|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชุมชนกะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ไร่หมุนเวียน, ข้อพิพาทที่ดิน, พื้นที่ป่าภาคเหนือ |
Author |
ไพสิฐ พาณิชย์กุล |
Title |
รายงานฉบับสมบูรณ์สิทธิของชุมชนกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) กับการดำเนินเขตวัฒนธรรมพิเศษไร่หมุนเวียนในพื้นที่ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกรณีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ป่าภาคเหนือ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน DS 570.K38 ส 723 2560 |
Total Pages |
77 |
Year |
2560 |
Source |
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ |
Abstract |
ชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ภาคเหนือได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐในการประกาศพื้นที่เขตอุทยาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำไร่หมุนเวียนอันเป็นวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยงจึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการลดรอบไร่หมุนเวียน หรือการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มกันของแต่ละพื้นที่เพื่อต่อสู้และเรียกร้องต่อภาครัฐมากขึ้น |
|
Focus |
งานศึกษาครั้งนี้ต้องการสำรวจพื้นที่ชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ภาคเหนือเพื่อรวบรวมวิเคราะห์สภาพชุมชนที่ได้รับผลจากนโยบายรัฐที่ประกาศให้พื้นที่ชุมชนเป็นพื้นที่อุทยาน |
|
Theoretical Issues |
การศึกษาครั้งนี้เป็นการสำรวจและรวบรวมสถานการณ์ของชุมชนกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ)ในพื้นที่ภาคเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก และลำปาง ที่เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลจากนโยบายรัฐในการประกาศเป็นเขตอุทยานจึงทำให้วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงที่พึ่งพาอาศัยป่าและการทำไร่หมุนเวียนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง หรือปกาเกอะญอ: กลุ่มกะเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงสกอร์ |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงหรือปกาเกอะญอเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากแถบมองโกเลียถอยร่นมาจนสู่ประเทศไทยปลายศตวรรษที่ 18 หรือตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จากการสำรวจในปีพ.ศ. 2547 พบว่าชาวกะเหรี่ยงอาศัยกระจายอยู่บริเวณภาคเหนือภาคตะวันตก สำหรับประวัติการก่อตั้งของชุมชนในพื้นที่ภาคเหนือ 5 จังหวัดที่ทำการศึกษามีดังต่อไปนี้
1. ชุมชนห้วยหินลาด- ชุมชนกะเหรี่ยงแห่งนี้มีประวัติยาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ จากการเปลี่ยนผ่านผู้นำหมู่บ้านไป 2 ชั่วคน โดยบรรพบุรุษที่ตั้งชุมชน คือ นายสุภา ปะปะ จากอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่มาตั้งถิ่นฐานกับนางนอ สาวปกาเกอญอ และพาญาติพี่น้องเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย 3 ครอบครัว และขยายครอบครัวเรื่อยมา พื้นที่ชุมชนห้วยหินลาดผ่านเรื่องราวสำคัญมาเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่การเรียกเก็บภาษีการทำไร่ ภาษีเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนการอพยพออกจากพื้นที่เมื่อครั้งเกิดเรื่องร้ายแรง และได้กลับมาอาศัยในบริเวณบ้านห้วยหินลาดจนถึงปัจจุบัน และได้มีหย่อมบ้านในชุมชนอีก 4 หย่อม ประกอบด้วยชุมชนชาวกะเหรี่ยง 3 ชุมชน ได้แก่ 1) หย่อมบ้านห้วยหินลาดใน 2) หย่อมบ้านหินลาดนอก ที่เป็นผู้อพยพจากบ้านชมพู อำเภอแม่อาย ห้วยโท อำเภอเวียงป่าเป้า บ้านห้วยทรายขาว บ้านแม่ฉาง บ้านป่าปูนสิงห์ บ้านห้วยโต้ง บ้านหินลาดใน บ้านเหยา และบ้านหินลาดนอกตามลำดับ 3)หย่อมบ้านผาเยือง เป็นพื้นที่ที่มีการตั้งถิ่นฐานก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยแรกเริ่มมีครอบครัวที่ตั้งถิ่นฐานจำนวน 15 ครอบครัว โดยมีนายพะลันลวง เป็นผู้นำหมู่บ้าน หรือเรียกว่า หี่โข่ เมื่อเสียชีวิตลงชาวบ้านได้ย้ายไปที่แดลอทีเปอคี และหี่โข่คนต่อมาได้เสียชีวิต ชาวบ้านจึงอพยพไปยังทิศเหนือราว 100 เมตร และได้เริ่มบุกเบิกทำการค้าขายเรื่อยมาถึงปัจจุบัน และ 4) เป็นชุมชนของชาวลีซูจึงไม่มีข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้
2. ชุมชนบ้านกลางไม่ปรากฎข้อมูลการตั้งถิ่นฐานของชุมชน
3. บ้านแม่อมกิเดิมพื้นที่บ้านแม่อมกิเป็นที่อยู่อาศัยของชาวลั๊วะ และเมื่อชาวลั๊วะอพยพออกไป บรรพบุรุษบ้านแม่อมกิจึงเข้ามาตั้งถิ่นฐานและมีการอพยพไปพื้นที่อื่นจากเหตุโรคระบาด และเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 จนเมื่อพ.ศ. 2506 ได้กลับมาปักหลักที่บ้านแม่อมกิ
4. บ้านขี้มูกน้อยไม่พบข้อมูลการตั้งถิ่นฐานของกลุ่ม |
|
Settlement Pattern |
การปกครองท้องถิ่นที่ทำการศึกษาเป็นไปเพื่อรักษาผืนป่า อันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย อาหาร และสมุนไพร มีการจัดการทรัพยากรโดยการตั้งกฎกติกาอย่างในชุมชนห้วยหินลาด นอกจากนี้ด้วยนโยบายรัฐที่มีการประกาศให้เขตชุมชนเป็นพื้นที่อุทยาน จึงทำให้เกิดการรวมตัวกันในระดับชุมชนในการประสานความร่วมมือกับองค์กรรัฐและเอกชน ตลอดจนภาคประชาสังคมเพื่อให้บุคคลภายนอกเห็นถึงการดูแลป่าของกลุ่ม ตลอดจนการสร้างพื้นที่ต้นแบบของชุมชนบ้านขี้มูกน้อย ภายใต้ชื่อ แม่แจ่มโมเดล ที่คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (Environmental Governance) ที่ดึงการมีส่วนร่วมตั้งแต่ระดับปฏิบัติการ การร่วมตั้งกฎกติกาโดยอาศัยมาตรการเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือSDGs(Sustainable Development Goals)และยกระดับเป็นนโยบายกฎหมายที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ เป็นต้น |
|
Demography |
จำนวนประชากรชุมชนชาวกะเหรี่ยงภาคเหนือที่ทำการศึกษาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำไร่หมุนเวียนมีจำนวน 1,630 ชุมชน นอกจากนี้ในงานศึกษาปรากฎการสำรวจจำนวนประชากรชาวกะเหรี่ยงที่หย่อมบ้านผาเยือง (ปีพ.ศ. 2543) 8 ครอบครัว 34 คน เป็นเพศชาย 20 คน และเพศหญิง 14 คน |
|
Economy |
การเลี้ยงชีพในชุมชน
วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงผูกพันกับผืนป่าที่นอกจากเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหารและยารักษาโรค ยังสามารถทำให้ชาวบ้านเกิดรายได้ หรือเกิดผลผลิตในการเลี้ยงชีพ โดยปัจจุบันชาวบ้านมีการทำไร่ข้าวโพด หรือการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวมากขึ้น ตลอดจนมีการปลูกและแปรรูปชา กาแฟ ที่สามารถสร้างผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
1.ชุมชนบ้านห้วยหินลาด
- หย่อมบ้านห้วยหินลาดใน มีการทำวนเกษตร และทำไร่หมุนเวียน 7-10 ปี/รอบ และมีการเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภค และประกอบพิธีกรรม ตลอดจนมีการทำไร่แปรรูปชาและผลผลิตจากป่า
- หย่อมบ้านหินลาดนอก ในปัจจุบันมีการทำไร่ข้าวโพดเป็นจำนวนมากตามกระแสทุน ประกอบกับมีการเลี้ยงสัตว์ หาของป่า ทำสวนผสมผสาน และการทำไร่ชากาแฟ (หน้า 50-51)
- หย่อมบ้านผาเยือง นอกจากการใช้ประโยชน์จากผืนป่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร และยารักษาโรคแล้ว ยังเป็นแหล่งเชื้อเพลิง และแหล่งผลิตไม้เพื่อการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ตลอดจนเป็นแหล่งผลิตชาได้ตลอดทั้งปี โดยมีวิธีในการเก็บชาแตกต่างกันไป
2. บ้านขี้มูกน้อยจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การเปลี่ยนแปลงในการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ถั่ว หอมแดง ข้าวโพด
ทรัพยากรป่าในชุมชน
ชุมชนชาวกะเหรี่ยงมีการรักษาสมดุลระบบนิเวศภายในป่าผ่านการแบ่งพื้นที่ใช้ประโยชน์ และยังมีการสร้างกฎกติกาในการเก็บผลผลิตจากป่า การจัดกิจกรรมอนุรักษ์ป่า เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการที่ดิน |
|
Belief System |
ชาวกะเหรี่ยงมีความเชื่อว่า ผี สถิตอยู่ในทุกที่ในผืนป่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทาง ผีน้ำ ผีป่า ผีต้นไม้ ซึ่งผีจะคอยปกป้องคุ้มครองป่า นอกจากนี้ชาวกะเหรี่ยงยังมีการเคารพปฏิบัติต่อเจ้าป่าเจ้าเขา หรือธรรมชาติ (หน้า 50) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชุมชนชาวกะเหรี่ยงบริเวณภาคเหนือประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกัน คือการลดรอบทำไร่หมุนเวียน และการหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวมากขึ้น อันเป็นวิถีชีวิตที่ถูกกำหนดโดยนโยบายรัฐ ประกอบกับการประกาศพื้นที่อาศัยของชาวกระเหรี่ยงเป็นเขตอุทยาน จึงทำให้ไม่มีที่ทำมาหากิน จึงทำให้ชาวกะเหรี่ยงตื่นตัวในการปกป้องสิทธิ์ในผืนป่ารูปแบบต่างๆ
1. บ้านห้วยหินลาด– การปรับตัวของชุมชนกับการเปลี่ยนแปลงของไร่หมุนเวียนภายในชุมชนมีดังนี้
เดือนกุมภาพันธ์: มีการถางไร่และตัดต้นไม้ใหญ่ให้เหลือตอ 50 เซนติเมตรเพื่อให้แตกหน่อขึ้นมาใหม่ได้หลังจากเก็บเกี่ยว และจากเศษไม้หรือวัชพืชให้แห้งสนิท
เดือนมีนาคม ถึงเมษายน: มีการเผาไร่โดยทำแนวกันไฟ และทำการเผาไร่ในช่วงเวลาที่แดดอ่อนตัวลง
เดือนพฤษภาคม: เริ่มมีการปลูกข้าวและพืชประเภทเผือก มัน ฟักทอง อ้อย และทำพิธีสู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นสิริมงคล
เดือนตุลาคม ถึงพฤศจิกายน: ช่วงเก็บเกี่ยวข้าว
การทำไร่แบบผสมผสานระหว่างการผลิตเพื่อบริโภคกับการสร้างรายได้จากนโยบายคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ (คทช.)ได้เกิดการรวมกลุ่มผู้นำชุมชนเพื่อให้ทางการไม่นำพื้นที่ให้กับบุคคลภายนอกดูแล
2. บ้านกลาง–จากนโยบายการประกาศเขตป่าของรัฐทับซ้อนพื้นที่ชุมชนก่อให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อต่อสู้ เรียกร้องสิทธิ และความเป็นธรรมจากรัฐ และได้มีการอนุรักษ์ป่าโดยการตั้งกติกา การร่วมทำกิจกรรม ตลอดจนชุมชนสามารถผ่านการตรวจสอบพื้นที่ และได้รับอนุมัติให้มีโฉนดชุมชน
3. บ้านแม่อมกิ– การประกาศพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติท่าสองยางได้ทำให้ชาวบ้านลดรอบการทำไร่หมุนเวียน และมีรายได้ไม่เพียงพอ จึงได้มีความร่วมมือกับเครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือเพื่อต่อสู้กับรัฐเรื่อยมา อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านแม่อมกิยังต้องพึ่งพาอาศัยป่า แต่มีการจัดการดูแลป่าอย่างมีประสิทธิภาพแม้พื้นที่บางส่วนถูกปรับให้เป็นไร่ถาวรปลูกพืชเศรษฐกิจ
4. บ้านแม่ขี้มูกน้อย – จากผลกระทบของระบบตลาดที่ราคาผลผลิตตกต่ำ ชาวบ้านได้ขยายพื้นที่ปลูกมากขึ้น และพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนลดน้อยลง จึงเกิดการรวมกลุ่มด้านการจัดการทรัพยากรภายใต้องค์กรเครือข่ายลุ่มแม่น้ำแม่แจ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็ง และร่วมแก้ไขปัญหาป่า จนปัจจุบันมีการเคลื่อนไหวของ ‘แม่แจ่มโมเดล’ โดยมีแนวคิดธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (Environment Governance) ประกอบด้วยกลไก 3 ระดับ ได้แก่ ระดับปฏิบัติการ ระดับกรอบกติกาของชาติ และระดับนโยบายกฎหมาย (หน้า 68-69) |
|
Critic Issues |
ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา(หน้า 72 – 74)
- กำหนดแนวทางปฏิบัติและสนับสนุนส่วนราชการเกี่ยวกับการจัดการที่ดินโดยส่งเสริมและคุ้มครองชุมชน
- ดำเนินการสำรวจขอบเขตพื้นที่ไร่หมุนเวียนของแต่หมู่บ้านและขึ้นทะเบียนพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นเขตอนุรักษ์วัฒนธรรมพิเศษ
- ออกคำสั่งยุติมาตรการที่คุกคามและลิดลอนสิทธิของชุมชนบนพื้นที่สูง
- ประกาศพื้นที่อนุรักษ์แห่งใหม่และการขยายพื้นที่จากเขตเดิม
- รัฐควรกำหนดมาตรการให้ชัดเจนในการดำเนินนโยบาย โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน
- ประสานความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับชุมชน เพื่อร่วมส่งเสริมชุมชนในพื้นที่สูงปรับรูปแบบการเกษตรที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่
- รัฐควรสนับสนุนให้เกิดการศึกษาวิจัยเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มต่างๆ
- สร้างความเข้าใจต่อรัฐและสังคมให้เกิดความตระหนักในการทำไร่หมุนเวียน |
|
Map/Illustration |
- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ หน้า 41
- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดแม่ฮ่องสอน หน้า 42
- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดเชียงราย หน้า 43
- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดลำปาง หน้า 44
- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดตาก หน้า 45 |
|
|