|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
บุคคลสองสัญชาติ, ความมั่นคง, คนมลายูมุสลิมในไทย, คนมลายูมุสลิมในมาเลเซีย, ชายแดนไทย - มาเลเซีย |
Author |
จิราพร งามเลิศศุภร |
Title |
บุคคลสองสัญชาติ: ผลกระทบต่อความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
129 |
Year |
2551 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย |
Abstract |
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาว่า บุคคลสองสัญชาติมีผลกระทบต่อความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ กรอบการศึกษาครอบคลุมตั้งแต่ความเป็นมาของบุคคลสองสัญชาติ ปัจจัยที่เป็นแรงจูงให้มีสองสัญชาติ ข้อมูลจำนวนบุคคลสองสัญชาติและกฎหมายสัญชาติของมาเลเซีย การดำเนินความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติระหว่างไทยกับมาเลเซีย รวมทั้งแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการต่อบุคคลสองสัญชาติไทย–มาเลเซีย วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกจากบุคคลสองสัญชาติ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและฝ่ายความมั่นคง ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดบุคคลสองสัญชาติ ประกอบด้วย (1.) กระบวนการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ที่ทำให้เกิดการขีดเส้นพรมแดนทางภูมิศาสตร์ของรัฐและบัญญัติกฎหมายสัญชาติ เพื่อเป็นเครื่องผูกพันบุคคลกับดินแดนของรัฐ แต่สิ่งเหล่านี้มิอาจสกัดกั้นความใกล้ชิดทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมระหว่างชาวมลายูมุสลิมในไทยและมาเลเซียที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน และยังคงรักษาปฏิสัมพันธ์ข้ามพรมแดนเพื่อไปมาหาสู่ญาติพี่น้องอีกฝั่งตามปกติ (2.) การเมืองภายใน มาเลเซียมองว่าประเด็นบุคคลสองสัญชาติเกี่ยวข้องกับการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงภายในของมาเลเซียเอง โดยมาเลเซียต้องการให้สัญชาติแก่ชาวมลายูมุสลิมภาคใต้ที่ได้สัญชาติมาถ่วงดุลและเปิดล้อมคนมาเลเซียเชื้อสายจีนที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ในรัฐกลันตัง โดยกลุ่มคนมลายูมุสลิมภาคใต้ที่ได้สัญชาติจากมาเลเซียก็ล้วนแต่มีเชื้อสายมาเลเซีย และมีความผูกพันต่อรัฐมาเลเซียมากกว่ารัฐไทย นโยบายการให้สัญชาติแก่คนมลายูมุสลิมในไทยจึงกลายเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองในมาเลเซีย (3.) แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ชาวมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ต้องการสัญชาติมาเลเซียเพื่อที่จะได้สามารถประกอบอาชีพในมาเลเซียได้ ที่ผ่านมารัฐไทยมีความพยายามแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติมาเป็นเวลาสามทศวรรษ และพยายามแสวงหาความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซีย โดยมีการจัดตั้งกลไกความร่วมมือด้วยกันในหลายระดับ ภายหลังจากการปะทะของสถานการณ์ที่รุนแรงระลอกใหม่ตั้งแต่ปี 2547 รัฐบาลไทยพยายามเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับบัตรประชาชนและต้องการกระชับความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียมากขึ้น แต่รัฐบาลมาเลเซียไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าที่ควรเนื่องจากเห็นว่าเป็นประเด็นละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ผลประโยชน์ทางการเมืองและสิทธิส่วนบุคคล สำหรับผลกระทบของบุคคลสองสัญชาติต่อความมั่นคงของไทยนั้นพบว่า บุคคลสองสัญชาติมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบจริงในอดีต ทว่านับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันก็ไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงระหว่างบุคคลสองสัญชาติกับขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้แต่อย่างใด บุคคลสองสัญชาติที่เข้าร่วมในขบวนการก่อความไม่สงบเป็นคนรุ่นเก่า แต่ขบวนการรุ่นใหม่ที่ก่อเหตุในปัจจุบันไม่ได้มีสองสัญชาติ ดังนั้น การถือว่าบุคคลสองสัญชาติเป็นภัยต่อความมั่นคงจึงเป็นสิ่งสร้างทางสังคม (social construction) ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์รุนแรงปะทุเมื่อปี 2547 |
|
Focus |
นับตั้งแต่ปี 2547 ที่เกิดการปะทุของความรุนแรงระลอกใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น บุคคลสองสัญชาติไทย – มาเลเซีย กลายเป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกสันนิษฐานจากรัฐไทยและฝ่ายความมั่นคงว่า อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยใช้สถานะความเป็นบุคคลสองสัญชาติในการก่อความไม่สงบฝั่งไทยและหลบหนีไปฝั่งมาเลเซีย งานวิจัยนี้จึงมุ่งแสวงหาคำตอบว่า บุคคลสองสัญชาติมีผลกระทบต่อความมั่นคงในจังหวัดชายแดนใต้หรือไม่ |
|
Theoretical Issues |
งานวิจัยนี้ใช้คำจำกัดความ “ บุคคลสองสัญชาติ ” ตามคำจำกัดความโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2542 ซึ่งให้คำจำกัดความบุคคลสองสัญชาติว่าหมายถึง “ผู้เดินทางข้ามพรมแดนไปมา ระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย โดยเมื่ออยู่ฝั่งไทยก็มีชื่อและนามสกุลอย่างหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ฝั่งมาเลเซีย จะมีชื่อและนามสกุลอีกอย่างหนึ่ง” ซึ่งงานวิจัยเรื่องนี้ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญของประชาชนสองสัญชาติไทย-มาเลเซีย ในพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศไทย-มาเลเซีย ด้านจังหวัดนราธิวาสและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหา |
|
History of the Group and Community |
ชาวมลายูมุสลิมในมาเลเซียกับชาวมลายูมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยมีความผูกพันทางเครือญาติ และมีความใกล้ชิดกันทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม จึงมีการอพยพย้ายถิ่นไปมาระหว่างคนสองกลุ่มอยู่เสมอ อีกทั้งมีความต้องการที่จะยู่ร่วมประเทศเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ในปี พ.ศ.2491 คนไทยเชื้อสายมาเลย์จำนวน 250,000 คนได้ยื่นข้อร้องเรียนต่อสหประชาชาติให้เข้าไปช่วยเจรจาให้มีการแยกปัตตานี ยะลา นราธิวาส ไปเข้ากับสหพันธรัฐมลายาซึ่งเพิ่งตั้งใหม่ หรือเมื่อมีเหตุการณ์ความไม่สงบในฝั่งไทย ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูก็เลือกที่จะอพยพเข้าไปในสหพันธรัฐมลายา (หรือมาเลเซียในปัจจุบัน) เพื่อหาที่อยู่ที่รู้สึกปลอดภัย ดังนั้น เมื่อเกิดการจัดตั้งรัฐชาติสมัยใหม่ขึ้น ชาวมลายูมุสลิมในฝั่งไทยจึงยื่นขอสัญชาติและทำบัตรประจำตัวประชาชนกับทางรัฐบาลมาเลเซีย จนทำให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีสองสัญชาติมาจนถึงปัจจุบัน โดยกลุ่มคนสองสัญชาติที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในงานศึกษาล้วนระบุว่า ตนมีเครือญาติพี่น้องที่อยู่ในรัฐกลันตันทั้งสิ้น (น.18 – 19) |
|
Demography |
ข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ นักการเมืองมาเลเซีย รวมทั้งบุคคลสองสัญชาติ พบว่า ไม่มีข้อมูลตัวเลขที่เป็นทางการแน่นอนว่า คนสองสัญชาติไทย – มาเลเซีย มีจำนวนเท่าใด มีเพียงตัวเลขการคาดคะเนเท่านั้น เช่น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมาเลเซียด้านกิจการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความไม่สงบ จังหวัดชายแดนระบุว่า “ที่มีการบันทึกไว้จำนวน 50,000 คน” นายอำเภอทั้งสามอำเภอที่เป็นกรณีศึกษา ได้แก่ สุไหงโกลก ตากใบ และแว้ง ระบุตรงกันว่า ชาวบ้านที่มีบ้านเรือนริมชายแดนมีบัตรประชาชนมาเลเซียเกือบทั้งหมดแต่ไม่แสดงตัว ในขณะที่บุคคลสองสัญชาติที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาเล่าว่า “ในไซต์งานก่อสร้างที่รัฐยะโฮร์ 50 คน ต้องมี 20 เปอร์เซ็นต์ที่มีสองสัญชาติไทย - มาเลเซีย ” (น.29) |
|
Economy |
แรงจูงใจทางด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่ทำให้คนมลายูมุสลิมในภาคใต้ต้องการมีสองสัญชาติ เพื่อจะได้สามารถเข้าไปทำมากินในมาเลเซียได้ (น.60) บุคคลสองสัญชาติที่อพยพไปทำมาหากินในมาเลเซียนั้น บางส่วนลงหลักปักฐานที่รัฐกลันตัน บางส่วนไปทำงานรัฐอื่น ๆ ไปทำงานที่รัฐกลันตัน และรัฐอื่น ๆ ของมาเลเซีย โดยเฉพาะรัฐยะโฮร์ กัวลาลัมเปอร์ รวมถึงประเทศสิงคโปร์ เมื่อหยุดพักก็กลับมาประเทศไทย บางส่วนยังอยู่ในไทยแต่ยังมีบัตรประชาชนเผื่อไว้ไปประกอบอาชีพหรือรับจ้างในรัฐกลันตังในอนาคต บางส่วนไม่ไปต่ออายุบัตรประจำตัวประชาชนมาเลเซียอีก เพราะมีอาชีพที่มั่นคงในฝั่งไทยแล้ว หรือบางคนไม่ไปต่ออายุหรือเปลี่ยนบัตรเป็น MyKad เนื่องจากกลัวเพราะรู้ตัวว่าได้บัตรมาโดยมิชอบ ประกอบกับทราบว่าฝ่ายความมั่นคงไทยเฝ้าจับตาดูบุคคลสองสัญชาติจึงเกิดความกลัว หรือบางคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงรายงานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบก็พยายามดิ้นรนที่จะได้บัตรประชาชนมาเลเซีย เพื่อลี้ภัยและทำมาหากินได้ นอกจากนี้ยังมีกรณีชาวมลายูมุสลิมภาคใต้ที่สำเร็จการศึกษาจบเภสัชกรจากประเทศอินเดีย แต่ไม่ได้รับการรับรองจากประเทศไทย จึงต้องไปทำงานที่มาเลเซียและขอแปลงสัญชาติมาเลเซียในที่สุด (น.16) |
|
Political Organization |
รัฐบาลไทยและฝ่ายผู้กำหนดนโยบายความมั่นคงทุกยุคสมัยล้วนมีข้อสมมุติฐานว่า บุคคลสองสัญชาติเป็นภัยต่อความมั่นคงจากการเข้าร่วมในขบวนการก่อความไม่สงบของชาวไทยมุสลิม (Muslim Separatist) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเชื่อว่า บุคคลสองสัญชาติที่มีบัตรประชาชนทั้งไทยและมาเลเซีย ใช้ประโยชน์จากสถานะพลเมืองมาเลเซียในการหลบหนีขณะซ่อนคดี ใช้รัฐกลันตันของมาเลเซียเป็นพื้นที่ซ่องสุม เคลื่อนไหวในการจัดตั้งขบวนการ วางแผนการต่อสู้ ใช้เป็นพื้นที่หลบซ่อน และฝึกแนวร่วมรุ่นใหม่ เพื่อเข้ามาก่อเหตุในฝั่งไทย โดยที่ไทยไม่สามารถตามไปจับกุมดำเนินคดีได้ เพราะเมื่ออยู่ในฝั่งมาเลเซีย คนเหล่านี้จะใช้ชื่อที่ไม่ตรงกับบัตรประชาชนของไทย (น.48) |
|
Map/Illustration |
- บัตรประจําตัวประชาชนผู้มีสัญชาติมาเลเซียที่ใช้ประมาณ พ.ศ.2503 – 2543 หน้า 13
- บัตรประจําตัวประชาชนมาเลเซีย (MyKad) และการกําหนดเลขรหัส เพื่อบ่งชี้ถิ่นกําเนิดของบุคคล หน้า 14
- แผนภาพแสดงข้อมูลในไมโครชิพในบัตรประจําตัวประชาชนมาเลเซียแบบ Mykad หน้า 14
- ตัวอย่างบัตรประจําตัวประชาชนสําหรับเด็กแรกเกิดจนอายถุึง 12 ปี (MyKid) หน้า 15
- สัญลักษณ์ในบัตรประจําตัวประชาชนมาเลเซียของคนสองสัญชาติ หน้า 30
- แผนภาพเปรียบเทียบเลขแสดงถิ่นกําเนิดผู้ถือบัตรประจําตัวประชาชนมาเลเซีย หน้า 32 |
|
|