|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ความสงบสุข, สันติสุข, การบูรณาการ, การเผยแผ่, พระพุทธศาสนา, คริสต์ศาสนา, ภาคอีสาน |
Author |
สุรพันธ์ สุวรรณศรี |
Title |
การสร้างความสงบสุขในสังคม : การศึกษาแนวทางการบูรณาการกระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนาในภาคอีสาน |
Document Type |
Ph.D. Dissertation |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักวิทยาบริการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
489 |
Year |
2552 |
Source |
หลักสูตรปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาลักษณะการเผยแผ่ กระบวนการและแนวทางการบูรณาการกระบวนการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนาที่สอดคล้องกับการนำไปสู่การสร้างความสงบสุขในสังคมในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ลักษณะการเผยแผ่พระพุทธศาสนามีส่วนประกอบสำคัญคือ เนื้อหาที่สอนต้องก่อให้เกิดคารวะธรรม สามัคคีธรรมและปัญญาธรรม ที่เหมาะสมตามความรู้ความสามารถและปรับวิธีการเผยแผ่ให้เหมาะกับบุคคล ผู้เผยแผ่ต้องสร้างความสนใจและบรรยากาศแห่งการเผยแผ่ให้เกิดขึ้นแก่ตน โดยสอนให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาเป็นสำคัญ ส่วนลักษณะการเผยแผ่คริสต์ศาสนาเน้นเรื่องความรักและความเมตตาเป็นสำคัญโดยการประกาศพระวรสารพระกิตติคุณ คือ การประกาศคริสต์ธรรมตามบทบัญญัติของพระคัมภีร์ให้เป็นจริงในชีวิต โดยยึดเอาความเมตตา กรุณาและความบริสุทธิ์แห่งจิตวิญญาณเป็นหลักการสำคัญ
สำหรับกระบวนการเผยแผ่พุทธศาสนา พระสงฆ์ได้นำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมของสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนอุปนิสัยและระดับภูมิปัญญาของผู้ฟังแต่ละคน โดยการประยุกต์คำสอนและหลักความเชื่อบางประการของศาสนาเดิม ให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน ด้วยการสนทนาธรรม บรรยายธรรมและตอบปัญหาธรรมะ พร้อมทั้งนำเสนอหลักคำสอนที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาให้ไว้ประพฤติปฏิบัติในการดำเนินวิถีชีวิตประจำวัน ส่วนกระบวนการเผยแพร่คริสต์ศาสนา บาทหลวงและผู้นำทางศาสนาได้ใช้หลักมนุษย์สัมพันธ์ คือ การเข้าถึงบุคคลหรือชุมชนด้วยตัวเอง ใช้หลักสังคมสงเคราะห์ คือ การให้ที่นาทำกินแก่ชาวบ้านให้ทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และสอนหนังสือให้กับเด็ก เยาวชน รวมทั้งพยายามปรับตัวเองโดยนำภาษาพื้นบ้านไปใช้ในการเผยแผ่คำสอน ซึ่งการเผยแผ่ศาสนาทั้งพระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา เป็นการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของศาสนา เพื่อมุ่งเน้นให้ศาสนิกชนของทั้งสองศาสนานำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อความสงบสุขในชีวิตของตนเองและสังคม โดยคำนึงถึงความเกี่ยวโยงทางวัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อเป็นสำคัญ
|
|
Focus |
การวิจัยนี้ต้องการศึกษาความเป็นมาของลักษณะการเผยแผ่พุทธศาสนาและคริสต์ศาสนาในสภาพปัจจุบัน และปัญหาของกระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนาในภาคอีสาน เพื่อหาแนวทางการบูรณาการกระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนาที่สอดคล้องกับการนำไปสู่การสร้างความสงบสุข ความสมานสามัคคี และความเอื้ออาทรต่อกันของชาวพุทธและชาวคริสต์ในภาคอีสาน ตลอดถึงเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในทุกภาคส่วนทางด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและด้านการศึกษาในสถานการณ์สังคมปัจจุบัน
|
|
Theoretical Issues |
การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ทำการเก็บข้อมูลภาคสนาม โดยการสังเกต การสำรวจ การสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์เจาะลึก เพื่อศึกษาแนวทางการบูรณาการกระบวนการเผยแผ่ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ในภาคอีสาน เพื่อความสงบสุขในสังคม (น.256) โดยศึกษาเอกสารและแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1) เอกสารเกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎี ด้านต่าง ๆ ได้แก่ ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม ทฤษฎีการกระทำระหว่างกันด้วยสัญลักษณ์ ทฤษฎีการกระทำด้วยเหตุผล ทฤษฎีความกลมกลืนทางวัฒนธรรม ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม และทฤษฎีความขัดแย้ง 2) เอกสารเกี่ยวกับกระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา 3) เอกสารเกี่ยวกับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา 4) เอกสารเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา 5) เอกสารเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา 6) เอกสารเกี่ยวกับประเพณี พิธีกรรมและความเชื่อ 7) เอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อีสาน 8) งานวิจัยเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และ 9) งานวิจัยเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา (น.261)
ด้านพื้นที่ในการวิจัย ผู้วิจัยมีเกณฑ์ได้เลือกจากหมู่บ้านที่นับถือพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนาขนาดใหญ่ คือ มีขอบเขตทั้งตำบล และมีความเข้มแข็งในการเผยแผ่ มีความมั่นคงทางพิธีกรรม และเป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นมาโดดเดี่ยว มีอัตลักษณ์ จากชุมชนใกล้เคียงและสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองในด้านสังคม การเมือง และการศึกษา จำนวน 4 หมู่บ้าน คือ 1) บ้านโคกกลางตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด เนื่องจากมีความมั่นคงและมีความเข้มแข็งในการเผยแผ่และมีพิธีกรรมที่โดดเด่นติดกับบ้านดงขี้นาค และบ้านโนนมาลี 2) บ้านซ่งแย้ ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร เนื่องจากเป็นสำนักปฏิบัติธรรม มีการใช้หลักสันติวิธีและหลักสังคมสงเคราะห์ระหว่างชาวพุทธกับชาวคริสต์ และมีความเจริญรุ่งเรืองในด้านสังคม การเมือง และการศึกษา อีกทั้งยังมีประชาชนที่นับถือคริสต์ศาสนาเป็นจำนวนมาก และ 3) บ้านหัน ตำบลบ้านหัน อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากมีวัดเก่าแก่ ตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2430 มีประเพณี พิธีกรรมที่เข้มแข็ง มีพัฒนาการการนับถือศาสนาที่คนในชุมชนเกือบทั้งตำบลได้หันมานับถือศาสนาคริสต์ 4) บ้านดงขี้นาค ตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด เนื่องจากมีความเข้มแข็งในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ และมีความมั่นคงทางประเพณี พิธีกรรม ที่มีลักษณะการผสมกลมกลืนที่โดดเด่น (น.258-259) โดยมีประชาชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจากการเลือกแบบเจาะจง ได้แก่1) กลุ่มที่เป็นผู้รู้ (Key Informants) คือ กลุ่มผู้นำทางศาสนา กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มผู้นำท้องถิ่น และ 2) กลุ่มผู้ปฏิบัติหลัก (Casual Informants) (น.259) และนำข้อมูลที่ได้มาการวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า แล้วสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละประเด็นโดยใช้วิธีการอธิบายความในเชิงพรรณนาวิเคราะห์ (DescriptiveAnalysis)(น.264)
|
|
Ethnic Group in the Focus |
ชุมชนตำบลบ้านหัน คือ กลุ่มคนลาวที่อพยพมากิ่งอำเภอสีคิ้วซึ่งเป็นชาวลาวที่อพยพและถูกกวาดต้อนจากเวียงจันทน์และได้เดินทางต่อไปยังตำบลบ้านหัน และยังมีกลุ่มคนลาวจากอำเภอสูงเนินได้เดินทางเข้ามาตั้งหลักแหล่งที่หมู่บ้านนี้ (น.183) นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเชื้อชาติ จีน และยวน ซึ่งมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นของตนเอง มีการสื่อภาษาโดยการใช้ภาษาถิ่น คือภาษาไทย-ลาว ที่ต่างจากพื้นที่ใช้ภาษาไทย และไทย-โคราช การนับถือศาสนาประกอบพิธีกรรมตามบรรพบุรุษ (น.348)
บ้านโคกกลาง และบ้านดงขี้นาค ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มาแต่เดิม แต่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างถิ่นแล้วมาตั้งรกรากแสวงหาที่ทำกินใหม่ จากมิติของเวลาหมู่บ้านแรกที่เข้ามาจับจองพื้นที่นี้ คือ บ้านดงขี้นาค ซึ่งเคยนับถือคริสต์ศาสนามาก่อน สำหรับชาวบ้านโคกกลางนั้นเป็นผู้นับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่เดิม (น.339)
|
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชุมชนตำบลบ้านหัน อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนคราชสีมานั้นมีภาษาพูด คือ ภาษาลาวที่มีสำเนียงคล้ายกับคนลาวในจังหวัดชัยภูมิ ในขณะที่หมู่บ้านในตำบลใกล้เคียงกับตำบลบ้านหัน มีภาษาพูดเป็นภาษาไทย เช่น บ้านกุดน้อย พูดภาษาลาว บ้านนาหนอง พูดภาษาไทย บ้านวังกรวด พูดภาษาไทยโคราช เป็นต้น (น.183)
ชุมชนบ้านซ่งแย้ส่วนใหญ่เป็นคนอีสานจึงมีการสื่อสารด้วยภาษาท้องถิ่นของตน แม้บุคลากรของศาสนาบางท่านจะเป็นคนต่างถิ่นก็ยังได้ปรับตัวเข้ากับสภาพของท้องถิ่นโดยใช้ภาษาที่ชุมชนบ้านซ่งแย้ใช้กัน คือภาษาอีสาน (น.346)
ชุมชนบ้านโคกกลาง และชุมชนบ้านดงขี้นาค บาทหลวงที่เข้ามาเผยแผ่ในชุมชนนี้จะพูดภาษาอีสาน เพราะเป็นภาษาที่สื่อสารเข้าใจง่ายและเหมาะสมกับเด็กและเยาวชน (น.355)
|
|
Study Period (Data Collection) |
วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ 2550 ถึง วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 |
|
History of the Group and Community |
บ้านดงขี้นาค ตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นหมู่บ้านที่มีผู้นับถือคริสต์ศาสนา ซึ่งได้อพยพมาจากบ้านดงซ่งแย้ อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร เริ่มต้นแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2473 เมื่อคุณพ่อเดกีเอร์เจ้าอาวาสวัดซ่งแย้ เดินทางไปกับชาวบ้านประมาณ 10 คน จากบ้านซ่งแย้ไปทางทิศเหนือประมาณ 25 กิโลเมตร เพื่อดูสถานที่ตามคำเสนอของชาวบ้าน ซึ่งเรียกบริเวณนี้ว่าโคกขี้นาคเพราะมีแมลงเล็ก ๆ ชนิดหนึ่งชุกชุมมาก เรียกว่าแมงขี้นาคหรือแมงมาลี พื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าทึบ เหมาะสมแก่การเลี้ยงสัตว์ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งตรงกับวันฉลองอัตรเทวดาคาเบรียล คุณพ่อเดกีเอร์ ได้ถวายมิสซาที่นี่เป็นครั้งแรก โดยใช้เนินปลวกเป็นแท่นบูชาแล้วเดินทางกลับ ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2536 ชาวบ้านซ่งแย้ 4 ครอบครัว คือ ครอบครัวนายขิง ครอบครัวนายขุน ครอบครัวนายบัว และครอบครัวนายแสน ที่เคยติดตามคุณพ่อคราวนั้นได้อพยพไปตั้งรกรากอยู่ในที่บ้านดงขี้นาคแห่งนั้น ต่อมามีชาวบ้านซ่งแย้บางคนอพยพมาอยู่อีก 10 ครอบครัว และมีหมู่บ้านใกล้เคียงทยอยอพยพเข้ามาอยู่ในบริเวณนี้อีกเรื่อย ๆ (น.170)
บ้านโคกกลาง ตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นหมู่บ้านที่มีผู้นับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่ดั้งเดิม และได้เดินทางมาเพื่อแสวงหาที่ทำกิน เดิมทีหมู่บ้านมีพื้นที่เป็นภูเขา มีป่าไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เป็นแหล่งเพาะปลูกทำมาหากิน และเป็นแหล่งที่ชุมชนอื่นมาแสวงหาที่ทำมาหากิน ชุมชนที่เข้ามาตั้งรกรากเพื่อแสวงหาพื้นที่จับจองที่ดินเพื่อทำมาหากินกลุ่มแรก คือมาจากบ้านขี้แฮดหรือบ้านคำแฮด ตำบลนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นชาวผู้ไท การอพยพครั้งแรกมา 2-3 หลังคาเรือน โดยการนำของนายเต่ารูปเหลี่ยม ในปี พ.ศ. 2498 มีการจับจองที่ดินครั้งแรกจะตั้งรกรากบริเวณเชิงเขาผาน้ำย้อย และถอยลงมาเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณที่ตั้งปัจจุบัน และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านโคกกลาง พร้อมก่อตั้งวัดเพื่อเป็นที่ประกอบศาสนาและเป็นสถานที่สอนหนังสือ (น.171) ต่อมามีชาวบ้านภู บ้านแวง บ้านยาง บ้านฮ้องแซง ซึ่งเป็นชาวผู้ไทพิณ บ้านฮ้องแซงนี้มาจากเมืองพิณ หรือเมืองเซโปน และชาวผู้ไทวัน หรือ ผู้ไทวัง จากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ต่อมาปีพ.ศ. 2510 ได้มีชาวอำเภอกันทรลักษณ์ บ้านกอก บ้านเดื่อ บ้านหนองทามน้อย จังหวัดศรีสะเกษ ได้อพยพมาซื้อที่ทำมาหากิน และตั้งรกรากบ้านเรือนที่แห่งนี้ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่นับถือคริสต์ศาสนา และได้ก่อตั้งวัดคริสต์ขึ้นชื่อว่าวัดนักบุญอันนาเพื่อเป็นศูนย์กลางในการทำพิธีมิสซาของชาวไทยที่นับถือคริสต์ศาสนา (น.172)
บ้านหนองซ่งแย้ ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร แต่เดิมบริเวณหมู่บ้านนี้เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากมีหนองน้ำใหญ่อยู่ใกล้ ๆ ถึงสามแห่ง และยังมีลำห้วยใหญ่ไหลผ่าน ได้มีผู้พยายามมาตั้งรกรากเป็นหมู่บ้านหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากบริเวณนี้มีอาเพศหลายอย่างที่โบราณว่า “ผีดุ ผีแข็ง” ทำให้ผู้คนล้มป่วยเป็นจำนวนมากจึงต้องอพยพหนีไป แม้จะมีการอพยพหนีไปหลายครั้งหลายกลุ่ม แต่ยังมีการพยายามอพยพเข้ามาตั้งรกรากกันอยู่เรื่อย ๆ ในจำนวนคนที่พยายามอพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านนี้ คือครอบครัวของ “นายมหาธิราช” ซึ่งอพยพมาจากบ้านไผ่สร้างช้างและครอบครัวของ “นายอินทวงศ์” จากบ้านเกี้ยง ซึ่งสองครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่อพยพมาจากหมู่บ้านอื่น เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผีปอบ” นอกจากสองครอบครัวดังกล่าวแล้วยังมีครอบครัว “นายคำ วงศ์ษา” ครอบครัว “นายเสมียน อ้วน” และครอบครัว “นายอินทรโคตร” ก็ได้อพยพเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านนี้ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน บ้านซ่งแย่แต่เดิมเรียกว่า “หนองซ่งแย้” ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็น “บ้านซ่งแย้” และเรียกว่าบ้านซ่งแย้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ (น.176)
บ้านหัน ตำบลบ้านหัน อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนคราชสีมา ไม่ปรากฏหลักฐานประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน สันนิษฐานว่าอาจจะนิยมเรียกชื่อหมู่บ้านตามลักษณะธรรมชาติ หรือชื่อแหล่งธรรมชาติ ตามหมู่บ้านอื่นที่นิยมกัน ผู้อาวุโสในหมู่บ้านได้อธิบายว่า ตำบลนี้มีไม้ป่า คือ ไม้หันจำนวนมาก จึงเรียกชื่อตำบลตามสภาพของป่าไม้หันนั่นเอง กลุ่มคนที่อาศัยในชุมชนตำบลบ้านหัน ส่วนใหญ่เป็นคนลาวที่อพยพเข้ามา โดยสันนิษฐานว่ามีคนลาว 2 กลุ่ม ที่อพยพเข้าสู่ตำบลบ้านหัน คือ กลุ่มแรก ได้แก่ กลุ่มที่ถูกกวาดต้อนจากเวียงจันทน์เข้ามาในไทยในช่วงสงครามสมัยกรุงธนบุรี (น.182) กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มของท้าวแล ที่อพยพเข้าสู่จังหวัดชัยภูมิ ภายหลังปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แล้ว ชาวลาวที่อพยพเข้าสู่ตำบลบ้านหันนั้น คือ “กลุ่มคนลาวที่อพยพมากิ่งอำเภอสีคิ้วและได้เดินทางต่อไปยังตำบลต่าง ๆ รวมทั้งตำบลบ้านหัน และกลุ่มคนลาวจากอำเภอสูงเนินเข้าสู่ตำบลบ้านหัน ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในตำบลนั้น สืบเชื้อสายจากชาวลาวที่อพยพและถูกกวาดต้อนจากเวียงจันทน์นั่นเอง (น.183)
|
|
Demography |
เดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1984 จากการสำรวจสำมะโนครัวคริสตังบ้านหนองซ่งแย้พบว่ามีคริสตชนทั้งหมด 1,403 คน (น.325) |
|
Economy |
ชุมชนบ้านโคกกลาง บ้านดงขี้นาค และบ้านซ่งแย้ มีอาชีพหลัก คือ การเกษตรกรรม การลงทุนทำการเกษตรแต่เดิมนั้น ได้อาศัยแรงงานคนในครอบครัว แรงงานเพื่อนบ้านในลักษณะที่เรียกว่า “ลงแขก” และเลี้ยงสัตว์เป็นส่วนใหญ่ การลงทุนที่ใช้เงินมีเป็นส่วนน้อย และการผลิตทำกันน้อยเพียงพอต่อการบริโภค ในระยะหลังสภาพการณ์ได้เปลี่ยนแปลง วิธีการทำไร่นาแบบเก่าที่เคยทำกันมาสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ได้เปลี่ยนเป็นเกษตรแผนใหม่มีการจัดแรงงานทำไร่นาแทนแรงงานในครอบครัว และใช้เครื่องจักรแทนแรงงานสัตว์ เพื่อช่วยในการเพิ่มผลผลิต การลงทุนจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง เกิดการกู้ยืมเงินขึ้น ขนาดของหนี้สินจะแตกต่างกันไปตามสภาพของผู้ลงทุน แหล่งกู้เงินของชาวบ้านได้จาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และผู้มีฐานะในหมู่บ้าน ทางอำเภอมีโครงการให้ความช่วยเหลือ โดยการปรับปรุงแหล่งน้ำขึ้นภายในตำบล เพื่อให้มีน้ำใช้เพียงพอ และจัดให้มีโครงการเพื่อส่งเสริมรายได้ให้กับครอบครัว เช่น โครงการท่อผ้าฝ้าย โครงการทอผ้าไหม โครงการทอกกและทอเสื่อผือ (น.387-388) สำหรับชุมชนบ้านซ่งแย้ทางอำเภอได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ โครงการเกษตรอินทรีย์ โครงการปุ๋ยชีวภาพอัดเม็ด โครงการออมทรัพย์เพื่อการผลิต แต่โครงการดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก เพราะปัญหาการรวมกลุ่มของชาวบ้านและปัญหาการรับซื้อของตลาด ในส่วนของชุมชนคริสต์บ้านซ่งแย้นั้น มีสภาพทางเศรษฐกิจไม่แตกต่างจากชุมชนพุทธ ที่ประสบปัญหาจากผลผลิต และได้รับความช่วยเหลือช่วยเหลือเช่นเดียวกันกับชุมชนพุทธ การเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวอีกลักษณะหนึ่งของชุมชนพุทธและคริสต์ คือ การออกจากบ้านไปหางานทำ หลังเสร็จจากฤดูการทำนา ซึ่งทั้งไปหางานทำที่กรุงเทพฯ เขตปริมณฑล และต่างประเทศ (อ้าง บาทหลวงบุญเลิศ พรหมเสนา. 2550 : สัมภาษณ์) (น.431)
ชุมชนตำบลบ้านหันมีอาชีพหลักที่สำคัญ คือ เกษตรกรรม ผลผลิตพอยังชีพ มีข้าวบริโภคพอเพียงในแต่ละปีเท่านั้น ทำให้ฐานะของชาวบ้านส่วนใหญ่ค่อนข้างยากจน (น.349) ในตำบลมีการจัดตั้งกลุ่มส่งเสริมเศรษฐกิจขึ้นในหมู่บ้าน คือ สหกรณ์ร้านค้า ซึ่งตั้งอยู่ที่ หมู่ 1 บ้านหัน และหมู่ 4 บ้านหันสามัคคี แต่ยังไม่เป็นสหกรณ์เต็มรูปแบบ เป็นเพียงศูนย์สาธิตการค้า โดยมีคณะกรรมการรับผิดชอบเข้าหุ้นเป็นสมาชิกทั้งที่เป็นชาวพุทธและชาวคริสต์ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าที่เปิดขายโดยชาวพุทธและชาวคริสต์ในหมู่ที่ 8 บ้านหันเมืองตะกั่ว และในหมู่บ้านอื่น เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวอีกด้วย การเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวอีกลักษณะหนึ่งของชุมชนพุทธและคริสต์ ก็คือผลิตภัณฑ์ หมู่ที่ 1 บ้านหัน ได้ตั้งกลุ่มทอผ้าบ้านหัน มีกิจกรรมเกี่ยวกับการทอผ้าต่าง ๆ เช่น ผ้าซิ่นยวน ผ้ามัดหมี่ ผ้าขาวม้า ผ้าฝ้ายลายสายฝน กลุ่มแปรรูปอาหารมีกิจกรรมผลิตน้ำพริกต่าง ๆ เพื่อจำหน่าย เช่น น้ำพริกปลาดุก น้ำพริกนรก น้ำพริกสวรรค์ น้ำพริกแมงดา น้ำพริกตาแดง (อ้าง สมพิศ ศรีเมือง. 2551 : สัมภาษณ์) ผลิตภัณฑ์ หมู่ที่ 2 บ้านหันโพธิ์ทอง ได้ตั้งกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ กลุ่มเย็บผ้าห่ม ผลิตภัณฑ์หมู่ที่ 3 บ้านศรีษะกระบือ ได้ตั้งกลุ่ม ทอผ้าบ้านศรีษะกระบือ ผลิตภัณฑ์หมู่ที่ 4 บ้านหันสามัคคี ได้ตั้งกลุ่มทอผ้าย้อมสีธรรมชาติ ทำกิจกรรมเกี่ยวกับการทอผ้าเพื่อสืบสานวัฒนธรรมของชุมชนเป็นผ้าทอมือภูมิปัญญาท้องถิ่น คิดค้นจากสีธรรมชาติของดอกไม้ เช่น สีเหลืองจากดอกดาวเรืองเป็นแม่สี สีน้ำเงินจากดอกอัญชันเป็นแม่สี โดยย้อมเป็นสีลายสามตะกอ สี่ตะกอ ลายลูกแก้ว ลายขิด ลายลูกหวาย ผ้าขาวม้า ผ้าสไบ ผ้าซิ่นยวน (อ้าง บุญเอื้อ ติจันทึก. 2551 : สัมภาษณ์) ผลิตภัณฑ์หมู่ที่ 5บ้านหันยางเอน ได้ตั้งกลุ่มทอเสื่อกกแปรรูป กลุ่มทอพรมเช็ดเท้า ผลิตภัณฑ์หมู่ที่ 6 บ้านหนองโอง ได้ตั้งกลุ่มทอผ้าซิ่นยวน กลุ่มตัดเย็บกระเป๋า ผลิตภัณฑ์หมู่ที่ 7 บ้านนาหนอง ได้ตั้งกลุ่มเพาะเห็ดฝางเพื่อจำหน่าย ผลิตภัณฑ์หมู่ที่ 8 บ้านหันเมืองตะกั่ว ได้ตั้งกลุ่มขนมจีนชุมชนบ้านหันเมืองตะกั่ว กลุ่มแม่บ้านงานประดิษฐ์ กลุ่มแม่บ้านอาหารแปรรูป (น.350)
|
|
Social Organization |
บ้านโคกกลางเป็นหมู่บ้านที่มีคนนับถือทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ สาเหตุเนื่องจากในอดีตมีผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์จำนวนมากจากจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดอำนาจเจริญ ได้อพยพมาหาซื้อที่ทำมาหากินและได้สร้างวัดนักบุญอันนาขึ้นเพื่อเป็นสถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และสาเหตุอีกประการหนึ่งคือลูกหลานที่นับถือศาสนาคริสต์มาแต่งงานกับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ บ้านโคกกลางที่นับถือคริสต์ศาสนาคือ บ้านโคกกลางหมู่ 1 (น.315)
บ้านดงขี้นาค มีการแบ่งเขตการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2534 เป็น 2 หมู่บ้าน คือ บ้านดงขี้นาคและบ้านโนนมาลี โดยทั้ง 2หมู่บ้านอยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกันเพียงแต่ใช้ถนนกลางหมู่บ้านเป็นเส้นแบ่งแยกหมู่บ้าน ประวัติความเป็นมาและการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ จึงมีความเหมือนกัน (อ้าง สรรเพชร แพงออ่น. 2551 : สัมภาษณ์) (น.322)
ในตำบลบ้านหัน ชุมชนคาทอลิกมีองค์ประกอบขั้นพื้นฐานเช่นเดียวกันกับชุมชนคาทอลิกอื่น ๆ คือ ในชุมชนประกอบด้วย วัด โรงเรียน ซึ่งมีวัดนักบุญยอแซฟ จะเป็นศูนย์กลางของชุมชน มีบาทหลวงเป็นผู้ชี้นำทางชีวิต และมีพิธีกรรมมิสซา เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของสัตบุรุษคาทอลิก ภายในอาณาจักรของวัดจะสร้างที่พักของบาทหลวง ซิสเตอร์ และโรงเรียน คือ เพื่อให้การศึกษาแก่บุตรหลาน โดยให้การศึกษาทางศาสนาและวิชาสามัญทั่วไป ซึ่งก่อให้เกิด “จิตสำนึกคาทอลิก” (Religious Consciousness) ที่ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง ดังนั้นโรงเรียนจึงเป็นเครื่องมืออย่างดีต่อการสืบทอดทางวัฒนธรรม ความเชื่อมีผลทำให้ชุมชนคาทอลิกมีการรวมตัวกันอย่างเหนี่ยวแน่น (น.332)
|
|
Political Organization |
ชุมชนบ้านหัน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องราวต่าง ๆ และเป็นผู้นำในการพัฒนาท้องถิ่น เป็นตัวแทนของชาวบ้านในการติดต่อประสานงานกับทางราชการ จากเหตุการณ์ทางการเมืองในตำบลบ้านหันในช่วงของกรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ. 2483 -2485 คริสตังมีผู้นำเป็นผู้ใหญ่บ้าน คือท้าวไชยกุมาร พวกจันทึก ที่ถูกจับพร้อมกับบาทหลวงและสัตบุรุษ ทำให้นายประสิทธิ์ ลาจันทึก ซึ่งเป็นคริสตังเพียงคนเดียวได้ถูกเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านแทน ถึงแม้คริสตังในชุมชนจะเป็นคนกลุ่มน้อยแต่ก็ให้ความร่วมมือทางการเมืองกับชุมชนกับชาวพุทธด้วยดีมาตลอด (น.349)
ชุมชนบ้านโคกกลาง และบ้านดงขี้นาค เมื่อมีการเลือกตั้งผู้นำ คือ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ชาวบ้านส่วนใหญ่จะไม่มีการเลือกผู้นำโดยการแบ่งแยกศาสนา ทุกคนมีสิทธิ์เลือกใครก็ได้ตามความพึงพอใจของตนเอง หรือจากผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ เช่น การจัดงานในหมู่บ้านบางครั้งจะมีการเชิญนักการเมืองในท้องถิ่นเป็นประธานในการจัดงาน เพื่อให้งานสำเร็จเรียบร้อยด้วยดี (น.387)
ชุมชนบ้านซ่งแย้ เนื่องจากในชุมชนมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นชาวคริสต์จึงมีความพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นกับชาวพุทธและชาวคริสต์ โดยนำผู้นำทางการเมืองในหมู่บ้านซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ทั้งหมดให้พาประชาชนทำกิจกรรมกับชาวพุทธ (น.429) สำหรับความสัมพันธ์ทางการเมืองในชุมชนหากมีการเลือกตั้งผู้นำ คือ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเลือกผู้นำโดยไม่มีการแบ่งแยกศาสนา คือ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกใครก็ได้ตามความพึงพอใจของตนเอง หรือจากผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับเช่นเดียวกับชุมชนบ้านโคกกลาง และบ้านดงขี้นาค (น.430)
|
|
Belief System |
ชาวบ้านโคกกลางและบ้านดงขี้นาคมีความเชื่อแบบดั้งเดิมอยู่มาก เช่น ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ ผีตามธรรมชาติตามเทือกเขาป่าไม้ และวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในหมู่บ้าน สำหรับความเชื่อตามแนวทางพุทธศาสนานั้น มีความเชื่อในการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และแนวทางการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา และการทำบุญประเพณีต่าง ๆ ถือว่าได้บุญและได้ปฏิบัติตามฮีตสิบสองทุกปี (อ้าง บุญทอม ทิวพล. 2551 : สัมภาษณ์) (น.367)
ความเชื่อของชาวพุทธที่มีต่อพระพุทธศาสนาบ้านซ่งแย้ ชาวบ้านซ่งแย้มีลักษณะเป็นการนับถือศาสนาแบบคนอีสานทั่วไป คือ การเลื่อมใสศรัทธาต่อองค์รวมของศาสนา คือ ศรัทธาต่อหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ศรัทธาต่อพิธีกรรม ศรัทธาต่อผู้ประกอบพิธีกรรม คือ พระสงฆ์ รวมถึง คะจ้ำ คนทรง หมอผี หมอสูตร หมอธรรม ศรัทธาต่อสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น โบสถ์ วัด วิหาร พระพุทธรูป เจดีย์ จะมีการกราบไหว้บูชาขอให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวง (น.394)
ความเชื่อของชาวพุทธบ้านหัน เนื่องจากบ้านหันเป็นสังคมชนบทที่มีพระภิกษุสงฆ์เป็นศูนย์กลางจิตใจของชาวบ้าน รวมทั้งเป็นผู้ถ่ายทอดและรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้สืบทอดเป็นมรดกแก่คนรุ่นหลัง ด้วยความศรัทธาดังกล่าวชาวพุทธบ้านหันจึงเชื่อว่าพระสงฆ์มีความสำคัญในการพัฒนาสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (น.346)
สำหรับความเชื่อของศาสนิกชนผู้นับถือคริสต์ศาสนา บ้านโคกกลาง บ้านดงขี้นาค และบ้านหัน เชื่อว่า ศาสนาคริสต์แท้ที่จริงจะได้รับการเน้นหนักให้มีความรักอันเสียสละอยู่เสมอ และยังมีความเชื่อที่มีความคิดเหมือนกันกับผู้ที่นับถือพุทธศาสนา คือ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องโชคลาง ความเชื่อเกี่ยวกับความฝัน ความเชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสวัสดิภาพ เช่นเดียวกัน
|
|
Education and Socialization |
กระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาพระภิกษุสงฆ์ได้ใช้วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยการเข้าหาผู้นำทางศาสนาคือ บาทหลวง ผู้นำทางการปกครอง ได้แก่ ผู้นำในท้องถิ่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกอบต. และผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ โดยการเปลี่ยนแปลงหรือประยุกต์หลักธรรมให้สอดคล้องกับศาสนาเดิมและไม่ขัดกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น มีการช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมในการพัฒนาจิตใจ ด้วยการเข้าไปเยี่ยมเยือนในตอนเช้า และเข้าไปสนทนาธรรมในตอนเย็น การเผยแผ่ศาสนานั้นยังเน้นที่กลุ่มของผู้สูงอายุเป็นหลัก พระสงฆ์ส่วนใหญ่ยังเผยแผ่แบบเดิมซึ่งทำให้ไม่เป็นที่สนใจของเยาวชนเท่าที่ควร (น.363)
สำหรับการเผยแผ่คริสต์ศาสนานั้น ใช้วิธีการเข้าเยี่ยมบ้านของชาวบ้าน เข้าถึงบุคคล หรือชุมชนด้วยตนเอง เพื่อสร้างความสัมพันธ์โดยการสนใจในตัวบุคคลอื่น การยิ้มแย้มแจ่มใส การพยายามจำชื่อบุคคลต่าง ๆ การเป็นผู้ฟังที่ดี พูดเฉพาะในเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ รู้จักยกย่องบุคคลอื่น ใช้วิธีการสงเคราะห์ที่ทำกิน ให้ทุนการศึกษา สอนหนังสือให้กับเด็กและเยาวชน พยายามหาสมาชิกใหม่ที่เป็นผู้นำชุมชน นำภาษาพื้นบ้านไปใช้ในการเผยแผ่เพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมของท้องถิ่น และที่สำคัญจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนในชุมชนได้อย่างมีความสุข (น.364)
|
|
Social Cultural and Identity Change |
บ้านโคกกลาง และบ้านดงขี้นาค เป็นคนท้องถิ่นเดียวกันมีความเป็นเครือญาติกันมาก่อนจึงมีการเอื้ออาทร และมีการยืดหยุ่นในการทำกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน (น.385)
ชุมชนซ่งแย้แต่เดิมอยู่กันอย่างเรียบง่ายในกรอบของประเพณีที่มีจารีตและขนบธรรมเนียมท้องถิ่นคอยควบคุมให้ผู้คนอยู่กันอย่างสงบสุข ปัจจุบันเมื่อคนรุ่นหนุ่มสาวได้ไปแต่งงานกับคนต่างศาสนา ทำให้สภาพครอบครัวขาดความสมบูรณ์ สมาชิกในครอบครัวไม่มีความอบอุ่น ในขณะที่คนรุ่นใหม่ก็หมดความเชื่อถือในความรู้ความสามารถต่อการเป็นผู้นำของคนรุ่นก่อนเพราะได้เล่าเรียนความรู้ใหม่ ๆ จากในเมือง มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ พร้อมกันนั้นก็รับเอาวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างเข้ามา จึงทำให้หมดความเลื่อมใสและเชื่อถือในจารีตและประเพณีของท้องถิ่นที่เคยมีบทบาทในการสร้างและควบคุมความสัมพันธ์ทางชุมชน (อ้าง แสน พันเลิศ. 2551 : สัมภาษณ์) (น.399)
ชุมชนบ้านหัน ส่วนใหญ่ศาสนิกชนผู้นับถือพุทธศาสนาจะปรับตัวเข้ากับศาสนิกชนผู้นับถือคริสต์ศาสนาทั้งในด้านประเพณีและพิธีกรรม โดยให้เกียรติศาสนิกชนชาวคริสต์ศาสนาก่อนเสมอ ในพิธีการแต่งงานนั้นหากฝ่ายชายนับถือพุทธศาสนาแต่งงานกับฝ่ายหญิงที่นับถือคริสต์ศาสนาก็จะยอมร่วมนับถือคริสต์ศาสนาด้วยเสมอ ผู้ที่เปลี่ยนจากคริสต์ศาสนามานับถือพระพุทธศาสนาจะมีเพียงส่วนน้อย เนื่องจากในอดีตคริสต์ศาสนานั้นไม่ส่งเสริมและไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการแต่งงานข้ามศาสนา เพราะจะเป็นเหตุให้ศาสนาเสื่อมลง บาทหลวงจะไม่ทำพิธีให้ ถือว่าเป็นการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องสมบูรณ์ แต่หลังจากการประชุมสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2508 ได้อนุญาตให้มีการแต่งงานต่างศาสนาได้ ทั้งสองฝ่ายสามารถเลือกนับถือศาสนาเดิมได้ และลูกมีสิทธิ์เลือกนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาคริสต์ได้ (น.451)
|
|
Critic Issues |
ในการทำหน้าที่ของพระสงฆ์และบาทหลวงในพื้นที่ที่ทำการศึกษาในปัจจุบัน ยังคงพบว่าต่างทำหน้าที่ในส่วนความรับผิดชอบของตน ความปรองดอง ความผสมกลมกลืน ผูกสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพราะประชาชนที่อยู่ในเขตความรับผิดชอบในการอบรมสั่งสอนของทั้งสองฝ่ายเป็นประชาชนที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน โดยที่ผู้นำของศาสนาทั้งสองต้องมีความรู้ ความสามารถ สติปัญญาที่จะนำและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยกระบวนการทางจิตวิทยาในแนวของมนุษยสัมพันธ์ แนวสังคมสงเคราะห์และแนวจิตวิทยาการสอน เป็นแนวทางในการเผยแผ่ศาสนาในพื้นที่ของตนเอง โดยเฉพาะการสร้างความสัมพันธ์กับผู้นำสำคัญในชุมชน ปราชญ์ชุมชน พ่อค้าคหบดี และประชาชนชาวบ้าน รวมถึงผู้นำและบุคลากรในหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในพื้นที่ เช่น สถานีตำรวจ สถานีอนามัยและโรงเรียน ด้วยมิตรภาพ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มีข้อตกลงร่วมกันเพื่อความมีสันติสุขแห่งมวลชน (น.483)
ในการเชื่อมสัมพันธ์กับชุมชนและส่วนงานอื่น ๆ ผู้นำศาสนาคริสต์จะปฏิบัติได้ดีและสะดวกกว่าผู้นำศาสนาพุทธ เพราะเหตุว่าผู้นำศาสนาคริสต์สามารถเข้าถึงบุคคลได้มากกว่าพระสงฆ์ เพราะด้วยความเป็นปุถุชน ในขณะที่พระสงฆ์มีพระวินัยปฏิบัติที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษมากมาย จึงทำได้เพียงในขอบจำกัดของพระวินัยเท่านั้น (น.484)
การบูรณาการในการสร้างความสัมพันธ์และการปรับปรนวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม ทั้งชาวพุทธและชาวคริสต์ต่างก็มีพื้นฐานคล้ายคลึงกัน เนื่องจากเป็นคนพื้นเพอีสานที่มีชีวิตมีความเชื่อและแนวปฏิบัติด้านความเชื่อเดิมก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ (น.486) ยกเว้นความเชื่อเรื่อง ผี วิญญาณ คาถาอาคม เวทย์มนต์ การสวดมนต์ และการนับถือกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะชาวคริสต์เชื่อว่า ไม่มีผี วิญญาณ และเวทย์มนต์ที่จะเสกเป่าบันดาลสิ่งใดได้ แม้จะมีบัญญัติทางศาสนาจะมีกฎเกณฑ์วางไว้ก็ตาม แต่ด้วยความอะลุ้มอล่วยผ่อนปรน จึงทำให้ใช้ชีวิตในสังคมเดียวกันได้อย่างสงบ (น.487)
|
|
Other Issues |
งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความสงบสุขในสังคม ด้วยการบูรณาการการเผยแผ่ศาสนา การส่งเสริมอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนาเอกลักษณ์ ขนบธรรมเนียมประเพณี คติความเชื่อทางศาสนาที่สามารถนำหลักธรรมมาบูรณาการเพื่อให้คนในชุมชน มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบสุข ปราศจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน อยู่ในสังคมด้วยความสามัคคี ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดเป็นประโยชน์แก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนตามหมู่บ้านในชนบทภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย อีกทั้งยังสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของศาสนิกชนผู้นับถือพระพุทธศาสนากับศาสนาอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการปรับตัวรวมถึงการระงับความขัดแย้งในกลุ่มศาสนิกชนที่นับถือต่างศาสนาให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข (น.489)
|
|
Google Map |
https://www.google.com/maps?client=firefox-b-d&q=%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2+%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%81+%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%94&um=1&ie=UTF-8&sa=X&ved=0ahUKEwiq2tLTt8LhAhW0KqYKHQ8xBk8Q_AUIDigB |
|
Map/Illustration |
แผนที่
- แผนที่จังหวัดร้อยเอ็ด (น.173)
- แผนที่จังหวัดยโสธร (น.180)
- แผนที่จังหวัดนครราชสีมา (น.185)
ภาพ
- โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ (น.325)
- โบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุด (น.328)
- ผู้วิจัยกับโบสถ์วัดนักบุญยอแซฟบ้านหัน (น.333)
- ชาวบ้านรวมกลุ่มกันทำบุญกุ้มข้าวใหญ่ (น.374)
- ชาวบ้านกำลังแห่ในงานบุญผะเหวด (น.375)
- ชาวบ้านกำลังร่วมในพิธีบวชเข้าพรรษา (น.377)
- ชาวคริสต์ประกอบพิธีเตรียมรับเสด็จคริสต์เจ้า (น.380)
- การแต่งงานแบบชาวคริสต์ (น.383)
- งานฉลองของวัดคริสต์บ้านซ่งแย้ (น.409)
- งานฉลองโบสถ์การแสดงวิถีชีวิตของชาวคริสต์ (น.421)
- พิธีกรรมการบวชของชาวคริสต์บ้านซ่งแย้ (น.424)
- พิธีแต่งงานของชาวคริสต์บ้านซ่งแย้ (น.424)
- นักเรียนโรงเรียนบ้านซ่งแย้ทิพยา กำลังร่วมกันแสดง (น.433)
- ประชาชนกำลังร่วมพิธีทำบุญเบิกบ้าน (น.442)
- นักเรียนโรงเรียนเซนโยเซฟกำลังร่วมพิธีแห่เทียนเข้าพรรษา (น.445)
- ประชาชนทั้งชาวพุทธและชาวคริสต์กำลังร่วมงานทำบุญเบิกบ้าน (น.452)
- ชาวบ้านทั้งชาวพุทธและชาวคริสต์กำลังร่วมงานประเพณีเข้าพรรษา (น.455) |
|
|