|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ส่วย, กูย, เขมรป่าดง, อัตลักษณ์ชาติพันธุ์, พหุสังคม, เศรษฐกิจท้องถิ่น, บ้านเปือยใหม่, ศรีสะเกษ, อีสานใต้, สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, เสื้อผ้าเก็บย้อมมะเกลือ, |
Author |
พจณิชา ศกุนะสิงห์ |
Title |
ส่วยบ้านเปือยใหม่กับการธำรงชาติพันธุ์ท่ามกลางการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดศรีสะเกษ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Total Pages |
163 |
Year |
2559 |
Source |
วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาการพัฒนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. |
Abstract |
วิทยานิพนธ์เรื่อง ส่วยบ้านเปือยใหม่กับการธำรงชาติพันธุ์ท่ามกลางการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดศรีสะเกษ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ผลวิจัยพบว่า รัฐกำหนดนโยบายระดับท้องถิ่น โดยการส่งเสริมให้ชุมชนรวมกลุ่มอาชีพทอผ้าและตัดเย็บ “เสื้อผ้าเก็บย้อมมะเกลือ” สินค้านี้ได้มีการจำหน่ายเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) นโยบายดังกล่าวส่งเสริมให้ชาวส่วยได้สร้างสินค้าที่แสดงถึงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ตนเองให้สื่อสารออกไปสู่คนภายนอก ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น นอกจากนี้ชาวส่วยยังธำรงอัตลักษณ์ผ่าน “รำสะเอ็ง” ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญที่มีความเชื่อและประเพณีของชาวลาวร่วมอยู่ด้วย ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในชุมชน |
|
Focus |
เพื่อศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ของชาวส่วยบ้านเปือยใหม่ท่ามกลางกระแสพัฒนาของรัฐ และเพื่อศึกษาเงื่อนไขที่ส่งผลต่อการธำรงชาติพันธุ์ของชาวส่วยบ้านเปือยใหม่ (หน้า 4) |
|
Theoretical Issues |
นักวิชาการบางท่านได้ให้นิยามเกี่ยวกับแนวคิดการธำรงชาติพันธุ์ว่า การธำรงชาติพันธุ์ มักพบได้ในสังคมที่มีความหลากหลายเชื้อชาติ ความเชื่อ ศาสนา ค่านิยม แต่มีการตั้งถิ่นฐานภายใต้ระบอบการปกครองเดียวกัน อ้างจากฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (2547) ว่าแต่ละชาติพันธุ์จึงต้องมีการรวมตัว เพื่อกระทำการไปในลักษณะเดียวกัน เช่น การแต่งกาย การจัดพิธีกรรมและประเพณี การธำรงชาติพันธุ์จะเกิดได้เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กับชาติพันธุ์อื่นๆ ในพื้นที่เดียวกัน ตัวอย่างอ้างจากจตุพร ดอนโสม (2551) ว่าคนเชื้อสายเวียดนามที่อพยพเข้ามาในไทย มีการธำรงอัตลักษณ์โดยการแต่งกายชุดเวียดนาม ใช้ภาษาเวียดนาม เพื่อแสดงให้ชาติพันธุ์อื่นรับรู้ว่าตนเองเป็นเวียดนาม (หน้า 8)
วิจัยเรื่อง ส่วยบ้านเปือยใหม่กับการธำรงชาติพันธุ์ท่ามกลางการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดศรีสะเกษ จึงสอดคล้องแนวคิดการธำรงชาติพันธุ์ เนื่องจากชาวส่วยมีความสัมพันธ์อันดีต่อรัฐและชาติพันธุ์อื่น ขณะเดียวกันก็สามารถธำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในบริบทที่สอดคล้องกับปัจจุบัน เห็นได้จากการนำเสื้อผ้าเก็บย้อมมะเกลือ รำสะเอ็ง และงานบุญซำฮะ มานำเสนอในรูปแบบผลิตภัณฑ์และกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจชุมชน
นอกจากนี้ก็มีข้อโต้แย้งว่า การศึกษาชาวส่วยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ส่วนมากจะศึกษาในลักษณะวัฒนธรรม วิถีชีวิต และประเพณีทั่วไป แต่งานวิจัยเรื่องนี้ให้ความสำคัญด้านความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ ชาวส่วย ชาวลาว ชาวเขมร และรัฐ พบว่า ชาวส่วยแฝงสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อธำรงชาติพันธุ์ตนเอง โดยวิธีประนีประนอม หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง อาศัยการให้ความร่วมมือกับรัฐเพื่อใช้องค์ความรู้ท้องถิ่นรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของตนเองอย่างเหมาะสม (หน้า155-156) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวส่วย หมายถึง กลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกแทนตนเองว่า “ส่วย” ใช้ภาษาส่วยในการสื่อสาร มีวัฒนธรรม การแต่งกาย ความเชื่อ ประเพณี และวิถีชีวิต ที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่ม (หน้า 5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาส่วย อยู่ในกลุ่มตระกูลภาษามอญ-เขมร นักภาษาศาสตร์จำแนกภาษาส่วยในจังหวัดศรีสะเกษจากวิธีออกเสียงและสำเนียงออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กูยเยอ อาศัยในอำเภอไพรบึงและราษีไศล กูยไม ชาวส่วยที่อาศัยกับชาวลาว บริเวณอำเภอราษีไศล ขุนหาญ พยุห์และอุทุมพรพิสัย กูยปรือใหญ่ อำเภอขุขันธ์ (หน้า 54,64) |
|
Study Period (Data Collection) |
เวลาทั้งสิ้น 26 เดือน ช่วงเวลาตั้งแต่ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2559 (หน้า 48) |
|
History of the Group and Community |
ชาวส่วยหรือกูย เดิมมีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร แคว้นอัสสัมประเทศอินเดีย เมื่อพิจารณาจากภาษาส่วยที่เป็นภาษาในตระกูลมอญ-เขมร คล้ายคลึงกับภาษาหมอผีในแถบภาคเหนือของอินเดีย (เจริญ ไวรวัจนกุล และคณะ, 2535) กระทั่งช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวอารยันเข้ามารุกราน ชาวส่วยจึงอพยพออกมาตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำโขง และปรากฏหลักฐานในสมัยอยุธยา พ.ศ. 1974 ว่า มีพ่อค้า ชาวอินเดีย มาเลย์ ไทใหญ่ แกว กูย และอื่นๆ เข้ามาค้าขายในอยุธยา (ธวัช ปุณโณทก, 2536)
ขณะที่ข้อมูลอีกด้านพบว่า ชาวกูยมีความสัมพันธ์อันดีกับเมืองเขมร และเคยเป็นรัฐอิสระอยู่ทางตอนเหนือของกัมพูชา ชาวกูยบางส่วนอาศัยกระจายไปยังเมืองอัตตะปือ แสนปาง จำปาศักดิ์ สาละวัน และตอนใต้ของลาว กระทั่งเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว และความขัดแย้งทางการเมือง ชาวกูยจึงอพยพข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานบริเวณอีสานตอนใต้ของไทย เมื่อช่วงกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2199-2231 (ไพฑูลย์ มีกุศล, 2533) สอดคล้องกับข้อมูลว่า ชาวกูยเป็นชาติพันธุ์แรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณแม่น้ำโขงก่อนชาวลาวและชาวเขมร อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก อีสานตอนใต้ บริเวณจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ ชาวกูยมีความชำนาญในการเลี้ยงช้าง แต่เนื่องจากต้องมีการอพยพย้ายถิ่นฐานบ่อยครั้ง จึงเกิดชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่หลากหลายตามแต่ละพื้นที่ เช่น ลัวะ ข่า ขมุ ส่วย กูย กวย (ศรีสวัสดิ์, 2533) นอกจากนี้ยังพบว่าชาวลาวเคยมีการสู้รบกับชาวข่าที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้มาก่อนหน้า เพื่อแย่งชิงพื้นที่ริมแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของเวียงจันทน์
ชาวกูยเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์ ชาวกูยได้จับช้างเผือกของท่านที่หลุดออกจากเมืองไปคืนกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ จึงได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เพื่อปกครองหมู่บ้านของตนเอง แต่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองพิมาย ดังนี้ “เชียงปุม” เป็นหลวงสุรินทร์ภักดี (บ้านเมืองที อำเภอเมืองที จังหวัดสุรินทร์) “ตากะจะ” เป็นหลวงแก้วสุวรรณ และ “เซียงขัน” เป็นหลวงปราบบ้านโคกลำดวน (อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ) “เชียงฆะ” เป็นหลวงเพชรบ้านอัจจะปะนึง (อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์) “เชียงสี” เป็นหลวงศรีนครเตาบ้านกุดหวาย (อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์) “เชียงไชย” เป็น ขุนไชยสุริยงค์ (อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์) ปัจจุบันหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์และจังหวัดศรีสะเกษ
ชาวกูยมีบทบาทสำคัญอีกครั้งในสมัยกรุงธนบุรี จากการเป็นหัวหน้ากำลังพลช่วยสู้รบถึงสองเหตุการณ์ ได้แก่ ครั้งที่หนึ่ง สงครามกบฏเวียงจันทน์ พ.ศ. 2321 พระเจ้ากรุงธนบุรีมีคำสั่งให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและพระยาสุรสีห์ ยกทัพขึ้นไปเมืองพิมาย เกณฑ์กำลังพลจากเมืองประทายสมันต์ เมืองสังฆะ เมืองขุขันธ์ (ศรีสะเกษ) และเมืองรัตนบุรี เพื่อไปสู้รบกับเมืองเวียงจันทน์และจำปาศักดิ์จนได้รับชัยชนะ การรบครั้งนี้เซียงขันทหารเอกชาวกูยได้แต่งงานกับม่ายชาวลาวที่มีลูกติดเป็นบุตรชายหนึ่งคน ชื่อท้าวบุญจันทร์ ครั้งที่สอง การจราจลในเมืองเขมร พ.ศ. 2324 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและพระยาสุรสีห์ ได้เกณฑ์กำลังพลจากเมืองเดิม ไปปราบปรามการจลาจล จนได้รับชัยชนะอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ ชาวกูยจึงได้รับการเลื่อนยศ หลวงแก้วสุวรรณ (ตากะจะ) ได้เป็น พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวนปกครอง “เมืองขุขันธ์” ปกครองได้ไม่นานก็ถึงแก่อนิจกรรม พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงแต่งตั้งให้หลวงปราบ (เซียงขัน) รับตำแหน่งปกครองเมืองแทน
เมืองขุขันธ์ อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงธนบุรีจนถึงสมัยกรุงรัตโกสินทร์ พ.ศ.2325 สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ยกฐานะเจ้าเมืองทุกเมือง เจ้าเมืองขุขันธ์จึงได้เป็นพระยาขุขันธ์ภักดี และแต่งตั้งท้าวบุญจันทร์เป็นผู้ช่วยเจ้าเมือง ตำแหน่งพระยาไกรภักดีศรีลำดวนนคร ซึ่งปกครองเมืองด้วยความสงบสุขเรื่อยมา กระทั่งพระยาขุขันธ์ภักดีกล่าวเรียกพระยาไกรภักดีศรีลำดวนนคร ว่า “ลูกเชลย” ทำให้ทั้งสองเกิดความบาดหมาง พระยาไกรภักดีศรีลำดวนนครออกอุบายทำให้ พระยาขุขันธ์ภักดีถูกจำคุก แล้วแต่งตั้งตนเองขึ้นปกครองเมืองแทน เมื่อปลัดเจ้าเมืองหรือพระยาภักดีภูธรสงคราม เห็นว่าบ้านเมืองขุขันธ์เกิดความวุ่นวาย จึงขอแยกเมืองตั้งแต่บ้านโนนสามออกมา ต่อมาหมู่บ้านนี้คือ “เมืองศรีสะเกศ” (ศรีสะเกศ มาจากตำนานของพระนางศรีสระผม) กระทั่ง พ.ศ. 2328 พระยาภักดีสงครามได้ย้ายบ้านโนนสามขา มาตั้งถิ่นฐานที่เขตพันเจียงหรือจังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน ภายหลังการแยกเมือง ฝั่งเมืองขุขันธ์ก็ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ จึงได้ย้ายเมืองขุขันธ์มาอยู่บริเวณบ้านแตระ ตำบลห้วยเหนือ หรืออำเภอขุขันธ์ในปัจจุบัน ต่อมาเมืองขุขันธ์ถูกโจมตีจากเมืองจำปาศักดิ์ เกิดการจับกุมตัวเจ้าเมืองขุขันธ์และผู้ปกครองเมืองไปทั้งหมด เมืองขุขันธ์จึงขาดผู้ปกครอง สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงแต่งตั้งเจ้าเมืองมาปกครองทดแทน (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ, 2556) โดยการแต่งตั้งเจ้าเมืองจะสืบทอดตามสายสกุลของ “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” และ “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน”
ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการจัดตั้งมณฑลอีสานและรวมเมืองศรีสะเกศ ให้อยู่ภายใต้การปกครองของกองบัญชาการของมณฑล ภายหลังมณฑลอีสานได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอุบลราชธานี ได้แก่ เมืองสุรินทร์ เมืองขุขันธ์ และเมืองอุบลราชธานี แต่ไม่ปรากฏชื่อเมืองศรีสะเกศ นักวิชาการสันนิษฐานว่าเมืองศรีสะเกศอาจถูกยุบรวมกับเมืองขุขันธ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2459 เมืองขุขันธ์ได้เปลี่ยนเป็นจังหวัดขุขันธ์ กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 จังหวัดขุขันธ์ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น จังหวัดศรีสะเกษ และมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง จากการสืบทอดตามสายสกุลมาเป็นระบบราชการ มีผู้ว่าราชการจังหวัดและบริหารงานตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน นอกจากชาวส่วยที่อาศัยอยู่ในบริเวณจังหวัดศรีสะเกษ ยังมีกลุ่มชาวลาวเวียงจันทน์เข้ามาอาศัยร่วมกันภายหลัง (หน้า 53-61) |
|
Settlement Pattern |
บ้านเปือยใหม่ เป็นหมู่บ้านที่แยกตัวออกมาจากบ้านเปือย บ้านเปือยก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2460พื้นที่หมู่บ้านเป็นป่าดงดิบอุดมสมบูรณ์เหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐาน บริเวณนี้มีต้นเปือย (ต้นตะแบก) ขึ้นอยู่จำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน “บ้านเปือย” คนกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาบ้านเปือย ได้แก่ ชาวส่วย จากบ้านกะโพธิ์ ตำบลใจดี จังหวัดศรีสะเกษ ชาวลาวจากบ้านโนนเจริญ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ และชาวเขมรอพยพเข้ามาภายหลัง โดยชาวส่วยและชาวลาวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จนกระทั่งบ้านเปือยได้จัดตั้งเป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ มีผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 9 คน เป็นชาวส่วย 7 คน และชาวลาว 2 คน คือคนที่อพยพเข้ามาแต่งงานกับชาวส่วย
ต่อมา พ.ศ. 2529 ขณะนั้นมีผู้ใหญ่บ้านเป็นชาวลาว คือนายเหรียญ แก้วเชียรทอง ชาวส่วยต้องการแยกหมู่บ้านเป็น “บ้านเปือยใหม่” เนื่องจากประชากรหมู่บ้านมีความหนาแน่น การปกครองเป็นไปอย่างลำบาก ประกอบกับชาวบ้านต้องการขยายพื้นที่อาศัยไปยังท้ายหมู่บ้านที่ใกล้แหล่งน้ำ ผู้นำในการแยกหมู่บ้านคือ นายประเสริฐ จิรังดา ซึ่งเป็นชาวส่วยที่ได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน
“บ้านเปือยใหม่” ก่อตั้งได้สำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2540 โดยมีนายประเสริฐ จิรังดา เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ขณะนั้นบ้านเปือยได้มีการแบ่งแยกการปกครองหมู่บ้านอย่างชัดเจนจากการมีตัดถนนผ่านหมู่บ้าน บ้านเปือยใหม่มีหมู่บ้านใกล้เคียงคือ บ้านเปือยและบ้านหนองโสน บ้านเปือยใหม่ถูกเรียกอีกชื่อว่า “คุ้มส่วย” เนื่องจากมีอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของชาวส่วยที่ชัดเจน (หน้า 71-75) |
|
Demography |
บ้านเปือยใหม่มีประชากรทั้งหมด 801 คน แบ่งเป็นชาย 398 คน หญิง 403 คน จำนวนครัวเรือน 180 หลังคาเรือน เป็นหมู่บ้านที่มีจำนวนชาวส่วยอยู่หนาแน่นที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับหมู่บ้านอื่นในตำบลพรหมสวัสดิ์ จังหวัดศรีสะเกษ (หน้า74) |
|
Economy |
ชาวบ้านในบ้านเปือยใหม่แต่ละครอบครัว ถือครองที่ดินที่มีโฉนดตามกฎหมายประมาณ 5-15 ไร่ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา รับจ้าง เลี้ยงสัตว์ ผู้หญิงจะทอผ้าซิ่นและเสื้อผ้าเก็บ รับราชการ ครู ค้าขาย ทั้งนี้มักจะทำนาควบคู่ไปด้วยเพื่อนำผลผลิตมาใช้บริโภคในครอบครัว
บ้านเปือยใหม่ทำนาปีละครั้ง ชนิดข้าวมีข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ผู้อาวุโสในหมู่บ้านให้ข้อมูลว่าต้องการทำนาดำแบบดั้งเดิม เพราะให้ผลผลิตที่ดีกว่า แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสังคมส่งผลให้ปัจจุบันจึงทำนาหว่าน ที่มักใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถไถนา รถหว่านข้าว ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง เพราะสะดวกสบายมากกว่า หลังจากเก็บเกี่ยวชาวบ้านก็จะนำข้าวมาที่โรงสี ไม่ต้องตำข้าวเองดังเช่นอดีต โรงสีไม่มีการเก็บเงินค่าสี แต่จะเก็บข้าวส่วนหนึ่งไว้เพื่อขายปลีกเป็นค่าตอบแทน นอกจากนี้เจ้าของโรงสียังได้รำข้าวไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์ บ้านเปือยใหม่มีโรงสี 2แห่ง คือ โรงสีของนายสมชาย วงศ์ดี และโรงสีของนายสมชาย แทนสระ
บ้านเปือยใหม่มีร้านค้าชุมชนขนาดเล็ก ที่ขายอาหารและของใช้ต่างๆ 4 ร้าน เช่น ของชำ พืชผัก อาหาร ของหวาน หากต้องการซื้อสินค้าอื่นๆ ชาวบ้านสามารถขึ้นรถประจำทางที่ผ่านหน้าหมู่บ้านเข้าไปซื้อสินค้าที่ตัวอำเภอพยุห์ได้อย่างสะดวก หรือ ชาวบ้านสามารถซื้ออาหารสดจากรถพุ่มพวงที่เข้ามาขายกับข้าวทุกเช้าเย็น ชาวบ้านมีแหล่งทุนกู้ยืม คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และสหกรณ์การเกษตร (หน้า 75-76)
จนกระทั่งบ้านเปือยใหม่เข้าร่วมโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ รัฐได้เข้ามาส่งเสริมองค์ความรู้ ส่งเสริมการรวมกลุ่มอาชีพ ในลักษณะที่สอดคล้องกับพื้นฐานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาชุมชน การรวมกลุ่มอาชีพทอผ้าของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเปือยใหม่ สินค้าเด่นคือ “เสื้อผ้าเก็บเย็บมือย้อมมะเกลือ” มาจากวิถีชีวิตผู้หญิงสมัยก่อนที่มีการทอผ้าไว้ใช้ในครัวเรือน กระบวนการทำเป็นการทอมือที่ใช้ระยะเวลานาน และใช้ภูมิปัญญาในการย้อมสีเพื่อรักษาผ้าไว้ให้ใช้ได้คงทนมากที่สุด โดยเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงไหม สาวไหม ทอผ้าเป็นผืน ตัดเป็นเสื้อ นำไปย้อมมะเกลือให้เป็นสีดำ กระบวนการทอผ้าได้แสดงถึงอัตลักษณ์ชุมชน เสื้อผ้าเก็บเย็บมือย้อมมะเกลือจึงกลายเป็นสินค้าที่สร้างชื่อเสียงและรายได้สำคัญให้กับชุมชน (หน้า 140) |
|
Social Organization |
ชาวส่วยมีการร่วมกลุ่มทางสังคม ดังนี้
กลุ่มกองทุนหมู่บ้าน ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2544 เป็นการรวมกลุ่มเพื่อจัดสรรเงินให้คนในชุมชนกู้ยืม และต้องมีการชำระคืนภายใน 1 ปี ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มส่วนมากจะเป็นชาวส่วยมากกว่าชาวลาว ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิกจำนวน 153 ครัวเรือน
กลุ่มสหกรณ์โคนมบ้านเปือยใหม่ กลุ่มก่อตั้งขึ้นในช่วงที่รัฐมีโครงการอีสานเขียว เมื่อ พ.ศ. 2535 รัฐมีการส่งเสริมให้เลี้ยงโคนม 50 ตัว แรกเริ่มมีสมาชิกกลุ่ม 10คน สมาชิกจะได้รับการอบรมความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงวัวจากเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อำเภอ ช่วงแรกที่โครงการเริ่มจำหน่ายนมสดเป็นไปได้ด้วยดี จนเมื่อ พ.ศ. 2545 กลุ่มประสบปัญหาด้านการเลี้ยงวัวและการจำหน่ายนมวัว สมาชิกบางส่วนจึงออกจากกลุ่มไป ปัจจุบันเหลือโคนมเพียง 10 ตัว และสมาชิกกลุ่ม 2 คน
กลุ่มแม่บ้านเกษตรบ้านเปือยใหม่ กลุ่มก่อตั้งขึ้นในช่วงที่รัฐมีนโยบายส่งเสริมอาชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน เมื่อ พ.ศ. 2544 ภายแรกใช้ชื่อว่า กลุ่มสตรีทอผ้าบ้านเปือยใหม่ ต่อมาศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดศรีสะเกษได้เข้ามาฝึกอบรมด้านทักษะการทอผ้าไหม ประกอบกับองค์การบริหารส่วนตำบลพรหมสวัสดิ์ได้สนับสนุนเงินทุนเพิ่มเติม เมื่อ พ.ศ. 2550 จึงเปลี่ยนชื่อเป็น กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเปือยใหม่ ผลิตภัณฑ์เด่นคือเสื้อตัดเย็บมือย้อมมะเกลือ และผ้าไหมลายลูกแก้วทำจากไหมแท้ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวส่วย ที่ได้ถูกนำมาพัฒนาจนกลายเป็นสินค้าโอทอปที่มีชื่อเสียงของชุมชนบ้านเปือยใหม่ จังหวัดศรีสะเกษ นอกจากนี้พบว่ากลุ่มประสบความสำเร็จ เนื่องจากสมาชิกส่วนมากเป็นชาวส่วยทำให้กลุ่มมีความสัมพันธ์ที่เข้มแข็ง และทุกคนมีความรู้ด้านการทอผ้าที่ได้รับจากบรรพบุรุษเป็นอย่างดี ทั้งนี้ยังมีการแบ่งหน้าที่สมาชิกภายในกลุ่มอย่างชัดเจน ได้แก่ การทอ การย้อม การเย็บตะเข็บ การกวักไหม การสาวลอกไหม โดยสมาชิกจะทำที่บ้านตนเอง ปัจจุบันสามารถผลิตเสื้อได้เดือนละ 30 ตัว ราคาตัวละ 1,700 บาท นอกจากจะเป็นสินค้าโอทอปแล้ว เสื้อเก็บเย็บมือย้อมมะเกลือนี้ ได้รับรางวัลเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยชนิด Thai Silk จากคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย (กมม.) เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ชุดสตรี ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองประเภทเสื้อ จากสำนักอุตสาหกรรมจังหวัดศรีสะเกษ และรางวัลสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ไทยประเภทเครื่องแต่งกายระดับสี่ดาว เมื่อ พ.ศ. 2554 มีการปรับชื่อผลิตภัณฑ์เป็น “เสื้อผ้าเก็บโบราณย้อมมะเกลือ” (หน้า 81-84) |
|
Political Organization |
นโยบายภาครัฐที่ส่งผลต่อธำรงชาติพันธุ์ท่ามกลางการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นของชาวส่วยมีดังนี้
โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2544รัฐบาลส่วนกลางได้มอบหมายให้กรมพัฒนาชุมชนระดับท้องถิ่น จัดเวทีประชาคมคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่มาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยที่รัฐจะเข้ามาส่งเสริมองค์ความรู้ ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มสร้างอาชีพจากพื้นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหายากจน และเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานของภาครัฐ สำหรับชุมชนบ้านเปือยใหม่ องค์กรบริหารส่วนตำบลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงบประมาณและจัดรวมกลุ่มอาชีพ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานราก ได้แก่ กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มเย็บผ้า และกลุ่มโคนม
นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ช่วง พ.ศ.2550-2554 รัฐเน้นนโยบายกระจายการท่องเที่ยวไปสู่ชุมชนท่องเที่ยวใหม่ เพื่อเป็นการกระจายรายได้ให้เข้าสู่ชุมชนขนาดเล็ก ช่วง พ.ศ. 2555-2559 รัฐเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และการเพิ่มมูลค่าของทรัพยากรท้องถิ่น เช่น การท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น สำหรับจังหวัดศรีสะเกษมีการจัดงานประจำปี คือ “งานดอกลำดวนบาน” ภายในงานมีการแสดงถึงชาติพันธุ์ ส่วย ลาว เขมรและยอ อาทิ การแสดงหมอลำส่วย พิธีกรรมของชาวส่วย การขายสินค้าที่ระลึก
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับ 11ในขณะนั้นได้กล่าวถึง “แนวคิดพัฒนาอย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงคนในชุมชน วิถีชีวิต และธรรมชาติของชุมชนเป็นหลัก ทำให้ชุมชนชาวส่วยธำรงอัตลักษณ์ของตนเองผ่านการท่องเที่ยว สินค้าที่ระลึก ผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในสังคม (หน้า 64,138-143) |
|
Belief System |
ชาวส่วยบ้านเปือยใหม่มีความเชื่อ ดังนี้
วัดศูนย์กลางความเชื่อ บ้านเปือยใหม่แบ่งการปกครองเป็น 3 หมู่ แต่ภายในหมู่บ้านมีวัดเป็นศูนย์กลางชุมชนเพียงแห่งเดียว คือ วัดบ้านเปือย ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2268 ภายในวัดประกอบด้วยอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ ปูชนียวัตถุพระพุทธรูป 30 องค์ วัดบ้านเปือยตั้งอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน แต่เดิมเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ต่อมาเมื่อ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2520ได้รับเขตวิสุงคามสีมาเพิ่มเติมอีกจำนวน 30 เมตร วัดบ้านเปือยเป็นศูนย์กลางที่ชาวบ้านใช้ประกอบพิธีสำคัญทางพุทธศาสนา และการประชุมร่วมกันของชุมชน ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านทั้ง 3 หมู่มีความสัมพันธ์สนิทใกล้ชิดซึ่งกันและกัน (หน้า 87-88)
ฮีตสิบสองคลองสิบสี่ ชาวบ้านเปือยใหม่มีประเพณีใกล้เคียงกับหมู่บ้านในภาคอีสาน คือฮีตสิบสองคลองสิบสี่หรือประเพณีประจำแต่ละเดือน แต่บางเดือนจะมีการจัดประเพณีที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะของชาวส่วย
เดือนอ้าย ชาวบ้านจัดงานบุญเข้ากรรม (ปริวาสกรรม) เพื่อให้พระสงฆ์ผู้กระทำผิดได้สารภาพต่อคณะพระสงฆ์ ส่วนชาวบ้านทั่วไปจะทำบุญเลี้ยงผีต่างๆ
เดือนยี่ งานบุญคูณข้าวหรือบุณคูณลาน งานบุญในช่วงเก็บเกี่ยวข้าว พระสงฆ์จะทำพิธีสู่ขวัญข้าว
เดือนสาม งานบุญข้าวจี่ จะมีการตักบาตรช่วงเช้า แต่ละครอบครัวจะนำข้าวเหนียวปั้นใส่น้ำอ้อย และชุบไข่ไปจี่ไฟอ่อน แล้วนำไปถวายพระ นอกจากนี้ยังมีการรำสะเอ็ง และเซ่นไหว้ผีปู่ตา
เดือนสี่ บุญผะเหวด งานบุญจะมีการฟังเทศน์ชื่อ “กัณฑ์หลอน” ตามความเชื่อว่าหากฟังเทศนาเรื่องพระมหาเวสสันดรชาดกให้จบภายในหนึ่งวัน จะได้พบพระศรีอริยะเมตไตร
เดือนห้า ประเพณีสงกรานต์ ช่วงเช้าจะมีการตักบาตร จะมีการสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ งานสงกรานต์มีลักษณะคล้ายคลึงกับหมู่บ้านทั่วไปในภาคอีสาน
เดือนหก งานบุญบั้งไฟ บ้านเปือยใหม่เคยจัดประเพณีนี้เพื่อเป็นการขอฝนทำนา แต่ปัจจุบันทางอำเภอได้มีคำสั่งให้ยกเลิกจัดงาน เนื่องจากเคยมีเหตุคนเสียชีวิตจากงานบุญบั้งไฟเมื่อสิบปีที่แล้ว
เดือนเจ็ด บุญซำฮะ เป็นงานบุญใหญ่ของชาวส่วยบ้านเปือยทั้ง 3 หมู่ จัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ ชำระสิ่งไม่ดีออกจากหมู่บ้าน รวมถึงการทำบุญให้แก่บรรพบุรุษ ผีปู่ตา ผีเปรต และดวงวิญญาณเร่ร่อน
เดือนแปด บุญเข้าพรรษา ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญตักบาตร ร่วมกันถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน และอาหารแด่พระสงฆ์ และฟังเทศน์ช่วงบ่าย
เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน ชาวบ้านจะเตรียมอาหารคาว หวาน หมากพลู สำหรับถวายพระ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
เดือนสิบ บุญข้าวสาก จัดเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านจะเตรียมงานตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 10 โดยจะนำข้าวเม่าพองคลุกกับข้าวตอกแตก แล้วใส่น้ำอ้อย น้ำตาล ถั่ว งา เตรียมข้าวต้ม ขนม อาหารคาวหวาน หมากพลู เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 จะนำอาหารไปตักบาตร แล้วฟังเทศน์ ตอนเพลจะมีพิธีแจกข้าวสาก โดยข้าวสากจะถูกห่อด้วยใบตอง แล้วนำไปแขวนตามต้นไม้หรือรั้ว จากนั้นจะตีกลองเพื่อให้เปรตหรือสัมภเวสีมารับไป
เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา จัดเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวจะตักบาตรทำบุญตามประเพณี
เดือนสิบสอง บุญกฐิน ชาวบ้านเปือยใหม่จะจัดงาน 2วัน วันแรกจะตั้งกองกฐินที่บ้านเจ้าภาพ ตอนกลางคืนจะมีงานรื่นเริง เช่น หมอลำ วันต่อมาชาวบ้านจะออกเดินแห่กฐินรอบหมู่บ้านก่อนนำไปถวายวัด (หน้า 88-90)
ความเชื่อเรื่องผี
ผีปู่ตาชาวส่วยเรียกผีปู่ตาว่า “เยอะจ๊วย” หมายถึง ผีเจ้าที่ที่คุ้มครองเมืองและผีบรรพบุรุษที่คุ้มครองลูกหลาน หากจะทำอะไรต้องมีเซ่นไหว้บอกกล่าวท่านก่อนเสมอ งานจัดเมื่อ วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3บ้านเปือยใหม่มีศาลปู่ตาชื่อว่า ปู่ตาคง ศาลมีลักษณะคล้ายบ้านปูนชั้นเดียว ภายในศาลมีรูปคนแกะสลักด้วยไม้ยอ ธูป เทียน ขวดน้ำ แก้วน้ำ พวงมาลัย ดาบไม้ หอกไม้ พิธีเซ่นไหว้ผีปู่ตา ประกอบด้วย ไก่ต้ม ไข่ต้ม ข้าว น้ำ เหล้า บุหรี่ หมากพลู ข้าวเปลือก หลังทำพิธีเสร็จ ต้องมีการ “เสี่ยงทายคางไก่” ชาวส่วยเชื่อว่า หากคางไก่ที่ฉีกออกมามีความโค้งอ่อนไปข้างหน้า มีเส้นเอ็นเล็กขึ้นเอนสวยไปทางเดียวกัน ทำนายว่าปีนั้นคนในหมู่บ้านจะมีความสุข ผลผลิตการเกษตรอุดมสมบูรณ์ (หน้า 90-91)
ผีบรรพบุรุษ ชาวส่วยบ้านเปือยจะนับถือผีบรรพบุรุษผ่านพิธีกรรมที่เรียกว่า “รำสะเอ็ง” เป็นการรำถวายผีแถน ผีฟ้า หรือผีบรรพบุรุษในลักษณะที่คล้ายคลึงกับชาติพันธุ์อื่น พิธีกรรมนี้จะจัดขึ้นเมื่อผู้ป่วยได้มีการบนบานผีแถนหรือผีบรรพบุรุษไว้ จึงต้องมีการรำถวายเพื่อรักษาให้คนป่วยหายจากอาการป่วย รำสะเอ็งจะจัดขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมของทุกปี ประกอบด้วย
หัวหน้าคนรำ คนรำ คือ ผู้ที่เคยไปรักษาคนป่วยมาแล้ว 2-4 คน คนเล่นดนตรี เช่น กลอง ฆ้อง ฉิ่ง แคน
เครื่องคาย คือ ด้าย ธูป เทียน ข้าวสาร เหล้า บุหรี่ หมากและพลู อย่างละ 5คู่ ไข่ต้ม 1 ฟอง หวี กระจก เงิน กรวยใบตองที่ใส่เทียนและดอกจำปา (ห้ามขาดดอกจำปาโดยเด็ดขาด เพราะชาวส่วยเชื่อว่าดอกจำปาเป็นดอกไม้ของผี) อย่างละ 5 ชุด โดยเครื่องคายรักษาอาจปรับเปลี่ยนตามแต่ว่าบรรพบุรุษของตนเองชอบรับประทานสิ่งใด คนรำก็ต้องจัดหามาให้ครบถ้วน
บริวาร คือ ผู้ที่เคยได้รับการรักษามาแล้ว ให้ถือเป็นบริวารของผีแถน เมื่อมีพิธีรำสะเอ็งมาบริเวณใกล้บ้าน บริวารต้องไปร่วมพิธีเสมอ
ผู้ป่วย คือ ผู้ที่เคยรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันมาแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้น ชาวบ้านเชื่อว่าเกิดจากผี จึงต้องให้ผีช่วยรักษา แล้วยอมเป็นบริวารของผีนั่นเอง บางคนที่มีความศรัทธาก็สมัครใจเข้าร่วมพิธีกรรมแม้ไม่ได้เจ็บป่วย
ปะรำพิธี ส่วนมากจะใช้พื้นที่หน้าบ้านของผู้ป่วย โดยใช้ไม้ไผ่ทำเป็นเสาสี่เหลี่ยม 4 ต้น แล้วใช้เชือกมัดโยงรอบทุกเสา นำต้นกล้วย ต้นอ้อย ดอกจำปามาตกแต่งเสาให้สวยงาม กลางปะรำพิธีจะมีเครื่องคาย จากนั้นชาวส่วยจะเริ่มทำพิธีรำในช่วงพลบค่ำ นอกจากนี้การรำสะเอ็งอาจจะไม่ได้ใช้เพื่อรักษาอาหารเจ็บป่วยอย่างเดียว แต่ยังแสดงถึงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระดับชุมชน เช่น การรวมญาติเพื่อจัดเตรียมงาน คนในชุมชนที่ไม่ใช่ญาติก็หาองค์ประกอบมาคนละเล็กน้อย รวมถึงเป็นพื้นที่ทางสังคมให้ 3 ชาติพันธุ์ คือ ส่วย ลาว และเขมร ได้มีเข้ามาพบปะสังสรรค์กัน (หน้า 91-92) |
|
Education and Socialization |
บ้านเปือยใหม่มีโรงเรียนเพียงแห่งเดียว คือ “โรงเรียนบ้านเปือยประชาสามัคคี” เดิมชื่อโรงเรียนประชาบาลตำบลพยุห์ ตั้งอยู่ที่บ้านเปือย ก่อตั้งโดยขุนเจิมประศาสน์ นายอำเภอเมืองศรีสะเกษในขณะนั้น เมื่อ พ.ศ. 2480 ภายแรกใช้ศาลาการเปรียญวัดบ้านเปือย เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอน ตั้งแต่ชั้นประศึกษาปีที่ 1-4 มีนักเรียนประมาณ 101 คน ต่อมา พ.ศ. 2505 ครูใหญ่ เจ้าอาวาสวัดบ้านเปือย และชาวบ้านได้ร่วมกันหาเงินทุน เพื่อซื้อที่ดินจำนวน 17 ไร่ 1งาน 63 ตารางวา ติดกับถนนทางหลวงหมายเลข 211 สายพยุห์-ขุนหาญ สร้างเป็นอาคารเรียนใหม่ขนาด 3 ห้องเรียน จำนวน 1 หลัง และเป็นที่ตั้งโรงเรียนจนถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2511 มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนบ้านเปือย” เปิดสอนจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 และขยายเปิดสอนชั้นก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา โรงเรียนได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น การต่อเติมจำนวนห้องเรียน การสร้างรั้ว อาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้โรงเรียนได้รับความร่วมมือจากครู ผู้ปกครอง ชุมชน ศิษย์เก่า และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในด้านการพัฒนาเป็นอย่างดี เมื่อ พ.ศ. 2555 มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนบ้านเปือยประชาสามัคคี” ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งหมด 329 คน มีครู 20 คน
นอกจากนี้บ้านเปือยใหม่ได้จัดตั้ง “ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดบ้านเปือย” เมื่อ พ.ศ. 2546 ตั้งอยู่ในวัดบ้านเปือย ศูนย์เด็กฯได้รับเงินสนับสนุนจากองค์การบริการส่วนตำบลพรหมสวัสดิ์ จัดตั้งเพื่อดูแลเด็กที่พ่อแม่ต้องไปทำงานและมีรายได้น้อย จึงนำบุตรหลานมาให้ศูนย์เด็กฯ ช่วยดูแล แรกเริ่มที่เด็ก 22 คน ปัจจุบันมีเด็ก 50 คน มีครูพี่เลี้ยง 2 คน ครูพี่เลี้ยงหนึ่งคนเป็นชาวส่วยบ้านเปือยใหม่โดยกำเนิด (หน้า 76-80) |
|
Health and Medicine |
ชาวส่วยนิยมซื้อยามารับประทานด้วยตนเอง หากมีอาการป่วยรุนแรงจึงจะไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสำโรงโคเฒ่า นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยความเชื่อของชาวส่วยคือ การรักษาด้วยการรำสะเอ็ง (หน้า 80) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าเก็บมือย้อมมะเกลือ เสื้อผ้าเก็บเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตของชาวส่วย ชาวส่วยนิยมทอผ้าไว้ใช้เอง หรือทอให้ลูกสาวลูกชายไว้ใช้เมื่อแต่งงาน การทอผ้าเริ่มตั้งแต่ปลูกต้นหม่อนและเลี้ยงไหมเพื่อนำมาทำเป็นเส้นใย โดยเมื่อตัวไหมแก่เต็มที่จะชักใยห่อหุ้มร่างเอาไว้กลายเป็นรังไหม (ภาษาส่วย เรียกว่า ลอกบี) จากนั้นนำรังไหมมาต้มเพื่อสาวเส้นไหม เส้นไหมต้องนำไปต้มอีกครั้งเพื่อล้างยางไหม โดยนำมาใส่เครื่องมือที่เรียกว่า “ระหัด” คือ เครื่องเข็นไหมที่จะม้วนและสาวเส้นไหมให้ขนาดเล็ก เมื่อได้เส้นไหมสีขาวแล้วจึงนำมาเข้าฟืมทอผ้าผ้าทอมีชื่อลายว่า “ลายฝาขัดแตะ” ลายแกะสลักหอระฆังในวัดและลายสานของฝาบ้าน รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเล็กใหญ่ และเป็นที่มาของชื่อ “เสื้อผ้าเก็บ” เพราะมีกระบวนการทอที่ต้องเก็บลายอย่างละเอียดและประณีต เสื้อหนึ่งตัวใช้เวลาทอ 15 วัน จากนั้นนำผ้าทอไปย้อมมะเกลือให้เป็นสีดำ โดยจะต้มสลับกับตากจำนวน 10 ครั้ง การตากต้องตากที่พื้นดินห้ามตากบนราวผ้า เพื่อให้ดินช่วยให้สีดำซึมเข้าเนื้อผ้า ได้ผ้าที่ดำสนิทและทนทาน เมื่อได้เสื้อผ้าเก็บแล้ว ก็จะนำมาเย็บกระดุมเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินแท้ (ภาษาส่วย เรียกว่า ปรักดม) ผู้ที่ใส่กระดุมเงินพดด้วงบ่งบอกถึงคนที่สถานะทางสังคมว่าเป็นคนขยันทำงานจนมีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้เสื้อผ้าเก็บย้อมมะเกลือยังแสดงถึงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของชาวส่วยที่ได้เป็นสินค้าโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย (หน้า103-105)
ศิลปะการแสดง ชาวส่วยมีการแสดงศิลปะพื้นบ้านหมอลำกูย (ส่วย) การแสดงชุดศรีพฤทเธศวร เป็นการแสดงในงานดอกลำดวนบานสืบสานประเพณีสี่เผ่าไทย การแสดงกล่าวถึงตำนานสร้างบ้านแปงเมืองศรีสะเกษ วิถีชีวิต และประเพณีของชาติพันธุ์ทั้งสี่ ได้แก่ ส่วย เขมร ลาว เยอ (หน้า 63-102)
สถาปัตยกรรม อดีตจังหวัดศรีสะเกษอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรขอม และมีสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงวัฒนธรรมขอม ได้แก่ ปราสาทหินสระกำแพงน้อย ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ ปราสาทเยอ ปราสาทหินโดนตวล และปรางกู่ (หน้า 58) |
|
Folklore |
ตำนานพื้นบ้าน ที่สอดคล้องกับพงศาวดารฉบับหัตถเลขา กล่าวถึง ประวัติของชาวส่วยบริเวณภาคอีสานตอนใต้ว่า เมื่อ พ.ศ.987 มีกษัตริย์ขอมได้พาไพร่พลชาวแขกจาม ชาวลาว และชาวส่วย เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เมืองกระติบเมืองกลาง ตั้งชื่อใหม่ว่า “เมืองกาลจำบากนาคบุรีศรี” นับได้ว่าเป็นเมืองประเทศราชของขอม จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าชาวส่วยอาศัยอยู่ในเขตจำปาศักดิ์มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ปัจจุบันคือ บริเวณอำเภอท่าตูม จอมพระสนม สำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ และรอยต่อจังหวัดอุบลราชธานี (หน้า 53)
พระนางศรีสระผม พระนางเป็นคนชนชาติขอม ทรงเป็นพระราชธิดาของท้าวสุริยวนมันกับพระนางพิณสวัสคราวดี พระนางมีความสามารถด้านนาฏศิลป์ พระนางเป็นที่รู้จักแก่คนในเมืองจากการที่ทรงลงสระผมที่ปราสาทสระกำแพงด้วยเครื่องแต่งกายที่สวยงาม และการฟ้อนรำสวยงามต่อหน้าเทวรูปพระวิษณุ สันนิษฐานชื่อพระนางเป็นที่มาในการก่อตั้งเมืองชื่อ “เมืองศรีสะเกศ” ซึ่งเป็นเมืองที่แยกออกมาจากเมืองขุขันธ์ และภายหลังได้เปลี่ยนเป็น “เมืองศรีสะเกษ” ดังปัจจุบัน (หน้า 60)
ภาพยนตร์เชิงสารคดี เรื่อง “กอนกวย ส่วยไม่ลืมชาติ” สร้างเมื่อ พ.ศ. 2554 ฉายในห้างสรรพสินค้าในจังหวัดศรีสะเกษ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนวิจัย (สกว.) และผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษในขณะนั้น จากการสนับสนุนงานวิจัยในพื้นที่ตำบลโพธิ์กระสัง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง “กลุ่มเยาวชนกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีกวย (ส่วย)” เนื้อหาในภาพยนตร์กล่าวถึง ชาวส่วยที่หลงลืมอัตลักษณ์วัฒนธรมของตนเอง เนื่องจากมีการปรับตัวและใช้ชีวิตตามสังคมทั่วไป ภาพยนตร์ส่งเสริมให้ชาวส่วยตระหนักถึงคุณค่าและการธำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของตนเอง (หน้า 62-63) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์และการเปลี่ยนแปลงทางชาติพันธุ์ กล่าวถึงบริบทของคำว่า “กูย” และ “ส่วย” ชาติพันธุ์กูย เป็นชื่อที่ปรากฏมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ช่วง พ.ศ. 1974ชาวกูยมีอัตลักษณ์และประเพณีที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตตนเอง ได้แก่ ความเชื่อเรื่องผีปะกำ ผีปู่ตา ผีบรรพบุรุษ เครื่องราง และมีภาษาพูดเป็นของตนเอง ลักษณะภาษาคล้ายคลึงกับภาษาเขมร แต่ไม่มีภาษาเขียน อุปนิสัยเป็นคนมีระเบียบวินัย เคารพผู้นำ และมีศีลธรรม สำหรับชื่อชาติพันธุ์ส่วยเพิ่งปรากฏในสมัยที่สยามได้เริ่มแบ่งเขตการปกครอง ดังนี้
กลุ่มคนที่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบลุ่มโคราช บริเวณเมืองบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ผู้อื่นจะเรียกว่า “เขมรป่าดง” แต่คนกลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่า “กูย” จนกระทั่งบริเวณราบลุ่มโคราชถูกผนวกรวมให้อยู่ภายใต้การปกครองของไทย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) เนื่องจากบริเวณนี้เป็นพื้นที่ห่างไกล ราชการเข้าไปปกครองด้วยตนเองลำบาก ไทยจึงใช้การปกครองแบบระบบไพร่ส่วย กำหนดให้ชาวเขมรป่าดงต้องส่งส่วยเป็นเครื่องบรรณาการเข้ามาแทน เช่น ไม้เนื้อหอม ของป่าต่างๆ ต่อมา พ.ศ. 2411 สมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ไทยมีการติดต่อกับต่างชาติ จึงต้องการสินค้าประเภทของป่ามากขึ้น ชาวกูยส่งเครื่องบรรณาการเข้ามาไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้บางส่วนจึงถูกจับตัวเพื่อไปเป็นทาสทดแทนการส่ง “ส่วย” คนไทยจึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่าส่วย และเป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์จนถึงปัจจุบัน
สำหรับ กูย กวย หรือ ส่วย ล้วนเป็นชาติพันธุ์เดียวกันมีความหมายว่า “คน” เพียงแต่ละชื่อใช้ในบริบทที่แตกต่างกันและแสดงถึงลักษณะความสัมพันธ์ต่อชาติพันธุ์อื่น เช่น เมื่อสนทนาในกลุ่มชาติพันธุ์ตนเองหรือชาติพันธุ์เขมร จะแสดงตนว่าเป็น กูย แต่เมื่อสนทนากับชาวไทยหรือชาวลาว จะแทนตนว่าเป็น ส่วย สำหรับชาวบ้านเปือยใหม่ จังหวัดศรีสะเกษก็ยอมรับว่าตนเองเป็น ชาวส่วย เช่นเดียวกัน (หน้า 56-58)
สำหรับบริเวณบ้านเปือยใหม่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ได้แก่ ชาวส่วย ชาวลาว และชาวเขมร ทำให้เกิดการแต่งงานข้ามกลุ่ม จึงเกิดกิจกรรมทางสังคมร่วมกัน รวมถึงกิจกรรมที่แสดงถึงการยอมรับระหว่างชาติพันธุ์ ชาวส่วยซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในพื้นที่ยังคงธำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ตนเอง แต่มีการผสมผสานความเชื่อและนำประเพณีของกลุ่มอื่นมาใช้ เพื่อแสดงถึงการยอมรับ ปฏิสัมพันธ์ที่ดี และการอยู่ร่วมกับชาติพันธุ์อื่นอย่างสันติ ดังนี้
เสื้อผ้าเก็บย้อมมะเกลือ จากเดิมเป็นวัฒนธรรมการแต่งกายในชีวิตประจำวันและพิธีแต่งงานของชาวส่วย บ่งบอกถึงวิถีชีวิตและภูมิปัญญาการทอผ้าของผู้หญิงชาวส่วยในอดีต เมื่อรัฐมีนโยบายในการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ปัจจุบันจึงได้มีการรวมกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเปือยใหม่ซึ่งภายในกลุ่มมีการปรับเปลี่ยนสินค้าให้เข้ากับบริบทปัจจุบัน และชาวลาวเข้ามามีบทบาทในการร่วมผลิตสินค้า สำหรับคำว่า “เก็บ” เป็นการยืมคำจากภาษาลาว แสดงให้เห็นถึงการแต่งงานระหว่างชาติพันธุ์ และความสัมพันธ์ระหว่างชาวส่วยและชาวลาว เสื้อผ้าเก็บเย็บมือย้อมมะเกลือมีบทบาทสำคัญในการแสดงถึงตัวตนความเป็นส่วย นอกจากนี้ยังเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างชาวส่วย ชาวลาว และรัฐ
ขณะเดียวกัน รำสะเอ็ง จากเดิมการรำสะเอ็งเป็นการรำเพื่อแสดงความเคารพต่อผีบรรพบุรุษและรักษาอาการป่วย สำหรับบ้านเปือยใหม่ การรำสะเอ็งเป็นพิธีกรรมในการสร้างพื้นที่ทางสังคมของชาวส่วยกับชาติพันธุ์อื่น เช่น การเชิญชวนชาวลาว หรือชาวเขมรที่แต่งงานกับชาวส่วยเข้ามาร่วมพิธี เพื่อแสดงว่าชาวส่วยให้การยอมรับชาติพันธุ์อื่น แต่แฝงสัญลักษณ์การรักษาอำนาจของตนเองไว้อย่างประนีประนอม
บุญซำฮะ หรือประเพณีฮีตสิบสอง เป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและผีบรรพบุรุษ สำหรับชาวส่วยบ้านเปือยใหม่ที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ในพื้นที่ ได้หยิบยืมประเพณีบุญซำฮะของชาวลาวมาใช้ เพื่อแสดงถึงการยอมรับต่อชาวลาว แต่ในพิธีกรรมจะใช้ภาษาส่วยทั้งหมด สิ่งเหล่านี้แสดงถึงตัวตนความเป็นส่วยและการสร้างอำนาจทางการปกครองในพื้นที่ (หน้า 152-155) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวส่วยอาศัยอยู่ภายใต้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงด้านสังคมวัฒนธรรมชัดเจน โดยเฉพาะด้านระบบการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก ชาวส่วยถูกควบคุมให้ปฏิบัติตามแนวทางที่รัฐกำหนด จากเดิมที่ใช้ภาษาส่วยในการสื่อสารมากที่สุด เมื่อมีชาวลาวอพยพเข้ามาอาศัยชาวส่วยจึงสื่อสารเป็นภาษาลาวร่วมด้วย ต่อมาเมื่อบ้านเปือยใหม่มีระบบการศึกษาตามภาครัฐของไทย จึงเปลี่ยนไปใช้ภาษาไทยเป็นหลัก ภาษาส่วยจึงถูกลดบทบาทลงไปอย่างชัดเจน ชาวส่วยจึงพยายามรักษาภาษาส่วย ด้วยการเลือกใช้ภาษาส่วยในกิจกรรมต่างๆ เช่น การรำสะเอ็ง งานบุญซำฮะ พิธีเซ่นไหว้ผีปู่ตา
นอกจากนี้ยังมี “โครงการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น” เกิดจากนโยบายกระทรวงศึกษาธิการขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ที่กำหนดให้หลักสูตรการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของชุมชน โรงเรียนบ้านเปือยประชาสามัคคีจึงเลือกภูมิปัญญาการทอผ้า โดยเชิญสมาชิกกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเปือยใหม่มาเป็นครูพิเศษ ทำให้เด็กได้เรียนรู้วิถีชีวิตดั้งเดิม การทอผ้า และคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นส่วยให้กับเด็กรุ่นใหม่ กล่าวได้ว่ากลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเปือยใหม่ สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างชาวส่วยกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ รวมไปถึงความสัมพันธ์ชาวส่วยกับระบบรัฐ ทั้งยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคมของชุมชนบ้านเปือยใหม่ (หน้า 113, 144-146) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- แสดงลำดับขั้นการปกครองของบ้านเปือยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน (หน้า 73)
- แสดงสัญลักษณ์และการให้ความหมายขันหมากเบ็งของชาวส่วยบ้านเปือยใหม่ (หน้า 123)
- แสดงสัญลักษณ์และการให้ความหมายองค์ประกอบในเครื่องคายของชาวส่วยบ้านเปือยใหม่ (หน้า 124)
ภาพ
- ภาพยนตร์เรื่องแรกของชาวส่วย (หน้า 62)
- การแสดงศิลปะพื้นบ้านหมอลำกูย (ส่วย) ของชาวกูยตำบลปราสาท (หน้า 63)
- แผนที่ชุมชนบ้านเปือย (หน้า 69)
- แผนที่ชุมชนบ้านเปือยใหม่ (หน้า 70)
- สภาพบ้านเรือนชาวส่วยบ้านเปือยใหม่ (หน้า 80)
- ศาลปู่ตา (หน้า 90)
- การรำสะเอ็งของชาวส่วยบ้านเปือยใหม่ (หน้า 92)
- การเลี้ยงและสาวหลอกไหม (หน้า 104)
- เสื้อผ้าเก็บเย็บมือย้อมมะเกลือบ้านเปือยใหม่ (หน้า 107)
- ขันหมากเบ็งในพิธีกรรมการรำสะเอ็ง (หน้า 122)
- เครื่องคายสำหรับบูชาครู (หน้า 126)
- กระทงสะเดาะเคราะห์ใช้ในประเพณีบุญซำฮะ (หน้า 134)
- การนำกระทงสะเดาะเคราะห์มาไว้ที่ศาลปู่ตา (หน้า 135) |
|
Text Analyst |
ธัมมิกา รอดวัตร์ |
Date of Report |
11 มี.ค 2565 |
TAG |
ส่วย, กูย, เขมรป่าดง, อัตลักษณ์ชาติพันธุ์, พหุสังคม, เศรษฐกิจท้องถิ่น, บ้านเปือยใหม่, ศรีสะเกษ, อีสานใต้, สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, เสื้อผ้าเก็บย้อมมะเกลือ, , |
Translator |
- |
|