สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ,กระบวนการเปลี่ยนผ่าน,การผลิตเชิงพาณิชย์การรวมเข้าและกีดกัน,บ้านห้วยห้อม,แม่ลาน้อย,แม่ฮ่องสอน
Author ดรุณี สิงห์พงไพร
Title การรวมเข้าและกีดกันในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตเชิงพาณิชย์: กรณีศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่บ้านห้วยหอม จังหวัดแม่ฮ่องสอน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 130 Year 2559
Source หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาชาติพันธุ์สัมพันธ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ บ้านห้วยห้อม ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในชุมชนหลังการเข้ามาของการพัฒนา โดยพบว่า ในราวปี พ.ศ. 2500 การพัฒนาถูกนำเข้ามาโดยกลุ่มมิชชันนารีและจากหน่วยงานรัฐ มีการนำเอาความรู้สมัยใหม่ อาชีพใหม่เข้ามาทดแทนวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวปกาเกอะญอ เช่น การส่งเสริมการปลูกกาแฟ การทำผ้าทอขนแกะ หรือแม้แต่การเข้ารับนับถือศาสนาคริสต์ของคนบางกลุ่ม การพัฒนาเหล่านี้ได้สร้างกลุ่มชนชั้นใหม่ คือ กลุ่ม “เส่โข่” หรือ คนรวย สามารถยกระดับตนเองให้มีบทบาทในการจัดการชุมชนและสร้างความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ผ่านการจ้างงานสร้างอาชีพ โดยมีการคัดเลือกบางกลุ่มและกีดกันบางกลุ่มในการเข้าถึงผลประโยชน์ จนเกิดความแตกต่างทางสังคมในชุมชน

Focus

งานศึกษาชิ้นนี้ เป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอภายหลังเผชิญกับการพัฒนา โดยมุ่งเน้นศึกษาในประเด็นแรก คือ การเข้ามาขององค์กรภายนอกหรือการพัฒนาทำให้เกิดการก่อรูป ความสัมพันธ์ทางสังคมแบบใหม่ และการนำการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในด้านต่าง ๆ ประเด็นที่สอง ศึกษาบทบาทของผู้นำยุคใหม่ หรือผู้นำทางด้านเศรษฐกิจที่ปกาเกอะญอ เรียกว่า “เส่โข่” เพื่อดูการสร้างความสัมพันธ์และบทบาทในชุมชน อีกทั้งการปฏิสัมพันธ์กับภายนอก ประเด็นที่สาม ศึกษาชุมชนกับการเผชิญกับรูปแบบการผลิตการดำรงชีพและความสัมพันธ์แบบใหม่ที่ก่อให้เกิดความแตกต่างทางสังคม รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงคุณค่า ความเชื่อในวัฒนธรรมของชุมชน (หน้า 7)

Theoretical Issues

ในงานศึกษาได้ใช้แนวคิดการพัฒนาและความทันสมัย เพื่ออธิบายกระบวนการพัฒนาจากกลุ่มมิชชันนารีและองค์กรภาครัฐที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม โดยใช้แนวคิดจากงานศึกษาของอานันท์ กาญจณพันธุ์ (1984) ที่ชี้ว่า นโยบายการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจสู่ชนบทของรัฐ ได้เชื่อมประเทศเข้าสู่ตลาดเสรี ได้ก่อให้เกิดตลาดแรงงาน ตลาดทุน เกิดการซื้อขายและเกิดความขัดแย้งในที่ดินที่ไปสู่การสะสมกำไรของชาวนาที่รวยและพัฒนากลายเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ และมีอำนาจเหนือกว่ากลุ่มอื่น ๆ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคนในชุมชน เดิมทีภายใต้การผลิตแบบยังชีพ ชุมชนมีลักษณะเอื้อเฟื้อเอามื้อเอาวัน แค่เมื่อเข้าสู่ระบบตลาด การผลิตแบบทุนนิยม ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ คือ เกิดลูกจ้างและนายจ้าง (หน้า 17)

นอกจากนี้ ยังใช้งานของ Andrew Turton (1984) มาอธิบายความแตกต่างทางสังคม เศรษฐกิจ โดยชี้ว่าความแตกต่างทางสังคมของสังคมชนบท เกิดขึ้นเมื่อระบบเศรษฐกิจของชุมชนเปลี่ยนไปสู่การผลิตแบบระบบทุนนิยม เช่น การใช้ปุ๋ย เครื่องมือ เครื่องจักร ยาฆ่าแมลง สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การกู้ยืมที่สร้างหนี้สิน จึงเกิดความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนสองกลุ่ม ในลักษณะอุปถัมภ์และถูกดึงเข้าสู่วงจรสินค้า จนในที่สุดพวกเขาจะไร้สมรรถภาพในการผลิตและสูญเสียอำนาจในการควบคุมปัจจัยการผลิต เมื่อเป็นเช่นนี้ จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในชุมชน เช่น การมีส่วนร่วมในชุมชนจะมีน้อยลง ชาวนาจะถูกกำหนดโดยชาวนารวย ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความแตกต่าง และเกิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ตั้งอยู่บนฐานเศรษฐกิจ (หน้า 20) โดยแนวคิดเหล่านี้ นำมาอธิบายกระบวนการพัฒนาและการสร้างความทันสมัย โดยกลุ่มองค์กรมิชชันนารีและหน่วยงานรัฐ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในสังคมปกาเกอะญอ

Ethnic Group in the Focus

ชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) ณ หมู่บ้านห้วยห้อม ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 23)

History of the Group and Community

บ้านห้วยห้อม ตั้งอยู่ที่ ม.1 ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นชุมชนเก่าแก่ที่สันนิษฐานว่า ชาวปกาเกอะญอ ได้ตั้งรกรากบริเวณนี้ประมาณ 250 ปี หรือ 4 ช่วงอายุคน
ตามประวัติหมู่บ้านแห่งนี้ เริ่มจากการรวมตัวกันจัดตั้งหมู่บ้านชั่วคราว เพื่อหมุนเวียนไปหาพื้นที่แห่งใหม่ ระบบคิดนี้เรียกว่า “ฮี่ ชิ คอ ชิ” ซึ่งเป็นชุมชนเล็ก ๆ อาศัยกันอยู่ 3-4 ครัวเรือน ทั้งนี้เมื่อชุมชนเล็ก ๆ เหล่านี้ได้แสวงหาพื้นที่ใหม่ ที่ใกล้กับทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ คือประกอบด้วย แม่น้ำ ต้นไม้ ภูเขา องค์ประกอบของความอุดมสมบูรณ์ เช่นนี้ จึงเป็นที่มาของการตั้งชุมชนถาวร ที่เรียกว่า “โอ๊ะ เกอ โชเกลอ” ซึ่งเป็นที่มาของชุมชนบ้านห้วยห้อม โดยแรกเริ่มนั้นชาวปกอเกอะญอขอซื้อพื้นที่จากชาวลัวะที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิม ด้วยการนำวัวและเหล้ามาแลกตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวลัวะ
นอกจากนี้การจัดตั้งหมู่บ้านถาวรของชาวปกาเกอะญอนั้นยังสัมพันธ์กับการแต่งตั้งผู้นำกลุ่ม คือ “ฮี่โข่ ก่อโข่” โดยมีผู้นำคนแรกที่ก่อตั้งหมู่บ้านห้วยห้อม ชื่อ ฮี่โข่ พือโรบอ ตามความเชื่อของชาวปกาเกอะญอมีกระบวนการเลือกผู้นำที่พิเศษ คือ เป็นบุคคลที่จะได้รับเลือกจากธรรมชาติ เทพ และจากผู้คนในกลุ่ม หรือเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการคัดสรรมาจากธรรมชาติความเป็นผู้นำของตัวบุคคลนั้น ฉะนั้นตำแหน่ง ฮีโข่ จึงไม่ใช่จะเลือกสรรหามาได้ง่าย ๆ ด้วยเหตุนี้ สำหรับชาวปกาเกอะญอ ฮีโข่ จึงเป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับความไว้วางใจในการทำหน้าที่ผู้นำ ดูแลทุกข์สุขและนำพาความอยู่รอดให้กับชุมชนอีกทั้งต้องมีความสามารถในการประกอบพิธีกรรม เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ เยียวยาจิตใจ สังคม เชื่อมโยงผู้คนให้เกิดสามัคคี (หน้า 30-31) ฉะนั้นการเกิดขึ้นของหมู่บ้านห้วยห้อมนั้น มีเหตุผลมาจาก สองประการ คือ การพบเจอกับพื้นที่อุดมสมบูรณ์และการได้ผู้นำกลุ่ม
ช่วงแรกของการก่อร่างสร้างชุมชนนั้น ผู้คนมีวิถีชีวิตและระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง เช่นการทำนา ทำไร่หมุนเวียน หาของป่า ในชุมชนมีระบบการช่วยเหลือเอามื้อเอาวัน หรือระบบลงแขกที่แลกเปลี่ยนแรงงานกัน มีการแบ่งปังเอื้อเฟื้อที่ดินในการใช้ประโยชน์ร่วมกัน และมีโครงสร้างอำนาจภายใต้ “ฮีโข่” เป็นผู้นำในการจัดการความสัมพันธ์ในชุมชน รวมทั้งเป็นผู้นำทางพิธีกรรมความเชื่อ ฉะนั้นสังคมปกาเกอะญอในช่วงแรกจึงเป็นสังคมเครือญาติที่มีการจัดการทางสังคมและเศรษฐกิจที่เรียบง่าย
ต่อมา พ.ศ. 2480 เมื่อกลุ่มมิชชันนารีได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนส์ มีการสร้างโรงเรียนในพื้นที่ มีบุตรหลานของชาวปกาเกอะญอเข้ามาศึกษาและเข้ารับนับถือศาสนา มีการนำการสาธารณสุขแผนใหม่ รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพ เช่น มีการปรับพื้นที่เพื่อปลูกกาแฟอะราบีกา การเลี้ยงแกะเพื่อนำขนมาทอผ้า จึงทำให้ชุมชนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในระดับหนึ่ง ต่อมาในพ.ศ. 2514 ในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมสมเด็จพระราชินีได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎรที่ตำบลป่าแป๋ และเข้ามาส่งเสริมสานต่อกิจกรรมที่มิชชันนารีได้ทำก่อนหน้า และนำโครงการอื่น ๆ เข้ามา เช่น การส่งเสริมการศึกษา อาชีพ สาธารณสุข มีการปรับสร้างถนนหนทาง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นชุมชนตัวอย่างให้กับชุมชนใกล้เคียงอื่น ๆ นอกจากนี้ในพื้นที่ยังมีการนำพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น กะหล่ำ พริก มะเขือเทศ (หน้า 4 -5)

Settlement Pattern

การตั้งถิ่นฐานถาวรของชาวปกาเกอะญอนั้น ในงานชิ้นนี้ได้ระบุว่า ต้องมีองค์ประกอบของ ดิน น้ำ ที่ดี ฉะนั้นการตั้งถิ่นฐานที่บ้านห้วยห้อม เกิดจากการพบเจอกับพื้นที่ที่เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ มีลำธาร ดินดี ป่าสมบูรณ์ เหตุผลเช่นนี้เกิดวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอที่จะพึ่งพาอาศัยธรรมชาติในการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ขึ้นอยู่กับผู้นำที่ตัดสินใจเลือกพื้นที่ในการตั้งชุมชนด้วย (หน้า 31)

Demography

ปัจจุบันมีประชากร ตามสำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 336 คน มี 76 ครัวเรือน และจำนวนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจริง ราว 300 คน (หน้า 27)

Economy

ชาวปกาเกอะญอที่บ้านห้วยห้อม มีระบบการผลิตและใช้ทรัพยากรจากพื้นที่ป่า คือ การทำไร่หมุนเวียน การทำนา การหาของป่า สำหรับการทำไร่หมุนเวียนนั้นเป็นการปลูกข้าวเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนเท่านั้น เป็น “ระบบเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ” ผลิตเพื่อพอยังชีพ ไม่ได้หวังกำไรหรือเพื่อค้าขาย แต่เน้นความมั่นคงทางอาหารเป็นหลัก โดยการเพาะปลูกจะมีการใช้พื้นที่เนินเขา โดยในทุก ๆ ปี จะหมุนเวียนไปตามพื้นที่ที่เคยใช้ นอกจากนี้ยังมีการทำนาในพื้นที่ราบ การทำนาบนที่ราบในเขตพื้นที่ภูเขา พบว่ามีจำนวนจำกัด จึงเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่า มีการถือครองกรรมสิทธิ์ เนื่องจากการทำนาในที่ราบสามารถผลิตข้าวได้มากกว่าการทำไร่ข้าวบนที่สูง ฉะนั้นที่ดินนา จึงเป็นกรรมสิทธิ์ถือครองเป็นมรดกที่มีการสืบทอดรุ่นสู่รุ่น อย่างไรก็ตามที่ดินนาที่มีเจ้าของ เปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ สามารถหาประโยชน์บนพื้นที่ได้ เช่น สามารถเลี้ยงวัวในที่ดินนั้นได้ ตัดหญ้า หรือปลูกพืชผักบางอย่างได้  จึงถือว่าเป็นระบบเศรษฐกิจที่เน้นการยังชีพ เกื้อกูลแบ่งปันในครอบครัว เครือญาติในชุมชนเป็นหลัก
ต่อมาในชุมชนเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเมื่อมีการติดต่อสัมพันธ์กับกลุ่มภายนอกมากขึ้น เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2450 โดยพ่อค้าวัวต่างกับตระกูลคนมีช้างได้นำสินค้าจากภายนอกมาขายในหมู่บ้าน โดยเฉพาะขายสินค้าจำพวก เกลือ ไฟแช็ค เหล็ก หม้อ เมี่ยง สินค้าอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิต ทำให้เกิดการเก็งกำไรและสร้างรายได้จำนวนมาก โดยพบว่าสินค้าเหล่านี้นำมาจากเมืองเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พม่า และลำเลียงขึ้นมาโดยช้าง และวัวต่าง การเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกนี้ ทำให้ชาวปกาเกอะญอรู้จักวิธีการแลกเปลี่ยนโดยใช้เงินตราแทนที่การแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านอาชีพและวิถีชีวิตในอีกหลายด้าน เมื่อมีการเข้ามาของรัฐ มิชชันนารี และในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้นำความรู้ การสร้างสาธารณูปโภค การส่งเสริมอาชีพ และการติดต่อสัมพันธ์กับภายนอก ทำให้ชาวบ้านห้วยห้อมสามารถเข้าถึงโอกาส ความรู้ รายได้
ดังที่งานชิ้นนี้ ระบุว่า ชาวบ้านได้ปรับวิถีการเพาะปลูก เช่น การปลูกกาแฟ และรอบหมู่บ้านจะมีการปลูกกะหล่ำปลี เสาวรส ข้าวบาร์เลย์  (หน้า 23) แต่อาชีพที่มีความสำคัญที่บ้านห้วยห้อม คือ การปลูกกาแฟ ขายกาแฟ  การทอผ้าขนแกะ และโฮมสเตย์ ซึ่งเป็นอาชีพใหม่ที่เข้ามาแทนการปลูกข้าวไร่ และกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของชาวปกาเกอะญอ โดยการปลูกกาแฟ เกิดขึ้นด้วยการส่งเสริมของมิชชันนารี ในปีพ.ศ. 2539 มีการจัดตั้งกลุ่มปลูกกาแฟ มีการบริหารจัดการทางการตลาดส่งขายให้กับร้านกาแฟระดับโลกคือ สตาร์บัคและโครงการหลวง นอกจากนี้การทำผ้าทอขนแกะ ได้รับส่งเสริมจากกลุ่มมิชชันนารีมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ แต่ปีพ.ศ. 2530 โดยกรมพัฒนาชุมชนที่เข้ามาต่อยอดการทำผ้าขนแกะและได้รับการช่วยเหลือจากโครงการหลวงหลังจากสมเด็จราชินีเสด็จ ทำให้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2540 กลุ่มเลี้ยงแกะและทอผ้าขยายมากขึ้น พร้อมกันนั้นรัฐบาลได้ส่งเสริมสินค้า OTOP กระทั่งผ้าทอขนแกะได้รับรางวัลระดับห้าดาว (หน้า 93-96)

Social Organization

ระบบความสัมพันธ์ของชาวปกาเกอะญอในบ้านห้วยห้อมนั้น ในงานชิ้นนี้ได้อธิบายว่า มีการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างจากวัฒนธรรมเดิมมาสู่การจัดความสัมพันธ์แบบใหม่ภายใต้สถานะทางเศรษฐกิจ โดยชี้ว่า เดิมที่ชาวปกาเกอะญอมีอิสระในการจัดการดูแลปกครองตนเอง ภายใต้การนำของ  ฮี่โข่ ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและคอยดูแลชุมชน โดยมีการจัดระเบียบสังคมผ่านพิธีกรรมและการนับถือเทพหรือผีบรรพบุรุษ เพื่อสร้างสานสัมพันธ์ในกลุ่มและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ (หน้า 27) แต่การเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้ผู้คนต้องเปลี่ยนแปลงระบบความสัมพันธ์ไปด้วย
ประการแรก คือ เดิมทีความสัมพันธ์ของผู้คนที่นี้จะเน้นระบบความเป็นเครือญาติ เช่น การแต่งงานที่ดองกันกลุ่มเครือญาติ หรือการทำไร่แบบลงขันกัน และแลกเปลี่ยนอาหารหรือสิ่งของระหว่างกัน ปัจจุบันวิธีการเช่นนี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในชุมชนยังหลงเหลือความสัมพันธ์ที่ดีสะท้อนถึงความใกล้ชิด ความเป็นเครือญาติ คือ ผ่านการใช้สรรพนามที่ใช้แทนกัน เช่น การเรียกน้อง หรือหลาน ซึ่งให้ความหมายถึงความเป็นเป็นญาติพี่น้องเดียวกัน และด้วยวัฒนธรรมที่ถือมารยาทให้การพูดจา จึงไม่เห็นการใช้วาจารุนแรงต่อกันเพื่อลดแรงตอบโต้ที่จะไปสู่การทะเลาะ กรณีนี้ จะพบมากหลังการเลือกตั้ง หากฝ่ายใดไม่ได้รับการเลือกตั้งหรือชัยชนะ ทั้งหมู่บ้านก็จะเงียบไม่มีการพูดจาให้ร้ายต่อกัน นี่คือวิธีการลดหรือจัดการความขัดแย้งในชุมชน
ประการที่สอง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับชาวบ้าน เช่น ผู้เป็นเส่โข่ คือ นอกจากเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจแล้ว เส่โข่ยังสร้างความสัมพันธ์ผ่านการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อชาวบ้าน เช่น การช่วยเหลือด้านการเงินต่อครอบครัวที่ขัดสน การช่วยนำผู้ป่วยที่ไม่มีรถยนต์ส่งโรงพยาบาล หรือการให้กู้ยืมเป็นทุนในการช่วยใครบางคนเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้ คือ ระบบความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์และการรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเส่โข่จะได้รับการปฏิบัติที่ดี สังคมให้การยอมรับ ให้เกียรติในกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ ในชุมชน  (หน้า 105-112)
ประการที่สาม ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในชุมชน ได้ถูกจำแนกผู้คนตามสถานะทางเศรษฐกิจและการใช้ระบบอุปถัมภ์ โดยสามารถแยกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีฐานะดี กลุ่มที่มีฐานะปานกลาง และกลุ่มที่มีฐานะยากจน โดยอธิบายว่า กลุ่มที่มีฐานะดี มีอยู่ประมาณ 7 ครัวเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่บุกเบิกปลูกกาแฟ แปรรูปกาแฟและครอบครัวนี้เป็นเป็นครอบครัวเส่โข่ และถือครองที่ดินจำนวนมาก มีความสัมพันธ์กับมิชชันนารี กลุ่มองค์กรพัฒนาของรัฐและอื่น ๆ มีลูกหลานเป็นข้าราชการ จบการศึกษาระดับสูง และเป็นกลุ่มที่สามารถให้งานหรือจ้างงานให้กับคนในชุมชนได้
สำหรับกลุ่มฐานะปานกลาง มีอยู่ประมาณ 54 ครอบครัว เป็นครอบครัวที่สามารถเลี้ยงตนเองจากการปลูกกาแฟ โดยเฉลี่ยต่อปีประมาณ 6 หมื่นบาท และสามารถสร้างรายได้จากผลิตอื่น ๆ และการจ้างงานต่าง ๆ อีกด้วย ครอบครัวปานกลางนี้สามารถส่งลูกเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี กลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มคนฐานะยากจน มีอยู่ 12 ครัวเรือน โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มพิการและคนชรา คนกลุ่มนี้จะได้รับการจ้างงานจากกลุ่มเส่โข่ เช่น รับจ้างเก็บกาแฟ หรือกรณีที่มีต้นกาแฟสามารถนำเมล็ดกาแฟมาขายที่เส่โข่ กลุ่มนี้จะอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของครอบครัวเส่โข่ (หน้า 85-89)

Political Organization

การรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นชุมชนของชาวปกาเกอะญอที่บ้านห้วยห้อมนั้น เกิดขึ้นจากการโยกย้ายหาพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันการโยกย้ายเคลื่อนที่เป็นวิธีการหนึ่งของการคัดเลือกผู้นำ คือ “ฮี่โข่” ตำแหน่งนี้ มีความสำคัญในการจัดการความสัมพันธ์เชิงอำนาจในกลุ่ม มีอำนาจในการตัดสินใจ ชี้ขาดต่อปัญหาต่าง ๆ ได้ และต้องเป็นผู้ทำพิธีกรรม การแสวงหาแหล่งหรือพื้นที่ทำกิน จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกของการจัดระบบความสัมพันธ์ จะเป็นการปฏิสัมพันธ์หรือดูแลโดยตรงระหว่างมนุษย์ด้วยกันและมนุษย์กับธรรมชาติ
แต่เมื่อชุมชนมีการปฏิสัมพันธ์กับภายนอก ภายในกลุ่มได้มีการพัฒนาสร้างกลุ่มตระกูลเป็นชนชั้นมากขึ้น เป็นผลมาจากการค้าขาย ดังเช่น ตระกูลที่มีช้าง ที่ทำงานร่วมกับบริษัทสัมปทานไม้และกลายเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในทางเศรษฐกิจของชุมชน บุคคลในตระกูลได้รับฉายาว่าเป็น “พ่อเลี้ยง” ในภาษาปกาเกอะญอว่า “เส่โข่” คือ บุคคลที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ร่ำรวยจากการมีช้างจำนวนมากและเข้าร่วมในการทำไม้ ยังถือว่าเป็นบุคคลที่มีบารมีและอำนาจ และมีลูกน้องที่อุปถัมภ์จำนวนมาก ฉะนั้นในห้วยห้อม จึงมีระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ในการจัดการปัญหาต่าง ๆ ในด้านเศรษฐกิจ สังคม ความขัดแย้ง ทำให้ในหมู่บ้านห้วยห้อมปัจจุบันผู้คนจะมีการพึ่งพิงและรวมกลุ่มรอบผู้นำเส่โข่
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ทางสังคมและพื้นที่การแสดงออกทางเครือญาติ คือจะพบในงานศพ เมื่อมีการเสียชีวิตเกิดในหมู่บ้าน ญาติและเพื่อนบ้านจะเข้ามาร่วมงานศพเพื่อไว้อาลัยและส่งคนตายกลับไปสู่ภพผีอย่างสันติ ในงานศพทุกครั้ง จะมีการขับธา (กวี ลำนำเพลง) เดินรอบ ๆ ศพตามจำนวนคืนที่ไว้ศพ ทุกคนจะร่วมอวยพร จะเห็นได้ว่า ในพื้นที่งานศพ จะพบว่ามีการรวมกลุ่ม มีการจัดระดับผู้อาวุโส เช่น จะมีการให้เกียรติกับตระกูล ฮี่โข่ และเส่โข่ และชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระดับอื่น ๆ เช่น การร่วมรับประทานอาหารในงานศพ (หน้า 57-62) นอกจากนี้ ที่สำคัญภายหลังการเข้ามาพัฒนาด้านต่าง ๆ ในพื้นที่ เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ คือ ความสัมพันธ์ภายใต้เศรษฐกิจ ที่ได้แยกกลุ่มคนออกเป็นสามระดับ คือ คนที่มีฐานะร่ำรวย คนที่มีฐานะปานกลาง และคนที่มีฐานะยากจน
ความแตกต่างเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้การเข้ามาของการพัฒนาอาชีพ การปลูกกาแฟ การทำผ้าทอขนแกะ โฮมสเตย์ โดยกลุ่มที่กุมธุรกิจเหล่านี้ตกอยู่ในมือของกลุ่มตามลำดับฐานะ ทำให้เกิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจ การเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน รวมทั้งการกีดกันกลุ่มอื่นไม่ให้เข้าถึงผลประโยชน์หรือการกระจายงานตามความเหมาะสมซึ่งการจัดการผลประโยชน์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มฐานะร่ำรวย เช่น กลุ่มฐานะร่ำรวยกลุ่มที่เป็นสายตระกูลเส่โข่ มีการจัดระบบความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ ด้วยการสร้างงาน จ้างงานตามธุรกิจที่ตนเป็นผู้ประกอบการ หรือช่วยเหลือทางการเงินในยามที่ลูกจ้างขัดสน และเช่นเดียวกันเส่โข่จะได้รับการตอบแทนจากชาวบ้านที่ได้รับการช่วยเหลือ เช่น การขอแรงช่วยเก็บกาแฟ หรือเกี่ยวข้าว ทำนา เพื่อเป็นการแลกคืนหรือหักหนี้ นอกจากความสัมพันธ์ภายในแล้ว กลุ่มฐานะดียังได้สร้างเครือข่ายกับกลุ่มคนจากภายนอก เช่น กลุ่มทุน นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อเป็นเครือข่ายในขยายอำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม (หน้า 116-122)

Belief System

ชาวปกาเกอะญอที่บ้านห้วยห้อม เดิมทีมีความเชื่อดั้งเดิม ที่เชื่อในผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับ และเชื่อในสรรพสิ่งว่ามีเจ้าของ สิ่งนั้น คือ วิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น และเรียกสิ่งนี้ว่า “หมื่นคา” แปลว่า “เทพ” ความเชื่อต่อผีบรรพบุรุษ จะแสดงออกมาผ่านพิธีกรรมการรักษาอาการเจ็บป่วย เช่น พิธีกรรมเอาะแค คือ การรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการขอต่อผีบรรพบุรุษหรือเทพให้ช่วยปกปักษ์รักษา กรณีนี้สามารถยกตัวอย่าง ที่เกิดขึ้นในครอบครัว หัวหน้าครอบครัว จะทำการเสี่ยงทายหาฤกษ์ หรือวันที่ผีบรรพบุรุษให้ทำพิธี และให้คนในครอบครัวรับทราบ จากนั้นเริ่มต้นด้วยพิธีการฆ่าสัตว์โดยผู้นำครอบครัวและให้สมาชิกในครอบครัวเข้ามาสัมผัสสัตว์ตัวนั้นตามลำดับ และในระหว่างพิธีกรรมทุกคนจะต้องสำรวมตน เพื่อให้ผีบรรพบุรุษพอใจ
อย่างไรก็ตามพิธีกรรมและชุดความเชื่อดั้งเดิมนี้ได้หายไป เนื่องจากการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในปี พ.ศ. 2473 ตระกูลใหญ่ในหมูบ้านได้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ตระกูลนี้ คือ ตระกูลพะโย หลังจากนั้นจึงมีการเผยแพร่ให้คำสอนไปยังหัวหน้าบ้านต่าง ๆ เพื่อสร้างกลุ่ม และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษยาภิบาล ที่มีหน้าที่ให้ความรู้ด้านศาสนา คำสอนและการปฏิบัติ จนกระทั่งบ้านห้วยห้อมได้ตั้งสถานที่คริสตจักรแห่งหนึ่งในเขตอำเภอแม่สะเรียง โดยมีผู้นำชื่อ ตะเลอะ มีหน้าที่ในการให้การต้อนรับมิชชันนารีที่เข้ามาเยี่ยมหมู่บ้านและคอยสนับสนุนกิจกรรมภายในคริสตจักร ฉะนั้นในราวปีพ.ศ. 2401-2500 มิชชันนารีได้เข้ามามีบทบาทต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านความเชื่อ โดยผู้คนทั้งหมู่บ้านได้เข้ารับนับถือศาสนาคริสต์ทั้งหมด (หน้า 40-43)

Education and Socialization

การศึกษาในพื้นที่บ้านห้วยห้อม เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงที่มิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนา โดยเริ่มโครงการและทุนการศึกษาแก่เด็กในชุมชนเข้ามาศึกษาศาสนาในโรงเรียนของโบสต์คริสต์ที่แม่สะเหรียง กระทั่งในพ.ศ. 2508 ชุมชนได้รับการจัดสรรงบประมาณสร้างโรงเรียนจากรัฐบาลและได้รับความร่วมมือจากมิชชันนารี ในช่วงแรกนี้ มีเด็กนักเรียนที่เป็นลูกหลานของผู้นำในชุมชนเป็นส่วนใหญ่ และคนเหล่านี้สามารถเข้าถึงการศึกษาสมัยใหม่ คือ เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยครู จนสำเร็จรับราชการเป็นครูรุ่นแรกของชุมชน (หน้า 49-50) นอกจากนี้ยังมีคนในชุมชนที่สำเร็จการศึกษาด้านการเกษตร และได้การสนับสนุนความรู้จากมิชชันนารีที่เชี่ยวชาญด้านการเกษตรหรือการเพาะปลูก ความรู้การทำเกษตรในพื้นที่ จึงขยายตัวมากขึ้น เช่น มีการนำพืชผักสวนครัวและพืชพาณิชย์ มีการนำกล้าไม้เข้ามาทดลองเพาะปลูก เช่น ต้นลำไย ส้ม ลูกเนียง กาแฟ และพืชผักอื่น ๆ ฉะนั้นการให้การศึกษาต่อผู้คนในชุมชนแห่งนี้เกิดขึ้นจากแนวทางของมิชชันนารี (หน้า 51)

Health and Medicine

ในช่วงปีพ.ศ. 2519 การเสด็จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชินี ซึ่งเป็นการเสด็จเป็นครั้งที่สองนี้ พระองค์ได้เข้ามาส่งเสริมและให้ความช่วยเหลือทางด้านสาธารณสุข เช่น การสร้างส้วมซึมให้กับชาวบ้าน สร้างอนามัยประจำตำบล ส่งเสริมแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการรักษาความสะอาดและสุขลักษณะแก่ราษฎร (หน้า 51)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในหมู่บ้านห้วยห้อม มีการส่งเสริมอาชีพหัตกรรมที่ขึ้นชื่อจากขนแกะ เรียกว่า “ผ้าทอขนแกะ” เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการหลวง โดยกลุ่มสตรีในชุมชนเป็นผู้จัดทำเป็นงานฝีมือ นอกจากนี้ยังได้รับการส่งเสริมจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) (หน้า 94-95)

Folklore

เรื่องเล่าของชุมชนห้วยห้อม มีประวัติศาสตร์บอกเล่า ถึงการอพยพโยกย้ายของบรรพบุรุษ ชื่อ พือพะโด๊ะโรบอกับภรรยา พี พะ โด๊ะ หน่อแก๊ะพอ ทั้งสองเป็นคนปกาเกอะญอจากรัฐกะเหรี่ยงทางฝั่งพม่า ได้อพยพข้ามฝั่งแม่น้ำสาละวิน เดินทางไปมาระหว่างแนวเขา จนกระทั้งไปพบกับพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ในที่แห่งนี้ และตั้งชื่อให้กับพื้นที่นี้ตามชื่อบ้านเกิดในฝั่งพม่า ว่า “เดลอชอติ” หลังจากนั้นทั้งสองได้ย้ายกระท่อมไปมาในละแวกใกล้เคียง รวม 9 แห่งหรือที่เรียกว่า “เด ลอ” จากเคลื่อนย้ายไปมาของบรรพบุรุษในยุคนี้ เรียกว่ายุค “ฮี่ชิ คอชิ” ที่เปรียบเทียบบรรพบุรุษว่าเป็นดัง “นกป่า” “ไก่ป่า” ดังที่สุภาษิตปกาเกอะญอว่า “Htof looa auf seif saf, Pgaz K’Nyauz Looz auf mei waz” มีความหมายว่า “ฝูงนกบินหาผลไม้ป่าเป็นเช่นไร ปกาเกอะญอแสวงหาพื้นที่ปลูกข้าวเช่นนั้น” ซึ่งการปลูกข้าวมีความสำคัญกับการมีชีวิตรอดของชาวปกาเกอะญอ ดังนั้นการอพยพเพื่อแสวงหาแหล่งอุดมสมบูรณ์ ก็เพื่อการปลูกข้าว และพื้นที่อุดมสมบูรณ์นี้ จึงเป็นที่มาของหมู่บ้านห้วยห้อม  (หน้า 28-29)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การปรากฏตัวของกลุ่มมิชชันนารีในช่วงปีพ.ศ. 2401-2500 ในอาณาบริเวณอำเภอแม่สะเรียง ได้ส่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อพื้นที่รอบ ๆ โดยเฉพาะชุมชนบ้านห้วยห้อม ถูกจัดตั้งเป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ พร้อมกับการมีผู้นำหมู่บ้าน และที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนาจากความศรัทธาต่อผีบรรพบุรุษมาเข้ารีตศาสนาคริสต์ มีผู้นำชุมชนที่เข้ารับศาสนาคริสต์ เป็นตัวแทนในการเผยแพร่และทำหน้าที่ในจัดกิจกรรมทางศาสนานำชุมชน รวมทั้งรับแนวนโยบายการพัฒนาชุมชนจากมิชชันนารี ต่อมาในช่วงความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับคอมมิวนิสต์ มีกลุ่มนักศึกษาจำนวนหนึ่งที่หนีเข้าป่าไปยังเขตหมู่บ้านห้วยห้อม จึงเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามา
รวมทั้งการเสด็จของในหลวงรัชกาลที่ 9 พบว่า การเข้ามาของราชการและในหลวงรัชกาลที่ 9 ยิ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ ผู้คน มากยิ่งขึ้น นโยบายการพัฒนาและการส่งเสริมอาชีพมากมายได้เข้ามาสร้างวิถีชีวิตใหม่ให้กับชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านถูกดึงเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการพัฒนา และสิ่งเหล่านี้ได้สร้างให้เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยภาพรวม เช่น 1. เกิดความแตกต่างภายในชุมชนระหว่างความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเดิมมาสู่การสร้างความสัมพันธ์แบบใหม่ ที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อ การจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติและชุมชนแบบใหม่ ที่มีปัจจัยทางเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง 2. การเข้ามาส่งเสริมอาชีพจากกลุ่มมิชชันนารีและจากโครงการหลวง จากหน่วยราชการ ส่งผลให้ในชุมชนเกิดกลุ่มที่มีบทบาททางเศรษฐกิจในชุมชน และกลายเป็นผู้มีอำนาจ ผูกขาดในการบริหารจัดการชุมชน กลุ่มเหล่านี้คือ กลุ่มที่ควบคุมอาชีพการปลูกกาแฟ กลุ่มที่ทำโครงการหลวง กลุ่มผ้าทอขนแกะ และกลุ่มผู้นำทางการเมืองและปกครอง การเกิดกลุ่มเหล่านี้ ทำให้ชุมชนมีการแบ่งกลุ่มผลประโยชน์ที่ชัดเจน และกลายเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากสังคมปกาเกอะญอในยุคสมัยก่อน สิ่งนี้คือ การเปลี่ยนแปลงที่พบเห็นได้ในชุมชนบ้านห้วยห้อมปัจจุบัน (หน้า 114-118)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านห้วยห้อม งานชิ้นนี้ไปได้สะท้อนข้อค้นพบ คือ ประการแรก การเปลี่ยนแปลงทางศาสนาสู่การนับถือศาสนาคริสต์ ในปีพ.ศ. 2528 ชาวปกาเกอะญอทั้งหมู่บ้านได้เป็นชาวคริสต์ที่นับถือพระเจ้าแทนที่ความเชื่อเก่าที่นับถือผีบรรพบุรุษ ทำให้พิธีกรรม ชุดความเชื่อต่าง ๆ ได้ถูกตัดทิ้งและแทนที่ด้วยคำสวด คำสอน คัมภีร์ไบเบิล โดยมีโบสถ์คริสต์เป็นศูนย์กลางของชุมชนและมีผู้นำบาทหลวงในการทำพิธีกรรมทางศาสนา นอกจากนี้คำสอนคริสต์ศาสนาได้เข้ามีบทบาทในการแนะนำและกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอ ดังที่ในงานมีการนำคำสอนในคัมภีร์ ว่า “หากใครทำมาก ขยันมาก จะได้กินมากและจะมีถวายให้พระเจ้ามาก” จะเห็นได้ว่า คำสอนเช่นนี้ทำให้ชาวปกาเกอะญอมีแนวทางในการกำหนดกรอบชีวิตของตนเองในการทำงานและปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตอีกด้วย
ประการที่สอง การเปลี่ยนแปลงด้านการดำรงชีพและเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอก เกิดขึ้นจากการเข้ามาส่งเสริมการผลิตเพื่อสร้างรายได้เป็นเงิน สิ่งเหล่านั้น คือ การปลูกกาแฟ การส่งเสริมหัตกรรมทอผ้าด้วยขนแกะ สินค้าเหล่านี้ได้เชื่อมโลกกับตลาดโลก เช่น ขายกาแฟให้กับสตาบัค ส่งเสื้อผ้าคนแกะไปตลาดต่างประเทศ ประการสอง การส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อตอบสนองการท่องเที่ยวแบบใหม่ตามต้องการของคนชนชั้นกลางในปัจจุบัน ในงานชั้นนี้ ได้กล่าวถึง การเปลี่ยนทางด้านเศรษฐกิจและการเน้นการตลาดที่ส่งผลให้ชาวปกาเกอะญอถูกทำให้กลายเป็นสินค้าหรือถูกขายเป็นแบรนด์ให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้ง การส่งเสริมอาชีพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ล้วนกลายเป็นหนทางการสร้างวิถีชีวิตเพื่อตอบสนองตลาดมากกว่าการประกอบอาชีพตามวิถีของตนเองหรือเพื่อตนเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณค่าและอัตลักษณ์ชาวปกาเกอะญอถูกทำให้เจือจางลงไปอย่างมาก นอกจากนี้ การส่งเสริมอาชีพต่าง ๆ ในพื้นที่ ได้สร้างให้กลุ่มตระกูลใหญ่มีการสะสมทุนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นแล้วยังมีการสะสมทุนทางสังคมอีกด้วย เช่น ตระกูลที่ร่ำรวยจากการเป็นเจ้าของไร่กาแฟและเจ้าของผ้าทอขนแกะ ยังสามารถควบคุมตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นด้วย สิ่งเหล่านี้มีผลให้เกิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม และได้กลายเป็นส่วนสำคัญในการกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรและแหล่งรายได้ต่อกลุ่มคนอื่น ๆ
ประการที่สาม การเปลี่ยนแปลงด้านอื่น ๆ เช่น ด้านพื้นที่ พบว่ามีการปรับใช้เพื่อปลูกกาแฟมากขึ้น มีการสร้างบ้านพักให้เป็นโฮมสเตย์ หรือพื้นที่รอบชุมชนจะพบว่ามีการถางเพื่อปลูกผักกะหล่ำปลี มัน ข้าวบาเลย์ และในพื้นที่ยังพบว่า ปัจจุบันมีการปลูกสร้างบ้านเรือนแบบสมัยใหม่มากขึ้น มีบ้านหลังใหญ่หลายหลังในหมู่บ้าน และมีถนนหนทางที่เดินทางสะดวก สิ่งเหล่านี้ทำให้วัฒนธรรม วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเริ่มหายไป ความทันสมัยได้เข้ามาแทนที่ เช่น ชาวบ้านนิยมดูโทรทัศน์และดูละคร รับวัฒนธรรมบริโภคนิยมมากขึ้น เกือบทุกบ้านมีรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่หันมาพูดภาษาไทยกันส่วนใหญ่ และรับอิทธิพลจากกศึกษา ความรู้มารยาทจากความเป็นไทย ทำให้ความเป็นปกาเกอะญอเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา

Critic Issues

งานชิ้นนี้มีข้อเสนอในเชิงวิพากษ์ ว่า กรณีภาพลักษณ์ของชาวปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยง ที่จะมองว่าเป็นกลุ่มคนชาติพันธุ์ที่รักสันโดษหรือโดดเดี่ยว อยู่กับป่า มีลักษณะสังคมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเป็นการมองภาพที่ตายตัวนั้น ในศึกษาชี้ว่า ความเป็นจริงแล้วผู้คนชาวปกาเกอะญอมีพลวัตและพัฒนาการทางสังคมมาโดยตลอด ตั้งแต่การก่อตั้งชุมชน ภายในมีการจัดระบบความสัมพันธ์และการสร้างปฏิสัมพันธ์กับภายนอก เกิดการปฏิสัมพันธ์ ค้าขายแลกเปลี่ยน ฉะนั้นสังคมปกาเกอะญอจึงไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว หรืออาจกล่าวได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้จำกัดตนเองอยู่ในกลุ่ม หากแต่มีการสร้างเครือข่าย ติดต่อสัมพันธ์และปรับตัวตามการเคลื่อนไหวของบริบทสังคมในบริเวณนั้น แต่การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนั้นมาจากการเข้ามาของกลุ่มมิชชันนารี ที่นำศาสนาและการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้กับผู้คนในพื้นที่ การขับเคลื่อนด้วยเงินทุนและความรู้จากองค์กรศาสนา ทำให้ชุมชนและผู้คนได้เข้าถึงความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งเป็นอุดมการณ์และแนวทางการพัฒนาแบบตะวันตกที่มักมองคนตะวันออกว่าเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในสถานะล้าหลัง หรือแม้แต่องค์กรและหน่วยงานของรัฐที่ตามหลังเข้ามาก็มีฐานคิดในลักษณะเดียวกัน คือ แนวคิดการพัฒนา
แนวคิดนี้ต้องการสร้างให้ผู้คนมีความสามารถในการจัดการและเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ รวมทั้งเท่าเทียมในสังคมในด้านต่าง ๆ แต่กระนั้น ความพยายามและการปฏิบัติของทั้งจากฝ่ายมิชชันนารีและหน่วยงานรัฐ กลับสร้างให้เกิดความแตกต่างหรือความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงผลประโยชน์และทรัพยากรเสียเอง สิ่งเหล่านี้ ได้ก่อให้เกิดความแตกต่างในชุมชน โดยสามารถแบ่งกลุ่มออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน คือ กลุ่มที่รวย กลุ่มกลางและกลุ่มยากจน ระดับความแตกต่างเหล่านี้ได้สร้างระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่วางอยู่บนฐานของความเป็นพี่น้องร่วมประวัติศาสตร์ แต่กลับแทนที่ด้วยการจัดความสัมพันธ์ที่ใช้อำนาจทางเศรษฐกิจมาเป็นเครื่องมือในการจัดกลุ่ม
จึงเกิดการกีดกันและดึงเข้าบุคคลที่ไม่ได้อยู่โครงข่ายที่เป็นประโยชน์ต่อตนหรือกลุ่ม ดังที่พบว่า จะมีกลุ่มที่ร่ำรวยจากการขายกาแฟ กลุ่มที่มีอาชีพทำทอผ้าขนแกะ และกลุ่มที่เป็นสายรับจ้างแรงงาน สิ่งเหล่านี้จึงสรุปได้ว่า ความสัมพันธ์เชิงอำนาจภายใต้ระบบทุนนิยมหรือระบบตลาด ด้วยเหตุนี้ ในงานศึกษาชิ้นนี้จึงวิพากษ์ว่า ภาพที่มองชุมชนปกาเกอะญอว่าเป็นสังคมแบบพอเพียงและตายตัวนั้นไม่ถูกต้อง หากแต่ในสังคมเต็มไปด้วยความทันสมัยและมีความคิด ความสัมพันธ์เชิงธุรกิจการตลาดที่คิดเห็นเป็นเงินตรา และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมทุนนิยม ที่ไม่อาจย้อนกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีกต่อไป (หน้า 120-122)

Map/Illustration

- ภาพที่ 1.2 อาณาเขตพื้นที่ศึกษา (หน้า 24)
- ภาพที่ 2.1 พื้นที่ “เด-ลอ” หรือบ้านเหล่าก่อนการอาศัยถาวร (หน้า 30 )
- ภาพที่ 3.1 การสร้างเครือข่ายของเส่โข่ (หน้า 78)
- ภาพที่ 4.1 ภาพถ่ายทางอากาศชุมชนห้วยห้อม (หน้า 84)
- ภาพที่ 4.2 แผนที่แสดงการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ (หน้า 85)
- ภาพที่ 4.3 ป้ายประชาสัมพันธ์งามชิมกาแฟห้วยห้อม (หน้า 101)
- ภาพที่ 4.4 ใบสมัครและจดหมายเชิญออกบูทสินค้า ณ Tokyo International Gift Show 2014 (หน้า 104)
- ภาพที่ 4.5 คณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนส่งมอบให้ลูกค้า (หน้า 104)

Text Analyst อัสรี มาหะมะ Date of Report 01 ต.ค. 2564
TAG ปกาเกอะญอ, กระบวนการเปลี่ยนผ่าน, การผลิตเชิงพาณิชย์การรวมเข้าและกีดกัน, บ้านห้วยห้อม, แม่ลาน้อย, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง