเท่านั้น ในระยะแรก รัฐบาลไทยพยายามจัดการกับปัญหาด้วยตนเอง ต่อมายินยอมให้ UNHCR เข้ามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือผู้อพยพในศูนย์พักพิง พร้อมทั้งเร่งรัดให้นานาชาติช่วยแบ่งเบาภาระรัฐบาลไทยทั้งในเรื่องงบประมาณในการดูแลผู้อพยพ และเจรจาให้ประเทศที่สามรับผู้อพยพไปตั้งถิ่นฐาน (น.67) แต่เมื่อจำนวนผู้อพยพชาวม้งลาวหลั่งไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ถึง 80,000 คนในปี พ.ศ. 2522 รัฐบาลไทยกลับมอบหมายให้กองทัพไทยผลักดันให้ผู้อพยพกลับถิ่นฐานเดิมโดยไม่สมัครใจ ทำให้ถูกวิพากษ์จากประชาคมระหว่างนานาประเทศอย่างหนักถึงการดำเนินนโยบายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้อพยพ รัฐบาลไทยจึงยุติการผลักดันและหันมาเร่งรัดให้ประเทศที่สามรับผู้อพยพไปตั้งถิ่นฐานให้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น (น.71) อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังสงครามเย็น รัฐบาลไทยเปลี่ยนมาดำเนินนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและปรับความสัมพันธ์กับประเทศลาว อันนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างทั้งสองรัฐบาลในการใช้มาตรการเด็ดขาดในการผลักดันผู้อพยพชาวม้งลาวกลับประเทศลาว แต่ต้องประสบกับกระแสการกดดันและคัดค้านจากสื่อรวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนของประเทศตะวันตก ที่เป็นเครือข่ายกับขบวนการกู้ชาติของชาวม้งทั้งในประเทศลาวและต่างประเทศ แต่ในที่สุด ทั้งสองรัฐบาลก็ประสบความสำเร็จในการใช้มาตรการเด็ดขาดขนย้ายผู้อพยพชาวม้งที่บ้านห้วยน้ำขาวและที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคายกลับประเทศลาว เมื่อปี 2552 (น.51 - 52)
ในส่วนของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลไทยต่อขบวนการเคลื่อนไหวกู้ชาติลาวของชาวม้งลาวและชาวลาวฝ่ายขวานั้น ในสมัยสงครามเย็น รัฐบาลไทยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาช่วยเหลือรัฐบาลลาวฝ่ายขวา เพื่อปกป้องความมั่นคงของไทยจากภัยคุกคามของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ในกรณีที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ในลาวอาจประสบชัยชนะและสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนในภาคอีสานของไทย ทำให้อาสาสมัครเสือพรานของฝ่ายไทยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับทหารม้งลาวของนายพลว่างเปา และในเวลาต่อมาก็ให้การฝึกอบรมแก่ขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ภายหลังจากลาวเปลี่ยนแปลงการปกครอง (น.146 - 147) ขบวนการต่อต้านลาวก่อตัวขึ้นภายในศูนย์อพยพในประเทศไทย โดยเป็นความร่วมมือระหว่างอดีตนายทหารชาวลาวและชาวม้งผู้ลี้ภัย ในระยะแรกได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยให้อดีตทหารลาวที่กลายมาเป็นผู้ลี้ภัยออกจากค่ายอพยพในไทยไปเคลื่อนไหวตามแนวชายแดนไทย - ลาวได้ (น.37 - 38) ต่อมารัฐบาลไทยเปลี่ยนมาดำเนินนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทางการเมืองและหันมาปรับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 รัฐบาลไทยจึงใช้กำลังทหารปราบปรามกองกำลังต่อต้านประเทศเพื่อนบ้านที่หลบซ่อนตัวตามแนวชายแดนฝั่งไทย รวมทั้งขบวนการต่อต้านลาว (น.160)
การปิดศูนย์อพยพบ้านวินัยและการเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบายความมั่นคงของรัฐบาลไทย ส่งผลทำให้ชาวม้งลาวในศูนย์อพยพต้องหาที่พึ่งพิงใหม่ บางส่วนอพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม บางส่วนแฝงตัวอยู่กับม้งไทยและยุติการเคลื่อนไหว และชาวม้งลาวกลุ่มใหญ่หลบหนีไปตั้งชุมชนขนาดใหญ่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี โดยชาวม้งลาวกลุ่มที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่สมาชิกของขบวนการต่อต้านลาวที่แฝงตัวในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก รวมทั้งเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยเพื่อใช้สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกเป็นฐานปฏิบัติการหลักในการต่อต้านรัฐบาลลาว (น.160) ชุมชนชาวม้งลาวที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกจึงกลายเป็นประเด็นปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลลาว โดยรัฐบาลลาวหวาดระแวงว่า รัฐบาลไทยเป็นผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มม้งลาวดังกล่าว (134) รัฐบาลไทยจึงแก้ปัญหาด้วยการผลักดันให้ม้งลาวถ้ำกระบอกอพยพไปอยู่ในประเทศที่สาม อีกทั้งฝ่ายความมั่นคงของไทยก็พยายามตรวจสอบความเคลื่อนไหวของฝ่ายขบวนการต่อต้านลาวอย่างใกล้ชิด จนขบวนการไม่สามารถใช้ประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการได้โดยง่ายและอ่อนกำลังลง จนกระทั่งในปี 2553 ก็ไม่ปรากฏกองกำลังอีก (น.133 - 134) แต่กระนั้น ชาวม้งลาวก็ยังเป็นประเด็นปัญหาต่อความมั่นคงของไทยจนถึงปัจจุบัน เพราะบางส่วนอพยพหนีจากสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกไปพักพิงกับกลุ่มชาวว้าที่เมืองยอง ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลพม่าที่ขึ้นชื่อในพฤติกรรมผลิตและค้ายาเสพติด บางส่วนที่เดินทางกลับประเทศลาวก็หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยใหม่ด้วยการลักลอบเข้าเมืองและปลอมแปลงสัญชาติ และบางส่วนก็แฝงตัวอยู่กับม้งไทยในสถานะบุคคลไร้สัญชาติตามพื้นที่ต่าง ๆ ในบริเวณภาคเหนือของไทย (น.160 - 161) |
|
Education and Socialization |
เด็กชาวม้งได้เรียนในโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นในศูนย์อพยพบ้านวินัย และมีการสอนภาษาไทยในศูนย์ด้วย อย่างไรก็ตาม ชาวม้งเป็นกลุ่มที่มีความกระตือรือร้นในเรื่องการศึกษาน้อยกว่าผู้อพยพกลุ่มอื่น (Pongsapich and Chongwa1988 : 12 – 47 อ้างถึงใน น.85) และพบว่ามีเพียงร้อยละ 22 ที่เรียนภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เพราะอยากไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม (น.85 - 87)
ในระหว่างที่พำนักในศูนย์อพยพ ชาวม้งส่วนใหญ่ไม่ได้รับการอบรมทักษะอาชีพเพิ่มเติมอย่างเพียงพอ ทำให้เมื่อเดินทางกลับประเทศลาว ทางเลือกในการประกอบอาชีพของชาวม้งคืนถิ่นส่วนใหญ่จึงจำกัดอยู่แค่อาชีพในภาคการเกษตร หรือเป็นแรงงานและบางส่วนค้าขาย (น.110) |
|
Health and Medicine |
ชาวม้งเป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่ไม่นิยมวางแผนครอบครัว ครอบครัวชาวม้งจึงมีจำนวนบุตรมาก และเมื่ออพยพไปตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศก็ยังคงสืบทอดค่านิยมดังกล่าว ส่งผลทำให้จำนวนเยาวชนชาวม้งในประเทศที่เข้าไปตั้งถิ่นฐานมีจำนวนมากไปด้วย ( น.94 )
อ้างถึง Lemoine (1986 : 337 – 348, อ้างถึงใน น. 97 – 98) พบว่า ผู้อพยพชาวม้งที่ไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกาไม่เคยชินกับการรักษาพยาบาลสมัยใหม่ยังคงนิยมให้หมอผีรักษามากกว่า และมีความระแวง สงสัย หรือรังเกียจแพทย์แผนปัจจุบัน |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เยาวชนม้งลาวรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานของผู้อพยพไปตั้งถิ่นฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมอเมริกันได้ดีกว่ารุ่นพ่อแม่ โดยส่วนใหญ่แม้จะยังคงอัตลักษณ์ความเป็นม้งไว้ แต่มีแนวโน้มว่าอยากจะเป็นอเมริกันมากกว่าม้ง (Cohn 1986, pp.197 - 201) ทั้งนี้ เพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนให้ดำรงอยู่ต่อไป ชาวม้งจึงขออนุญาตรัฐจัดตั้งโรงเรียนม้งของตน เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ความเป็นม้งให้กับรุ่นลูกรุ่นหลาน เช่น Hmong Chatered School ที่รัฐมินเนโซต้า และโรงเรียนสุดสัปดาห์สอนภาษาและวัฒนธรรมของม้งที่ออสเตรเลีย (Lee, 1986,pp.55 - 63 ) |
|
Map/Illustration |
แผนที่
- การกระจายของชาวม้งลาวในแขวงเชียงของ (น.57)
- ศูนย์อพยพอินโดจีนในประเทศไทย ( น.121 )
- ภูมิลำเนาเดิมของชาวม้งลาวจากแขวงเชียงของ ( น.122 )
ภาพ
- นักเรียนม้งใส่ชุดนักเรียนแบบลาวลุ่ม ( น.57 )
- ม้งลาวอพยพ ( น.123 )
- ทหารม้งในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 ( ปี 1953 ) ( น.124 )
- ฐานทัพทหารที่เมือง Long Cheng สร้างโดยความช่วยเหลือจาก CIA เป็นกองบัญชาการของนายพลวังเปา ( น.124 )
- ทหารชาวม้งที่ร่วมรบกับทหารอเมริกันในสงครามกับฝ่ายลาวอิสระ ( น.125 )
- ที่พักศูนย์อพยพบ้านวินัย อำเภอปากชม จังหวัดเลย 1 ( น.125 )
- ที่พักศูนย์อพยพบ้านวินัย อำเภอปากชม จังหวัดเลย 2 ( น.126 )
- การจัดงานปีใหม่ม้งอพยพบ้านวินัย ( น.126 )
- ครอบครัวชาวม้งลาวที่ไปตั้งถิ่นฐานที่สหรัฐอเมริกา ( น.127 )
- หน่วยงานรับผิดชอบผู้อพยพที่กลับถิ่นฐาน ( น.128 )
- การปฐมนิเทศเมื่อเดินทางถึงประเทศลาว ( น.128 )
- การติดตามลาวลุ่มที่กลับไปประกอบอาชีพเครื่องเงิน ( น.129 )
- ชาวม้งในห้องพักของ returnee ก่อนเดินทางไปจุดหมายปลายทาง ( น.129 ) |
|
|