สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชุมชนกะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ไร่หมุนเวียน, ข้อพิพาทที่ดิน, พื้นที่ป่าภาคเหนือ
Author ไพสิฐ พาณิชย์กุล
Title รายงานฉบับสมบูรณ์สิทธิของชุมชนกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) กับการดำเนินเขตวัฒนธรรมพิเศษไร่หมุนเวียนในพื้นที่ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกรณีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ป่าภาคเหนือ
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน DS 570.K38 ส 723 2560 Total Pages 77 Year 2560
Source สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
Abstract

ชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ภาคเหนือได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐในการประกาศพื้นที่เขตอุทยาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำไร่หมุนเวียนอันเป็นวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยงจึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการลดรอบไร่หมุนเวียน หรือการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มกันของแต่ละพื้นที่เพื่อต่อสู้และเรียกร้องต่อภาครัฐมากขึ้น

Focus

งานศึกษาครั้งนี้ต้องการสำรวจพื้นที่ชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ภาคเหนือเพื่อรวบรวมวิเคราะห์สภาพชุมชนที่ได้รับผลจากนโยบายรัฐที่ประกาศให้พื้นที่ชุมชนเป็นพื้นที่อุทยาน

Theoretical Issues

การศึกษาครั้งนี้เป็นการสำรวจและรวบรวมสถานการณ์ของชุมชนกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ)ในพื้นที่ภาคเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก และลำปาง ที่เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลจากนโยบายรัฐในการประกาศเป็นเขตอุทยานจึงทำให้วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงที่พึ่งพาอาศัยป่าและการทำไร่หมุนเวียนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง หรือปกาเกอะญอ: กลุ่มกะเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงสกอร์

History of the Group and Community

กะเหรี่ยงหรือปกาเกอะญอเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากแถบมองโกเลียถอยร่นมาจนสู่ประเทศไทยปลายศตวรรษที่ ​18 หรือตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จากการสำรวจในปีพ.ศ. 2547 พบว่าชาวกะเหรี่ยงอาศัยกระจายอยู่บริเวณภาคเหนือภาคตะวันตก สำหรับประวัติการก่อตั้งของชุมชนในพื้นที่ภาคเหนือ 5 จังหวัดที่ทำการศึกษามีดังต่อไปนี้
1. ชุมชนห้วยหินลาด- ชุมชนกะเหรี่ยงแห่งนี้มีประวัติยาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ จากการเปลี่ยนผ่านผู้นำหมู่บ้านไป 2 ชั่วคน โดยบรรพบุรุษที่ตั้งชุมชน คือ นายสุภา ปะปะ จากอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่มาตั้งถิ่นฐานกับนางนอ สาวปกาเกอญอ และพาญาติพี่น้องเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย 3 ครอบครัว และขยายครอบครัวเรื่อยมา พื้นที่ชุมชนห้วยหินลาดผ่านเรื่องราวสำคัญมาเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่การเรียกเก็บภาษีการทำไร่ ภาษีเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนการอพยพออกจากพื้นที่เมื่อครั้งเกิดเรื่องร้ายแรง และได้กลับมาอาศัยในบริเวณบ้านห้วยหินลาดจนถึงปัจจุบัน และได้มีหย่อมบ้านในชุมชนอีก 4 หย่อม ประกอบด้วยชุมชนชาวกะเหรี่ยง 3 ชุมชน ได้แก่ 1) หย่อมบ้านห้วยหินลาดใน 2) หย่อมบ้านหินลาดนอก ที่เป็นผู้อพยพจากบ้านชมพู อำเภอแม่อาย ห้วยโท อำเภอเวียงป่าเป้า บ้านห้วยทรายขาว บ้านแม่ฉาง บ้านป่าปูนสิงห์ บ้านห้วยโต้ง บ้านหินลาดใน บ้านเหยา และบ้านหินลาดนอกตามลำดับ 3)หย่อมบ้านผาเยือง เป็นพื้นที่ที่มีการตั้งถิ่นฐานก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยแรกเริ่มมีครอบครัวที่ตั้งถิ่นฐานจำนวน 15 ครอบครัว โดยมีนายพะลันลวง เป็นผู้นำหมู่บ้าน หรือเรียกว่า หี่โข่ เมื่อเสียชีวิตลงชาวบ้านได้ย้ายไปที่แดลอทีเปอคี และหี่โข่คนต่อมาได้เสียชีวิต ชาวบ้านจึงอพยพไปยังทิศเหนือราว 100 เมตร และได้เริ่มบุกเบิกทำการค้าขายเรื่อยมาถึงปัจจุบัน และ 4) เป็นชุมชนของชาวลีซูจึงไม่มีข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้
2. ชุมชนบ้านกลางไม่ปรากฎข้อมูลการตั้งถิ่นฐานของชุมชน
3. บ้านแม่อมกิเดิมพื้นที่บ้านแม่อมกิเป็นที่อยู่อาศัยของชาวลั๊วะ และเมื่อชาวลั๊วะอพยพออกไป บรรพบุรุษบ้านแม่อมกิจึงเข้ามาตั้งถิ่นฐานและมีการอพยพไปพื้นที่อื่นจากเหตุโรคระบาด และเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 จนเมื่อพ.ศ. 2506 ได้กลับมาปักหลักที่บ้านแม่อมกิ
4. บ้านขี้มูกน้อยไม่พบข้อมูลการตั้งถิ่นฐานของกลุ่ม 

Settlement Pattern

การปกครองท้องถิ่นที่ทำการศึกษาเป็นไปเพื่อรักษาผืนป่า อันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย อาหาร และสมุนไพร มีการจัดการทรัพยากรโดยการตั้งกฎกติกาอย่างในชุมชนห้วยหินลาด นอกจากนี้ด้วยนโยบายรัฐที่มีการประกาศให้เขตชุมชนเป็นพื้นที่อุทยาน จึงทำให้เกิดการรวมตัวกันในระดับชุมชนในการประสานความร่วมมือกับองค์กรรัฐและเอกชน ตลอดจนภาคประชาสังคมเพื่อให้บุคคลภายนอกเห็นถึงการดูแลป่าของกลุ่ม ตลอดจนการสร้างพื้นที่ต้นแบบของชุมชนบ้านขี้มูกน้อย ภายใต้ชื่อ แม่แจ่มโมเดล ที่คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (Environmental Governance) ที่ดึงการมีส่วนร่วมตั้งแต่ระดับปฏิบัติการ การร่วมตั้งกฎกติกาโดยอาศัยมาตรการเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือSDGs(Sustainable Development Goals)และยกระดับเป็นนโยบายกฎหมายที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ เป็นต้น

Demography

จำนวนประชากรชุมชนชาวกะเหรี่ยงภาคเหนือที่ทำการศึกษาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำไร่หมุนเวียนมีจำนวน 1,630 ชุมชน นอกจากนี้ในงานศึกษาปรากฎการสำรวจจำนวนประชากรชาวกะเหรี่ยงที่หย่อมบ้านผาเยือง (ปีพ.ศ. 2543) 8 ครอบครัว 34 คน เป็นเพศชาย 20 คน และเพศหญิง 14 คน

Economy

การเลี้ยงชีพในชุมชน
วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงผูกพันกับผืนป่าที่นอกจากเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหารและยารักษาโรค ยังสามารถทำให้ชาวบ้านเกิดรายได้ หรือเกิดผลผลิตในการเลี้ยงชีพ โดยปัจจุบันชาวบ้านมีการทำไร่ข้าวโพด หรือการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวมากขึ้น ตลอดจนมีการปลูกและแปรรูปชา กาแฟ ที่สามารถสร้างผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
1.ชุมชนบ้านห้วยหินลาด
- หย่อมบ้านห้วยหินลาดใน มีการทำวนเกษตร และทำไร่หมุนเวียน 7-10 ปี/รอบ และมีการเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภค และประกอบพิธีกรรม ตลอดจนมีการทำไร่แปรรูปชาและผลผลิตจากป่า
- หย่อมบ้านหินลาดนอก ในปัจจุบันมีการทำไร่ข้าวโพดเป็นจำนวนมากตามกระแสทุน ประกอบกับมีการเลี้ยงสัตว์ หาของป่า ทำสวนผสมผสาน และการทำไร่ชากาแฟ (หน้า 50-51)
- หย่อมบ้านผาเยือง นอกจากการใช้ประโยชน์จากผืนป่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร และยารักษาโรคแล้ว ยังเป็นแหล่งเชื้อเพลิง และแหล่งผลิตไม้เพื่อการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ตลอดจนเป็นแหล่งผลิตชาได้ตลอดทั้งปี โดยมีวิธีในการเก็บชาแตกต่างกันไป
2. บ้านขี้มูกน้อยจากการทำไร่หมุนเวียนสู่การเปลี่ยนแปลงในการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ถั่ว หอมแดง ข้าวโพด
ทรัพยากรป่าในชุมชน
ชุมชนชาวกะเหรี่ยงมีการรักษาสมดุลระบบนิเวศภายในป่าผ่านการแบ่งพื้นที่ใช้ประโยชน์ และยังมีการสร้างกฎกติกาในการเก็บผลผลิตจากป่า การจัดกิจกรรมอนุรักษ์ป่า เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการที่ดิน

Belief System

ชาวกะเหรี่ยงมีความเชื่อว่า ผี สถิตอยู่ในทุกที่ในผืนป่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทาง ผีน้ำ ผีป่า ผีต้นไม้ ซึ่งผีจะคอยปกป้องคุ้มครองป่า นอกจากนี้ชาวกะเหรี่ยงยังมีการเคารพปฏิบัติต่อเจ้าป่าเจ้าเขา หรือธรรมชาติ (หน้า 50)

Social Cultural and Identity Change

ชุมชนชาวกะเหรี่ยงบริเวณภาคเหนือประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกัน คือการลดรอบทำไร่หมุนเวียน และการหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวมากขึ้น อันเป็นวิถีชีวิตที่ถูกกำหนดโดยนโยบายรัฐ ประกอบกับการประกาศพื้นที่อาศัยของชาวกระเหรี่ยงเป็นเขตอุทยาน จึงทำให้ไม่มีที่ทำมาหากิน จึงทำให้ชาวกะเหรี่ยงตื่นตัวในการปกป้องสิทธิ์ในผืนป่ารูปแบบต่างๆ
1. บ้านห้วยหินลาด– การปรับตัวของชุมชนกับการเปลี่ยนแปลงของไร่หมุนเวียนภายในชุมชนมีดังนี้
เดือนกุมภาพันธ์: มีการถางไร่และตัดต้นไม้ใหญ่ให้เหลือตอ 50 เซนติเมตรเพื่อให้แตกหน่อขึ้นมาใหม่ได้หลังจากเก็บเกี่ยว และจากเศษไม้หรือวัชพืชให้แห้งสนิท
เดือนมีนาคม ถึงเมษายน: มีการเผาไร่โดยทำแนวกันไฟ และทำการเผาไร่ในช่วงเวลาที่แดดอ่อนตัวลง
เดือนพฤษภาคม: เริ่มมีการปลูกข้าวและพืชประเภทเผือก มัน ฟักทอง อ้อย และทำพิธีสู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นสิริมงคล
เดือนตุลาคม ถึงพฤศจิกายน: ช่วงเก็บเกี่ยวข้าว
การทำไร่แบบผสมผสานระหว่างการผลิตเพื่อบริโภคกับการสร้างรายได้จากนโยบายคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ (คทช.)ได้เกิดการรวมกลุ่มผู้นำชุมชนเพื่อให้ทางการไม่นำพื้นที่ให้กับบุคคลภายนอกดูแล
2. บ้านกลาง–จากนโยบายการประกาศเขตป่าของรัฐทับซ้อนพื้นที่ชุมชนก่อให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อต่อสู้ เรียกร้องสิทธิ และความเป็นธรรมจากรัฐ และได้มีการอนุรักษ์ป่าโดยการตั้งกติกา การร่วมทำกิจกรรม ตลอดจนชุมชนสามารถผ่านการตรวจสอบพื้นที่ และได้รับอนุมัติให้มีโฉนดชุมชน
3. บ้านแม่อมกิ– การประกาศพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติท่าสองยางได้ทำให้ชาวบ้านลดรอบการทำไร่หมุนเวียน และมีรายได้ไม่เพียงพอ จึงได้มีความร่วมมือกับเครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือเพื่อต่อสู้กับรัฐเรื่อยมา อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านแม่อมกิยังต้องพึ่งพาอาศัยป่า แต่มีการจัดการดูแลป่าอย่างมีประสิทธิภาพแม้พื้นที่บางส่วนถูกปรับให้เป็นไร่ถาวรปลูกพืชเศรษฐกิจ
4. บ้านแม่ขี้มูกน้อย – จากผลกระทบของระบบตลาดที่ราคาผลผลิตตกต่ำ ชาวบ้านได้ขยายพื้นที่ปลูกมากขึ้น และพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนลดน้อยลง จึงเกิดการรวมกลุ่มด้านการจัดการทรัพยากรภายใต้องค์กรเครือข่ายลุ่มแม่น้ำแม่แจ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็ง และร่วมแก้ไขปัญหาป่า จนปัจจุบันมีการเคลื่อนไหวของ ‘แม่แจ่มโมเดล’ โดยมีแนวคิดธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (Environment Governance) ประกอบด้วยกลไก 3 ระดับ ได้แก่ ระดับปฏิบัติการ ระดับกรอบกติกาของชาติ และระดับนโยบายกฎหมาย (หน้า 68-69)

Critic Issues

ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา(หน้า 72 – 74)
- กำหนดแนวทางปฏิบัติและสนับสนุนส่วนราชการเกี่ยวกับการจัดการที่ดินโดยส่งเสริมและคุ้มครองชุมชน
- ดำเนินการสำรวจขอบเขตพื้นที่ไร่หมุนเวียนของแต่หมู่บ้านและขึ้นทะเบียนพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นเขตอนุรักษ์วัฒนธรรมพิเศษ
- ออกคำสั่งยุติมาตรการที่คุกคามและลิดลอนสิทธิของชุมชนบนพื้นที่สูง
- ประกาศพื้นที่อนุรักษ์แห่งใหม่และการขยายพื้นที่จากเขตเดิม
- รัฐควรกำหนดมาตรการให้ชัดเจนในการดำเนินนโยบาย โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน
- ประสานความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับชุมชน เพื่อร่วมส่งเสริมชุมชนในพื้นที่สูงปรับรูปแบบการเกษตรที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่
- รัฐควรสนับสนุนให้เกิดการศึกษาวิจัยเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มต่างๆ
- สร้างความเข้าใจต่อรัฐและสังคมให้เกิดความตระหนักในการทำไร่หมุนเวียน

Map/Illustration

- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ หน้า 41
- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดแม่ฮ่องสอน หน้า 42
- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดเชียงราย หน้า 43
- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดลำปาง หน้า 44
- ภาพแสดงพิกัดที่ตั้งชุมชนกะเหรี่ยงกับประเภทแนวเขตป่าตามกฎหมายในพื้นที่ศึกษา จังหวัดตาก หน้า 45

Text Analyst นุชจรี ศรีวิเชียร Date of Report 15 ม.ค. 2564
TAG ชุมชนกะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, ไร่หมุนเวียน, ข้อพิพาทที่ดิน, พื้นที่ป่าภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง