|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชาวจีนฮกจิว, อำเภอนาบอน, นครศรีธรรมราช, ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, ชาวจีนในภาคใต้ |
Author |
ปิยชาติ สึงตี, สิรีธร ถาวรวงศา |
Title |
ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาวจีนฮกจิวในภาคใต้ของประเทศไทย: กรณีศึกษาชุมชนชาวจีนฮกจิว อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
จีน จีนแต้จิ๋ว จีนฮกเกี้ยน จีนไหหลำ ไหหนำ จีนกวางตุ้ง จีนแคะ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
177 |
Year |
2553 |
Source |
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม |
Abstract |
งานวิจัยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาวจีนฮกจิวในภาคใต้ของประเทศไทย กรณีศึกษาชุมชนชาวจีนฮกจิว อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการศึกษาผ่านทางเอกสารที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับการเก็บข้อมูลบอกเล่าจากผู้สูงอายุในพื้นที่ ที่ถูกถ่ายทอดมาจากของบรรพบุรุษมายังลูกหลาน โดยศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การอพยพของชาวจีนฮกจิวที่มายังอำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่ชาวจีนฮกจิวอพยพมายังประเทศไทย ในสมัยที่เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดิน พ.ศ. 2473 โดยในช่วงแรก ชาวจีนฮกจิวที่อพยพมามีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หรือนโยบายชาตินิยมสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ล้วนส่งผลต่อการตั้งถิ่นฐานของชาวจีนฮกจิว นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังต้องการศึกษามิติทางวัฒนธรรมในการก่อตั้งระบบวิถีชุมชน หรือการมีธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างจากชาวจีนกลุ่มอื่น เช่น ด้านอาหาร พิธีกรรม เป็นต้น |
|
Focus |
งานวิจัยชิ้นนี้ต้องการศึกษาประวัติศาสตร์การอพยพของชาวจีนฮกจิวที่เข้ามาตั้งรกรากในอำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช ตลอดจนวิถีชุมชนและมิติทางวัฒนธรรมของชาวจีนฮกจิวในอดีต และที่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับการเก็บข้อมูลภาคสนาม ตามวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างชาวจีนฮกจิว แบ่งออกได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 60 – 70 ปีขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 40-60 ปี และกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ภายใต้การตั้งคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การอพยพของชาวจีนฮกจิวมาจากเมืองซีเทียวัน รัฐเประ ประเทศมาเลเซียมายังอำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเทศไทย ตลอดจนวิถีทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งตั้งรกรากในพื้นที่แห่งนี้ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวจีนฮกจิวที่มีถิ่นฐานมาจากเมืองฝูโจว มณฑลฝูเจียน สาธารณรัฐประชาชนจีน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาจีนสำเนียงฮกจิว (ตารางเทียบภาษาจีนกลางกับจีนฮกจิว หน้า 90-97) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชาวจีนฮกจิวที่อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นชาวจีนฮกจิวที่มีถิ่นฐานมาจากเมืองฝูโจว มณฑลฝูเจียน สาธารณรัฐประชาชนจีน เนื่องด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเทือกเขาสูงไม่สามารถสร้างพื้นที่ทำกินได้ ก่อให้เกิดการปล้นสะดมของกลุ่มโจรสลัดประกอบกับปัญหาทางการเมืองในประเทศ จึงทำให้ชาวจีนกลุ่มนี้อพยพมาทางทะเลจีนใต้เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งเมืองซีเทียวัน รัฐเประ ประเทศมาเลเซียก็เป็นจุดหมายหนึ่งที่ชาวจีนฮกจิว อพยพมาเป็นแรงงานในไร่พริกไทย ซึ่งต่อมาอังกฤษได้นำต้นยางพาราซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจเข้ามาปลูกในเมืองดังกล่าวเพื่อแสวงหาประโยชน์ ภายใต้โครงการบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกใหม่ ของสำนักข้าหลวงอังกฤษ จนเมื่อ พ.ศ. 2456 ชาวจีนฮกจิวได้ขาดแคลนที่ดินทำกินจากกฎหมายคุ้มครองและสงวนที่ดินชาวมลายู จึงได้อพยพออกมาหาโอกาสที่ดีขึ้น โดยอพยพมายังประเทศไทยผ่านเส้นทางการคมนาคมทางรถไฟที่สะดวกขึ้น จากอำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา ต่อรถไฟชุมทางสถานีทุ่งสง และเดินเท้ามายังอำเภอนาบอน หรือเดินทางมาทางเรือจากเกาะปีนัง ต่อมายังท่าเรือกันตัง จังหวัดตรัง และต่อรถไฟชุมทางทุ่งสง ประกอบกับการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติมีการจับจองที่ดินทำกินคนละ 50 ไร่ โดยมีชาวจีนฮกจิวอพยพมาในช่วงแรกจำนวน 10 คน (หน้า 61)
แม้ว่าช่วงแรกชาวจีนฮกจิวที่เข้ามายังอำเภอนาบอน จะมีความเป็นอยู่ที่ลำบาก เนื่องด้วยเป็นพื้นที่รกชัฎ และต้องใช้แรงงานถางทางเพื่อทำการเพาะปลูกต้นยางพารา ตลอดจนต้องรอจนกว่าต้นจะสามารถกรีดน้ำยางได้ราว 5-6 ปี วิถีชีวิตของชาวจีนฮกจิวยังต้องดำเนินไปโดยการปลูกผัก เลี้ยงหมู กินข้าวไร่ แม้ว่าต่อมาชาวจีนฮกจิวกลุ่มนี้จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการกรีดยางพารา และนำไปแปรรูปเพื่อส่งขาย ชาวจีนฮกจิวยังต้องเผชิญกับภาวะสงครามโลก และการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการตั้งถิ่นฐาน แม้ว่าต่อมาเบื้องต้นการปกครองของสยามประเทศเอื้อต่อการแสงหาโอกาสทำกินของชาวจีนฮกจิว จนสามารถมีฐานะที่ดีขึ้นได้ และเกิดการขยายตัวของครอบครัวไปยังพื้นที่ใกล้เคียงผ่านการแต่งงาน ชาวจีนฮกจิวจึงอาศัยในบริเวณอื่นๆ เช่นในจังหวัดตรัง |
|
Economy |
ชาวจีนฮกจิวในอำเภอนาบอน เมื่อครั้งอพยพมายังประเทศไทยได้นำเมล็ดต้นยางพารา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ จากเมืองซีเทียวัน รัฐเประ ประเทศมาเลเซีย มาเพาะปลูก และเมื่อต้นยางพารามีน้ำยางแล้วจึงเริ่มกรีดนำยางที่ต้นตั้งแต่ช่วงเช้า มาเก็บน้ำยางเพื่อนำไปแปรรูปขายส่งตลาด |
|
Social Organization |
การแต่งงาน – ชายชาวจีนฮกจิวเมื่อครั้งอพยพมายังอำเภอนาบอน จะเริ่มแต่งงานเมื่อสร้างตัวได้ คือหลังช่วงที่สามารถขายยางพาราแปรรูปส่งตลาดได้แล้ว โดยมักจะแต่งงานกับชาวจีนสำเนียงเดียวกันจากชุมชนอื่นๆ เช่น ในจังหวัดตรัง เพื่อสร้างเครือข่ายชาวจีน และเป็นเส้นทางในการเดินทางค้าขาย โดยมีพ่อสื่อแม่สื่อเป็นผู้แนะนำให้รู้จักกัน
ระบบชุมชน – ในระยะแรกของการตั้งถิ่นฐานที่อำเภอนาบอน ไม่มีผู้นำชุมชน จนเมื่อมีการขยายตัวของชุมชนมากขึ้นความขัดแย้งจึงเริ่มก่อตัว อีกทั้งการติดต่อกับทางการก็ไม่สามารถสื่อสารระหว่างกันได้จึงเริ่มมีคนกลางในการช่วยประสาน และพัฒนาเรื่อยมาในรูปแบบสมาคมที่มีการบริหารจัดการโดยคณะกรรมการ การรับสมัครสมาชิก ระเบียบและข้อตกลงร่วมกัน โดยถือเป็นพื้นที่กลางของชุมชน ในการพบปะพูดคุย และยังเป็นห้องสมุดจุงซัน หรือจุงซันเป้าเซ่อ โดยสมาคมจุงซันได้สร้างสาธารณกุศลอย่างมากแก่ชาวจีนฮกจิวในอำเภอนาบอน แต่ในปัจจุบันสมาคมจุงซันได้ลดบทบาทลง โดยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมฟุโจวแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวจีนฮกจิวทั้งในและต่างประเทศ |
|
Political Organization |
ในช่วงแรกนโยบายสิทธิถือครองที่ดินของชาวต่างชาติในสยามประเทศ เป็นไปอย่างเสรี เนื่องจากรูปแบบการปกครองที่ไม่เน้นการพัฒนาพื้นที่ในชนบท จึงทำให้เกิดพื้นที่ที่ไม่มีเจ้าของ และรกร้าง โดยเฉพาะภาคใต้ของประเทศ จึงทำให้เกิดโอกาสในการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าของชาวจีนฮกจิวที่เริ่มเข้ามาจับจองที่ดินเป็นจำนวนมาก
ต่อมาชาวจีนฮกจิวในอำเภอนาบอนประสบปัญหาภาวะขาดที่ดินทำกินในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475สืบเนื่องมาถึงสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่รัฐมีนโยบายส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนชาวไทย โดยพัฒนาที่ดินเป็นเชิงเกษตรกรรม ผ่านการอ้างสิทธิพื้นที่ป่าสงวนบริเวณรอยต่ออำเภอนาบอนและอำเภอช้างกลาง จึงส่งผลต่อการริดรอนพื้นที่ทำกินของชาวจีนฮกจิว นอกจากนี้ ยางพาราที่เป็นพืชเศรษฐกิจยังถูกรัฐควบคุมโดยการจัดตั้งกองการยาง ในรูปแบบรัฐวิสาหกิจ ขึ้นตรงกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งต่อมากลายเป็นองค์การสวนยาง ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวจีนต้องอพยพไปยังพื้นที่ใหม่ บางพวกกลับไปยังมาเลเซีย และบางคนตัดสินใจจบชีวิตที่สวนยาง |
|
Belief System |
เทศกาลประจำปี
-
เทศกาลตรุษจีน ตรงกับวันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจีน โดยก่อนช่วงเทศกาลชาวจีนฮกจิวจะทำความสะอาดบ้าน และประดับประดาบ้านเรือนให้สวยงาม และในวันตรุษจีนชาวจีนฮกจิวจะถือเป็นวันหยุด และนิยมใส่เสื้อผ้าใหม่ รวมทั้งจะให้อั่งเปาแก่ลูกหลาน หรือให้พ่อแม่ สำหรับขนมที่นิยมไหว้บรรพบุรุษ ได้แก่ ขนมอิ๊ ขนมจันอับ และน้ำชา
-
เช็งเม้ง (ชิงหมิง) ตรงกับวันที่ 5 เดือน 3 ของจีน หรือ 5 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นเทศกาลที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื๊อ โดยลูกหลานจะทำความสะอาดสุสานหรือฮวงซุ้ย ตกแต่งด้วยกระดาษสี หรือธงสี พร้อมทั้งอาหารคาว ผลไม้ เผากระดาษเงิน กระดาษทอง เสื้อผ้าที่ทำจากกระดาษเพื่อให้บรรพบุรุษใช้ในปรโลก และถือเป็นการรวมตัวกันของญาติพี่น้อง
-
เทศกาลไหว้ขนมจ่าง ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจีน โดยมักเซ่นไหว้ขอพรจากเทพเจ้าเพื่อให้ครอบครัวประสบแต่ความสุข
-
ประเพณีสารทจีน ตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินจีน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณไร้ญาติ โดยมีการเซ่นไหว้เจ้าที่ บรรพบุรุษ และวิญญาณไร้ญาติ ด้วยขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และน้ำชา
-
เทศกาลไหว้พระจันทร์ (วันสารทตงซิว) ตรงกับวันที่ 15 ค่ำ เดือน 8 ของจีน ซึ่งเป็นช่วงหลังเก็บเกี่ยวของฤดูใบไม้ร่วง และมีอากาศที่ปลอดโปร่ง จึงมีการบูชา และขอบคุณเทพเจ้า ซึ่งชาวจีนภายใต้สังคมเกษตรเชื่อว่าพระจันทร์ หมายถึงพลังอำนาจ ที่ควบคุมความเป็นตายของมนุษย์ได้ และกระต่ายที่เป็นผู้บันดาลให้เกิดพืชผลต่างๆ ซึ่งการเซ่นไหว้จะประกอบด้วยขนมไหว้พระจันทร์ ขนมโก๋ ขนมเปี๊ยะ ผลไม้ และน้ำชา
ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับชีวิต
-
การแต่งงานในอดีตฝ่ายชายจะนำขนมแหล่เปี้ยง หรือขนมสินสอดเพื่อเป็นการเชิญญาติผู้ใหญ่ และหาบไปยังครอบครัวฝ่ายหญิงเพื่อสู่ขอ แต่ในปัจจุบันนิยมใช้ขนมเปี๊ยะแปะด้วยกระดาษสีแดง หรือคุ๊กกี้ที่มีกล่องแดง นำไปให้ครอบครัวฝ่ายหญิงก่อนวันแต่งงาน 10 – 20 วัน เพื่อให้ญาติผู้ใหญ่นำเงินขวัญถุง หรือของขวัญมามอบในวันงาน ส่วนในพิธีแต่งงานของชาวจีนฮกจิวจะไม่มีการยกน้ำชา แต่บ่าวสาวจะยืนคำนับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่นั่งเก้าอี้เรียงตามลำดับอาวุโสของฝ่ายเจ้าภาพ และมีการมอบเงินขวัญถุงหรือของขวัญแก่คู่บ่าวสาว ต่อด้วยการเคารพบรรพบุรุษ เคารพฟ้าดิน และเคารพบ่าวสาวตามลำดับ ทั้งนี้ พิธีแต่งงานของชาวจีนฮกจิวนิยมจัดขึ้นที่สมาคมฟุโจวแห่งประเทศไทย ศาลาประชาคม หรือสมาคมคลองจัง ในอำเภอนาบอน ในรูปแบบงานเลี้ยงโต๊ะจีนที่มีอาหารสูตรเฉพาะที่ขึ้นชื่อของชาวจีนฮกจิวให้แก่แขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน
-
งานศพชาวจีนฮกจิวนิยมตั้งศพบำเพ็ญกุศล 3 – 10 วันตามความเหมาะสม ณ ศาลาบำเพ็ญกุศลกิจ มูลนิธิบุญประทีป และสมาคมคลองจัง โดยลูกหลานผู้ตายจะนำอาหารที่ผู้ตายชอบรับประทานมาเซ่นไหว้จำนวน 3-4 อย่าง มาเลี้ยงในช่วงเช้า และช่วงเย็น และจะใช้ถ้วยชามชุดเดียวกันตลอดทั้งงานจนกว่าจะออกศพ สำหรับการแต่งกายลูกหลานผู้ตายต้องติดผ้าไว้ทุกข์ที่แขนเสื้อ โดยผู้ชายจะติดผ้าไว้ทุกข์ที่แขนซ้าย และแขนขวาสำหรับผู้หญิง ทั้งนี้การติดผ้าไว้ทุกข์จะมีสีผ้าที่แตกต่างกัน ได้แก่ ลูกชายและลูกสะใภ้ต้องติดผ้ากระสอบป่าน หลานในติดผ้าสีเหลือง หลานนอกติดผ้าสีน้ำเงิน ลูกสาวและลูกเขยติดผ้าสีดำ เมื่อออกศพแล้วจะมีการไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 – 3 ปี
3) พิธีฮวงฮัว (กงเต๊กในแต้จิ๋ว) เป็นพิธีวางดอกไม้ หรือโปรยดอกไม้ เพื่อปล่อยความทุกข์ หรือไล่สิ่งอัปมงคลออกไปตามความเชื่อของลัทธิเต๋า ขงจื่อ และศาสนาพุทธนิกายมหายาน ในพิธีจะมีการสวดเป็นเวลา 6 ชั่วโมง โดยมีครูผู้ชายสวดประกอบดนตรี 16 คน และลูกหลานจะใส่ชุดกระสอบ แต่ไม่มีการข้ามสะพานเหมือนชาวจีนกลุ่มอื่นๆ สำหรับลำดับในการเคารพศพจะเรียงเป็น 3 ลำดับ ได้แก่ (1) ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกสาวที่ยังไม่แต่งงาน และหลายใน (2) ลูกสาวที่แต่งงานแล้ว ลูกเขย และหลานนอก (3) น้องชาย น้องสะใภ้ และเครือญาติอื่นๆ โดยผู้เคารพต้องถือธูป และผลัดกันยกอาหาร ซึ่งในปัจจุบันนิยมนำหมูย่างทั้งตัวมาใช้ในพิธี เมื่อถึงการออกศพ จะมีการจุดประทัดเพื่อนำศพไปยังสุสานหรือวัด และเจ้าภาพจะนำผ้าขาวม้ามาแจกผู้ร่วมงานซึ่งถือเป็นการเสร็จสิ้นพิธี
-
ความเชื่ออื่นๆ
1) การบูชาเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้าน โดยชาวจีนฮกจิวจะตั้งหิ้งเพื่อบูชาเทพเจ้า และตั้งศาลเจ้าที่บนพื้นดิน โดยมีการประดับไฟ และมีการนำอาหารคาว อาหารหวาน ผลไม้ และเครื่องดื่มต่างๆ ในการสักการะ
2) การบูชาบรรพบุรุษ เป็นการแสดงความกตัญญู โดยมีการตั้งรูปหรือป้ายชื่อบนหิ้ง หรือบูชาเถ้าอัฐิ
|
|
Education and Socialization |
เนื่องจากเกิดการขยายตัวของครอบครัวชาวจีนฮกจิวในอำเภอนาบอน ก่อให้เกิดความต้องการด้านการศึกษาสำหรับสมาชิกใหม่ ประกอบกับความเชื่อตามลัทธิขงจื๊อที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา จึงได้จัดตั้งโรงเรียนจงฮั้วขึ้นครั้งแรก โดยติดต่อคณะมิชชันนารีที่จังหวัดตรังมาช่วยในการจัดสร้างโรงเรียน โดยในช่วงแรกทำการเรียนการสอนเป็นภาษาจีน ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็นโรงเรียนนาบอนวิทยา จนในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม โรงเรียนปิดตัวลง แต่ปัจจุบันได้เปิดทำการเรียนการสอน โดยดำเนินงานในรูปแบบมูลนิธิ และใช้ชื่อว่า โรงเรียนสหมิตรบำรุง ทั้งนี้ ในอดีตมีการจัดการเรียนการสอนที่น่าสนใจและมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวจีนฮกจิวที่ต้องตื่นเช้าเพื่อกรีดยาง และต้องใช้เวลาในการแปรรูปยางพาราเพื่อส่งออกราวครึ่งวัน แล้วจึงทำการเรียนการสอนในช่วงเวลาที่เหลือ |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ความบันเทิง – หลังจากความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของชาวจีนฮกจิว ในอำเภอนาบอน สู่ช่วงเวลาที่พอลืมตาอ้าปากได้ ความบันเทิงของชาวจีนฮกจิว คือ งานเทศกาลประจำปีศาลแปะกงที่จัดขึ้นทุกเดือนกันยายนของทุกปี เพื่อบูชาเทพเจ้าแปะกง โดยมักมีการแสดงงิ้วตลอด 5 วัน 5 คืน นอกจากนี้ ในอดีตยังมีโรงภาพยนตร์ในชุมชนอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวลงไปด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
อาหารเป็นทรัพยากรวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่สามารถถูกกลืนและเลือนหายได้ ชาวจีนฮกจิวในอำเภอนาบอน มีผู้อนุรักษ์สูตรอาหารจีนฮกจิวดั้งเดิมเพียง 2 คน (หน้า 111) ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน ที่ในปัจจุบันอาหารเหล่านี้ยังคงถูกใช้รับประทานในงานเลี้ยงของชาวจีนฮกจิว เช่น งานแต่งงาน ที่มีอาหารสูตรเฉพาะให้บริการแก่แขกที่ร่วมงาน อาทิ แฮกึ๊น ขาหมูตุ๋น หูฉลามหรือกระเพาะปลา หรืองานศพ ที่มีรายการอาหาร 5-6 อย่างเลี้ยงผู้ร่วมงาน เช่น หมี่เหลืองผัด แปดเซียน ราดหน้าไข่ (หน้า 112-119) |
|
Map/Illustration |
-แผนที่การอพยพของชาวจีนในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน (หน้า 32)
-แผนที่แสดงที่ตั้งของมณฑลฝูเจียนและเมืองฝูโจว (ในแผนที่เขียนว่า Foochow) เป็นภูมิลำเนาเดิมของชาวจีนสำเนียงฮกจิว (หน้า 45)
-แผนที่แสดงการปกครองรัฐต่างๆ ของประเทศมาเลเซีย (หน้า 57)
-แผนที่รัฐเประ (Perak)(หน้า 58)
-แผนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช (หน้า 65) |
|
|