|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิมยูนนาน,ปากีสถาน,โครงสร้าง,ประวัติศาสตร์ชุมชน,อัตลักษณ์อิสลาม,เชียงใหม่ |
Author |
Suthep Soonthornpasuch |
Title |
Islamic Identity in Chiang Mai City: A Historical and Structural Composition of Two Communities |
Document Type |
Ph.D. Dissertation |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Total Pages |
247 |
Year |
2520 |
Source |
University Microfilms International Ann Arbor, Michican,U.S.A.,1983 |
Abstract |
มุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่ทั้งมุสลิมปากีสถานและมุสลิมยูนนานนิสเป็นกลุ่มที่มีแหล่งกำเนิด ประวัติศาสตร์การอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน กลุ่มมุสลิมยูนนานนิสและมุสลิมปากีสถานมักอ้างถึงบ้านเกิดที่ประเทศปากีสถานหรือบังคลาเทศและยูนนานว่าเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและศาสนาที่ซึ่งพวกเขายึดมั่นในความเป็นอิสลาม (Islam assertion) และสมาชิกทางชาติพันธุ์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยหวนกลับยังบ้านเกิดเลย จังหวัดเชียงใหม่หรือประเทศไทยจึงเป็นสถานที่ที่พวกเขามีพันธะผูกพันกัน (หน้า 222) การธำรงรักษาชาติพันธุ์ของมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่เกิดจากความต้องการภายในระหว่างมุสลิมที่ต้องการประสบความสำเร็จและได้รับการยกย่องทางสังคมในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน (หน้า 221) แต่พวกเขาก็มีฐานะเป็นพลเมืองไทย จากสถานการณ์ปัจจุบัน ในอนาคตมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่จะหลอมรวม (integrated) กับสังคมไทยท้องถิ่นเหนือ ในการมีส่วนร่วมทางสังคมเมือง เศรษฐกิจ การเมืองแต่ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาสัญลักษณ์ของอัตตลักษณ์ชาติพันธุ์มุสลิมไว้ (หน้า 225) |
|
Focus |
กระบวนการธำรงรักษาอัตตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของมุสลิมเชื้อสายยูนนานและมุสลิมปากีสถาน |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนอธิบายว่า จิตสำนึกทางชาติพันธุ์ไม่จำเป็นต้องพัฒนาการมาจากเงื่อนไขภายนอกคือ แรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจเสมอไป จากกรณีของมุสลิมปากีสถานและมุสลิมยูนนานในเชียงใหม่ พัฒนาการของจิตสำนึกทางชาติพันธุ์มาจากเงื่อนไขต่าง ๆ หลายประการ (ดู ethnicity ประกอบ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมเชื้อสายปากีสถาน และมุสลิมเชื้อสายยูนนาน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ค้นคว้าเอกสารทั้งที่ได้รับการตีพิมพ์และไม่ได้รับการตีพิมพ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เชียงใหม่ 1865-1909 อ่านวรรณกรรมและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเป็นเวลา 3 เดือน (พฤศจิกายน 1973 - กุมภาพันธ์ 1974) ลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนามเดือนมีนาคม 1974 -ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 1976 เป็นระยะเวลา 9 เดือน โดยใช้วิธีการศึกษาแบบการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมในชุมชน ส่วนข้อมูลด้านสถิติของประชากรใช้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์และทะเบียนสัปบุรุษของคณะกรรมการมัสยิด |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ : เมืองเชียงใหม่เคยเป็นเมืองศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมล้านนา เคยเป็นเมืองหลวงใหญ่ของอาณาเขตทางตอนเหนือของไทยและเป็นรัฐอิสระที่ปกครองโดยอาณาจักรล้านนา (A.D.1296-1558) ซึ่งพ่อขุนเม็งราย (1238-1317) เป็นผู้ก่อตั้ง เชียงใหม่ถูกพม่ายึดครองในปี ค.ศ.1556 และปี ค.ศ.1762 เพื่อใช้เป็นฐานทัพในการสู้รบกับอาณาจักรสยาม ในปี ค.ศ.1775 เชียงใหม่ก็ตกเป็นเมืองประเทศราชของสยาม ต่อมาในปี ค.ศ.1824-1826 พม่าตกเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ อังกฤษต้องการแผ่ขยายผลประโยชน์ทางด้านการค้าโดยสร้างความเชื่อมโยงการค้าระหว่างตอนใต้ของพม่า ตะวันตกของลาวและตอนเหนือของไทย ทำให้ใน ปี ค.ศ.1874 ประเทศสยามต้องลงทะเบียนการค้าทรัพยากรธรรมชาติ (ไม้สักของเชียงใหม่และแร่ทางภาคใต้) กับรัฐบาลอังกฤษ และส่งข้าราชการไปประจำที่เชียงใหม่และภูเก็ตในปี ค.ศ. 1875 ต่อมาในปี ค.ศ.1897-1902 สยามครอบครองผลประโยชน์ด้านป่าไม้และยึดอำนาจการปกครองรวมเมืองเชียงใหม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยามแต่นั้นมา ประวัติการย้ายถิ่นและการตั้งถิ่นฐานของมุสลิมปากีสถานและมุสลิมยูนนานในเมืองเชียงใหม่ : มุสลิมปากีสถานในเชียงใหม่มีการอพยพเคลื่อนย้ายมาจากด้านตะวันออกของอินเดีย (ในส่วนที่ภายหลังกลายเป็นทิศตะวันออกของปากีสถานและบังคลาเทศในปัจจุบัน) ผ่านมาทางประเทศพม่าเข้าสู่ทางตอนเหนือของไทยและท้ายที่สุดก็เข้ามาถึงเชียงใหม่ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เริ่มแรกมุสลิมปากีสถานมีการรวมตัวกันในเมืองเชียงใหม่ และภายหลังก็มีมุสลิมที่อพยพมาจากด้านทิศตะวันออกของปากีสถาน บังคลาเทศ พม่า เข้ามาอยู่ร่วมด้วย มีประชากรรวมทั้งหมด 2,500 คน มุสลิมปากีสถานบ่งชี้ตนเองแตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ใช่มุสลิมอินเดียอย่างชัดเจน บางครั้งพวกเขาจะถูกรัฐบาลไทยเรียกว่า "ไทยมุสลิม" (คำนี้แตกต่างจากมาเลย์มุสลิมทางใต้ของไทย) อย่างไรก็ตาม มุสลิมปากีสถานไม่เคยบ่งชี้ตนเองว่าเป็นมาเลย์มุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างทั้งทางประวัติศาสตร์และภูมิหลังทางการเมือง พวกเขาพึงพอใจที่จะเรียกตนเองว่า "อินเดียน" Indian มุสลิม (แขกมุสลิม Kaek Muslim) และบ่อยครั้งที่เรียกว่า ปากีสถาน หรือบังคลาเทศตามฐานทางการเมืองและวัฒนธรรม การตั้งถิ่นฐานของมุสลิมปากีสถานในเชียงใหม่ไม่เพียงมีจำนวนมากที่สุดทางตอนเหนือของไทยแต่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศ ประชากรยูนนานนิสในเชียงใหม่ ทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมมีจำนวนทั้งสิ้นเกือบ 20,000 คน ยูนนานนิสต์ในเชียงใหม่ส่วนใหญ่คือมุสลิมที่อพยพจากยูนนานและท้ายที่สุดก็มาตั้งถิ่นฐานในเชียงใหม่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในปี ค.ศ.1949-1950 ผู้อพยพลี้ภัยยูนนานนิสต์จำนวนมากเข้าร่วมกับยูนนานนิสต์จากยูนนานและพม่า มุสลิมยูนนานในเชียงใหม่เป็นการรวมกลุ่มกันสองกลุ่มใหญ่คือ กลุ่มในย่านธุรกิจเวียงพิงค์และเขตตำบล San Pah Kay ยูนนานนิสในเชียงใหม่ถูกเรียกโดยคนไทยถิ่นเหนือว่า "ฮ้อ" พวกเขาใช้เกณฑ์สองอย่างคือ เป็นพวกที่สืบสายจากมุสลิมยูนนานนิสที่เป็นพ่อค้า อพยพจากยูนนานช่วงปลาย ค.ศ.1850 แต่งงานกับหญิงพื้นเมืองและตั้งถิ่นฐานในชุมชน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแต่ยังคงรักษาศาสนาและอัตตลักษณ์ทางชาติพันธุ์เอาไว้ มุสลิมยูนนานนิสในเชียงใหม่แบ่งแยกตนเองจากคนจีนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มที่เพิ่งอพยพเข้ามาครั้งที่สอง ยังคงระลึกรู้และแสดงสถานภาพวัฒนธรรมชั้นสูงและยังสามารถรักษา ส่งผ่านพันธะทางวัฒนธรรมให้กับรุ่นต่อไป กระบวนการตั้งถิ่นฐานระหว่างมุสลิมปากีสถานและมุสลิมยูนนานในเมืองเชียงใหม่ มีความสัมพันธ์กับชุดของบทบาทหน้าที่ในระดับปัจเจกบุคคลและกลุ่มของผู้อพยพ จากผู้อพยพใหม่มาเป็นผู้ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานถาวร ผู้อพยพมีจำนวนมากขึ้นเพราะการติดต่อสัมพันธ์กับกลุ่มที่มีกิจกรรมร่วมกันในมิติทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง พิธีกรรม และจริยธรรม กระบวนการกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ทำให้เริ่มตระหนักถึงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ภายหลัง จึงมีการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ภายในเครือข่ายของความสัมพันธ์ทางสังคมที่เพิ่มมากขึ้น (หน้า 31-36) กระบวนการอพยพเคลื่อนย้าย : มุสลิมปากีสถาน การตั้งถิ่นฐาน กลุ่มมุสลิม Pakistani ในจังหวัดเชียงใหม่แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่เก่าแก่ที่สุดก่อตั้งชุมชนในช่วงทศวรรษที่ 1870 ที่ตำบลช้างคลาน กลุ่มที่สองพัฒนาขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อตั้งชุมชนขึ้นที่ตำบลช้างเผือก ทั้งสองกลุ่มประกอบด้วย 450 ครัวเรือน ซึ่งมีประชากรประมาณ 2,500 คน ผู้อยู่อาศัยในกลุ่มมุสลิมปากีสถานทั้งสองกลุ่มมาจากสถานที่ จุดกำเนิดและเบื้องหลังชาติพันธุ์ที่ต่างกัน ประชากรส่วนใหญ่ในปัจจุบันของทั้งสองกลุ่มเป็นคนรุ่นที่สามและสี่ สืบเชื้อสายจากผู้ก่อตั้งถิ่นฐานคนแรกก่อนปี ค.ศ.1947 ซึ่งอพยพมาจากตะวันออกของเบงกอล (ภายหลังกลายเป็นปากีสถานตะวันออก) หลังปี 1947 การแบ่งแยกดินแดนในประเทศอินเดียและสถาปนาประเทศปากีสถานหลังการครอบครองของอังกฤษ ทำให้มีการอพยพอย่างต่อเนื่องจากตะวันออกของปากีสถานมายังตอนเหนือของไทยและเข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ในท้ายที่สุด อย่างไรก็ตามไม่ใช่การเคลื่อนย้ายเข้าสู่ประเทศไทยทันทีทันใด การอพยพตั้งแต่อออกจากบ้านเกิด ผู้อพยพส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานในประเทศพม่าและแต่งงานกับภรรยาชาวพม่า ก่อนจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่เขตแดนทางตอนเหนือของไทย และท้ายที่สุดก็เข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้อพยพจากปากีสถานมีชาวปาทานจากปากีสถานด้วยจำนวนหนึ่งที่อพยพเข้ามาสู่จังหวัดเชียงใหม่ในระยะเวลาที่แตกต่างกัน รวมทั้งชาวปาทานจากอัฟกานิสถานหรือพม่า ผู้อพยพชาวปาทานประกอบอาชีพหลักทางปศุสัตว์ (เพาะพันธุ์และค้าขาย) ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของการพัฒนากลุ่มปากีสถานขึ้นที่ตำบลช้างเผือก มุสลิมบางคนที่พบในกลุ่มมุสลิมปากีสถานมาจากอินเดียและซีลอน แต่มีจำนวนน้อย (น้อยกว่า 10 คน) เมื่ออาศัยอยู่ในเมืองไทยได้ระยะเวลาหนึ่ง ปากีสถานนิสก็สืบเชื้อสายจากผู้อพยพลี้ภัยมาเลย์มุสลิม ซึ่งรัฐบาลไทยให้อพยพมาจาก 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และตั้งถิ่นฐานร่วมกับกลุ่มมุสลิมปากีสถานในจังหวัดเชียงใหม่ ประชากรกลุ่มอื่นๆ ในกลุ่มมุสลิมปากีสถานก็คือไทยมุสลิมที่เคยอาศัยอยู่ในนราธิวาส ตรัง (ทางตอนใต้ของไทย) ฉะเชิงเทรา (ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของไทย) กรุงเทพและอยุธยาในที่ราบภาคกลางและชุมชนมุสลิมอื่นๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่โดยรอบจังหวัดเชียงใหม่ ตาก ลำปาง ลำพูน รวมทั้งประชากรที่เป็นคนท้องถิ่นไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่แต่งงานเข้ามาในชุมชนมุสลิม และเปลี่ยนศาสนานับถือศาสนาอิสลาม ประวัติศาสตร์และการอพยพเคลื่อนย้าย : มุสลิมปากีสถาน ทางสัญจรบริเวณชายแดนเหนือของประเทศไทย 4 เส้นทางหลัก ที่รู้จักกันดีว่าเป็นเส้นทางที่ผู้อพยพชาวปากีสถานผ่านเข้ามายังเขตแดนของจังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางที่เก่าแก่ที่สุดและมีความสำคัญที่สุดคือเส้นทางผ่านที่แม่สอด แม่สอดเคยเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญ ในบริเวณตะวันตกเฉียงใต้เขตแดนทางตอนเหนือ เนื่องจากเป็นทางผ่านสัญจรของกองคาราวานค้าขายที่เข้ามาในประเทศไทย และชาวต่างชาติ พ่อค้าบางรายจะพักค้างคืนหนึ่งหรือสองคืนขณะขายสินค้าหรือขณะรอบรรทุกสินค้าท้องถิ่นบนหลังม้าหรือวัวและเร่ขายไปยังสถานที่ต่าง ๆ ประมาณปี ค.ศ.1850 พ่อค้ามุสลิมอินเดียนจากบริเวณใกล้กับจิตตากอง (Chittagong) ทางตะวันออกของเบงกอล อาศัยอยู่ในแม่สอดระยะเวลานาน ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางติดต่อกับชาวอินเดียหรือพ่อค้าชาวพม่าซึ่งมาจากประเทศพม่าและยูนนาน ฉาน ลาว และพ่อค้าคนไทยเหนือที่เข้ามาค้าขายในจังหวัดแม่สอด ความสำเร็จทางธุรกิจของพวกเขามาจากความสัมพันธ์จากจิตตากอง ทำให้ตั้งถิ่นฐานถาวรในแม่สอดในที่สุด ชุมชนมุสลิมอินเดียตะวันออกปัจจุบันพัฒนาขึ้นเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยประมาณพันครัวเรือน เนื่องจากเป็นทำเลที่ตั้งบริเวณชายแดนไทยพม่าซึ่งต่อมาก็กลายเป็นเส้นทางผ่านที่ผู้อพยพมุสลิมปากีสถานใช้เป็นเส้นทางเข้ามาในประเทศไทยโดยผ่านทางประเทศพม่าที่ชุมชนแห่งนี้เป็นแหล่งที่พักของผู้อพยพที่เพิ่งมาถึงก่อนตัดสินใจอยู่อาศัยและกลายเป็นผู้อาศัยถาวร อย่างไรก็ตามประชากรผู้อพยพส่วนมากหลังจากพักอาศัยอยู่ระยะเวลาหนึ่งจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตอนเหนือของไทยและเข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ อีกเส้นทางอพยพผ่านเข้ามาทางตอนเหนือของไทย คือ ฮอด จังหวัดชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน เมืองทั้งสองนี้สามารถเข้าถึงจากรางกูน (Rangoon) มาลเมี่ยน (Malmein) ในพม่า เข้าสู่เมืองชายแดนพม่าคือเมือง Paphoon ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทยทางตอนเหนือ จาก Paphoon มีเส้นทางเข้าสู่ฮอดหรือแม่สะเรียง แต่ละเมืองจะมีถนนเข้าสู่ลำปาง ตาก ลำพูน หรือเชียงใหม่ การเดินเท้าจะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ แต่ไม่มีชุมชนมุสลิมสร้างที่อยู่บริเวณพื้นที่ชายแดนฮอดและแม่สะเรียง เนื่องจากผู้อพยพหลังจากพักอาศัยอยู่ช่วงเวลาหนึ่งระยะสั้น ๆ ก็จะเคลื่อนย้ายออกไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นซึ่งมีชุมชนมุสลิมรวมอยู่จำนวนมาก แม่สายเป็นเมืองชายแดนอีกเมืองหนึ่งในอำเภอแม่จันตั้งอยู่ประมาณ 100-500 ไมล์จากทิตะวันออกเฉียงเหนือในจังหวัดเชียงราย ผู้อพยพมุสลิมปากีสถานและล่าสุดก็คือผู้อพยพลี้ภัยยูนนานนิสใช้เป็นเส้นทางเข้าสู่ทิศเหนือของไทย จากรัฐฉาน และพื้นที่อื่น ๆ ทางตอนเหนือของประเทศพม่า ในบริเวณแม่สายเคยเป็นที่ตั้งของแคมป์ผู้อพยพผู้ลี้ภัยยูนนานนิสที่สร้างโดยรัฐบาลไทย เป็นสถานที่ซึ่งเคยมีผู้ลี้ภัยยูนนานนิสมากกว่าพันคนอาศัยอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายสวัสดิการสังคม (Public Welfare) Mae Chan Tribal Settlement ในจังหวัดเชียงรายมีชุมชนมุสลิมอินเดียนที่พักอาศัยมากกว่าพันครัวเรือน เช่นเดียวกับชุมชนมุสลิมอื่น ๆ บริเวณชายแดน โดยชุมชนเหล่านี้จะเป็นแหล่งพักพิงของผู้อพยพชาวปากีสถานนิสที่เพิ่งเข้ามาใหม่จะอาศัยอยู่ชั่วคราวก่อนตัดสินใจอยู่ต่อหรือเคลื่อนย้ายเข้ามาในจังหวัดอื่น ตลอดระยะทางไปสู่จังหวัดเชียงใหม่มีชุมชนมุสลิมอยู่จำนวนมากในลำปาง ตาก และลำพูน ความสำเร็จในการตั้งถิ่นฐานขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับผู้อาศัยอยู่เดิมในชุมชนและการประกอบสัมมาอาชีพ เข้าบริเวณชายแดน ส่วนมากผู้อพยพจะเดินทางคนเดียวและเป็นผู้ชาย หรืออพยพเข้ามาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพียงสองหรือสามคน ในกรณีที่มาคนเดียวผู้อพยพจะค่อยๆ แทรกเข้ามาบริเวณชายแดน ก่อนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ภายในจนกระทั่งถึงเมืองที่เป็นจุดหมาย กรณีที่มีการอพยพเป็นกลุ่มคนจำนวนมากไม่เคยเกิดขึ้นในกลุ่มมุสลิมปากีสถาน อย่างไรก็ตาม ช่วงการเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สองโดยเฉพาะระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1942 - มกราคม ค.ศ. 1943 มีผู้อพยพลี้ภัยจำนวน 300,000 คน ที่คาดว่าอาจเป็นประชากรส่วนใหญ่ที่สามารถอพยพเข้าสู่ดินแดนต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณชายแดนรอยต่อประเทศพม่า รวมทั้งทางตอนเหนือของไทย หลังสงครามโลกครั้งที่สองพม่าปฏิบัติกับชาวอินเดียที่ยังหลงเหลือในประเทศพม่าว่าเป็นคนต่างด้าว ชาวอินเดียเหล่านี้ไม่มีประเทศบ้านเกิด (ไม่ผูกพันกับประเทศอินเดีย) แต่ยังคงอาศัยในประเทศพม่า เนื่องจากประกอบสัมมาอาชีพค้าขายในประเทศพม่า พวกเขาถือกำเนิดขึ้นในสังคมพม่าโดยการแต่งงานหรือพันธะทางสังคมอื่น ๆ มุสลิมเบอร์มิส เรียกว่า "อาราคานิส" (Aracanese) หรือผู้สืบเชื้อสายจากอินเดียน เมื่อถึงยุคสร้างชาติมีการออกกฎข้อห้ามชาวต่างชาติในปี ค.ศ.1962 และ 1966 ชาวอินเดียจึงต้องออกจากประเทศพม่าและยอมรับสถานภาพผู้อยู่อาศัยชาวต่างด้าวซึ่งไม่สามารถประกอบอาชีพค้าขายหรือการว่าจ้าง ผลสืบเนื่องดังกล่าวช่วงปี ค.ศ.1962-1964 อินเดียนจำนวนมากต้องออกจากประเทศพม่าทันที ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีรายงานว่ามีผู้อพยพลี้ภัยจำนวน 10,000 คนในจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วยกะเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อยที่ไม่สามารถระบุสัญชาติ กระบวนการอพยพ : มุสลิมยูนนานนิส การตั้งถิ่นฐาน ในจังหวัดเชียงใหม่มีกลุ่มยูนนานนิส 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือพ่อค้ามุสลิมยูนนานนิสช่วงกลางศตวรรษที่ 19 อยู่เวียงพิงค์ย่านธุรกิจของจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มที่สองพัฒนาขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อยู่ที่ตำบล San Pah-Koy อยู่ด้านตะวันออกของฝั่งแม่น้ำปิงห่างประมาณ 1 ไมล์จากทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเวียงพิงค์ กลุ่มมุสลิมยูนนานนิสที่อาศัยในพื้นที่เวียงพิงค์สืบเชื้อสายจากพ่อค้าเร่ยูนนานนิสที่เดินทางระหว่างยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนและพม่า ลาวและทางตอนเหนือของไทย เป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มคนไทยท้องถิ่นเหนือว่า "Haw" หรือ "Ho" พวกเขาบ่งชี้ตนเองมีภาษาและพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่ต่างจากชาวจีนโพ้นทะเล ช่วงต้นศตวรรษ 1890 -1900 มีกลุ่มคนเพียง 12 คนอาศัยเป็นชุมชนถาวร หลังจากนั้นประชากรยูนนานนิสก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนปี ค.ศ.1965 มีประชากรพันคน เมื่อมีผู้อพยพเข้ามาใหม่เพิ่มมากขึ้น ประชากรในชุมชนยูนนานนิสที่เวียงพิงค์มีจำนวนประมาณ 1,200 คน ชุมชนเดิมไม่สามารถรองรับด้านที่อยู่อาศัยผู้อพยพใหม่ได้ ยูนนานนิส กลุ่มอื่นจึงขยายชุมชนออกไปบริเวณ San Pah-koy พื้นที่ใหม่นี้มีประชากรประมาณ 500 คน นอกจากนี้ ยังมีมุสลิมยูนนานนิสรวมแล้วไม่น้อยกว่า 300 คนที่ไม่สามารถอาศัยในสองบริเวณนี้ พวกเขาจึงอาศัยอยู่ในร้านค้าหรือบ้านเดี่ยวในพื้นที่หลากหลายในเชียงใหม่ปะปนกับประชากรที่เหลือในจังหวัดเชียงใหม่ ประวัติศาสตร์การอพยพเคลื่อนย้าย แม้ว่าผู้อพยพยูนนานนิสที่อาศัยทางตอนเหนือของประเทศไทยจะถูกจัดกลุ่ม โดยทั่วไปให้เป็นประชากรกลุ่มเดียวกันด้วยคำเรียกว่า "Haw" "Ho" แต่พวกเขามีหลากหลายกลุ่ม เนื่องจากเป็นยูนนานนิสที่มาจากจุดกำเนิดหรือสังคมวัฒนธรรมหรือเบื้องหลังทางการเมืองต่างกัน ซึ่งมีกลุ่มผู้อพยพยูนนานนิส 4 กลุ่มที่แตกต่างกัน พ่อค้ายูนนานนิส เป็นกลุ่มพ่อค้าเร่ที่เดินทางช่วงหน้าหนาวและหน้าร้อน (เดือนตุลาคมถึงเมษายน) ระหว่างดินแดนยูนนานและพม่า ลาว และทางตอนเหนือของไทย ในกระบวนการแลกเปลี่ยนด้านธุรกิจค้าขาย ทำให้พ่อค้าเร่ยูนนานีส กลายเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานถาวร ชาวยูนนานไม่เคยมีการก่อตั้งหมู่บ้านของตนเองในภูเขาหรือทำการเกษตร พวกเขาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในบริเวณเมืองจำนวนเล็ก ๆ "Haw" ที่เก่าแก่บางคนได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการโดยกษัตริย์สยามและกลายเป็นพลเมืองชั้นผู้นำของเชียงใหม่ คำว่า "Haw" (หัว) "ho" (ฮ่อ) ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่คนไทยท้องถิ่นเหนือเรียกพ่อค้าเร่เหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องลึกลับ เพราะไม่ใช่คำในภาษายูนนานนิส,ไทย หรือชาวภูเขา อย่างไรก็ตาม คำนี้ก็มีความชัดเจนในการใช้ระบุคนจีนแห่งยูนนานที่มีความแตกต่างมากทั้งด้านกายภาพ ภาษาและวัฒนธรรมจากชาวจีนโพ้นทะเล พ่อค้าชาวยูนนานและผู้สืบเชื้อสายสร้างกลุ่มของตนเองขึ้นในทางตอนเหนือของไทยในเชียงราย ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ อาศัยอยู่เป็นเวลานานก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง จนกระทั่งมีกลุ่มยูนนานนิสที่เพิ่งอพยพเข้ามาจากพม่าและยูนานในปีทศวรรษของ 1950 ผู้อพยพลี้ภัยยูนนานนิส กลุ่มที่สองคือผู้อพยพลี้ภัยในปีทศวรรษของ 1950 ซึ่งอพยพจากยูนนานเพราะแรงกดดันทางการเมืองและตั้งถิ่นฐานในประเทศพม่าระยะเวลาหนึ่ง ก่อนพวกเขาจะอพยพต่อมาสู่เขตแดนทางเหนือของประเทศไทย มีระยะเวลาการอพยพแบ่งเป็นสองช่วงใหญ่ๆ ซึ่งมุสลิมยูนนานนิสแพร่ขยายเข้าสู่ประเทศพม่าช่วงแรกหลังปี ค.ศ.1873 เมื่อมุสลิมยูนนานนิสก่อกบฎขึ้นหรือรู้จักกันว่า "Pathay Rebellion" เนื่องจากการโค่นล้มและสังหารหมู่มุสลิมอันเป็นผลของแรงกดดันจากรัฐบาลจีน ช่วงที่สองคือระหว่างปีทศวรรษของ 1950 เมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์เข้ายึดครอง ชาวยูนนานทั้งพลเมืองและทหารจึงหลบหนีเข้าประเทศพม่า ในประเทศพม่ามุสลิมยูนนานนิสตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้านของพวกเขาเองตลอดแม่น้ำสาละวินพื้นที่หลักของเชียงตุง (keng tung) Rangoon (รางกูน) Mandalay (มัณดาเลย์) เป็นที่รู้จักของชาวพม่าว่า "พะเทย์"-"Pathay" (เป็นคำภาษาพม่าเรียกมุสลิม) กระทั่งเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 จำนวนยูนนานนิสในพม่าเพิ่มจำนวนขึ้น 10,000 -15,000 คน และได้แต่งงานกับผู้หญิงท้องถิ่น แต่เด็กที่เกิดมาจะไม่ผูกพันกับชุมชนมากเท่ากับสังคมพุทธในพม่า เมื่อญี่ปุ่นรุกรานประเทศพม่าในปี ค.ศ. 1941 มุสลิมยูนนานนิสเกือบทั้งหมดก็กลับคืนถิ่นยูนนาน แต่บางส่วนก็อพยพเข้ามาในลาวและทางตอนเหนือของไทย ในปีทศวรรษของ 1950 หลังคอมมิวนิสต์ยึดครองประเทศจีน ชายแดนจีน-พม่าปิดลงทำให้การอพยพสิ้นสุดลง กองทหารก๊กมินตั๋ง หลังพรรคคอมมิวนิสต์ยึดครอง มีกองกำลังทหารชาวจีนยูนนานจำนวนหนึ่งที่ภักดีต่อชาตินิยมจีน (Chinese Nationalists) รู้จักกันในนามก๊กมินตั๋ง (kuo min tang) หรือ KMT ประกอบด้วยทหารประมาณ 9,000-10,000 คน KMT ได้รับการปกป้องเป็นอันดับแรกในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองโดยรัฐบาลพม่า ภายหลังพวกเขากลายเป็นกลุ่มปฏิบัติการกองโจรที่สร้างสถานการณ์ยากลำบากให้กับรัฐบาลที่พวกเขาพักอาศัยและประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศจีน ความพยายามของ KMTที่จู่โจมและต่อต้านกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์จีนในยูนนานเป็นผลให้เกิดการต่อต้านจากกองกำลังทหารพลเมืองจีนในประเทศพม่า ภายใต้แรงกดดันของรัฐบาลพม่าและความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา ลาว และไทย สมาชิกครึ่งหนึ่งของทหารยูนานนิสเหล่านี้จึงถูกย้ายจากพม่า ลาว ไทยไปสู่ประเทศไต้หวันช่วงปี ค.ศ.1953-1954 แต่บางส่วนก็ยังคงอาศัยในหมู่บ้านยูนนานนิสในประเทศพม่า ลาวไทย หลังปี ค.ศ.1954 กองกำลังทหารของรัฐบาลพม่ารณรงค์ขับไล่ยูนนานนิสออกจากตอนเหนือของประเทศพม่าให้หมดสิ้น ทหารนอกสังกัดรวมทั้งนายูนานนิสที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศพม่าอยู่ก่อนแล้วจึงต้องอพยพออกมาทันทีและเคลื่อนย้ายเข้าสู่ลาวและไทย กองโจรยูนนานนิส กลุ่มกองโจรที่ถูกขับไล่ออกมาจากประเทศจีนหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์ยึดครองประเทศจีน พวกเขาหลบหนีกองกำลังทหารพรรคคอมมิวนิสต์และเข้าปล้นชิงผู้อพยพชาวจีนที่หลบหนีเข้ามาในประเทศพม่าเมื่อเผชิญกับกองกำลังทหารประเทศพม่า กลุ่มกองโจรก็จะสวมบทบาทเป็นผู้หลบหนีจากกองทหารจีนจึงได้รับการป้องกัน กลุ่มกองโจรเข้าก่อการร้ายในหมู่บ้านยูนนานนิสและชาวเขา (หน้า 37-56) |
|
Settlement Pattern |
ในช่วงแรกของการอพยพ การตั้งถิ่นฐานของมุสลิมทั้งสองกลุ่มยังไม่เป็นบ้านหรือที่อยู่อาศัยอย่างถาวร เป็นห้องที่เพียงพอแก่การอยู่อาศัย เนื่องจากยังไม่เป็นพลเมืองของประเทศและไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมเศรษฐกิจและการเมืองได้ ต่อมากลุ่มมุสลิมปากีสถานมีความจำเป็นต้องการพื้นที่มากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อแต่งงานและครอบครัวขยายมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นการสร้างบ้านเรือนของมุสลิมปากีสถาน พื้นที่ของบ้านจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยของครอบครัวลูกชายในช่วงแรกของการแต่งงาน และโดยเฉพาะกรณีที่ครัวเรือนประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงปศุสัตว์ค้าขายเนื้อเป็นหลัก ก็ต้องการพื้นที่มากสำหรับคอกสัตว์และโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งจะอาศัยอยู่บนพื้นที่รอบนอกทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเชียงใหม่ หรือ ต.ช้างคลาน ต.ช้างเผือก ส่วนกลุ่มมุสลิมยูนนานที่อาศัยอยู่ในเวียงพิงค์ได้เกิดปัญหาเรื่องพื้นที่ธุรกิจด้านการค้าขยายตัวในช่วงสองศตวรรษหลัง พื้นที่สองฟากของถนนทั้งทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกเต็มไปด้วยร้านค้าและโรงแรม พื้นที่ที่อยู่อาศัยขยายออกไปไม่ได้ ผู้อพยพชาวยูนนานที่นับถือศาสนาอิสลามจำนวนที่ประกอบธุรกิจการค้าในละแวกนั้น จึงอาศัยอยู่ในตึกแถวที่ประกอบกิจการทั้งสองฟากของถนน และมีการขยายที่อยู่อาศัยที่ San-Pah-Koy ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่มุสลิมยูนนานพัฒนาเป็นชุมชนขึ้นโดยสร้างมัสยิดและโรงเรียนสอนศาสนาใหม่ (หน้า 56-75) |
|
Demography |
ระหว่างปี ค.ศ.1970 -1980 มีประชากรทั้งหมดในเมืองเชียงใหม่ 1,026,450 คน เฉพาะในตัวเมืองเชียงใหม่ 100,000 คน อัตราการเจริญเติบโตของประชากรและการอพยพโยกย้ายเพิ่มขึ้น 50% ระหว่างปี ค.ศ.1976-1977 พื้นที่บนภูเขาของจังหวัดเชียงใหม่พบว่ามีกลุ่มภาษาและชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไปและต่างจากคนพื้นราบ รัฐบาลไทยเรียกประชากรเหล่านี้ว่า "ชาวเขา" ประกอบด้วย ข่า ลัวะ ลีซอ (กลุ่มภาษาทิเบต-เบอร์มัน) แม้ว เย้า ลัวะ ขมุ (กลุ่มภาษาตระกูลมอญเขมร) และกะเหรี่ยง ประชากรชาวเขาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มีประมาณ 62,862 คน นอกจากนี้ยังมีประชากร ฉาน ลื้อ ประมาณ 30,000 คน อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า ส่วนประชากรที่อาศัยในพื้นที่ราบครอบครองโดยประชากรไทยเหนือ 85% ของประชากรทั้งหมด "คนเหนือ" หรือที่เรียกตนเองว่า "คนเมือง" เป็นกลุ่มที่รู้จักกันในชาวตะวันตกว่า ไทยยวน ฉาน หรือลาว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมใกล้ชิดกับอาณาจักรไทยโบราณทางตอนกลางของแม่น้ำโขง (ลาว) มากกว่าอาณาจักรลุ่มน้ำเจ้าพระยา (สยาม) ส่วนประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามในจังหวัดเชียงใหม่คือ มุสลิมปากีสถาน 2,500 คน และมุสลิมยูนนาน 20,000 คน |
|
Economy |
หลักเกณฑ์ที่มีต่อการประกอบอาชีพมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจัดการและขนาดของพื้นที่รวมทั้งการตั้งถิ่นฐาน เกณฑ์ประการแรกคือ จำนวนเงินในการลงทุนเพื่อซื้อบ้านหรือพื้นที่ว่างในชุมชน มุสลิมปากีสถาน : พ่อค้าเนื้อสดมักเป็นธุรกิจผูกขาดโดยมุสลิมชาวปากีสถาน เนื่องจากมุสลิมปากีสถานส่วนใหญ่จะทำปศุสัตว์วัว (เพาะพันธุ์) โรงฆ่าวัว และจำหน่ายเนื้อวัว ธุรกิจประเภทนี้มีความจำเป็นต้องใช้เนื้อที่มากเพื่อความเพียงพอต่อการอยู่อาศัยของครอบครัวแบบครอบครัวขยายและครอบครัวของผู้ใช้แรงงาน (ลูกจ้าง) ด้วย นอกจากนี้ ยังต้องมีเนื้อที่เพียงพอต่อการสร้างคอกปศุสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ พื้นที่ในการเก็บรักษาเนื้อสด ดังนั้นจึงต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อที่ดิน จำนวนเงินที่เจ้าของธุรกิจหรือผู้ลงทุนยอมให้ลูกค้า ลูกจ้าง ตัวแทนผู้ค้าปลีก ยอมให้เชื่อสินค้าหรือกู้ยืม นอกจากนี้ ยังมีเงินในส่วนที่ให้เป็นของกำนัลกับคนที่ติดต่อธุรกิจ และเงินที่ต้องแจกจ่ายแก่คนจนตามกฎหมายอิสลามซึ่งธุรกิจค้าขายเนื้อจำเป็นต้องติดต่อกับผู้ค้าปลีกที่ส่งเนื้อให้กับผู้ค้ารายย่อยในตลาดทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และนอกจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีประสบการณ์ในท้องถิ่นและความเชี่ยวชาญในอาชีพ การค้าเนื้อวัวจะต้องมีประสบการณ์ในท้องถิ่นและมีสายสัมพันธ์ที่กว้างขวางทั้งภายนอกและภายในตัวเมืองเชียงใหม่ มุสลิมชาวปากีสถานบางคนจะเป็นลูกจ้างชั่วคราวในโรงฆ่าสัตว์หรือเป็นคนเลี้ยงวัว ซึ่งเป็นการว่าจ้างโดยขึ้นกับความพอใจของนายจ้าง เมื่อลูกจ้างสามารถหางานที่มีความมั่นคงกว่ารายได้ดีกว่า ก็จะเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่น มุสลิมยูนนาน : จะทำการค้าขายทั้งปลีกและส่งผัก ผลไม้สดในตลาด รวมทั้งเป็นเจ้าของร้านขายของชำ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายเครื่องประดับ และตัวแทนขายมอเตอร์ไซด์ การประกอบอาชีพค้าขายผัก ผลไม้สดตามฤดูกาล มาขายที่ตลาด เมื่อหมดฤดูกาลของผัก ผลไม้ก็จะหันไปทำธุรกิจประเภทอื่นหรือหยุดพักชั่วคราวแล้วรอฤดูกาลเก็บเกี่ยวมาถึงอีกครั้ง ส่วนธุรกิจประเภทที่มั่นคงทำเป็นระยะยาวได้แก่เจ้าของร้านขายของชำ ค้าขายส่งเนื้อวัว เสมียนและงานราชการ มุสลิมยูนนานที่เป็นเจ้าของกิจการจะได้ผลกำไรมากกว่าลูกจ้างและได้ผลตอบแทนมากกว่าทำงานรับข้าราชการ ความต้องการเนื้อที่ในตลาดเพื่อวางขายสินค้าจะต้องจัดหาพื้นที่และจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่เจ้าของตลาด เมื่อแผงเช่าในตลาดมีคนเข้ามาจับจ่ายมากขึ้น มีการแข่งขันสูงมากขึ้นก็จะทำให้ราคาที่ต้องจ่ายค่าแผงให้กับเจ้าของตลาดและผู้ที่เช่าเป็นรายแรกแพงยิ่งขึ้น |
|
Social Organization |
มุสลิมปากีสถาน : ระบบเครือญาติกลุ่มมุสลิมปากีสถาน มีลักษณะโครงสร้างทางสังคมเป็นแบบครอบครัวขยาย บิดาหรือผู้ชายเป็นใหญ่ ซึ่งจะปรากฏทั้งในการสืบเชื้อสาย รับมรดก และอำนาจในการปกครองตามคำสั่งสอนในคัมภีร์อัลกุรอ่านที่กำหนดชี้นำแนวทางของการแต่งงาน ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ การหย่าร้าง การสืบทอดมรดก ระเบียบข้อบังคับดังกล่าวทำให้ครอบครัว เครือญาติของมุสลิมปากีสถานแตกต่างจากสังคมคนไทยภาคเหนือซึ่งมารดาเป็นใหญ่ตามอิทธิพลของศาสนาพุทธ แม้ว่าโครงสร้างสังคมมุสลิมปากีสถานจะมีลักษณะผู้ชายเป็นใหญ่ การสืบเชื้อสายและรับมรดกจะสืบทอดผ่านทางผู้ชาย แต่ทั้งระบบสังคมระบบบิดาเป็นใหญ่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างตายตัว ต่างจากระบบบิดาเป็นใหญ่แบบการสืบเชื้อสายสายเดียวในสังคมอื่นๆ เนื่องจากในความเป็นจริงสายสัมพันธ์กับสายข้างแม่ก็มีด้วย ในมุสลิมปากีสถานเจ้าบ้านจะเป็นผู้มีความสัมพันธ์ทั้งสองข้าง (สืบเชื้อสายทั้งทางพ่อและแม่) เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและยืดหยุ่นขึ้นกับสถานการณ์ ในขณะที่ความสัมพันธ์ข้างบิดามีความเด่นชัด แต่ก็ยังมีการระลึกรู้ความสัมพันธ์ข้างแม่ด้วย ครัวเรือนของมุสลิมปากีสถานเป็นความสัมพันธ์ของกลุ่มเครือญาติแบบขยายโดยลูกชายที่แต่งงานแล้วและยังไม่แต่งงาน ลูกสาวที่ยังไม่แต่งงาน ภรรยาของลูกชายที่แต่งงานเข้ามาในครอบครัวและลูก ๆ บางครั้งอาจรวมเอาน้องสาวหรือพี่สาวที่เป็นหม้ายหรือญาติข้างพ่อของเจ้าบ้าน ในครอบครัวที่ทำธุรกิจจะรวมครอบครัวของคนงานด้วย แม้ว่าในสังคมมุสลิมจะอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้สี่คน แต่ในทางปฏิบัติก็แทบจะไม่มี เพราะตามกฎอิสลามต้องขออนุญาตภรรยาคนแรกก่อน ซึ่งเป็นไปได้ยากที่จะอนุญาต เพราะอิทธิพลจากญาติทางฝ่ายหญิงของภรรยาจะปฏิเสธ ผู้ชายแม้จะแต่งงานแล้วก็ยังอาศัยร่วมกับครอบครัวพ่อแม่ ส่วนผู้หญิงจะแต่งงานไปอยู่กับครอบครัวของสามี แต่ก็มีกรณีที่ผู้หญิงอาศัยอยู่บ้านเดิมแล้วนำสามีมาอาศัยอยู่ด้วย เนื่องจากผู้หญิงไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย และพ่อของเจ้าสาวจัดการให้เจ้าบ่าวมาอยู่ด้วย หรือในกรณีที่บ้านเจ้าบ่าวอยู่นอกชุมชนมุสลิมไม่สามารถพาเจ้าสาวไปอยู่กับครอบครัวตนได้จึงต้องอยู่กับครอบครัวเจ้าสาว (หน้า 77-79) ลูกชายคนแรกที่แต่งงานจะอยู่กับครอบครัวพ่อแม่จนกระทั่งมีลูกคนแรกก็ต้องย้ายออกไป ลูกชายคนสุดท้องหรือคนที่แต่งงานเป็นคนสุดท้ายที่เหลือในครอบครัว ต้องเป็นคนดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่ากระทั่งเสียชีวิต ก็จะได้รับสืบทอดบ้านของพ่อแม่ มุสลิมยูนนาน : มีความคล้ายคลึงกันกับมุสลิมปากีสถานแต่ด้วยพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และนิเวศสังคม ทำให้การปรับตัวกับลักษณะของท้องถิ่นแตกต่างกัน กลุ่มมุสลิมยูนนานอาศัยในพื้นที่ที่จำกัด เนื่องจากอยู่ในตัวเมืองและทำธุรกิจจึงทำให้มีลักษณะครัวเรือนต่างจากมุสลิมปากีสถาน - ครัวเรือนเป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบด้วยสามี ภรรยา ลูกที่ยังไม่แต่งงานอาจมีญาติฝ่ายสามีหรือภรรยาสองสามคนในบ้าน - ในกรณีที่ลูกชายแต่งงานมีภรรยา พ่อจะให้เงินทุนกับลูกชายสำหรับปลูกบ้านหรือลงทุนค้าขาย ลูกชายจึงสามารถสร้างครอบครัว มีบ้านและมีกิจการเป็นอิสระของตนเอง - เครือญาติและมิตรสหายของมุสลิมยูนนานจะไม่อยู่ในชุมชนเดียวกันแต่อยู่คนละพื้นที่ แต่เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในรัศมีไม่เกิน ๕ ไมล์มีการติดต่อสื่อสารและคมนาคมที่สะดวก ทำให้สามารถติดต่อกันได้อย่างใกล้ชิด - มุสิลมยูนนานส่วนใหญ่ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในเชียงใหม่จะเป็นพ่อค้าเพศชายที่ยังไม่แต่งงานและมาแต่งงานภายหลังกับผู้หญิงมุสลิมท้องถิ่น มุสลิมปากีสถานจะตั้งถิ่นฐานถาวรในเมืองที่เป็นพื้นที่ที่ญาติภรรยาอาศัยอยู่ ดังนั้น จะมีญาติข้างภรรยาจำนวนมากอย่างเด่นชัดกว่าญาติฝ่ายผู้ชาย (หน้า 122-125) สังคมมุสลิมในเชียงใหม่มีความสัมพันธ์ตามลำดับชั้น ความมีเกียรติและสถานะทางสังคมมีความสำคัญภายในชุมชน ส่วนต่าง ๆ ของทางตะวันอออกของปากีสถานและบังคลาเทศยังมีระบบวรรณะแม้แต่ในอุดมการณ์แบบมุสลิม ปากีสถานมุสลิมในเชียงใหม่ที่สืบเชื้อสายมาจากดินแดนส่วนนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำเกษตร ชนชั้นทางสังคมในชุมชนมีความยืดหยุ่นและเป็นความสัมพันธ์ทางชนชั้นมากกว่าระบบวรรณะ แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีความคิดเรื่องวรรณะเลย ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ทำอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์และฆ่าสัตว์ แต่ละวันร่างกายต้องสัมผัสกับพวกปศุสัตว์ เลือด ถือว่าอยู่ในวรรณะต่ำ ในระบบชนชั้นสังคมของมุสลิมยูนนานก็มีการนับถือ พ่อค้าที่มีฐานะร่ำรวยและมีการศึกษาสูงว่าเป็นผู้มีเกียรติ สถานะสูงทางสังคม เช่นเดียวกับในธรรมเนียมสังคมจีน ซึ่งผู้อยู่ในสถานะสูงมีเกณฑ์สี่หลักคือ การศึกษา ความร่ำรวย มารยาททางจริยธรรม ตำแหน่งทางการเมือง แบ่งคนเป็นสองกลุ่มคือชนชั้นปกครอง กับคนธรรมดาและคนธรรมดาก็สามารถแบ่งออกเป็น นักวิชาการ พ่อค้า ช่างฝีมือ และชาวนา แต่นักวิชาการจะเลื่อนขั้นเป็นขุนนางรับราชการได้ พ่อค้า ช่างฝีมือ ชาวนาเป็นกลุ่มอาชีพเดียวกัน มุสลิมยูนนานเป็นกลุ่มที่ได้รับการศึกษาสูงและเข้าทำงานในโรงงาน บริษัทเอกชน หรือรับข้าราชการ ทำให้เป็นกลุ่มมุสลิมที่มีฐานะร่ำรวยกว่ามุสลิมปากีสถาน (หน้า 130-136) |
|
Political Organization |
ชุมชนมุสลิมในเชียงใหม่ยังคงมีความสัมพันธ์แบบลำดับชั้นทางสังคม (loose social stratification) แบบหลวมและมีระดับการเคลื่อนย้ายสูง คุณค่าทางวัฒนธรรมของมุสลิมทั้งสองกลุ่มคือ มุสลิมปากีสถานและยูนนานนิส ปรับเปลี่ยนจากแหล่งกำเนิด พวกเขาจึงยังคงให้ความสำคัญร่วมกันต่อระบบแห่งเกียรติยศ (system of prestige) และสถานะทางสังคมเมื่ออยู่ภายในชุมชน มุสลิมปากีสถาน งานวิจัยหลายชิ้นมักอ้างอิงถึงตะวันออกของปากีสถานและบังคลาเทศที่ยังคงมีระบบวรรณะ แม้อุดมการณ์ทางศาสนามุสลิมจะให้ความเท่าเทียมกันในหมู่มุสลิม กรณีศึกษาหมู่บ้านมุสลิมในบังคลาเทศซึ่งประชากรส่วนใหญ่ผูกพันกับเกษตรกรรม เจ้าของที่ดินจึงมีความสำคัญทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง เป็นผลให้เกิดความแตกต่างอันมาจากความร่ำรวยและทำให้เกิดชนชั้นทางสังคมขึ้นภายในหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม ลำดับชั้นที่พบกลุ่มมุสลิมปากีสถานในเชียงใหม่ เป็นระบบทางชนชั้นที่มีความยืดหยุ่นสูงมากกว่าระบบวรรณะ (caste system) แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่ามุสลิมปากีสถานกลุ่มนี้ จะไม่มีความคิดที่สัมพันธ์กับระบบวรรณะเลย ความคิดเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ (purity) และความเป็นมลภาวะ (pollution) จะพบในกลุ่มมุสลิม อาชีพที่เป็นมลภาวะ เช่น คนซักล้าง คนทำความสะอาด และคนขลิบหนังอวัยวะเพศชาย คนกลุ่มดังกล่าวมุสลิมถือว่าเป็นคนสถานะต่ำ แม้ว่ามุสลิมปากีสถานในเชียงใหม่ส่วนมากจะไม่เกี่ยวข้องกับอาชีพเกษตรกรรม และวรรณะที่ไม่ได้เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการแบ่งชนชั้นทางสังคม แต่ก็ยังพบความคิดที่เกี่ยวกับวรรณะในชุมชนระดับท้องถิ่น มุสลิมปากีสถานที่เป็นคนผสมพันธุ์สัตว์หรือฆ่าสัตว์ ซึ่งมีชีวิตประจำวันที่ร่างกายใกล้ชิดกับสัตว์ ซากสัตว์และเลือดจะถือว่าอยู่ในสถานะต่ำมุสลิมยูนนาน มุสลิมยูนนาน ระบบสถานะและความมีเกียรติของมุสลิมยูนนานในเชียงใหม่สามารถเข้าใจได้ในบริบทโครงสร้างทางชนชั้นของขนบธรรมเนียมจีน ในสังคมขนบธรรมเนียมจีนมี 4 ปัจจัยหลักในการกำหนดสถานะทางสังคมคือ บุคคลิกลักษณะด้านศีลธรรมจรรยา (moral character) การศึกษา ความร่ำรวยและตำแหน่งทางการเมือง ในขณะเดียวกันก็แบ่งประชากรออกเป็น 2 ชนชั้นกว้างๆ คือ ผู้ปกครอง (rulers) และสามัญชน (commoner) คนสามัญชนแบ่งออกได้อีก 4 ชนชั้น ผู้ที่มีเกียรติสูงสุดสำหรับชนชั้นล่างเรียงตามลำดับคือ นักศึกษา/นักวิชาการ พ่อค้า ช่างฝีมือ และชาวนา นักวิชาการมักได้เลื่อนเป็นชนชั้นปกครอง เมื่อสมัครเข้าสังกัดสำนักราชวัง แต่เมื่อปลดประจำการแล้วก็กลับสู่ถิ่นฐานชนบท พ่อค้ายูนนานนิสในเชียงใหม่ใช้ความมั่งคั่งและการศึกษาเป็นเกณฑ์ หมายถึงความสำเร็จสู่เกียรติยศและการยกย่องในสังคมเช่นเดียวกับระบบชนชั้นของจีน ชุมชนมุสลิมในเชียงใหม่ ประชากรส่วนใหญ่ไม่ผูกพันกับอาชีพเกษตรกรรม พวกเขาจึงไม่ได้พึ่งพาที่ดินเป็นสำคัญ เจ้าของที่ดินจึงไม่ได้เป็นองค์ประกอบสำคัญในลำดับชั้นทางสังคม ปัจจัยที่โดดเด่นในระบบสถานะและความมีเกียรติยศคือ อาชีพ ความร่ำรวยและศาสนา การจัดกลุ่มอาชีพจะถูกจัดลำดับและให้คุณค่าเชื่อมโยงกับความทันสมัยของ "อุตสาหกรรมขนาดใหญ่" "โรงงานขนาดเล็ก" และระบบราชการในสังคมไทย อาชีพการงานที่มีเกียรติจะเชื่อมโยงกับปัจจัยที่กำหนดความเคารพยกย่องภายในชุมชนมุสลิม โดยสามารถบ่งชี้ถึงอำนาจ เงินผลตอบแทน บทบาทที่สำคัญ การศึกษา ความจำเป็นทางร่างกายและจิตใจ การให้บริการทางสังคมและขนบธรรมเนียมประเพณี อาชีพที่มีอิทธิพลและได้รับเกียรติสูงสุดในชุมชนมุสลิมเชียงใหม่ คือ มุสลิมที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำของรัฐบาล ประธานองค์กรตัวแทน ผู้จัดการธุรกิจเอกชน ผู้ส่งออกด้านปศุสัตว์ อาชีพที่ให้ผลตอบแทนทางการเงินสูงจะมีความน่าเชื่อถือ และมีอำนวจทางเศรษฐกิจสูง มุสลิมที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ได้รับผลตอบแทนทางการเงินสูง ได้แก่ เจ้าของโรงแรม พ่อค้าปลีกรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ พ่อค้าส่งเนื้อวัว แต่แม้ว่าจะมีเงินรายได้สูงอันเป็นที่มีของความน่าเชื่อถือและอิทธิพลทางเศรษฐกิจ แต่จะไม่ได้รับสถานะที่สูงในทันที แต่ต้องประกอบด้วยคุณค่าทางสังคมและศาสนาด้วย อาชีพที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายหรือวิกฤตของชีวิต เช่น แพทย์ที่มีความจำเป็นยามเจ็บป่วย และนักกฎหมาย แพทย์และนักกฎหมายในเชียงใหม่เป็นเจ้าของสำนักกฎหมายและคลีนิคของตนเอง เป็นผู้มีเกียรติและมีอิทธิพลมากในชุมชนมุสลิม อาชีพที่ใช้เวลาการศึกษาหรืออบรมระยะเวลานานจะได้รับการยกย่อง เช่น หมอใช้เวลา 5 ปีสำหรับการศึกษาในมหาวิทยาลัยและใช้เวลาอย่าน้อย 2 ปีสำหรับการฝึกงานในโรงพยาบาลก่อนเป็นหมออาชีพ มุสลิมปากีสถานและมุสลิมยูนนานนิสรุ่นเก่าได้รับการศึกษาเพียงภาคบังคับชั้นประถมปีที่ 4 แต่ตระหนักว่ามีการศึกษามากเท่าใดก็จะเป็นหนทางสู่สถานะทางสังคมและตำแหน่งการงาน พ่อแม่มุสลิม โดยเฉพาะยูนนานนิสจะสนับสนุนให้ลูกจบการศึกษาในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อาชีพที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้านอารมณ์จิตใจจะได้รับการเคารพนับถือมากกว่างานที่เกี่ยวข้องกับร่างกายหรือการทำงานใช้แรงงาน เช่น คนงานรับจ้าง คนรับใช้ จะเป็นกลุ่มอาชีพที่อยู่ในระดับต่ำสุด อาชีพที่ส่งเสริมอุดมการณ์ความคิดทางสังคม จะได้รับการยกย่อง ได้แก่ อาสาสมัครชุมชนทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น ผู้นำทางศาสนา ครูสอนศาสนาจะได้รับเกียรติและสถานะทางสังคมสูงมากกว่าสมาชิกธรรมดาในชุมชน นักเรียน หรือสัปบุรุษมัสยิด นอกจากนี้ยังมีอาชีพที่เรียงลำดับชั้นที่กำหนดโดยระบบคุณค่าตามจารีตประเพณีของชุมชนคือ อิหม่าม-ผู้นำมัสยิด กิตาบ-ผู้นำละหมาด บิหลั่น-ผู้ส่งสารของมัสยิด ทั้งสามคือผู้ทำหน้าที่ทางศาสนาที่ได้รับการเลือกตั้งจากสัปบุรุษของมัสยิด พวกเขาจะมีอายุมากกว่า 50 ปี ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดตามกฎของมัสยิดรวมทั้งพิธีกรรมอื่น ๆ และละหมาดเป็นกิจวัวตรพวกเขาจะไม่มีรายได้จากการประกอบอาชีพสามัญ แต่สามารถดำรงชีวิตได้ด้วยทรัพย์สินส่วนตัว บางส่วนได้รับความช่วยเหลือจากลูกหลานที่มีครอบครัวแล้วและชุมชนนอกจากผู้นำทางศาสนา ครูสอนศาสนาแล้ว ยังมีกูรู (kuru) เป็นอาชีพตามจารีตประเพณีที่รู้จักกันดีในชุมชนมุสลิม ชุมชนมุสลิมในเชียงใหม่ให้ความเคารพยกย่องครูสอนศาสนาโดยเชิญมาร่วมงานเลี้ยงฉลองในพิธีกรรมทางศาสนาและงานเฉลิมฉลอง เนื่องจากครูสอนศาสนาเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติตนทางศาสนาและสังคมให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในชุมชน ลำดับชั้นอาชีพที่มีเกียรติภายในชุมชนมุสลิมจ.เชียงใหม่ อาชีพ ลำดับชั้น หมอ 1 อาจารย์ในมหาวิทยาลัย 2 หัวหน้าในหน่วยงานราชการ 3 นักกฎหมาย 4 สมาชิกตัวแทนองค์กร 5 ผู้นำทางศาสนา 6 ผู้จัดการองค์กรเอกชน 7 ครูในโรงเรียน 8 เสมียน 9 นักธุรกิจขนาดเล็ก 10 คนขับรถประจำทาง แรงงานรับจ้าง คนรับใช้ คนรับส่งเอกสาร ภารโรง 11 องค์กรอาสาสมัคร (Voluntary Organizations) ครอบครัวและความสัมพันธ์ทางเครือญาติในชุมชนมุสลิมเชียงใหม่คือหน่วยที่เป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคม เช่น เศรษฐกิจสังคม ข้อปฏิบัติทางศาสนาและการจัดระเบียบสังคม แต่เหนือระดับท้องถิ่นขึ้นไปในสังคมที่กว้างกว่า ซึ่งโครงสร้างมีความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้น มีองค์กรพันธมิตรที่เป็นแกนกลางใหม่เกิดขึ้นเพื่อเป็นสะพานเชื่อมช่องว่าง นำผู้คนที่มาจากชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ มาสู่สังคมที่กว้างขึ้น ดังนั้น เหนือระดับชุมชนมุสลิมจะมีองค์กรอาสาสมัครทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งจะประกอบด้วยสมาชิกจากทั้งชุมชนมุสลิมปากีสถานแมุสลิมยูนนานนิสในจังหวัดเชียงใหม่ หน้าที่ของพวกเขา (ในองค์กรอาสาสมัคร) ข้ามผ่านความเป็นท้องถิ่นและพรมแดนทางชาติพันธุ์ องค์กรอาสาสมัครนี้ประกอบด้วย กลุ่มยุวชนมุสลิม (Muslim Community Youth Group) ชมรมยุวชนก่อตั้งขึ้นโดยนโยบายรัฐบาล เป็นองค์กรที่เป็นศูนย์กลางสนับสนุนด้านนันทนาการและสังคมวัฒนธรรม มุสลิมทั้งเด็กหญิงและเด็กชายวัยรุ่นเป็นสมาชิกของยุวชนกลุ่มนี้ ภายในกลุ่มจะเลือกตั้งเด็กชายคนหนึ่งและเด็กหญิงคนหนึ่งให้เป็นผู้นำกลุ่มและเป็นตัวแทนกลุ่มเมื่อมีการประชุมวาระต่างๆ ชุมชนมุสลิมแต่ละชุมชนในจังหวัดเชียงใหม่ต่างมีองค?กรยุวชนมุสลิมภายในชุมชนของตนเอง สมาคมไทย-มุสลิมจังหวัดเชียงใหม่ (Chiengmai Thai-Muslim Association) สมาคมนี้เป็นกลุ่มองค์กรอาสาสมัครที่เก่าแก่ที่สุด สมาชิกหลักคือมุสลิมปากีสถานประกอบด้วยมุสลิมยูนนานนิสจากเวียงพิงค์บางส่วน โดยมีที่ทำการอยู่ในตึกโรงเรียนภายในมัสยิดที่เวียงพิงค์ จุดประสงค์หลักขององค์กรคือ เป็นศูนย์กลางการสื่อสารและนันทนาการให้กับสมาชิกมุสลิมในเมือง ในอดีตสมาคมนี้จัดโปรแกรมท่องเที่ยวสำหรับมุสลิมในเชียงใหม่ไปเยี่ยมชมชุมชนมุสลิมในกรุงเทพฯ และทางใต้ ในทางกลับกันสมาคมก็เป็นแหล่งพักพิงสำหรับกลุ่มมุสลิมจากชุมชนอื่นนอกจังหวัดเชียงใหม่ บางโอกาสจะจัดแสดงภาพยนตร์และดนตรีเพื่อหาทุนบริจาคในการสนับสนุนโรงเรียนในชุมชนมุสลิม สมาคมนักเรียนไทย-มุสลิมภาคเหนือ ( Northern Thai-Muslim Student Association:) แม้สมาคมนี้จะจัดตั้งโดยนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ก็ขยายสู้นักศึกษามุสลิมที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอื่นในเชียงใหม่ สมาชิกประกอบด้วยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคนิคภาคเหนือ มหาวิทยาลัยพายัพ วิทยาลัยการแพทย์ (College of Physical Education) คณะกรรมการจะเลือกตั้งทุกปีโดยนักศึกษามุสลิมที่มหาวิทยาลัลยเชียงใหม่ ประกอบด้วยประธาน รองประธาน เลขานุการ ประชาสัมพันธ์ ตัวแทนด้านบริการชุมชน ตัวแทนด้านงานชุมชนทางศาสนา โดยมีการประสานงานกับสมาคมแต่ละมหาวิทยาลัย จุดประสงค์ของสมาคมคือ เป็นศูนย์กลางการสื่อสารระหว่างนักศึกษามุสลิมต่างท้องถิ่นและมีเบื้องหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง แลกเปลี่ยนทัศนคติ ความรู้ของกฎระเบียบปฏิบัติด้านศาสนาอิสลาม และให้ความช่วยเหลือด้สนการศึกษาบริการชุมชนแก่ชุมชนมุสลิมที่ห่างไกล สมาชิกของสมาคมประกอบด้วยนิสิต นักศึกษา กิจกรรมและบริการช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนมุสลิมทั้งในและนอกจังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมการกลางมุสลิมจังหวัดเชียงใหม่ (Chiengmai Central Muslim Commitee) คณะกรรมการกลางมุสลิมจังหวัดเชียงใหม่ เลือกตั้งจากตัวแทนมุสลิมจากชุมชนมุสลิมทั้งหมดในจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วยสมาชิก 8 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งจากมุสลิมที่อาศัยในชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ในทางปฏิบัติแต่ละชุมชนจะเลือกตัวแทนหนึ่งหรือสองคนในการสมัครเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งเป็นอิหม่ามที่ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยปกครอง เนื่องจากคณะกรรมการกลางมุสลิมจังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางที่ให้คำปรึกษากับคณะกรรมการจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดจากส่วนกลางเป็นประธาน คณะกรรมการกลางฯ มีหน้าที่หลัก คือ 1) เป็นตัวแทนของมุสลิมที่อาศัยในชุมชนมุสลิมในเชียงใหม่ 2) รับผิดชอบด้านสวัสดิการทั่วไปของมุสลิมทุกคนในจังหวัดเชียงใหม่ 3) สนับสนุนและเป็นศูนย์กลางการสื่อสารและประสานงานระหว่างชุมชนมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่และส่วนอื่น ๆ ในประเทศไทย คณะกรรมการกลางมุสลิมจะจัดประชุมย่อยหรืองานชุมนุมทางศาสนาเพื่อช่วยประสานข้อขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับธรรมเนียมปฏิบัติและกฎหมายอิสลาม (หน้า 130-148) |
|
Belief System |
มุสลิมเชื่อว่า ควรหาเลี้ยงชีพด้วยกิจการของตนเองโดยสุจริต ไม่สำคัญว่าจะมีรายได้มากน้อยเพียงใด "ความไม่เหมาะสม" หรือ "ไม่บริสุทธิ์" หมายถึงรายได้ที่มาจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น ลักขโมย ค้าฝิ่น ยิ่งไปกว่ามุสลิมยังเชื่อว่าความร่ำรวยที่ได้ขณะยังมีชีวิตนั้นมาจากความเมตตาของพระอัลเลาะห์ ดังนั้น จึงไม่ควรเก็บไว้เพื่อประโยชน์ส่วนตนอย่างเดียว ควรใช้เพื่อส่งเสริมศาสนาและเพื่อนพ้องมุสลิมที่มีความจำเป็น เพราะหากไม่ให้ความสนับสุนนใด ๆ กับมุสยิดหรือชุมชน การทำความดี(ละหมาด 5 เวลาและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอื่น ๆ) ก็ไม่อยู่ในสายตาของพระอัลเลาะห์ ที่สำคัญคือจะไม่ถือเป็นมุสลิมโดยแท้จริง ความร่ำรวย 4 ประเภทคือ 1) ผลผลิตจากการเก็บเกี่ยว 2) มูลค่าจากการค้าสัตว์เช่นแพะ แกะ 3) เงินค้าขายจากเพชรพลอย และสินค้าที่มาจากการค้าขายที่มีมูลค่า ทั้ง 4 ประเภทนี้ต้องออกซะกาต ซึ่งจ่ายในแต่ละปีเป็นอัตราตามกฎหมายมุสลิม สิ่งซึ่งสนับสนุนความมีเกียรติที่สำคัญอีกประการหนึ่งในชุมชนมุสลิมคือความเคร่งครัดทางศาสนา ประกอบศรัทธาและความหมั่นเพียรตามหน้าที่ทางศาสนา เช่น การละหมาด ทำพิธีเฉลิมฉลองและการจาริกแสวงบุญที่เมกกะ และหลีกเลี่ยงข้อห้ามทางศาสนา |
|
Education and Socialization |
อัตตลักษณ์อิสลามและการธำรงรักษาชาติพันธุ์มุสลิมเกิดขึ้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาและเกิดระบบโรงเรียนสอนศาสนาเกิดขึ้นในชุมชนมุสลิมจังหวัดเชียงใหม่ การศึกษาที่ได้รับจากผู้นำมุสลิมสามารถควบคุมศูนย์กลางชุมชนมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่ บทบาทหน้าที่ของโรงเรียนสอนศาสนาสมัยใหม่ในกระบวนการรักษาความเป็นอิสลาม (Isalamic Assertion) โรงเรียนสอนศาสนาสมัยใหม่ (จิตภักดี) ในจังหวัดเชียงใหม่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1973 โดยอิหม่ามมัสยิด San Pah-koy ผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการโรงเรียนจิตภักดี หลักสูตรของโรงเรียนประกอบด้วย 1) ประวัติศาสตร์อิสลาม 2) แปลอัลกุรอ่านและซุนนะห์ 3) ไวยากรณ์อาหรับ 4) เตาฮีต (The maintain of the Divine Unity of Allah) 5) มารยาทจริยธรรมมุสลิม 6) หลักคำสอนคัมภีร์อัลกุรอ่าน 7) เขียนอ่านและแปลภาษาอาหรับ และวิชาพื้นฐานทั่วไป หลักสูตร 5 ปีเท่ากับการศึกษาขั้นสูงสุดของโรงเรียนชั้นต้นในประเทศอาหรับ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนจิตภักดีนักเรียนจะเรียนต่อในโรงเรียนอารบิคชั้นสูง ประธานโรงเรียนจะเดินทางไปต่างประเทศยังประเทศอาหรับในอัฟริกาเหนือและดินแดนมุสลิมอื่น ๆ เพื่อพบปะและเจรจากับผู้นำมุสลิมเพื่อส่งเด็กนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนจิตภักดีให้ไปศึกษาต่อ ซึ่งได้รับทุนการศึกษาจากซาอุดิอารเบีย คูเวต ลิเบีย โมร็อคโค ตูนีเซีย และมาเลเซีย นักศึกษาเหล่านี้เมื่อจบการศึกษาจะสอนในโรงเรียนสอนศาสนาภายในชุมชนบ้านเกิด หรือชุมชนมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลาอย่างน้อยสามปี คณะกรรมการกลางมุสลิมจังหวัดเชียงใหม่สนับสนุนจ้างครูเหล่านี้ และรณรงค์ชักชวนให้ผู้ปกครองส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศาสนา กลุ่มครูสอนศาสนาอาสาสมัครจากโรงเรียนจะไปสอนศาสนายังชุมชนมุสลิมต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ บางโอกาสครูสอนศาสนาจะได้รับเชิญไปอภิปรายหรือร่วมเสวนาในหัวข้อเกี่ยวกับศาสนาที่จัดโดยกลุ่มอาสาสมัครและนักเรียน ช่วงเดือนรอมฎอนมุสลิมที่อาศัยอยู่ในและนอกจังหวัดเชียงใหม่จะมารวมกันที่มัสยิดชุมชนเพื่อพูดคุยถกเถียงกันเรื่องศาสนาหลังละหมาดช่วงเย็น ผู้นำศาสนาท้องถิ่น ครู นักเรียน โรงเรียนจิตภักดีจะได้รับเชิญไปเข้าร่วมรายการที่จัดขึ้นโดยมัสยิดชุมชนเวียงพิงค์ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีจำนวนมากที่สุดในเทศกาลรอมฎอน รายการที่สนับสนุนด้านศาสนากระตุ้นสมาชิกชุมชนระดับท้องถิ่นทั้งมุสลิมรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ บางคนเป็นพ่อแม่หรือญาติของนักเรียนที่มีส่วนร่วมในรายการนั้น ผู้นำมุสลิมให้โรงเรียนจิตภักดีเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในการปฏิรูปศาสนาชุมชนและพัฒนาชุมชน วิธีการและทัศนคติแบบใหม่ต่อความรู้ทางศาสนาและนักศึกษา นำมาซึ่งการสอนด้วยโรงเรียนแบบใหม่ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี แทนที่แบบแผนการท่องจำ (chant and echo pattern) ในโรงเรียนมัสยิดแบบเก่า ซึ่งนักเรียนไม่สามารถศึกษาความหมายของคำอารบิค แต่นักเรียนสมัยใหม่สามารถเข้าใจบทความอารบิกได้ สถาบันและธรรมเนียมปฏิบัติต้องถูกทำให้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์โดย "การย้อนกกลับคืน" (backward) และ "เลื่อมใสเพียงศาสนาอิสลาม" ต้องถูกชำระโดยมุสลิมกลุ่มใหม่ซึ่งมีทั้งปากีสถานและยูนนานนิส เพื่อฟื้นฟูชุมชนมุสลิมในเชียงใหม่และสร้างขนบธรรมเนียมใหม่ กิจกรรมทางศาสนาของพวกเขาปรากฏในกลุ่มประชาชนในวงกว้างและมีผลกระทบต่อพฤติกรรมของสมาชิกมุสลิมในชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ในกลุ่มมุสลิมยูนานนิส จะใช้ภาษายูนนานนิสในพิธีกรรมทางศาสนาเมื่อมีการชุมนุมของกลุ่ม ภาษาอูราดู (Uradu) ถูกฟื้นฟูขึ้นมาโดยกลุ่มมุสลิมปากีสถาน เครื่องแต่งกายของมุสลิม เช่น การสวมหมวกแบบมุสลิมและโสร่ง ซึ่งเดิมเคยสวมเฉพาะในบ้านและชุมชน ก็นำมาสวมในพิธีกรรมและการสังสรรค์ชุมนุมทางสังคมทั้งในและนอกชุมชนมุสลิมมากขึ้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงกิจกรรมบันเทิง สันทนาการ เช่น ดูภาพยนตร์ ดื่มเหล้า ใช้เพลงประกอบงานเฉลิมฉลอง และรับประทานอาหารที่ปรุงโดยคนที่ไม่ใช่มุสลิม เป็นสัญลักษณ์ที่ทั้งมุสลิมปากีสถานและยูนนานนิสใช้แบ่งแยกวัฒนธรรมตนเองจากประชากรที่เหลือในสังคมไทยจังหวัดเชียงใหม่ มุสลิมปากีสถานและยูนานนิสพยายามรักษาความเป็นหนึ่งเดียวด้านกายภาพหรือความเป็นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ (ethnic uniqueness) โดยใช้เกณฑ์ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนา พวกเขาบ่งชี้ว่าพวกเขามีกายภาพที่แตกต่างจากคนไทยที่ไม่ใช่มุสลิม ชาวจีน อินเดีย มาเลย์ และชนเผ่าอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 170-180) กลุ่มมุสลิมในเชียงใหม่มองได้ว่า "เป็นการรับรู้โดยกลุ่มของประชากรที่ยึดถือในชุดของขนบธรรมเนียมร่วมกันไม่แบ่งปันร่วมกับผู้อื่นที่พวกเขาไม่ติดต่อสัมพันธ์" (หน้า 194) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนได้พยายามชี้ให้เห็นว่า ในคริสตศตวรรษที่ 19 เมื่อมุสลิมปากีสถานและมุสลิมยูนนานเพิ่งอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองเชียงใหม่นั้น มุสลิมทั้งสองกลุ่มไม่ได้เน้นความแตกต่างทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของกลุ่มออกไปจากผู้คนรอบข้างที่เป็นคนเมือง พวกเขาแต่งงานกับผู้หญิงชาวเหนือในท้องถิ่น และยอมรับประเพณีของคนเมืองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และมองตนเองว่าสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนไทย (คนเมือง) ที่อยู่รอบข้างแต่ยังคงความศรัทธาในศาสนาอิสลามไว้ (หน้า I) แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่ทศวรรษของ 1950 ได้มีผู้ลี้ภัยมุสลิมยูนนานจากพม่าจำนวนมากอพยพเข้ามาที่เชียงใหม่ทำให้ทั้งมุสลิมยูนนานและมุสลิมปากีสถานเริ่มแสดงตนแตกต่างออกไป ทั้งในแง่ศาสนาและชาติพันธุ์คือ ความเป็นมุสลิมและความเป็น "ปากีสถาน" และ "ยูนนานนีส" (vi) ผู้เขียนได้พยายามอธิบายให้เห็นว่า จิตสำนึกชาติพันธุ์ดังกล่าว ซึ่งแสดงความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนาได้พัฒนาการขึ้นมาด้วยเงื่อนไขและกระบวนการหลายประการด้วยกันคือ 1.ลักษณะของสังคมเชียงใหม่ซึ่งมีโครงสร้างชาติพันธุ์ที่มีความหลากหลาย 2.การพัฒนาการสังคมไทยที่หลากหลายขึ้น และมีการจัดระเบียบเป็นกลุ่มผลประโยชน์โดยอาศัยหลักการต่าง ๆ เช่น ชาติพันธุ์ อุดมการณ์และอาชีพ 3.ความจำเป็นภายในชุมชนมุสลิมเองที่สมาชิกต้องการสถานภาพและการยอมรับ 4.พัฒนาการของผู้นำชุมชนมุสลิมที่มีการแข่งขันและต้องแสดงให้เห็นคุณลักษณะผู้นำที่ชัดเจน 5.การเปลี่ยนแปลงของโลกมุสลิมที่มีการปฏิรูปและการเรียกร้องเอกภาพ (หน้า vi) นอกจากนี้ ผู้เขียนได้สรุปว่าเงื่อนไขต่างๆ ดังข้างต้นนี้ไม่เป็นไปตามแบบแผนคำอธิบายเกี่ยวกับพัฒนาการของจิตสำนึกชาติพันธุ์ในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งมีการระบุว่า จิตสำนึกชาติพันธุ์เป็นผลของแรงกดดันภายนอกทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่ผู้เขียนยอมรับว่า การแสดงอัตตลักษณ์ทางศาสนาและชาติพันธุ์ดังกล่าว ส่งผลต่อประโยชน์เศรษฐกิจและการเมืองของมุสลิมที่ศึกษา |
|
Social Cultural and Identity Change |
โรงเรียนสอนศาสนาสมัยใหม่ และวิธีการและทัศนคติแบบใหม่ต่อความรู้ทางศาสนา ดูรายละเอียดในหัวข้อ Education and Socialization |
|
|