|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิมมลายู จราเมาะห์อากามา ขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนา มัสยิดกลางปัตตานี |
Author |
อัสรี มาหะมะ |
Title |
“จราเมาะห์อากามา” (การบรรยายศาสนา): ความหมาย และขบวนการเคลื่อนไหวทาง ศาสนาของชาวมลายูมุสลิมสายจารีต |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
และ ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
180 |
Year |
2558 |
Source |
วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ชาติพันธุ์สัมพันธ์และการพัฒนา) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
วิทยานิพันธ์ฉบับนี้ ศึกษาพิธีกรรมทางศาสนาของชาวมลายูมุสลิมสายเก่าที่เรียกว่า จราเมาะห์อากามา หมายถึงการฟังการบรรยายศาสนาทุกวันเสาร์ในมัสยิดกลางปัตตานี เพื่อศึกษาขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาของกิจกรรมดังกล่าวที่แสดงถึงการต่อรอง ตอบโต้ และยืนหยัดในความเป็นมลายูมุสลิมสายจารีตภายใต้บริบทของความทันสมัยจากรัฐและกระบวนการอิสลามานุวัตร
ผู้วิจัยใช้กระบวนการศึกษาแบบชาติพันธุ์วรรณนา โดยใช้วิธีการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม พื้นที่ศึกษาคือ มัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี ซึ่งจะมีชาวมลายูมุสลิมมาร่วมจราเมาะห์อากามาหรือร่วมฟังการบรรยายศาสนาในทุกวันเสาร์
ผลการศึกษาพบว่า ชาวมลายูมุสลิมกว่า 1 พันคนคนมารวมตัวกันทำกิจกรรมทางศาสนาเพื่อรับฟังการบรรยายทางศาสนา โดยการบรรยายนั้นเป็นไปเพื่อ การตีความเพื่อปรับตัวและความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และการสร้างสำนึกต่อความเป็นท้องถิ่น (หน้าบทคัดย่อ) |
|
Focus |
ศึกษาขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาผ่านการบรรยายศาสนา (จราเมาะห์อากามา) ของกลุ่มมลายูมุสลิมสายจารีต เพื่อโต้ตอบ ต่อรองกับความทันสมัย การพัฒนาของรัฐไทยและอิสลามานุวัตร และสร้างสำนึกความเป็นมลายูท้องถิ่นสยายจารีต ผ่านการตีความและการให้ความหมายของผู้ที่เข้าร่วมการบรรยาย (หน้า 5) |
|
Theoretical Issues |
แม้การจราเมาะห์อากามาของกลุ่มสายจารีตในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จัดอยู่ภายใต้แนวคิดอิสลามานุวัตรในแง่ของการฟื้นฟูศาสนา แต่มีวัตถุประสงค์และแนวคิดในการฟื้นฟูที่แตกต่างกัน กล่าวคือขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาของชาวมลายูมุสลิมสายจารีตที่ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อตอบโต้อำนาจรัฐหรือต่อต้านแนวคิดความทันสมัยทั้งหมด แต่เป็นการปรับตัวกับสิ่งที่เป็นปัญหาที่มาพร้อมกับความทันสมัย เป็นพื้นที่ของการนำเสนอ ช่วงชิงทางวัฒนธรรม และการยืนหยัดความเป็นท้องถิ่นของตัวเองไว้ (หน้า 172-175) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มลายูมุสลิม (สามจังหวัดชายแดนภาคใต้) มลายูมุสลิมสายจารีต (หน้า 5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
การเก็บข้อมูลแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ เดือน พ.ค.-ส.ค. 2556 และ เดือน ก.ค.-ก.ย. 2557 |
|
History of the Group and Community |
มลายูมุสลิมสายจารีต(ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) เป็นชาวมลายูท้องถิ่นที่อาศัยอยู่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และอีกสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ เทพา จะนะ สะบ้าย้อย และนาทวี ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และการเมืองที่เป็นรัฐฮินดู-พราหมณ์ ต่อมาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 12-14 ศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้ ดังนั้น จึงทำให้คนท้องถิ่นที่รับเอาศาสนาอิสลามมีการผสมผสาน ประยุกต์แนวคิด หลักการศาสนาอิสลามเข้ากับความเชื่อแบบเดิม และเรียกว่า มลายูมุสลิมสายจารีต (หน้า 6)
สำหรับชุมชน (พื้นที่) ที่ผู้ศึกษาวิจัยนั้นคือ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ในเขตเมืองปัตตานี ตำบลอา-เนาะรู มีขนาดใหญ่และถือว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย ถูกสร้างขึ้นมาภายหลังการหายตัวของฮัจญี สุหลง ผู้นำศาสนาคนสำคัญในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปี พ.ศ.2497
พื้นที่แห่งนี้ได้ถูกใช้เคลื่อนไหวทางการเมืองแลศาสนาหลายครั้ง เช่น ในปี พ.ศ.2518 ชาวมลายูมุสลิมได้ใช้พื้นที่มัสยิดปัตตานีในการประท้วงต่อเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีการเสียชีวิตของเยาวชน 4 คนที่สะพานกอตอ ของจังหวัดปัตตานี ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2535 คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ได้ริเริ่มจัดการจรา-เมาะห์อากามา ตามคำเรียกร้องของชาวมลายู
จนกระทั่งในปี พ.ศ.2550 ภายใต้สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มัสยิดกลางปัตตานีได้ถูกใช้เป็นพื้นที่การประท้วงของบรรดาปัญญาชน นักศึกษาและชาวบ้านอีกครั้งในกรณีของการเรียกร้องความยุติธรรมและการขอยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้ยังคงเป็นที่รวมตัวรับฟังจราเมาะห์อากามาเช่นเดิม (หน้า 26) |
|
Political Organization |
นับตั้งแต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการรวมศูนย์อำนาจ โดยมีระบบเทศาภิบาลเป็นกลไกควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ และตามมาด้วยการปฏิรูปการปกครองขนานใหญ่ในสยาม ทำให้ระบบการปกครองแบบรัฐไทยเข้ามาแทนที่ระบบการปกครองเดิมของชาวมลายู
การพัฒนาที่เจริญจากเดิมอย่างรวดเร็ว ด้านหนึ่งก็ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่มากมายทั้งการแปรสภาพของระบบการศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางทรัพยากร การเปลี่ยนแปลงค่านิยม วัฒนธรรมและภาษา
นอกจากนั้นการที่ต้องปะทะกับกระแสอิสลามานุวัตรจากโลกตะวันตก ชาวมลายูมุสลิมสายจารีตต้องหันมาเจอกับปัญหาภายในกันเองในปี พ.ศ.2523 จากกลุ่มมลายูรุ่นใหม่ที่สำเร็จการศึกษาจากอาหรับได้นำแนวคิดปฏิรูปศาสนาเข้ามาปรับใช้ในพื้นที่โดยมีแนวคิดที่จะขจัดสิ่งอุตริกรรมหรือสิ่งที่ศาสดาไม่ได้ปฏิบัติ จนกลุ่มสายจารีตต้องหาทางตอบโต้ (สรุปจากหน้า 29-49) |
|
Belief System |
ชาวมลายูมุสลิมในพื้นที่ภาคใต้ของไทย แต่เดิมนับถือฮินดู-พราหมณ์ ต่อมาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 12-14 ศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้ ดังนั้น จึงทำให้คนท้องถิ่นที่รับเอาศาสนาอิสลามมีการผสมผสาน ประยุกต์แนวคิด หลักการศาสนาอิสลามเข้ากับความเชื่อแบบเดิม มีพิธีกรรมที่ยึดโยงกับวิธีชีวิตท้องถิ่นของตนเอง (น.6) |
|
Education and Socialization |
“จราเมาะห์อากามา” เป็นกระบวนการส่งต่อความรู้ด้านศาสนาของชาวมลายูมุสลิมสายจารีตในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ลักษณะของพิธีกรรม คือ การบรรยายศาสนาในพื้นที่สาธารณะที่เป็นกิจกรรมในระดับสังคม มีผู้บรรยาย ผู้จัด และมีผู้ร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก โดยมีลักษณะการบรรยายในเชิงตีความศาสนา การอธิบายและประยุกต์ใช้กฎหมายอิสลาม (ชารีอะห์) รวมทั้งการให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตของมุสลิมในสถานการณ์ปัจจุบัน (หน้า 5) จราเมาะห์อากามามีวิธีการหรือกระบวนการที่ถ่ายทอดความรู้ศาสนาและการตีความที่ให้คุณค่ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การใช้ภาษามลายู ค่านิยม คติความเชื่อและโลกทัศน์มลายู และเน้นแก้ปัญหาของการดำเนินชีวิตในสังคม (หน้า 153) อย่างไรก็ตามสำหรับชาวมลายูมุสลิมที่เข้ามารับฟังเทศนาธรรม มักใช้คำเรียกตามภาษาชาวบ้าน เช่น บายันอากามา (บรรยาย) มืองาจาร (สอน) แต่งานชิ้นนี้ผู้วิจัยใช้คำว่า “จราเมาะห์อากามา” (หน้า 5)
การจราเมาะห์อากามา สามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือช่วงที่หนึ่ง บาบอบรรยายคำสอนในกีตาบยาวีที่แปลอัลกุรอ่าน ช่วงที่สอง บาบอจะบรรยายวัจนะและประวัติศาสตร์ท่านศาสดามูหัมหมัด ช่วงที่สามจะเป็นการเปิดให้ตั้งคำถามทั้งจากการบรรยายและประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่แต่ละคนเผชิญหรือข้องใจทางศาสนาและปัญหาที่เผชิญในสังคม (หน้า 76) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
สถาปัตยกรรมมัสยิดกลางปัตตานี
มัสยิดกลางปัตตานีมีรูปทรงทางด้านสถาปัตยกรรมแบบตะวันออกกลาง เป็นอาคารชั้นเดียวมีโดมขนาดใหญ่สีเขียว 5 โดม และหอคอยสูง 4 หอ ตั้งตระหง่านเป็นจุดเด่น ด้านหน้ามัสยิดมีสระน้ำพุ และสนามหญ้าสวนดอกไม้และต้นอินทผาลัม ตัวอาคารถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องสีครีมแดง มีเสาประกอบหลายต้น มีประตู 3 ด้าน ด้านหน้าเป็นประตูใหญ่ ข้างบนประตูเป็นอักษรภาษาอาหรับและภาษาไทย ซึ่งเป็นชื่อ มัสยิดกลางปัตตานี ในภาษาอาหรับ มีชื่อว่า มัสยิดยาแมหฺฟาตอนีย์ บริเวณตัวอาคารประกอบไปด้วยหน้าต่างและกระจกล้อมรอบตัวอาคาร จึงมีลักษณะโล่งกว้างอากาศถ่ายเทเป็นอย่างดี (หน้า 59)
การแต่งกาย
จุดเด่นของกลุ่มคนที่เข้าร่วมการจราเมาะห์อากามาในวันเสาร์ คือ การแต่งกายที่ไม่ได้เป็นปกติธรรมในชีวิตประจำวัน กลุ่มผู้ชาย จะการแต่งกายด้วยชุดตะโล๊ะบลางอ ผ้าโสร่ง ที่มีทั้งสีขาว ดำและสีโอรส ส่วนกลุ่มผู้หญิงแต่งกายด้วยชุดกูรง ชุดอาบายะห์ ซึ่งมีสีสันหลากหลายสี ชุดแต่งกายเช่นนี้ คือชุดประจำถิ่นของชาวมลายูมุสลิมเป็นเครื่องบ่งชี้หรือแสดงว่า เป็นมุสลิมหรือเป็นคนมลายู การแต่งกายยังมีผลต่อความรู้สึกในแง่ศาสนา เช่น การปกปิดร่างกายตามหลักคำสอนศาสนาและเป็นชุดที่เหมาะสมกับการทำพิธีทางศาสนาหรือละหมาดและยังส่งผลต่อความรู้สึกใกล้ชิดกับศาสนาและพระเจ้ามากกว่า การใส่เสื้อผ้าทั่วไป (หน้า 152) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมมาจากการพัฒนาของรัฐและกระแสความทันสมัยจากโลกตะวันตก ในหมู่ชาวมลายูมุสลิมรุ่นใหม่เริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและรับวัฒนธรรมค่านิยมใหม่จากคนกรุงเทพ เนื่องจากการบริโภคสื่อโทรทัศน์ การรับข้อมูลจากสื่อบันเทิงต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นละคร รายการบันเทิง ภาพยนตร์ ส่งผลให้เกิดการยอมรับและนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ดังเช่น การแสดงออกเสรี พฤติกรรม ท่าทาง ลักษณะการแต่งกายที่ไม่ปกคลุมมิดชิดหรือรัดตัวมากขึ้น ภาษาไทยหรือแม้แต่ความนิยมในวัตถุ ปัจจุบันเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในด้านนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนยังได้รับอิทธิพลของค่านิยมที่มาจากกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงประเทศมาเลเซียด้วยเช่นกัน ทำให้เห็นถึงรสนิยมที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะความนิยมในแฟชั่นการแต่งกาย ดังที่พบในปัจจุบัน คือ วัยรุ่นสตรีมุสลิมนิยมการแต่งกายแฟชั่นเสื้อผ้าที่มีสีสัน มี2ลูกปัด ลายดอก หลายหลายรูปแบบ ซึ่งนำเข้าจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ทั้งนี้ชุดการแต่งกายเหล่านี้ยังมีการผสมผสานระหว่างชุดแต่งกายแบบทันสมัยหรือแบบจากตะวันตกกับผ้าคลุม (ฮีญาบ) ในแบบมุสลิม (น.37-38) |
|
Map/Illustration |
1. รูปภาพแผนที่พื้นที่ศึกษา (มัสยิดกลางปัตตานี) หน้าที่ 25
2. รูปภาพโครงสร้างของกลุ่มจราเมาะห์อากามา หน้าที่ 62
3. รูปภาพกระบวนการจราเมาะห์อากามา หน้า 80 |
|
|