|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
การรื้อฟื้นพิธีกรรม, วาทกรรม, อัตลักษณ์, กลุ่มชาติพันธุ์, ชาวปกาเกอะญอ, คนเมือง |
Author |
วิทยา พรมจักร์ |
Title |
การรื้อฟื้นพิธีกรรมในการจัดการป่าชุมชนของชาวปกาเกอะญอ กรณีศึกษาบ้านห้วยส้มป่อย ลุ่มน้ำแม่เตี๊ยะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
196 |
Year |
2549 |
Source |
วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการใช้ที่ดินและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ประเด็นที่ต้องการศึกษามุ่งที่จะทำความเข้าใจการรื้อฟื้นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการป่าชุมชนของชาวปกาเกอะญอ โดยใช้วิธีการศึกษาหลายแนวทาง ยึดเอาขอบเขตด้านเนื้อหาหรือประเด็นปัญหาเป็นตัวตั้งและกำหนดวิธีการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นในกับการศึกษา ดังนี้ 1.การศึกษาจากเอกสาร ข้อมูลทุติยภูมิ ที่เกี่ยวกับกับประเด็นที่ศึกษา เช่น พัฒนาการการจัดการป่าไม้ของรัฐไทยในภาคเหนือ ความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ พัฒนาการของความขัดแย้งระหว่างคนพื้นราบกับคนบนดอย และผลกระทบที่ชาวปกาเกอะญอได้รับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (หน้า 30) 2.การสัมภาษณ์เชิงลึก สัมภาษณ์บุคคลสำคัญภายในชุมชน เจ้าหน้าที่ของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ป่าชุมชน (อดีตและปัจจุบัน) ความรู้สึกและปฏิบัติการของกลุ่มคนต่าง ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ (หน้า 31) 3.การสำรวจภาคสนามด้านนิเวศวิทยาป่าไม้ เป็นการศึกษาความอุดมสมบูรณ์ทางนิเวศวิทยาป่าไม้ ศึกษาผลลัพธ์ทางนิเวศวิทยา โดยศึกษาผ่านภาพถ่ายดาวเทียม สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ของชุมชนในปัจจุบัน ข้อมูลทางด้านสัตว์ป่า และข้อมูลทางด้านการจัดการ เป็นต้น (หน้า 31) |
|
Focus |
มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจพัฒนาการ การจัดการป่าไม้ของรัฐในภาคเหนือ และผลของการจัดการป่าไม้ของรัฐที่มีต่อชาวปกาเกอะญอ ประกอบกับการเข้ามาของแนวคิดด้านการอนุรักษ์ที่มองว่าชาวปกาเกอะญอเป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงทำให้เกิดปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งขึ้น ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งชาวปกาเกอะญอได้ปรับตัวในหลายด้าน กระทั่งได้มีการรื้อฟื้นพิธีกรรม พร้อมทั้งศึกษาผลจากการจัดการป่าชุมชน ด้านการฟื้นฟูสภาพนิเวศวิทยาป่าไม้ |
|
Theoretical Issues |
การศึกษาจากเอกสาร เป็นการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นที่ศึกษา เช่น เอกสารวิชาการ เอกสารออนไลน์ หนังสือพิมพ์ ภาพถ่ายต่างๆ และภาพถ่ายดาวเทียม เป็นต้น (หน้า 30) การสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้ในการศึกษารวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพต่างๆ โดยการสัมภาษณ์บุคคลสำคัญ (Key Informants) ที่เกี่ยวข้องแบบเจาะลึก เช่น ฮี่โข่ (ผู้นำชุมชนตามวัฒนธรรมปกาเกอะญอ) ผู้นำพิธีกรรม ต่างๆ ผู้อาวุโส ผู้ใหญ่บ้าน ประธานกลุ่มอนุรักษ์บนพื้นที่สูง หัวหน้ากลุ่มเยาวชน ผู้ประกอบพิธีกรรม คณะกรรมการป่าชุมชน เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น (หน้า 31) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ในกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อาจถูกเรียกในชื่ออื่นๆ เช่น Sgaw Karen Bama Kayin Burmese Karen ยางขาวกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงสกอ White Karen ยางกะเลอ ยางป่า งานศึกษาชิ้นนี้มีความหมายเฉพาะเจาะจงถึงชาวปกาเกอะญอที่อยู่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ในอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 7) |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงเวลาของข้อมูลที่ใช้ ตามระเบียบวิธีวิจัย (ในลำดับที่ 14) แบ่งได้ดังนี้ วิถีชีวิตยุคยังชีพ (ก่อนปี พ.ศ. 2458) , ยุคสัมปทานทำไม้สัก (พ.ศ. 2458-2482), ยุคปลูกฝิ่น (พ.ศ. 2482-2527), ยุคเผชิญหน้ากระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (พ.ศ. 2527-2546) |
|
History of the Group and Community |
บ้านห้วยส้มป่อย หมู่บ้านชาวปกาเกอะญอ แต่เดิมเชื่อว่าเป็นหมู่บ้านของชาวลัวะ ชุมชนโบราณเก่าแก่ แดลอพะโด่ (หมู่บ้านร้างขนาดใหญ่) คาดว่าอพยพมาจากอำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือจากพม่า ต่อมาเกิดโรคระบาดจึงทิ้งร้าง อยู่บริเวณตอนบนของน้ำตกแม่เตี๊ยะ สำหรับชุมชนโบราณที่เก่าแก่ของชาวปกาเกอะญอ คือ “แดลอแม่สอยคี” หมู่บ้านร้างขุนน้ำแม่สอย ด้วยความเชื่อว่าผีไม่อยากให้อยู่ในบริเวณดังกล่าว จึงอพยพถอยร่นลงมาเรื่อยๆ มาที่บ้านห้วยขนุน บางส่วนย้ายไปที่บ้านขุนแตะ ต่อมาฮีโข่บ้านห้วยขนุนได้เสียชีวิต จึงมีบางส่วนอพยพย้ายมาตั้งหมู่บ้านที่บริเวณห้วยส้มป่อย ซึ่งได้ตั้งเป็นชุมชนมาถึงปัจจุบัน (หน้า 40-41) |
|
Settlement Pattern |
ในอดีตเป็นการตั้งถิ่นฐานแบบสามารถโยกย้ายได้ ตัวอย่างแรกเริ่มของการตั้งชุมชน แดลอแม่สอยคี เมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว สมัยนั้นชาวบ้านไม่สามารถตั้งชุมชนได้อย่างถาวรได้ โดยผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าที่หมู่บ้าน มักจะมีผีมารบกวนอยู่เสมอ มีวัวควายของชาวบ้านได้ทยอยตายลง สันนิษฐานว่าผีไม่ต้องการให้ชาวบ้านอยู่ จึงพากันอพยพมาตั้งชุมชนที่บริเวณป่ากล้วยซึ่งอยู่ต่ำลงมา แต่เนื่องจากมีความชัน ทำให้มีบางส่วนมาตั้งถิ่นฐานถาวรที่บ้านห้วยขนุน จนเมื่อชุมชนขยายตัวมากขึ้น จึงมีการแยกออกไปรวมทั้งบ้านห้วยส้มป่อย (หน้า 40) |
|
Economy |
ลักษณะทางเศรษฐกิจของชุมชนบ้านห้วยส้มป่อยในอดีตก่อนยุตฝิ่นนั้น มีระบบแบบยังชีพ เพื่อการบริโภค (หน้า 42) พ.ศ. 2458-2482 การขยายตัวของกิจการทำไม้ภาคเหนือ จุดเริ่มต้นของการขยายระบบเงินตรา การจ้างงานในกิจการทำไม้ เกิดการสะสมทุน จากเดิมมีรายได้จากการขายของป่า ก็กลายเป็นมีรายได้จากการรับจ้างตัดไม้ มีการเปลี่ยนเงินรายได้เป็นปัจจัยการผลิต
เช่น นำมาจ้างคนในชุมชนให้ทำนาแทน มีการเลี้ยงวัวเพื่อขาย (หน้า 53-55) |
|
Social Organization |
บ้านห้วยส้มป่อย ลุ่มน้ำแม่เตี๊ยะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนทำนาขั้นบันได และไร่หมุนเวียน ต่อมา 60 กว่าปี มีการปลูกฝิ่นเพื่อการค้า ทศวรรษที่ 2520 หน่วยงานของไทย เข้าไปส่งเสริมการปลูกพืชพาณิชย์ ปลูกผลไม้เมืองหนาว ต่อมา เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งภายในชุมชน ให้หยุดดำเนินโครงการพัฒนาจากของรัฐ การกล่าวหาว่าชาวเขาเป็นผู้ทำลายป่าอีกด้วย ตัวอย่างลักษณะสังคมบ้านห้วยส้มป่อยที่ปรากฏในงาน เช่น สังคมแบบยังชีพ เน้นการพึ่งพาธรรมชาติ พิธีกรรมต่างๆ ยังคงได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ป่าที่แวดล้อมเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ป่าไม้ไม่ผลัดใบ ต้นน้ำลำธารอุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิด (หน้า 45) ในช่วงสัมปทานป่าไม้ การจ้างงานคนในเขตพื้นที่ราบ กับกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวปกาเกอะญอ ชาวขมุ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในลักษณะ แบบ “เสี่ยว” จะมีการดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในช่วงของการปลูกฝิ่น ก็ยังมีการปลูกฝิ่นในพื้นที่เดียวกัน ลงทุนลงแรงร่วมกัน และแบ่งผลผลิตที่เสมอภาคต่อกัน (หน้า 71-72) |
|
Political Organization |
การประกาศให้พื้นที่ป่าจอมทองเป็นอุทยานแห่งชาติออบหลวง ทำให้ทางอุทยานฯ เข้มงวดกับการก่อสร้าง พัฒนาในพื้นที่ มีอการปลูกที่นาทับป่าชาวบ้าน ผู้ให้สัมปทานตัดไม้ มาเป็นผู้รักษาป่าไม้ (หน้า 78-79) ภายหลังจากที่รัฐบาลประกาศให้ฝิ่นเป็นพืชเสพติดผิดกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2510 ทำให้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วนตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพล เรียกเก็บค่าคุ้มครองหรือเรียกเก็บส่วยจากชาวบ้านที่ยังคงปลูกฝิ่นต่อไป เพื่อแลกกับการคุ้มครองว่าจะสามารถปลูกฝิ่นในพื้นที่ได้ต่อไปเรื่อยๆ (หน้า 84)มาตรการปราบปรามการปลูกริ คือ การส่งทหารพราน เข้ามาตัดฝิ่นเป็นระยะ ในชาวบ้านที่มีการติดฝิ่น จะถูกควบคุมไปที่หน่วยทหารพราน โดยใช้วิธีหักดิบ มีการฝึกคล้ายทหาร เช่น การวิ่ง การลุยโคลน การหมอบและคลาน เป็นต้น ชาวบ้านเรียกว่า ไปอดยา กม. 31 หากยังไม่เลิกเสพฝิ่น จะต้องไปบำบัดที่ศูนย์แม่ริม (หน้า 86) ภายหลังราชการได้มีการส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา เมื่อปี พ.ศ. 2512 โครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน โครงการจำกัดการปลูกฝิ่น (หน้า 86) โครงการปลูกพืชทดแทนและการตลาดที่สูง ไทย – สหประชาชาติ ได้เริ่มเข้าการดำเนินงานในพื้นที่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกกาแฟอาราบิก้าและถั่วแดง (หน้า 87) การปลูกกะหล่ำปลี เริ่มเมื่อปีพ.ศ. 2526 พร้อมกับไร่ข้าวและนาขั้นบันได (หน้า 89) |
|
Belief System |
ชุมชนมีการผลิตแบบยังชีพ พิธีกรรมความเชื่อต่างๆ ของชาวปกาเกอะญอได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ความเชื่อเรื่อง “ผี” ที่สิงสถิตอยู่ในป่าไม้หรือภูมิประเทศ พิธีขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุมครองป่า
(หลื่อปก่า) เป็นพิธีที่ผ่านความเชื่อเก่าแก่ว่าธรรมชาติที่แวดล้อมมนุษย์นั้นล้วนมีเจ้าของดูแล(ผี) ซึ่งมนุษย์ควรให้ความเคารพ และไม่ควรรุกล้ำพื้นที่ของผี หรือความเชื่อ “เก่อจ่า” ซึ่งหมายถึง “เจ้าของ” โดยชาวปกาเกอะญอ เชื่อว่าป่าไม้และผืนดินทั้งหลายมีผีที่ยิ่งใหญ่เป็นเจ้าของ ครอบครองดูแลอยู่ เรียกว่า “ก่อเก่อจ่า” ซึ่งเป็นผีระดับสูง ในระบบความเชื่อดั้งเดิมของชาวปกาเกอะญอ และเป็นผีที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ มีพลังอำนาจมาก ต้องเคารพยกย่องกว่าผีทั่วไป (หน้า 155) พิธีเลี้ยงผีแนวกันไฟ (หลื่อเหม่โต) เป็นการขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงทำอันตรายกับผู้ที่ทำให้เกิดไฟป่า และผู้ที่ลักลอบตัดไม้ในเขตป่าชุมชน (หน้า 162) |
|
Education and Socialization |
ภายหลังการเข้ามาของโครงการพัฒนาที่สูง ไทย-นอร์เวย์ (TN-HDP) ระหว่างปี พ.ศ. 2527-2532 ในช่วงระหว่างกว่า 5 ปี ดังกล่าว พบว่าคุณภาพชีวิตของชาวบ้านโดยภาพรวมดีขึ้นกว่าในอดีตหลายด้าน ในด้านการศึกษาพบว่ามีการจัดตั้งโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษา 1 แห่ง (หน้า 89) |
|
Folklore |
เรื่องเล่าที่เป็นความเชื่อว่า แต่เดิมนั้นบริเวณลุ่มน้ำแม่เตี๊ยะแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งที่ชาวบ้านเชื่อว่า คือ ชาวลัวะ (หน้า 39) ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าที่หมู่บ้านดั้งเดิม (แดลอแม่สอยคี) มักจะมีผีมารบกวนเสมอ โดยในคืนขึ้น 15 ค่ำ และคืนแรม 15 ค่ำ คนในหมู่บ้านจะได้ยินเสียงฝูงม้าวิ่งผ่านหมู่บ้านดังสนั่นหวั่นไหว แต่เมื่อพากันออกมาดูก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ไม่มีแม้กระทั่งรอยเท้าม้า และภายหลังควายชาวบ้านได้ทยอยตายลง และมีชาวบ้านฝันว่า ผีที่บริเวณนั้น ไม่พอใจชาวบ้านและจะไม่ยอมให้ชาวบ้านอาศัยอยู่อีกต่อไป (หน้า 40) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กระบวนการรื้อฟื้นทางวัฒนธรรม โดยใช้กลไกทางวัฒนธรรมที่เคยเป็นเกราะคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติในอดีต ซึ่งชาวปกาเกอะญอได้ทำการรื้อฟื้นพิธีกรรม ความเชื่อ ท่ามกลางบริบทของความขัดแย้งเรื่องทรัพยากร ไม่ใช่เพียงเป็นกระบวนการที่หวังผลในการจัดการทรัพยากรเท่านั้น แต่มีเป้าหมายที่สำคัญคือการนำเสนอตัวตนคนปกาเกอะญอ ที่มีวิถีชีวิตที่เคารพต่อธรรมชาติ เป็นกลุ่มชนที่สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาของคนพื้นราบที่มองชาวเขาว่าเป็นพวกตัดไม้ทำลายป่า บุกรุกป่าต้นน้ำ และจุดไฟเผาป่า (หน้า 154-155) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามลักษณะทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจแบบยังชีพ เป็นแบบแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างพื้นราบและบนดอย การไปมาหาสู่นอกเหนือจากมิติด้านการมีอยู่อย่างจำกัด การขยายตัวทางเศรษฐกิจช่วงสัมปทาน เกิดการขยายตัวของแรงงานในกิจการทำไม้ ทั้งชาวขมุ ชาว
ปกาเกอะญอ คนพื้นราบ เกิดการทำงานร่วมกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมระหว่างกัน เป็นความสัมพันธ์แบบ เสี่ยว (เพื่อนสนิท) ยุคปลูกฝิ่น ความสัมพันธ์แบบเสี่ยวยังคงมีอยู่ ชาวม้ง ชาว
ปกาเกอะญอ คนพื้นราบต่างขึ้นมาบนดอยเพื่อปลูกฝิ่น หลายครอบครัวยังปลูกฝิ่นในที่ดินผืนเดียวกัน ยุคพืชเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์แบบเสี่ยวที่เคยกลมเกลียวระหว่างคนดอยกับคนพื้นราบ ค่อยห่างเหิน เมื่อชาวปกาเกอะญอหันมาปลูกกะหล่ำปลี และคนพื้นราบปลูกลำไยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต่างก็ปลูกในระดับของพื้นที่ที่ต่างกัน และที่สำคัญคือฝิ่นกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถปลูกฝิ่นได้อีกต่อไป นอกจากนี้ ยังเกิดปัญหาการลดลงของปริมาณน้ำในลำห้วยสาขา เริ่มมีการกล่าวโทษว่าคนบนดอยเป็นต้นเหตุของการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ป่าต้นน้ำเสียหาย ยุคของการปรับตัวของชาวปกาเกอะญอ ในบทบาทของกลุ่มอนุรักษ์บนพื้นที่สูง การสร้างแกนนำของกลุ่มเพื่อผลักดันมาตรการด้านการอนุรักษ์ต่างๆ บนพื้นที่สูง มีการกำหนดกฎระเบียบด้านการอนุรักษ์ เป็นยุคแรกเริ่มของป่าชุมชน โดยชาวปกาเกอะญอพยายามสร้างความชัดเจนว่าพวกเขา นั้นไม่ใช่ ผู้ทำลายป่า แต่เป็นผู้อนุรักษ์ป่า มีการรื้อฟื้นพิธีกรรม ความเชื่อดั้งเดิม มาสร้างเป็นพิธีกรรมใหม่ เช่น พิธีหลื่อปก่า (การเลี้ยงเจ้าป่า) และพิธีหลื่อเหม่โต (การเลี้ยงผีแนวกันไฟ) เพื่อให้ภาพของการอนุรักษ์ และต่อสู้ในเรื่องทรัพยากรท้องถิ่น (หน้า 175 -182) |
|
Critic Issues |
ภาพของความเป็นปกาเกอะญอที่มีภูมิปัญญาการอนุรักษ์ ผู้ศึกษามองว่าเป็น “กระบวนการสร้างความหมาย” และ “บริบทของการสร้างความหมาย” ไม่ว่า ความหมายความเป็นเสี่ยวระหว่างคนเมืองกับคนปกาเกอะญอ, ภาพของความเป็นชาวเขาทำลายป่า ขึ้นอยู่กับบริบทในขณะนั้น เช่น พิธีกรรมความเชื่อดั้งเดิมเสื่อมคลายไปในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เมื่อชาวปกาเกอะญอต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอก ทำให้พิธีกรรมในเชิงอนุรักษ์ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพและสร้างอัตลักษณ์เชิงบวก (หน้า 188) |
|
Other Issues |
ประเด็นความขัดแย้งภายในพื้นที่ เกิดสถานการณ์การกดดันจากกระแสเรียกร้องให้มีการอพยพชาวเขา หลังจากที่เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคเกษตร ด้วยความเชื่อที่ว่าเป็นเพราะคนดอยตัดไม้ทำลายป่า ทำให้เกิดการปรับตัวสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่แสดงออกถึงการเป็นผู้อนุรักษ์ป่า การหาแนวร่วมกับองค์กรภายนอก โดยองค์กรพันธมิตรที่สำคัญของชาวปกาเกอะญอ
คือ IMPECT และ เครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือ เพื่อเคลื่อนไหวระดับนโยบาย การให้สิทธิชุมชนในเขตป่า การแก้ไขปัญหาป่าไม้ ที่ดิน ทั้งนี้ ยังมีการปิดล้อมชาวเขาในปี พ.ศ. 2541 (หน้า 180-181) ต่อมา ภาครัฐ เช่น อุทยานแห่งชาติออบหลวง ได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านทั้งในเขตพื้นที่สูงและพื้นที่ราบเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการป่ามากขึ้น (หน้า 181) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- ตารางที่ 1.1 การใช้ประโยชน์และลักษณะการจัดการป่า หน้า 24
- ตารางที่ 2.1 มาตราส่วนน้ำหนัก สำหรับการชั่งฝิ่น หน้า 69
- ตารางที่ 3.1 พื้นที่ปลูกฝิ่นทั่วโลกในปี ค.ศ. 1982-1983 หน้า 81
- ตารางที่ 3.2 ขนาดพื้นที่ปลูกฝิ่น ในอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และทั่วประเทศ (หน้า 85)
- ตารางที่ 4.1 ค่าดัชนีความสำคัญทางนิเวศวิทยา ในแปลงสำรวจป่าชุมชน (หน้า 134)
- ตารางที่ 4.2 การเปรียบเทียบจำนวนและขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของพันธุ์ไม้ในป่าชุมชน (หน้า 135)
- ตารางที่ 4.3 เนื้อที่ป่าอนุรักษ์และป่าใช้สอยของชุมชน (หน้า 139)
- ตารางที่ 4.4 สัดส่วนเนื้อที่ป่าชุมชนบ้านห้วยส้มป่อย ต่อพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัย (หน้า 140)
ภาพ
- ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคิดในการศึกษา หน้า 30
- ภาพที่ 1.2 ลักษณะแปลงสำรวจ ที่ใช้ในการสำรวจภาคสนามด้านป่าไม้ หน้า 32
- ภาพที่ 2.1 ลักษณะสัณฐานของลุ่มน้ำแม่เตี๊ยะ หน้า 36
- ภาพที่ 2.2 ที่ตั้งชุมชนชาวปกาเกอะญอในลุ่มน้ำแม่เตียะตอนบน หน้า 38
- ภาพที่ 3.1 พื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างอุทยานแห่งชาติออบหลวงกับพื้นที่ลุ่มน้ำแม่เตี๊ยะ (หน้า 77)
- ภาพที่ 4.1 โครงสร้างกลุ่มอนุรักษ์บนพื้นที่สูง (หน้า 106)
- ภาพที่ 4.2 การใช้ประโยชน์ที่ดินของชุมชนและจุดการวางแปลงสำรวจป่าไม้ (หน้า 130)
- ภาพที่ 4.3 การเปรียบเทียบระหว่างจำนวนต้นและจำนวนชนิดพันธุ์ไม้ที่พบ (หน้า 134)
- ภาพที่ 4.4 การเปรียบเทียบจำนวนต้นไม้ในป่าชุมชน ตามขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง (หน้า 135)
- ภาพที่ 4.5 สัดส่วนพื้นที่ป่าชุมชนประเภทต่างๆ (หน้า 140)
- ภาพที่ 4.6 สัดส่วนป่าชุมชนบ้านห้วยส้มป่อย (หน้า 141)
- ภาพที่ 4.7 ภาพดาวเทียม IKONOS บริเวณพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าใช้สอยและที่ดินทำกิน (หน้า 142)
- ภาพที่ 4.8 ภาพดาวเทียม IKONOS 15 มิถุนายน 2563 (หน้า 143)
- ภาพที่ 4.9 ภาพดาวเทียม IKONOS บริเวณพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าอนุรักษ์พิธีกรรม ปลี(หน้า 144)
- ภาพที่ 6.1 ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองในอดีตและผลที่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่น (หน้า 176)
- ภาพที่ 6.2 การจัดการป่าชุมชนของชาวปกาเกอะญอและการรื้อฟื้นพิธีกรรม (หน้า 185)
- ภาพที่ 6.3 ความเปลี่ยนแปลงของการรื้อฟื้นพิธีกรรม (หน้า 186) |
|
|