สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ สมุทรสาคร ชาติพันธุ์สัมพันธ์ การแสดงออกทางวัฒนธรรม เครือข่ายชาติพันธุ์
Author สมรักษ์ ชัยสิงห์กานานนท์, ศิริมา ทองสว่าง, ภูมิชาย คชมิตร, จักรี โพธิมณี
Title การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity มอญ รมัน รามัญ, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร  Total Pages 185 Year 2559
Source ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Abstract

จากผลของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในจังหวัดสมุทรสาคร  ทำให้เกิดการอพยพแรงงานเข้ามาในพื้นทื่  โดยกลุ่มที่เข้ามาในระยะแรกคือ คนไทยจากภูมิภาคต่าง ๆ สำหรับกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติจากเมียนมา เช่น มอญ พม่า กะเหรี่ยง ทวาย คะฉิ่น และอื่น ๆ เพิ่งย้ายเข้ามาในปัจจุบัน แรงงานกลุ่มนี้มีการสร้างความสัมพันธ์ต่อกันผ่านทางเศรษฐกิจในสังคมโรงงาน ส่วนแรงงานในภาคการเกษตรไม่เห็นด้วยกับการรวมกลุ่ม ทำให้กลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติทั้ง 2 กลุ่ม มีการปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อย ทางด้านการปรับตัวเข้ากับสังคมไทย เป็นไปในลักษณะเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรม มีการปลูกฝังค่านิยมทางวัฒนธรรมแก่เด็ก ผ่านระบบการศึกษาทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ แสดงให้เห็นว่า การอาศัยอยู่ร่วมกันของชุมชนต่าง ๆ ในปัจจุบันมีความสัมพันธ์กันในหลายมิติ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เปลี่ยนลักษณะทางวัฒนธรรมในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร

Focus

ศึกษางานวิจัย และรวบรวมข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิมและแรงงานข้ามชาติ ในเรื่องของการรวมกลุ่ม กิจกรรมทางสังคม วัฒนธรรม เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ และการปรับเปลี่ยนทัศนะคติที่เกิดขึ้นในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร  (หน้า 4)

Theoretical Issues

เมืองสมุทรสาครตั้งแต่ประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นพื้นที่ของการอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ จึงเอื้อให้เศรษฐกิจขยายตัว อุตสาหกรรมคือตัวแปรสำคัญในการโยกย้ายถิ่นฐานของแรงงานทั้งในและนอกประเทศ ระยะแรกกลุ่มแรงงานจำนวนมากมาจากภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย ก่อนที่แรงงานข้ามชาติจะเข้ามาก่อตั้งเป็นชุมชน ดังเช่น แรงงานจากประเทศลาว ที่มีพื้นทางวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน สามารถปรับตัวได้ง่ายเมื่อต้องเข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทย  สำหรับแรงงานข้ามชาติจากเมียนมา ที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น มอญ พม่า กะเหรี่ยง ทวาย แรงงานเหล่านี้มีความถนัดงานด้านการเกษตร เมื่อย้ายเข้ามาเป็นแรงงานในด้านอุตสาหกรรมจึงต้องมีการปรับตัว แต่ค่านิยมและธรรมเนียมทางพุทธศาสนายังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่นเช่นเดิม การแสดงออกทางวัฒนธรรมของแรงงานข้ามชาติจากเมียนมายังมีแตกต่างกัน เช่น แรงงานชาติพันธุ์มอญ อาศัยการย้ำเตือนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ร่วมกับชุมชนไทยรามัญดั้งเดิมและชุมชนมอญพลัดถิ่นที่ได้รับสัญชาติไทยก่อนหน้า สำหรับแรงงานชาติพันธุ์พม่า เน้นการสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ เพื่อสวัสดิการทางสังคม ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ มีศาสนาและการประกอบศาสนกิจเป็นแกนกลางในการสร้างความสัมพันธ์ร่วมกัน เช่น ชุมชนมุสลิม ไทยใหญ่ คะฉิ่น อย่างไรก็ตาม ชุมชนแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติ ยังปลูกฝังพื้นฐานวัฒนธรรมของตนผ่านทางการศึกษาทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการอีกด้วย (หน้า 182 - 183)

Ethnic Group in the Focus

ไม่มี

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มี

Study Period (Data Collection)

1 ตุลาคม 2558 – 30 กันยายน 2559(หน้า 4 )

History of the Group and Community

พื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร เริ่มมีการติดต่อกับชุมชนต่างวัฒนธรรมอย่างชัดเจนในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ มีผู้คนต่างเชื้อชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการค้าแถบลุ่มแม่น้ำ โดยเฉพาะช่วงตำบลมหาชัย ซึ่งเป็นบริเวณปากแม่น้ำและเส้นทางค้าขาย ทำให้ท้องถิ่นเกิดการติดต่อกับผู้คนภายนอก (หน้า 31)โดยกลุ่มคนที่โยกย้ายเข้ามามีทั้ง  
ชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน  
เริ่มเข้ามาค้าขายอย่างมากในช่วงรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ซึ่งอุตสาหกรรมน้ำตาลและการผลิตข้าวเกิดการขยายตัว โดยชาวจีนเข้ามาเป็นแรงงาน นายทุน และเจ้าภาษีอากร นอกจากเรื่องทางเศรษฐกิจชาวจีนยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการของมรดกทางวัฒนธรรมของพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร เห็นได้จาก รูปแบบทางสถาปัตยกรรม เป็นต้น (หน้า 31-32)
ชุมชนชาติพันธุ์ชาวมอญ
เป็นกลุ่มชนดั้งเดิมที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร หลักฐานยืนยันจากสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและวัฒนธรรมที่เหมือนกับบรรพบุรุษจากเมืองมะละแหม่ง (หน้า 33) โดยกลุ่มชนแถบตำบลมหาชัยและริมฝั่งคลองสุนัขหอน  มีการกล่าวถึงในพงศาวดารว่า รัชกาลที่ 3ทรงโปรดเกล้าให้สร้างป้อมวิเชียรโชฎึก จากนั้นจึงโปรดให้ชาวมอญตั้งถิ่นฐานยังเมืองนี้ (หน้า 34)การโยกย้ายถิ่นฐานของชาวมอญเป็นจำนวนมากเกิดขึ้นอีกครั้งช่วงทศวรรษ 2530จากเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยในพม่าเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2531 ผลักดันให้นักศึกษาและขบวนการประชาธิปไตยในพม่าหลบหนีการจับกุม เข้ามาอยู่กับชนกลุ่มน้อยตามบริเวณชายแดนไทย – พม่า นักศึกษาชาวมอญบางส่วนได้บวชเป็นพระภิกษุ สามเณร เข้ามาจำพรรษาตามวัดไทยที่มีคนไทยเชื้อสายมอญอาศัยอยู่ เช่น อำเภอสามโคก ปทุมธานี อำเภอมหาชัย สมุทรสาคร อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ และในเขตกรุงเทพมหานคร ในขณะที่ชาวมอญบางส่วนโยกย้ายไปอาศัยอยู่ที่ อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี (หน้า 35 - 36)
ชุมชนชาติพันธุ์ทวาย
มีความแตกต่างจากชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่เห็นได้ชัดเจน คือ สำเนียงพื้นถิ่น และพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางสังคมและพุทธศาสนา โดยเฉพาะบริเวณวัดน้อยนางหงษ์และวัดศรีเมือง (หน้า 46)

Settlement Pattern

ไม่มี 

Demography

ปี 2551รัฐบาลมีนโยบายให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาอยู่อาศัยได้ชั่วคราว โดยมีระยะเวลาผ่อนผัน 2ปี ทำให้ในปี 2554 มีการคาดคะเนจำนวนแรงงานข้ามชาติทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายว่ามีกว่า 3,261,058คน (หน้า 43)และจากรายงานการจัดทำการลงทะเบียนแบบ One Stop Service ของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว พบว่าในปี 2558 มีแรงงานข้ามชาติ 3 ประเทศ คือ เมียนมา กัมพูชา และลาว ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานประมาณ 1 ล้านคน ในจำนวนทั้งหมดนี้เป็นแรงงานจากเมียนมาถึงร้อยละ 77(หน้า 44)    

Economy

ความสัมพันธ์ของชุมชนในเชิงเศรษฐกิจ
ชุมชนลุ่มน้ำท่าจีนแบ่งออกเป็น 2ฝั่ง ทำให้การประกอบอาชีพแตกต่างกัน โดยชุมชนที่อยู่ฝั่งทะเลนิยมทำนาเกลือ ส่วนชุมชนมอญประกอบอาชีพด้านการเกษตร และนำผลผลิตที่ได้ไปแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่น ๆ ตามเส้นทางน้ำ ในขณะที่ชุมชนชาวจีนจะอยู่รวมกันเป็นย่านการค้า และเป็นเจ้าของกิจการ โดยเฉพาะธุรกิจหนึ่งที่เรียกว่า “ล้ง”  ซึ่งเป็นโรงงานขนาดเล็กรับแปรรูปสัตว์ทะเลจากเรือประมงก่อนส่งให้โรงงานใหญ่ ส่งผลให้มีการจ้างงานเป็นจำนวนมาก (หน้า 57) เป็นเหตุให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในพื้นที่เมืองสมุทรสาครต้องพึ่งพาแรงงานในท้องถิ่นและแรงงานข้ามชาติ (หน้า 61) 

Social Organization

การจัดตั้งเครือข่ายของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
   แรงงานชาติพันธุ์พม่า มักนิยมอาศัยอยู่เป็นย่านและประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาร่วมกัน (หน้า 44)สำหรับแรงงานชาติพันธุ์คะฉิ่น มีเครือข่ายเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับชาวคะฉิ่นตามชายแดนและภาคเหนือของประเทศไทย โดยการติดต่อกับหน่วยงานภายนอก เช่น องค์กรทางศาสนาทั้งในและนอกประเทศ นับเป็นการสร้างเครือข่ายชาวคริสต์ที่กว้างขวาง (หน้า 47) ส่วนแรงงานชาติพันธุ์ยะไข่ มีการสร้างสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงตัวตนอย่างชัดเจน เช่น ทำเสื้อที่แสดงถึงรัฐและภาษาของชาวอารกัน นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือข่ายเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันภายในกลุ่ม และสานสัมพันธ์กับชาวยะไข่ในเมียนมา โดยกิจกรรมที่มักทำร่วมกัน เช่น งานทอดกฐิน สรงน้ำพระในเทศกาลสงกรานต์ ๆช่วยค่ารักษาพยาบาล ช่วยค่าใช้จ่ายฌาปนกิจ (หน้า 48) กล่าวเฉพาะกลุ่มชาวปะโอในเมียนมาที่เข้ามาทำงานในสมุทรสาคร มักมีการรวมตัวกันเพื่อจัดกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ เช่น วันชาติปะโอ ที่แรงงานชาวปะโอในจังหวัดต่าง ๆ เดินทางมาร่วมงานกันที่เขตบางบอน หรือในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช กลุ่มชาติพันธุ์ปะโอจะรวมตัวกันสวมชุดประจำชาติมาร่วมถวายพระพรในหลวงรัชกาลที่ 9 ณ ท้องสนามหลวง (หน้า 50)
   นอกจากการสร้างเครือข่ายที่มีความสัมพันธ์ในเชิงประเพณี พิธีกรรม กลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติยังรวมตัวกันเพื่อแสดงออกทางการเมือง เช่น วันรำลึกบรรพบุรุษมอญ (หน้า 95)
   การจัดเครือข่ายทางสังคมอย่างเป็นทางการของกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติที่สำคัญมีดังนี้
   มูลนิธิรักษ์ไทยสมุทรสาคร ก่อตั้งในปี 2540 โดยนายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ โดยมุ่งเป้าหมายการทำงานไปที่การเสริมสร้างศักยภาพชุมชนยากจน และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ปัจจุบันมูลนิธิมีสมาชิกประมาณ 150 คน มีการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยมีโครงการที่ทำดังนี้ โครงการ STARดำเนินกิจกรรมด้านสาธารณะสุขเกี่ยวกับเอดส์ และวัณโรคในกลุ่มแรงงานต่างชาติ โครงการ AHF ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับเอดส์ โดยเน้นการดูแลและการรักษา (หน้า 131 - 133) 
   ศูนย์คาทอลิกนักบุญอันนาเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2552 ทำหน้าที่พัฒนาการศึกษา ฝึกอบรมลูกหลานแรงงานข้ามชาติและแรงงานข้ามชาติ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพอนามัยให้แก่เด็กนักเรียนข้ามชาติอีกด้วย (หน้า 137)
   เครือข่ายสิทธิแรงงานข้ามชาติ ก่อตั้งเมื่อปี 2552 เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบการหรือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น จำนวนสมาชิกในเครือข่ายมีมากถึง 3500 คน โดยเครือข่ายมีความเชื่อมโยงกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น รัฐบาลเมียนมา องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ อีกทั้งยังทำงานร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ การทำงานของเครือข่ายดังกล่าว นับได้ว่าประสบความสำเร็จในด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานได้เป็นอย่างดี (หน้า 140 - 142)
   มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ LPN ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24ธันวาคม ปี 2554 โดยนายสมพงศ์ สระแก้ว มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงาน ปัจจุบันเน้นส่งเสริมการศึกษาแก่นักเรียนและปกป้องสิทธิแรงงานข้ามชาติ รวมถึงกระชับความสัมพันธ์ทางสังคมและการพึ่งพาตนเองของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ (หน้า 143 - 145)
   มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพึ่งพา ก่อตั้งโดยนายอานดี้ ฮอลล์ เพื่อส่งเสริมความรู้ให้กับแรงงานในเรื่องกฎหมายและสิทธิของแรงงานข้ามชาติ เพื่อให้มีความสามารถในการจัดการปัญหาหากพบความไม่เป็นธรรม (หน้า 146)
   นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือข่ายทางสังคมของชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติที่ไม่เป็นทางการ  เช่น กลุ่มเครือข่ายทางสังคมของแรงงานข้ามชาติ วัดน้อยนางหงษ์ เกิดจากกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน ทำบุญในวัดเดียวกัน จนนำมาสู่การสร้างเครือข่ายที่ประกอบด้วยกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มเจดีย์ กลุ่มมโนราห์ กลุ่มงานศพ มูลนิธิวัดหงส์จิตอาสา กลุ่มปุญญวิดี กลุ่มสวัสดี โดยแต่ละกลุ่มจะทำหน้าที่ของตนตามวัตถุประสงค์ของกลุ่มอย่างต่อเนื่อง (หน้า 153 - 154)กลุ่มแห่งความมุ่งมั่นใหม่ วัดโคก สมาชิกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานข้ามชาติพันธุ์ชาวมอญ มีจุดมุ่งหมายเพื่อทะนุบำรุงศาสนา สืบสานประเพณีอันดีงาม รวมถึงเป็นเครือข่ายที่หลอมรวมจิตใจให้ผ่อนคลายจากความคิดถึงบ้าน สมาชิกกลุ่มมีการติดต่อกับบุคคลภายนอก เช่น ติดต่อนักร้องชาวมอญจากเมียนมาเข้ามาทำการแสดงยังวัดโคก เป็นต้น (หน้า 156- 157)กลุ่มกัลยานะมิตตะกับสมาชิกหลากชาติพันธุ์ เกิดจากการรสมตัวของแรงงานข้ามชาติหลากหลายชาติพันธุ์ ที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน ใช้ภาษาพม่าเป็นสื่อกลางในการสื่อสารและทำกิจกรรมที่เน้นในเรื่องการบำรุงศาสนา (หน้า 159)ชมรมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่เท่าเทียมกัน : เครือข่ายทางสังคมขนาดใหญ่ของชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ หรือ กลุ่มอะไนน์แมะ มีสมาชิกจากหลากหลายชาติพันธุ์ จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือสมาชิกด้านการรักษาพยาบาล การฌาปนกิจ ในการแบ่งโครงสร้างการทำงานอย่างชัดเจน ประกอบด้วย ประธาน รองประธาน เหรัญญิก และคณะกรรมการของเขตพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบันชมรมนี้มีสมาชิกว่า 2,000 คน (หน้า 160 - 161)กลุ่มล้อก๊ะเยระนา เปรียบเสมือนตัวแทนของแรงงานข้ามชาติหลากชาติพันธุ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อรวมตัวกันทำความดี กิจรรมส่วนใหญ่เน้นการทำบุญ ไหว้พระ และช่วยเหลือสมาชิกที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นรายครั้ง (หน้า 167-168)กลุ่มชมรมคนรวมชาติเมียนมาร์ จัดตั้งขึ้นจากสมาชิกหลายกลุ่ม เช่น มอญ กะเหรี่ยง พม่า ทวาย เพื่อรวบรวมผู้สนใจประเด็นทางสังคมของเมียนมา ปัจจุบันกลุ่มยังมีสมาชิกจำนวนไม่มากนัก กิจกรรมภายในจึงเน้นไปที่งานช่วยเหลือสาธารณะ (หน้า 169)กลุ่มดัมมา ยองชี ปะหิตะ จัดตั้งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 สมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นหนุ่มสาว จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนา (หน้า 170)กลุ่มตาตานะ ฮิตะ กาลี เป็นกลุ่มที่มีการสร้างเครือข่ายอย่างแน่นเหนียว สังเกตได้จากสมาชิกกลุ่ม เมื่อกลับไปยังเมียนมา ก็ยังคงประสานงานกับกลุ่มในไทย กิจกรรมสำคัญที่กลุ่มดำเนินการ เช่น ช่วยเหลือพระสงฆ์จากเมียนมาที่เข้ามาศึกษาในไทย ช่วยเหลือเด็กกำกพร้าในย่างกุ้ง ช่วยเหลือแรงงานที่ไม่มีเงินเดินทางกลับย่างกุ้ง เป็นต้น (หน้า 172)   

Political Organization

   นโยบายของรัฐต่อแรงงานข้ามชาติ
 ปี 2539รัฐบาลไทยเปิดให้มีการลงทะเบียนแรงงานข้ามชาติ โดยมีการกำหนดขอบข่าย
ประเภทของงานอย่างชัดเจน แรงงานมีอิสระจากการเลือกงาน ส่งผลให้แรงงานข้ามชาติเกิดการขยายตัว โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการจ้างงานด้านประมงทางทะเล แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงแรงงานที่ลักลอบเข้ามาโดยผิดกฎหมายได้ ทำให้กลุ่มแรงงานเหล่านี้ถูกเพิกเฉยในสิทธิและสวัสดิการ จนกระทั่งมีการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติแรงงานต่างด้าว เกิดการจ้างงานอย่างถูกกฎหมาย แรงงานข้ามชาติจึงเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น (หน้า 38 - 39)
   ปี 2547 รัฐบาลมีการจัดการเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ โดยจัดระบบการจดทะเบียนขึ้นใหม่ทั้งหมด ทำให้ทราบจำนวนของแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามที่ถูกกฎหมายว่ามีอยู่ประมาณ 1 ล้านคน ในช่วงแรกมีเพียงกลุ่มแรงงานจากลาวและกัมพูชาที่ให้ความสนใจ สำหรับแรงงานเมียนมาเพิ่งตื่นตัว เมื่อประเทศของตนปรับเปลี่ยนไปในแนวทางประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายของพื้นที่การทำงานอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร (หน้า 40)
   สำหรับแรงงานข้ามชาติกลุ่มชาติพันธุ์มอญที่อพยพเข้ามาในจังหวัดสมุทรสาครนั้น แรงงานหญิงจะประกอบอาชีพรับจ้างในโรงงานหรือธุรกิจขนาดเล็ก ส่วนแรงงานชายจะเป็นลูกเรือประมง โดยได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่กระทรวงแรงงานกำหนด (หน้า 41)
   แรงงานข้ามชาติในมุมมองหน่วยงานท้องถิ่น  
  การทำงานของ อบต. ในพื้นที่ตำบลคอกกระบือ อำเภอเมืองสมุทรสาคร  ที่มีกลุ่มแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมากระจายอยู่กว่าร้อยละ 80 เกิดประสบปัญหา  เมื่อรัฐบาลมีนโยบายปิดล้งขนาดเล็ก เพื่อยกระดับให้ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมขนาดกลาง  ทำให้ อบต. ต้องจัดการแก้ปัญหา โดยจัดระเบียบการอยู่อาศัยร่วมชุมชนอื่น ๆ จัดการด้านบริการทางสุขภาพ และการศึกษาในระดับท้องถิ่น (หน้า 54) 

Belief System

ความเชื่อของชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง สมุทรสาคร
   ชุมชนชาวจีนเป็นชุมชนแรกที่นับถือศาสนาคริสต์ เริ่มตั้งแต่ปี 2378 เมื่อคุณพ่ออัลบลังค์หมอสอนศาสนาเข้ามาเผยแพร่คำสอนแถวชุมชนแม่กลอง ท่าจีน ปากน้ำ ปากลัด ด้วยการเป็นศูนย์พักพิง ให้การศึกษาแก่ผู้พลัดถิ่นชาวจีน ต่อมาในปี 2425 คุณพ่อปีโอ ชาวฝรั่งเศสซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดวัดบางช้าง ได้มาเยี่ยมชุมชนท่าจีน และเห็นว่ามีคริสตังจำนวนมากที่นี่จึงสร้างวัดขึ้น แล้วเสร็จในปี 2431 โดยตั้งชื่อว่า วัดนักบุญอันนา ปัจจุบันวัดนักบุญอันนามีการจัดตั้งมูลนิธิ และโรงเรียนที่สอนการศึกษาระดับต้นแก่ลูกหลานแรงงานในระดับพิเศษ และโรงเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมทั้งพัฒนาชุมชนแรงงานพลัดถิ่นจากเมียนมา ที่เข้ามาทำงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร (หน้า 35)
   ชุมชนชาติพันธุ์ชาวมอญ มีการอนุรักษ์ประเพณีสำคัญ เช่น เทศกาลตักบาตรน้ำผึ้ง เข้าพรรษา  ออกพรรษา เทศกาลมหาสงกรานต์  ชาวมอญจะร่วมกันทำกระยาสารท และแต่งตัวตามแบบประเพณีโบราณ  โดยเฉพาะเทศกาลมหาสงกรานต์ที่วัดบ้านเกาะ มีกิจกรรมการสรงน้ำพระแบบโบราณ คือ พระจะนั่งที่ปลายราง ชาวบ้านจะสรงน้ำลงไป ทำให้พระท่านเปียกน้ำทั่วทั้งตัว เป็นต้น (หน้า 63) สำหรับวันออกพรรษาชาวมอญจะถือโอกาสนี้บูชาครูและพระสงฆ์ที่ตนนับถือ โดยมากจะรวมกลุ่มกันไปทำบุญที่วัดศรีบูรณาวาส (วัดโคก) วัดป้อมวิเชียรโชติการาม วัดศิริมงคล นอกจากนี้กลุ่มแรงงานข้ามชาติพันธุ์ชาวมอญ ยังรวมตัวกันจัดตั้งคณะทำงานและเครือข่ายอาสา ช่วยทำความสะอาดวัดและสร้างศาสนสถานที่มีรูปแบบศิลปะมอญในวัดอีกด้วย (หน้า 77)  
   การทำบุญในช่วงสิ้นปีมีพิธีบรรพชาหรืออุปสมบท กลุ่มแรงงานข้ามชาติพันธุ์ชาวมอญจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส ส่วนด้านหน้าอุโบสถ ซึ่งเป็นบริเวณทำพิธี ผู้ชายที่บวชพระแต่งกายด้วยเสื้อสีขาว นุ่งโสร่งหลากสี ผู้หญิงที่บวชชีนุ่งจีวรสีชมพู มีขอบจีวรสีส้ม สำหรับผู้บวชพราหมณ์จะเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อสีขาว โสร่งและผ้าสไบสีน้ำตาล งานประเพณีนี้มีชาวมอญมาร่วมเป็นจำนวนมาก (หน้า 83)
   ชุมชนแขกปาทาน (เชื้อสายปากีสถาน) ที่นับถือศาสนาอิสลาม นิยมไปมาหาสู่กัน  มีการรับแขกแยกชายหญิง จึงสร้างเรือนรับรองขนาดเล็กแยกออกจากตัวบ้าน สำหรับต้อนรับแขกผู้ชาย ปัจจุบันวัฒนธรรมนี้จางลง พื้นที่นี้จึงมีพอสำหรับทำละหมาด ดังที่ชาวปาทาน เรียกว่า เดลา อันเปรียบเสมือนวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยธรรมปฏิบัติและสถานที่ในการละหมาด ซึ่งชาวมุสลิมจากเมียนมาอและกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาอิสลามนิยมมาประกอบพีธีกรรมกันที่นี่ นอกจากนี้ในเวลา 16.30 – 18.00 น. ยังมีการสอนอ่านคัมภีร์อัล- กุรอาน เป็นประจำทุกวัน (หน้า 99) 

Education and Socialization

รูปแบบการศึกษาของลูกหลานแรงงานข้ามชาติ
   กลุ่มแรงงานข้ามชาติในอำเภอเมืองสมุทรสาคร ที่มีเป็นจำนวนมาก มีความสนใจการศึกษานอกระบบ ปัจจุบันระบบการศึกษาในพื้นที่ดังกล่าวจึงจัดหลักสูตรเอื้อต่อกลุ่มผู้ไม่มีสัญชาติ 2 แบบ คือ แบบแรกสำหรับผู้ที่มีอายุ 8– 12ปี มีการเรียนการสอนในวันจันทร์ – ศุกร์ แบบที่สองเป็นการศึกษาของกลุ่มที่มีอายุ 15ปีขึ้นไปแต่ยังมีความต้องการเรียนอยู่ กลุ่มนี้จะเรียนเฉพาะวันอาทิตย์ ปัจจุบันเครือข่ายภายใต้การดำเนินงานของ กศน. มีทั้งสิ้น 8แห่ง คือ ศูนย์การเรียนรักษ์ไทย ศูนย์ของมูลนิธิ LPNศูนย์อันนา วัดเทพ วัดป้อม วัดโคก เรือนจำและวัดป่าชัยรังสี (หน้า 69) ในช่วงปี 2548 – 2550ระบบการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานแรงงานข้ามชาติมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เนื่องจากมีองค์กรภายนอกภาครัฐให้ความสนับสนุน ผลักดันให้เด็กได้เข้าสู่ระบบโรงเรียน สนับสนุนและทำงานร่วมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาทนายความ วุฒิสภา สถาบันวิชาการ จนเกิดมติคณะรัฐมนตรีให้เด็กข้ามชาติสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้ (หน้า 105)
   ศูนย์เรียนรู้เพื่อเตรียมบุตรหลานแรงงานสู่ระบบการศึกษาไทย
   ศูนย์การเรียนมูลนิธิเตรียมชีวิต จัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ รับเปิดทั้งเด็กไทยและเด็กต่างชาติ ในอัตราส่วน 1 ต่อ 5 (หน้า 106)
   ศูนย์เรียนรู้ของมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน เข้ามาทำหน้าที่ประสานงานกับการศึกษาของรัฐในการรับเด็กข้ามชาติเข้าเรียน รวมถึงเตรียมการสอนให้เด็กในชุมชนแรงงาน โดยจะเน้นการเตรียมพื้นฐานภาษาไทย แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังต้องการส่งบุตรหลายไปเรียนต่อยังประเทศของตน เช่น ประเทศเมียนมา ทำให้หลายองค์กรจัดศูนย์การเรียนรู้ให้เด็กในลักษณะพหุภาษา (ไทย พม่า อังกฤษ) (หน้า 108)
   ศูนย์การเรียนรู้ตามอัธยาศัยเพื่อสอบเทียบในระบบเมียนมา
   ศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมมอญ โดยชมรมฟื้นฟูและอนุรักษ์วัฒนธรรมมอญ – ไทยรามัญ วัดคลองครุ โดยเปิดสอนภาษาไทยทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 9.00 – 15.00 น. หลังการเรียนมีการสวดมนต์ภาษามอญประจำสัปดาห์ ค่าใช้แรกเข้าคนละ 450 บาท เป็นค่าตำราภาษาไทย บัตรประจำตัวนักเรียน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (หน้า 110 - 111)
   ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมไทย – มอญ วัดศรีบูรณาวาส (วัดโคก) เปิดสอนภาษามอญ ไทย อังกฤษ และคอมพิวเตอร์พื้นฐาน จัดการเรียนการสอนตามอัธยาศัย (หน้า 112 ) นักเรียนเกือบทั้งหมดเป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติชาวมอญ ทางวัดเปิดรับนักเรียนตลอดทั้งเทอม แบ่งการเรียนการสอนตามความสามารถของเด็ก (หน้า 114)
   ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนวัดป้อมวิเชียรโชติการาม ตำบลมหาชัย เน้นการสอนภาษาไทย และเสริมความรู้ภาษามอญและภาษาอังกฤษ มีการแบ่งชั้นเรียนตามความเข้าใจภาษาไทย และมีข้อห้ามไม่ให้ผู้เรียนหยุดเกินสามสัปดาห์ การแต่งกายคล้ายชุดนักศึกษา (หน้า 115)  
   ศูนย์เรียนรู้ทักษะวัฒนธรรมวัดเจษฎา เด็กที่ศึกษาอยู่เป็นเด็กมอญทั้งหมด การเรียนการสอนใช้ภาษาไทยและภาษามอญ ผู้ปกครองเสียค่าใช้จ่าย 300- 400 บาทต่อเดือน (หน้า 118)
   ศูนย์การเรียนรู้แบบมอญ วัดเทพนรรัตน์ จัดการสอนภาษาไทย มอญ และพม่า (หน้า 120)
   ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักสูตรพม่า วัดเทพนรรัตน์ นำหลักสูตรตามระบบของเมียนมามาใช้ สอนด้วยภาษาพม่า ดำเนินการโดย MCDCเปิดในปี 2013 หลักสูตรนี้สามารถสอบเทียบคุณวุฒิเพื่อไปศึกษาต่อระดับสูงยังเมียนมาได้ โดยนักเรียนทั้งหมดต้องสวมเครื่องแบบแบบเมียนมา คือกางเกงและกระโปรงสีเขียว โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 300 บาทต่อเดือน(หน้า 120-121)
   ศูนย์เรียนรู้ภาษาพม่าวัดศรีเมือง ใช้หลักสูตรและตำราการเรียนจากเมียนมา เพื่อหวังเตรียมความพร้อมหากเด็กต้องการกลับไปศึกษาต่อยังประเทศของตน ภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอนคือ ภาษาพม่าและอังกฤษ ค่าใช้จ่ายคนละ 300 บาทต่อเดือน (หน้า 122-123)
   โรงเรียนกิตติศักดิ์ เมียนมาร์ มหาชัยวิลล่าซอย 1ทำการเรียนการสอนโดยใช้พม่าเมียนมา เมื่อเรียนจบสามารถไปศึกษาต่อในเมียนมาได้ (หน้า 125)
   การเรียนการสอนที่จัดขึ้น  โดยครูอาสามีผลอย่างยิ่งต่อการผลักดันโอกาสทางการศึกษา และช่วยให้บุตรหลายแรงงานข้ามชาติปรับตัวและเรียนรู้วัฒนธรรมทางสังคม (หน้า 125)
   นอกจากการมีศูนย์เรียนรู้และโรงเรียนเป็นสถานที่ให้ความรู้กับกลุ่มแรงงานข้ามชาติแล้วยังมีพื้นที่ทางความที่สำคัญควรกล่าวถึงเพิ่มเติม เช่น ห้องสมุดธรรมะแสงสว่าง ก่อตั้งโดยพระสงฆ์ชาวพม่า เปิดทำการในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 7.00 – 10.00 น. วันอาทิตย์ตั้งแต่ 7.00 – 20.00 น. พนักงานประกอบด้วย หัวหน้าห้องสมุด รองหัวหน้า เหรัญญิก และคณะกรรมการ มีค่าใช้จ่ายสำหรับสมาชิกเดือนละ 100 บาท บริการหนังสือเช่น หนังสือพิมพ์ นิยาย นิตยสาร การ์ตูนภาษาพม่า นอกจากนี้ห้องสมุดยังจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านหนังสือภาษาพม่า (หน้า 166)

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ภาพ
- สุเหร่าและคนที่มาร่วมพิธีละหมาดในวันศุกร์ ซึ่งมีทั้งคนไทยมุสลิม คนต่างชาติ และแรงงานข้ามชาติ (หน้า 100)
- แรงงานข้ามชาติมุสลิมกำลังเตรียมตัวทำพิธีละหมาด (หน้า 102)
- โต๊ะอิหม่ามกำลังทำพิธีละหมาด (หน้า 103)
- โต๊ะอิหม่ามกำลังอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน (หน้า 103)
- หลังจากทำพิธีละหมดเรียบร้อยแล้วมุสลิมก็ออกมาจากห้องทำพิธี เพื่อมาเตรียมรับประทานอาหารร่วมกัน (หน้า 103)
- การเรียนการสอนภาษาไทยวันอาทิตย์ที่โรงเรียนคลองครุ (หน้า 112)
- ภาพนักเรียนจากศูนย์เรียนรู้วัดป้อม แต่งกายในชุดประจำชาติมอญไปร่วมกิจกรรมวันแม่ (หน้า 117)
- ครูอาเย (ผู้หญิงด้านขวา) ให้เด็กนักเรียนเข้าแถวเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน (หน้า 123)
- รถรับ – ส่ง นักเรียนของครูอาเย
- โรงเรียนกิตติศักดิ์ เมียนมาร์ มหาชัยวิลล่าซอย 1  (หน้า 125)
- ด้านหลังบัตรสมาชิก จะมีชื่อ – เบอร์ของกรรการที่เก็บเงินในแต่ละพื้นที่ (หน้า 163)
- หม่องตาน ประธานกลุ่มอะไนน์แมะคนปัจจุบัน (หน้า 163)
- ตราสัญลักษณ์ในเสื้อกลุ่ม ซึ่งรวมชนชาติต่าง ๆ ของเมียนมา (หน้า 168)
- ภายในห้องของแกนนำกลุ่ม มีแผนผังลำดับชั้นโครงสร้างของกลุ่มภายใต้รูปพระ และประกาศนียบัตรของพระสงฆ์จากเมียนมา ตลอดจนภาพพระเจ้าอยู่หัว (หน้า 174)
- เสื้อกลุ่มที่มีตราสัญลักษณ์พานวางพระไตรปิฎก (หน้า 174)
ตาราง
- สำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 2559 (หน้า 110)
- แสดงรายละเอียดกลุ่มเครือข่ายชาติพันธุ์ไม่เป็นทางการในอำเภอเมืองสมุทรสาคร (หน้า 149 – 151) 

Text Analyst สุธาสินี บุญเกิด Date of Report 01 ต.ค. 2564
TAG ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ, สมุทรสาคร, ชาติพันธุ์สัมพันธ์, การแสดงออกทางวัฒนธรรม, เครือข่ายชาติพันธุ์, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง