|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ สมุทรสาคร ชาติพันธุ์สัมพันธ์ การแสดงออกทางวัฒนธรรม เครือข่ายชาติพันธุ์ |
Author |
สมรักษ์ ชัยสิงห์กานานนท์, ศิริมา ทองสว่าง, ภูมิชาย คชมิตร, จักรี โพธิมณี |
Title |
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
มอญ รมัน รามัญ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
185 |
Year |
2559 |
Source |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Abstract |
จากผลของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในจังหวัดสมุทรสาคร ทำให้เกิดการอพยพแรงงานเข้ามาในพื้นทื่ โดยกลุ่มที่เข้ามาในระยะแรกคือ คนไทยจากภูมิภาคต่าง ๆ สำหรับกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติจากเมียนมา เช่น มอญ พม่า กะเหรี่ยง ทวาย คะฉิ่น และอื่น ๆ เพิ่งย้ายเข้ามาในปัจจุบัน แรงงานกลุ่มนี้มีการสร้างความสัมพันธ์ต่อกันผ่านทางเศรษฐกิจในสังคมโรงงาน ส่วนแรงงานในภาคการเกษตรไม่เห็นด้วยกับการรวมกลุ่ม ทำให้กลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติทั้ง 2 กลุ่ม มีการปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อย ทางด้านการปรับตัวเข้ากับสังคมไทย เป็นไปในลักษณะเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรม มีการปลูกฝังค่านิยมทางวัฒนธรรมแก่เด็ก ผ่านระบบการศึกษาทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ แสดงให้เห็นว่า การอาศัยอยู่ร่วมกันของชุมชนต่าง ๆ ในปัจจุบันมีความสัมพันธ์กันในหลายมิติ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เปลี่ยนลักษณะทางวัฒนธรรมในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร |
|
Focus |
ศึกษางานวิจัย และรวบรวมข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิมและแรงงานข้ามชาติ ในเรื่องของการรวมกลุ่ม กิจกรรมทางสังคม วัฒนธรรม เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ และการปรับเปลี่ยนทัศนะคติที่เกิดขึ้นในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร (หน้า 4) |
|
Theoretical Issues |
เมืองสมุทรสาครตั้งแต่ประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นพื้นที่ของการอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ จึงเอื้อให้เศรษฐกิจขยายตัว อุตสาหกรรมคือตัวแปรสำคัญในการโยกย้ายถิ่นฐานของแรงงานทั้งในและนอกประเทศ ระยะแรกกลุ่มแรงงานจำนวนมากมาจากภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย ก่อนที่แรงงานข้ามชาติจะเข้ามาก่อตั้งเป็นชุมชน ดังเช่น แรงงานจากประเทศลาว ที่มีพื้นทางวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน สามารถปรับตัวได้ง่ายเมื่อต้องเข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทย สำหรับแรงงานข้ามชาติจากเมียนมา ที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น มอญ พม่า กะเหรี่ยง ทวาย แรงงานเหล่านี้มีความถนัดงานด้านการเกษตร เมื่อย้ายเข้ามาเป็นแรงงานในด้านอุตสาหกรรมจึงต้องมีการปรับตัว แต่ค่านิยมและธรรมเนียมทางพุทธศาสนายังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่นเช่นเดิม การแสดงออกทางวัฒนธรรมของแรงงานข้ามชาติจากเมียนมายังมีแตกต่างกัน เช่น แรงงานชาติพันธุ์มอญ อาศัยการย้ำเตือนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ร่วมกับชุมชนไทยรามัญดั้งเดิมและชุมชนมอญพลัดถิ่นที่ได้รับสัญชาติไทยก่อนหน้า สำหรับแรงงานชาติพันธุ์พม่า เน้นการสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ เพื่อสวัสดิการทางสังคม ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ มีศาสนาและการประกอบศาสนกิจเป็นแกนกลางในการสร้างความสัมพันธ์ร่วมกัน เช่น ชุมชนมุสลิม ไทยใหญ่ คะฉิ่น อย่างไรก็ตาม ชุมชนแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติ ยังปลูกฝังพื้นฐานวัฒนธรรมของตนผ่านทางการศึกษาทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการอีกด้วย (หน้า 182 - 183) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
1 ตุลาคม 2558 – 30 กันยายน 2559(หน้า 4 ) |
|
History of the Group and Community |
พื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร เริ่มมีการติดต่อกับชุมชนต่างวัฒนธรรมอย่างชัดเจนในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ มีผู้คนต่างเชื้อชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการค้าแถบลุ่มแม่น้ำ โดยเฉพาะช่วงตำบลมหาชัย ซึ่งเป็นบริเวณปากแม่น้ำและเส้นทางค้าขาย ทำให้ท้องถิ่นเกิดการติดต่อกับผู้คนภายนอก (หน้า 31)โดยกลุ่มคนที่โยกย้ายเข้ามามีทั้ง
ชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน
เริ่มเข้ามาค้าขายอย่างมากในช่วงรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ซึ่งอุตสาหกรรมน้ำตาลและการผลิตข้าวเกิดการขยายตัว โดยชาวจีนเข้ามาเป็นแรงงาน นายทุน และเจ้าภาษีอากร นอกจากเรื่องทางเศรษฐกิจชาวจีนยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการของมรดกทางวัฒนธรรมของพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร เห็นได้จาก รูปแบบทางสถาปัตยกรรม เป็นต้น (หน้า 31-32)
ชุมชนชาติพันธุ์ชาวมอญ
เป็นกลุ่มชนดั้งเดิมที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร หลักฐานยืนยันจากสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและวัฒนธรรมที่เหมือนกับบรรพบุรุษจากเมืองมะละแหม่ง (หน้า 33) โดยกลุ่มชนแถบตำบลมหาชัยและริมฝั่งคลองสุนัขหอน มีการกล่าวถึงในพงศาวดารว่า รัชกาลที่ 3ทรงโปรดเกล้าให้สร้างป้อมวิเชียรโชฎึก จากนั้นจึงโปรดให้ชาวมอญตั้งถิ่นฐานยังเมืองนี้ (หน้า 34)การโยกย้ายถิ่นฐานของชาวมอญเป็นจำนวนมากเกิดขึ้นอีกครั้งช่วงทศวรรษ 2530จากเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยในพม่าเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2531 ผลักดันให้นักศึกษาและขบวนการประชาธิปไตยในพม่าหลบหนีการจับกุม เข้ามาอยู่กับชนกลุ่มน้อยตามบริเวณชายแดนไทย – พม่า นักศึกษาชาวมอญบางส่วนได้บวชเป็นพระภิกษุ สามเณร เข้ามาจำพรรษาตามวัดไทยที่มีคนไทยเชื้อสายมอญอาศัยอยู่ เช่น อำเภอสามโคก ปทุมธานี อำเภอมหาชัย สมุทรสาคร อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ และในเขตกรุงเทพมหานคร ในขณะที่ชาวมอญบางส่วนโยกย้ายไปอาศัยอยู่ที่ อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี (หน้า 35 - 36)
ชุมชนชาติพันธุ์ทวาย
มีความแตกต่างจากชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่เห็นได้ชัดเจน คือ สำเนียงพื้นถิ่น และพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางสังคมและพุทธศาสนา โดยเฉพาะบริเวณวัดน้อยนางหงษ์และวัดศรีเมือง (หน้า 46) |
|
Demography |
ปี 2551รัฐบาลมีนโยบายให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาอยู่อาศัยได้ชั่วคราว โดยมีระยะเวลาผ่อนผัน 2ปี ทำให้ในปี 2554 มีการคาดคะเนจำนวนแรงงานข้ามชาติทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายว่ามีกว่า 3,261,058คน (หน้า 43)และจากรายงานการจัดทำการลงทะเบียนแบบ One Stop Service ของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว พบว่าในปี 2558 มีแรงงานข้ามชาติ 3 ประเทศ คือ เมียนมา กัมพูชา และลาว ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานประมาณ 1 ล้านคน ในจำนวนทั้งหมดนี้เป็นแรงงานจากเมียนมาถึงร้อยละ 77(หน้า 44) |
|
Economy |
ความสัมพันธ์ของชุมชนในเชิงเศรษฐกิจ
ชุมชนลุ่มน้ำท่าจีนแบ่งออกเป็น 2ฝั่ง ทำให้การประกอบอาชีพแตกต่างกัน โดยชุมชนที่อยู่ฝั่งทะเลนิยมทำนาเกลือ ส่วนชุมชนมอญประกอบอาชีพด้านการเกษตร และนำผลผลิตที่ได้ไปแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่น ๆ ตามเส้นทางน้ำ ในขณะที่ชุมชนชาวจีนจะอยู่รวมกันเป็นย่านการค้า และเป็นเจ้าของกิจการ โดยเฉพาะธุรกิจหนึ่งที่เรียกว่า “ล้ง” ซึ่งเป็นโรงงานขนาดเล็กรับแปรรูปสัตว์ทะเลจากเรือประมงก่อนส่งให้โรงงานใหญ่ ส่งผลให้มีการจ้างงานเป็นจำนวนมาก (หน้า 57) เป็นเหตุให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในพื้นที่เมืองสมุทรสาครต้องพึ่งพาแรงงานในท้องถิ่นและแรงงานข้ามชาติ (หน้า 61) |
|
Social Organization |
การจัดตั้งเครือข่ายของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
แรงงานชาติพันธุ์พม่า มักนิยมอาศัยอยู่เป็นย่านและประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาร่วมกัน (หน้า 44)สำหรับแรงงานชาติพันธุ์คะฉิ่น มีเครือข่ายเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับชาวคะฉิ่นตามชายแดนและภาคเหนือของประเทศไทย โดยการติดต่อกับหน่วยงานภายนอก เช่น องค์กรทางศาสนาทั้งในและนอกประเทศ นับเป็นการสร้างเครือข่ายชาวคริสต์ที่กว้างขวาง (หน้า 47) ส่วนแรงงานชาติพันธุ์ยะไข่ มีการสร้างสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงตัวตนอย่างชัดเจน เช่น ทำเสื้อที่แสดงถึงรัฐและภาษาของชาวอารกัน นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือข่ายเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันภายในกลุ่ม และสานสัมพันธ์กับชาวยะไข่ในเมียนมา โดยกิจกรรมที่มักทำร่วมกัน เช่น งานทอดกฐิน สรงน้ำพระในเทศกาลสงกรานต์ ๆช่วยค่ารักษาพยาบาล ช่วยค่าใช้จ่ายฌาปนกิจ (หน้า 48) กล่าวเฉพาะกลุ่มชาวปะโอในเมียนมาที่เข้ามาทำงานในสมุทรสาคร มักมีการรวมตัวกันเพื่อจัดกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ เช่น วันชาติปะโอ ที่แรงงานชาวปะโอในจังหวัดต่าง ๆ เดินทางมาร่วมงานกันที่เขตบางบอน หรือในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช กลุ่มชาติพันธุ์ปะโอจะรวมตัวกันสวมชุดประจำชาติมาร่วมถวายพระพรในหลวงรัชกาลที่ 9 ณ ท้องสนามหลวง (หน้า 50)
นอกจากการสร้างเครือข่ายที่มีความสัมพันธ์ในเชิงประเพณี พิธีกรรม กลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติยังรวมตัวกันเพื่อแสดงออกทางการเมือง เช่น วันรำลึกบรรพบุรุษมอญ (หน้า 95)
การจัดเครือข่ายทางสังคมอย่างเป็นทางการของกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติที่สำคัญมีดังนี้
มูลนิธิรักษ์ไทยสมุทรสาคร ก่อตั้งในปี 2540 โดยนายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ โดยมุ่งเป้าหมายการทำงานไปที่การเสริมสร้างศักยภาพชุมชนยากจน และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ปัจจุบันมูลนิธิมีสมาชิกประมาณ 150 คน มีการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยมีโครงการที่ทำดังนี้ โครงการ STARดำเนินกิจกรรมด้านสาธารณะสุขเกี่ยวกับเอดส์ และวัณโรคในกลุ่มแรงงานต่างชาติ โครงการ AHF ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับเอดส์ โดยเน้นการดูแลและการรักษา (หน้า 131 - 133)
ศูนย์คาทอลิกนักบุญอันนาเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2552 ทำหน้าที่พัฒนาการศึกษา ฝึกอบรมลูกหลานแรงงานข้ามชาติและแรงงานข้ามชาติ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพอนามัยให้แก่เด็กนักเรียนข้ามชาติอีกด้วย (หน้า 137)
เครือข่ายสิทธิแรงงานข้ามชาติ ก่อตั้งเมื่อปี 2552 เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบการหรือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น จำนวนสมาชิกในเครือข่ายมีมากถึง 3500 คน โดยเครือข่ายมีความเชื่อมโยงกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น รัฐบาลเมียนมา องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ อีกทั้งยังทำงานร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ การทำงานของเครือข่ายดังกล่าว นับได้ว่าประสบความสำเร็จในด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานได้เป็นอย่างดี (หน้า 140 - 142)
มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ LPN ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24ธันวาคม ปี 2554 โดยนายสมพงศ์ สระแก้ว มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงาน ปัจจุบันเน้นส่งเสริมการศึกษาแก่นักเรียนและปกป้องสิทธิแรงงานข้ามชาติ รวมถึงกระชับความสัมพันธ์ทางสังคมและการพึ่งพาตนเองของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ (หน้า 143 - 145)
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพึ่งพา ก่อตั้งโดยนายอานดี้ ฮอลล์ เพื่อส่งเสริมความรู้ให้กับแรงงานในเรื่องกฎหมายและสิทธิของแรงงานข้ามชาติ เพื่อให้มีความสามารถในการจัดการปัญหาหากพบความไม่เป็นธรรม (หน้า 146)
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือข่ายทางสังคมของชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติที่ไม่เป็นทางการ เช่น กลุ่มเครือข่ายทางสังคมของแรงงานข้ามชาติ วัดน้อยนางหงษ์ เกิดจากกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน ทำบุญในวัดเดียวกัน จนนำมาสู่การสร้างเครือข่ายที่ประกอบด้วยกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มเจดีย์ กลุ่มมโนราห์ กลุ่มงานศพ มูลนิธิวัดหงส์จิตอาสา กลุ่มปุญญวิดี กลุ่มสวัสดี โดยแต่ละกลุ่มจะทำหน้าที่ของตนตามวัตถุประสงค์ของกลุ่มอย่างต่อเนื่อง (หน้า 153 - 154)กลุ่มแห่งความมุ่งมั่นใหม่ วัดโคก สมาชิกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานข้ามชาติพันธุ์ชาวมอญ มีจุดมุ่งหมายเพื่อทะนุบำรุงศาสนา สืบสานประเพณีอันดีงาม รวมถึงเป็นเครือข่ายที่หลอมรวมจิตใจให้ผ่อนคลายจากความคิดถึงบ้าน สมาชิกกลุ่มมีการติดต่อกับบุคคลภายนอก เช่น ติดต่อนักร้องชาวมอญจากเมียนมาเข้ามาทำการแสดงยังวัดโคก เป็นต้น (หน้า 156- 157)กลุ่มกัลยานะมิตตะกับสมาชิกหลากชาติพันธุ์ เกิดจากการรสมตัวของแรงงานข้ามชาติหลากหลายชาติพันธุ์ ที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน ใช้ภาษาพม่าเป็นสื่อกลางในการสื่อสารและทำกิจกรรมที่เน้นในเรื่องการบำรุงศาสนา (หน้า 159)ชมรมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่เท่าเทียมกัน : เครือข่ายทางสังคมขนาดใหญ่ของชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ หรือ กลุ่มอะไนน์แมะ มีสมาชิกจากหลากหลายชาติพันธุ์ จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือสมาชิกด้านการรักษาพยาบาล การฌาปนกิจ ในการแบ่งโครงสร้างการทำงานอย่างชัดเจน ประกอบด้วย ประธาน รองประธาน เหรัญญิก และคณะกรรมการของเขตพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบันชมรมนี้มีสมาชิกว่า 2,000 คน (หน้า 160 - 161)กลุ่มล้อก๊ะเยระนา เปรียบเสมือนตัวแทนของแรงงานข้ามชาติหลากชาติพันธุ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อรวมตัวกันทำความดี กิจรรมส่วนใหญ่เน้นการทำบุญ ไหว้พระ และช่วยเหลือสมาชิกที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นรายครั้ง (หน้า 167-168)กลุ่มชมรมคนรวมชาติเมียนมาร์ จัดตั้งขึ้นจากสมาชิกหลายกลุ่ม เช่น มอญ กะเหรี่ยง พม่า ทวาย เพื่อรวบรวมผู้สนใจประเด็นทางสังคมของเมียนมา ปัจจุบันกลุ่มยังมีสมาชิกจำนวนไม่มากนัก กิจกรรมภายในจึงเน้นไปที่งานช่วยเหลือสาธารณะ (หน้า 169)กลุ่มดัมมา ยองชี ปะหิตะ จัดตั้งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 สมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นหนุ่มสาว จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนา (หน้า 170)กลุ่มตาตานะ ฮิตะ กาลี เป็นกลุ่มที่มีการสร้างเครือข่ายอย่างแน่นเหนียว สังเกตได้จากสมาชิกกลุ่ม เมื่อกลับไปยังเมียนมา ก็ยังคงประสานงานกับกลุ่มในไทย กิจกรรมสำคัญที่กลุ่มดำเนินการ เช่น ช่วยเหลือพระสงฆ์จากเมียนมาที่เข้ามาศึกษาในไทย ช่วยเหลือเด็กกำกพร้าในย่างกุ้ง ช่วยเหลือแรงงานที่ไม่มีเงินเดินทางกลับย่างกุ้ง เป็นต้น (หน้า 172) |
|
Political Organization |
นโยบายของรัฐต่อแรงงานข้ามชาติ
ปี 2539รัฐบาลไทยเปิดให้มีการลงทะเบียนแรงงานข้ามชาติ โดยมีการกำหนดขอบข่าย
ประเภทของงานอย่างชัดเจน แรงงานมีอิสระจากการเลือกงาน ส่งผลให้แรงงานข้ามชาติเกิดการขยายตัว โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการจ้างงานด้านประมงทางทะเล แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงแรงงานที่ลักลอบเข้ามาโดยผิดกฎหมายได้ ทำให้กลุ่มแรงงานเหล่านี้ถูกเพิกเฉยในสิทธิและสวัสดิการ จนกระทั่งมีการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติแรงงานต่างด้าว เกิดการจ้างงานอย่างถูกกฎหมาย แรงงานข้ามชาติจึงเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น (หน้า 38 - 39)
ปี 2547 รัฐบาลมีการจัดการเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ โดยจัดระบบการจดทะเบียนขึ้นใหม่ทั้งหมด ทำให้ทราบจำนวนของแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามที่ถูกกฎหมายว่ามีอยู่ประมาณ 1 ล้านคน ในช่วงแรกมีเพียงกลุ่มแรงงานจากลาวและกัมพูชาที่ให้ความสนใจ สำหรับแรงงานเมียนมาเพิ่งตื่นตัว เมื่อประเทศของตนปรับเปลี่ยนไปในแนวทางประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายของพื้นที่การทำงานอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร (หน้า 40)
สำหรับแรงงานข้ามชาติกลุ่มชาติพันธุ์มอญที่อพยพเข้ามาในจังหวัดสมุทรสาครนั้น แรงงานหญิงจะประกอบอาชีพรับจ้างในโรงงานหรือธุรกิจขนาดเล็ก ส่วนแรงงานชายจะเป็นลูกเรือประมง โดยได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่กระทรวงแรงงานกำหนด (หน้า 41)
แรงงานข้ามชาติในมุมมองหน่วยงานท้องถิ่น
การทำงานของ อบต. ในพื้นที่ตำบลคอกกระบือ อำเภอเมืองสมุทรสาคร ที่มีกลุ่มแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมากระจายอยู่กว่าร้อยละ 80 เกิดประสบปัญหา เมื่อรัฐบาลมีนโยบายปิดล้งขนาดเล็ก เพื่อยกระดับให้ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมขนาดกลาง ทำให้ อบต. ต้องจัดการแก้ปัญหา โดยจัดระเบียบการอยู่อาศัยร่วมชุมชนอื่น ๆ จัดการด้านบริการทางสุขภาพ และการศึกษาในระดับท้องถิ่น (หน้า 54) |
|
Belief System |
ความเชื่อของชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอเมือง สมุทรสาคร
ชุมชนชาวจีนเป็นชุมชนแรกที่นับถือศาสนาคริสต์ เริ่มตั้งแต่ปี 2378 เมื่อคุณพ่ออัลบลังค์หมอสอนศาสนาเข้ามาเผยแพร่คำสอนแถวชุมชนแม่กลอง ท่าจีน ปากน้ำ ปากลัด ด้วยการเป็นศูนย์พักพิง ให้การศึกษาแก่ผู้พลัดถิ่นชาวจีน ต่อมาในปี 2425 คุณพ่อปีโอ ชาวฝรั่งเศสซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดวัดบางช้าง ได้มาเยี่ยมชุมชนท่าจีน และเห็นว่ามีคริสตังจำนวนมากที่นี่จึงสร้างวัดขึ้น แล้วเสร็จในปี 2431 โดยตั้งชื่อว่า วัดนักบุญอันนา ปัจจุบันวัดนักบุญอันนามีการจัดตั้งมูลนิธิ และโรงเรียนที่สอนการศึกษาระดับต้นแก่ลูกหลานแรงงานในระดับพิเศษ และโรงเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมทั้งพัฒนาชุมชนแรงงานพลัดถิ่นจากเมียนมา ที่เข้ามาทำงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร (หน้า 35)
ชุมชนชาติพันธุ์ชาวมอญ มีการอนุรักษ์ประเพณีสำคัญ เช่น เทศกาลตักบาตรน้ำผึ้ง เข้าพรรษา ออกพรรษา เทศกาลมหาสงกรานต์ ชาวมอญจะร่วมกันทำกระยาสารท และแต่งตัวตามแบบประเพณีโบราณ โดยเฉพาะเทศกาลมหาสงกรานต์ที่วัดบ้านเกาะ มีกิจกรรมการสรงน้ำพระแบบโบราณ คือ พระจะนั่งที่ปลายราง ชาวบ้านจะสรงน้ำลงไป ทำให้พระท่านเปียกน้ำทั่วทั้งตัว เป็นต้น (หน้า 63) สำหรับวันออกพรรษาชาวมอญจะถือโอกาสนี้บูชาครูและพระสงฆ์ที่ตนนับถือ โดยมากจะรวมกลุ่มกันไปทำบุญที่วัดศรีบูรณาวาส (วัดโคก) วัดป้อมวิเชียรโชติการาม วัดศิริมงคล นอกจากนี้กลุ่มแรงงานข้ามชาติพันธุ์ชาวมอญ ยังรวมตัวกันจัดตั้งคณะทำงานและเครือข่ายอาสา ช่วยทำความสะอาดวัดและสร้างศาสนสถานที่มีรูปแบบศิลปะมอญในวัดอีกด้วย (หน้า 77)
การทำบุญในช่วงสิ้นปีมีพิธีบรรพชาหรืออุปสมบท กลุ่มแรงงานข้ามชาติพันธุ์ชาวมอญจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส ส่วนด้านหน้าอุโบสถ ซึ่งเป็นบริเวณทำพิธี ผู้ชายที่บวชพระแต่งกายด้วยเสื้อสีขาว นุ่งโสร่งหลากสี ผู้หญิงที่บวชชีนุ่งจีวรสีชมพู มีขอบจีวรสีส้ม สำหรับผู้บวชพราหมณ์จะเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อสีขาว โสร่งและผ้าสไบสีน้ำตาล งานประเพณีนี้มีชาวมอญมาร่วมเป็นจำนวนมาก (หน้า 83)
ชุมชนแขกปาทาน (เชื้อสายปากีสถาน) ที่นับถือศาสนาอิสลาม นิยมไปมาหาสู่กัน มีการรับแขกแยกชายหญิง จึงสร้างเรือนรับรองขนาดเล็กแยกออกจากตัวบ้าน สำหรับต้อนรับแขกผู้ชาย ปัจจุบันวัฒนธรรมนี้จางลง พื้นที่นี้จึงมีพอสำหรับทำละหมาด ดังที่ชาวปาทาน เรียกว่า เดลา อันเปรียบเสมือนวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยธรรมปฏิบัติและสถานที่ในการละหมาด ซึ่งชาวมุสลิมจากเมียนมาอและกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาอิสลามนิยมมาประกอบพีธีกรรมกันที่นี่ นอกจากนี้ในเวลา 16.30 – 18.00 น. ยังมีการสอนอ่านคัมภีร์อัล- กุรอาน เป็นประจำทุกวัน (หน้า 99) |
|
Education and Socialization |
รูปแบบการศึกษาของลูกหลานแรงงานข้ามชาติ
กลุ่มแรงงานข้ามชาติในอำเภอเมืองสมุทรสาคร ที่มีเป็นจำนวนมาก มีความสนใจการศึกษานอกระบบ ปัจจุบันระบบการศึกษาในพื้นที่ดังกล่าวจึงจัดหลักสูตรเอื้อต่อกลุ่มผู้ไม่มีสัญชาติ 2 แบบ คือ แบบแรกสำหรับผู้ที่มีอายุ 8– 12ปี มีการเรียนการสอนในวันจันทร์ – ศุกร์ แบบที่สองเป็นการศึกษาของกลุ่มที่มีอายุ 15ปีขึ้นไปแต่ยังมีความต้องการเรียนอยู่ กลุ่มนี้จะเรียนเฉพาะวันอาทิตย์ ปัจจุบันเครือข่ายภายใต้การดำเนินงานของ กศน. มีทั้งสิ้น 8แห่ง คือ ศูนย์การเรียนรักษ์ไทย ศูนย์ของมูลนิธิ LPNศูนย์อันนา วัดเทพ วัดป้อม วัดโคก เรือนจำและวัดป่าชัยรังสี (หน้า 69) ในช่วงปี 2548 – 2550ระบบการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานแรงงานข้ามชาติมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เนื่องจากมีองค์กรภายนอกภาครัฐให้ความสนับสนุน ผลักดันให้เด็กได้เข้าสู่ระบบโรงเรียน สนับสนุนและทำงานร่วมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาทนายความ วุฒิสภา สถาบันวิชาการ จนเกิดมติคณะรัฐมนตรีให้เด็กข้ามชาติสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้ (หน้า 105)
ศูนย์เรียนรู้เพื่อเตรียมบุตรหลานแรงงานสู่ระบบการศึกษาไทย
ศูนย์การเรียนมูลนิธิเตรียมชีวิต จัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ รับเปิดทั้งเด็กไทยและเด็กต่างชาติ ในอัตราส่วน 1 ต่อ 5 (หน้า 106)
ศูนย์เรียนรู้ของมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน เข้ามาทำหน้าที่ประสานงานกับการศึกษาของรัฐในการรับเด็กข้ามชาติเข้าเรียน รวมถึงเตรียมการสอนให้เด็กในชุมชนแรงงาน โดยจะเน้นการเตรียมพื้นฐานภาษาไทย แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังต้องการส่งบุตรหลายไปเรียนต่อยังประเทศของตน เช่น ประเทศเมียนมา ทำให้หลายองค์กรจัดศูนย์การเรียนรู้ให้เด็กในลักษณะพหุภาษา (ไทย พม่า อังกฤษ) (หน้า 108)
ศูนย์การเรียนรู้ตามอัธยาศัยเพื่อสอบเทียบในระบบเมียนมา
ศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมมอญ โดยชมรมฟื้นฟูและอนุรักษ์วัฒนธรรมมอญ – ไทยรามัญ วัดคลองครุ โดยเปิดสอนภาษาไทยทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 9.00 – 15.00 น. หลังการเรียนมีการสวดมนต์ภาษามอญประจำสัปดาห์ ค่าใช้แรกเข้าคนละ 450 บาท เป็นค่าตำราภาษาไทย บัตรประจำตัวนักเรียน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (หน้า 110 - 111)
ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมไทย – มอญ วัดศรีบูรณาวาส (วัดโคก) เปิดสอนภาษามอญ ไทย อังกฤษ และคอมพิวเตอร์พื้นฐาน จัดการเรียนการสอนตามอัธยาศัย (หน้า 112 ) นักเรียนเกือบทั้งหมดเป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติชาวมอญ ทางวัดเปิดรับนักเรียนตลอดทั้งเทอม แบ่งการเรียนการสอนตามความสามารถของเด็ก (หน้า 114)
ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนวัดป้อมวิเชียรโชติการาม ตำบลมหาชัย เน้นการสอนภาษาไทย และเสริมความรู้ภาษามอญและภาษาอังกฤษ มีการแบ่งชั้นเรียนตามความเข้าใจภาษาไทย และมีข้อห้ามไม่ให้ผู้เรียนหยุดเกินสามสัปดาห์ การแต่งกายคล้ายชุดนักศึกษา (หน้า 115)
ศูนย์เรียนรู้ทักษะวัฒนธรรมวัดเจษฎา เด็กที่ศึกษาอยู่เป็นเด็กมอญทั้งหมด การเรียนการสอนใช้ภาษาไทยและภาษามอญ ผู้ปกครองเสียค่าใช้จ่าย 300- 400 บาทต่อเดือน (หน้า 118)
ศูนย์การเรียนรู้แบบมอญ วัดเทพนรรัตน์ จัดการสอนภาษาไทย มอญ และพม่า (หน้า 120)
ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักสูตรพม่า วัดเทพนรรัตน์ นำหลักสูตรตามระบบของเมียนมามาใช้ สอนด้วยภาษาพม่า ดำเนินการโดย MCDCเปิดในปี 2013 หลักสูตรนี้สามารถสอบเทียบคุณวุฒิเพื่อไปศึกษาต่อระดับสูงยังเมียนมาได้ โดยนักเรียนทั้งหมดต้องสวมเครื่องแบบแบบเมียนมา คือกางเกงและกระโปรงสีเขียว โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 300 บาทต่อเดือน(หน้า 120-121)
ศูนย์เรียนรู้ภาษาพม่าวัดศรีเมือง ใช้หลักสูตรและตำราการเรียนจากเมียนมา เพื่อหวังเตรียมความพร้อมหากเด็กต้องการกลับไปศึกษาต่อยังประเทศของตน ภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอนคือ ภาษาพม่าและอังกฤษ ค่าใช้จ่ายคนละ 300 บาทต่อเดือน (หน้า 122-123)
โรงเรียนกิตติศักดิ์ เมียนมาร์ มหาชัยวิลล่าซอย 1ทำการเรียนการสอนโดยใช้พม่าเมียนมา เมื่อเรียนจบสามารถไปศึกษาต่อในเมียนมาได้ (หน้า 125)
การเรียนการสอนที่จัดขึ้น โดยครูอาสามีผลอย่างยิ่งต่อการผลักดันโอกาสทางการศึกษา และช่วยให้บุตรหลายแรงงานข้ามชาติปรับตัวและเรียนรู้วัฒนธรรมทางสังคม (หน้า 125)
นอกจากการมีศูนย์เรียนรู้และโรงเรียนเป็นสถานที่ให้ความรู้กับกลุ่มแรงงานข้ามชาติแล้วยังมีพื้นที่ทางความที่สำคัญควรกล่าวถึงเพิ่มเติม เช่น ห้องสมุดธรรมะแสงสว่าง ก่อตั้งโดยพระสงฆ์ชาวพม่า เปิดทำการในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 7.00 – 10.00 น. วันอาทิตย์ตั้งแต่ 7.00 – 20.00 น. พนักงานประกอบด้วย หัวหน้าห้องสมุด รองหัวหน้า เหรัญญิก และคณะกรรมการ มีค่าใช้จ่ายสำหรับสมาชิกเดือนละ 100 บาท บริการหนังสือเช่น หนังสือพิมพ์ นิยาย นิตยสาร การ์ตูนภาษาพม่า นอกจากนี้ห้องสมุดยังจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านหนังสือภาษาพม่า (หน้า 166) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ภาพ
- สุเหร่าและคนที่มาร่วมพิธีละหมาดในวันศุกร์ ซึ่งมีทั้งคนไทยมุสลิม คนต่างชาติ และแรงงานข้ามชาติ (หน้า 100)
- แรงงานข้ามชาติมุสลิมกำลังเตรียมตัวทำพิธีละหมาด (หน้า 102)
- โต๊ะอิหม่ามกำลังทำพิธีละหมาด (หน้า 103)
- โต๊ะอิหม่ามกำลังอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน (หน้า 103)
- หลังจากทำพิธีละหมดเรียบร้อยแล้วมุสลิมก็ออกมาจากห้องทำพิธี เพื่อมาเตรียมรับประทานอาหารร่วมกัน (หน้า 103)
- การเรียนการสอนภาษาไทยวันอาทิตย์ที่โรงเรียนคลองครุ (หน้า 112)
- ภาพนักเรียนจากศูนย์เรียนรู้วัดป้อม แต่งกายในชุดประจำชาติมอญไปร่วมกิจกรรมวันแม่ (หน้า 117)
- ครูอาเย (ผู้หญิงด้านขวา) ให้เด็กนักเรียนเข้าแถวเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน (หน้า 123)
- รถรับ – ส่ง นักเรียนของครูอาเย
- โรงเรียนกิตติศักดิ์ เมียนมาร์ มหาชัยวิลล่าซอย 1 (หน้า 125)
- ด้านหลังบัตรสมาชิก จะมีชื่อ – เบอร์ของกรรการที่เก็บเงินในแต่ละพื้นที่ (หน้า 163)
- หม่องตาน ประธานกลุ่มอะไนน์แมะคนปัจจุบัน (หน้า 163)
- ตราสัญลักษณ์ในเสื้อกลุ่ม ซึ่งรวมชนชาติต่าง ๆ ของเมียนมา (หน้า 168)
- ภายในห้องของแกนนำกลุ่ม มีแผนผังลำดับชั้นโครงสร้างของกลุ่มภายใต้รูปพระ และประกาศนียบัตรของพระสงฆ์จากเมียนมา ตลอดจนภาพพระเจ้าอยู่หัว (หน้า 174)
- เสื้อกลุ่มที่มีตราสัญลักษณ์พานวางพระไตรปิฎก (หน้า 174)
ตาราง
- สำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 2559 (หน้า 110)
- แสดงรายละเอียดกลุ่มเครือข่ายชาติพันธุ์ไม่เป็นทางการในอำเภอเมืองสมุทรสาคร (หน้า 149 – 151) |
|
|