สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ภาษา ศาสนา วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ อาหาร ศิลปะ ชาติพันธุ์ ล้านนา
Author พิสิฎฐ์ โคตรสุโพธิ์, สบทบ พาจรทิศ, สมศักดิ์ จันทร์น้อย, นัคเรศ ชนะดวงดี, สนั่น ธรรมธิ, เฉลิมเวศน์ อูปธรรม, วีระพงษ์ แสง-ชูโต, จรัส ปันธิ, วิโรจน์ อินทนนท์, ชนินทร์ เขียวสนุก, วิฑูรย์ เหลียวรุ่งเรือง, อุษณีย์ ธงไชย, ชาญณรงค์ ศรีสุวรรณ, วรลัญจก์ บุณยสุรัตน์, ทวีศักดิ์ เกียรติวีระศักดิ์, เชาวลิต สัยเจริญ, สราวุธ รูปิน, สุวิภา จำปาวัลย์, ธิติพล กันตีวงศ์, มาณพ มานะแซม, ณรงค์ ศิขิรัมย์, ศรีเลา เกษพรหม, อุดม ชัยทอง, วสันต์ ปัญญาแก้ว, เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช, ธิตินัดดา จินาจันทร์, ขวัญชีวัน บัวแดง, พรไพโรจน์ คงทวีศักดิ์, ประสิทธิ์ ลีปรีชา, อานันท์ กาญจนพันธ์
Title ล้านนาคดีศึกษา
Document Type บทความ Original Language of Text -
Ethnic Identity ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, ปกาเกอะญอ, ไทใหญ่ ไต คนไต, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, มหาวิทยาลัยขอนแก่น Total Pages 546 Year 2557
Source
Abstract

เนื้อหาของงานได้แบ่งเป็นสี่หมวดใหญ่  ได้แก่ หมวดที่ 1ปรัชญา ศาสนา ภาษาและวรรณกรรม, หมวดที่สอง ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และอื่นๆ, หมวกที่สาม ที่อยู่อาศัย สถาปัตยกรรม ดนตรี และอื่นๆ , หมวดที่สี่เกี่ยวกับชาติพันธุ์  โดยประกอบด้วยหลายบทความที่กล่าวถึงล้านนา สะท้อนผ่าน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ของไทยวน หรือคนเมือง ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ของล้านนา และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่อยู่ในล้านนาเช่นเดียวกัน ในการศึกษาได้เล่าผ่าน  บทบาทของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาลแห่งแรก ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความรู้ให้กับคนที่อยู่ในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง หนังสือเล่มนี้จึงมีเนื้อหาที่กล่าวถึงล้านนาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่สมัยพญามังรายได้สถาปนอาณาจักรล้านนาขึ้น  ผ่านยุครุ่งเรือง และความเปลี่ยนแปรต่างๆมากมาย  แต่คนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น ลื้อ กะเหรี่ยง อาข่า ม้ง และอื่นๆ ยังมีเรื่องเล่าของตนเอง ผ่านภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจและการเมือง ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการศึกษาในโครงการล้านนาคดีศึกษาในครั้งนี้

Focus

มุ่งให้เกิดความเชื่อมโยงและสร้างความร่วมมือระหว่างคณะ สถาบัน และสำนักในการบูรณาการข้ามสาขาวิชาแล้วนำความรู้เผยแพร่สู่ชุมชน และยกระดับการศึกษา  เพื่อนำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ความเป็นผู้นำด้านล้านนาคดีให้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสามารถที่จะอนุรักษ์ สืบสานพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ของท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป

Ethnic Group in the Focus

ลื้อ  
          ชาวลื้อเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ตระกูลภาษาไทย โดยตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณลุ่มน้ำโขงตอนบน โดยปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์เริ่มจากช่วงปลายศตวรรษที่ 17 โดย ได้ตั้งรัฐของชาวลื้อ  บริเวณภาคเหนือของไทย และทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ภาคตะวันออกของรัฐฉาน  ภาคเหนือและภาคกลางตอนบนของลาว และบางพื้นที่ของภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม กับภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 430)
          หลังจากที่มีการแบ่งประเทศเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ ในบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนบน  โดยเริ่มจากยุคที่ประเทศชาติตะวันตกเข้ามาล่าอาณานิคม ในช่วงกลางพุทธศักราชที่ 24 ดังนั้นจึงทำให้ดินแดนของชาวลื้อถูกแบ่งออกโดยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน  พม่า  ลาว  หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2  ชาวลื้อถูกแยกย่อยเป็นกลุ่มตามประเทศที่อยู่ เช่น เป็นชนชาติส่วนน้อยชาวไต  (ลื้อสิบสองปันนา)  ในประเทศจีน   ลาวลุ่ม (ลื้อเมืองพง  เมืองอู  เมืองสิงห์  เวียงภูคา ในประเทศลาว) เป็นชาวฉาน (ลื้อ เมืองยอง เมืองพยาก ท่าขี้เหล็ก และเชียงตุงในประเทศพม่า) เป็นชาวไทย (ลื้อที่อยู่บริเวณชายแดนจีน-เวียดนาม) ในภาคเหนือของเวียดนาม และชาวไทยลื้อ ในภาคเหนือของประเทศไทย  (หน้า 430,430-441)
 
“ญาง” หรือ กะเหรี่ยง
          คำว่า “กะเหรี่ยง” เป็นคำที่มอญใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษาและวัฒนธรรม ที่อยู่บริเวณภาคกลางของไทย และทางภาคใต้ของพม่า ส่วนคนไทใหญ่ในรั้ฐฉาน และทางภาคเหนือของพม่า และกลุ่มคนภาษาไต/ ไท กับคนเมืองที่อยู่ล้านนา เรียกกะเหรี่ยงว่า “ญาง”  ซึ่งจากการศึกษาระบุว่า กะเหรี่ยงกับคำว่า “ญาง” เป็นคำเดียวกัน มาจากคำพม่าโบราณที่เรียกกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงว่า “karyan” ที่ออกเสียงเป็นกะเหรี่ยง  ส่วนคำว่า “ญาง” ได้แก่การตัดเฉพาะพยางค์ท้ายของคำว่า “yan” ที่ออกเสียงว่า “ญาง”     (หน้า 481)
 
ไทใหญ่
          จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศพม่า ดังนั้นจึง มีการเดินทาง เข้าออกของชาติพันธุ์ต่างๆ มาเนิ่นนาน ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ โยกย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนตั้งแต่ปลายพุทธศักราชที่ 24หลังเกิดความไม่สงบของหัวเมืองชาติพันธุ์ไทที่อยู่บริเวณฝั่งแม่น้ำสาละวิน รวมทั้งการต่อสู้ระหว่างเจ้าฟ้าเมืองนายกับเจ้าฟ้าโกหล่าน  จากเมืองหมอกใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2409 จึงมีกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่โยกย้ายที่อยู่เข้ามาตั้งรกรากในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจำนวนมาก (หน้า 469)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาคำเมือง
          งานเขียนได้กล่าวถึงภาษาคำเมือง หรือ “ตั๋วเมือง” เอาไว้ดังนี้  ในช่วง พ.ศ. 1822-1841 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง กษัตริย์องค์ที่สาม ของกรุงสุโขทัย พระองค์องค์ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทย (หน้า 4) ส่วนอาณาจักรล้านนา ของคนเชื้อสายโยนกหรือยวน สันนิษฐานว่า น่าจะมีการคิดค้นตัวอักษร “ตั๋วเมือง” สำหรับเขียนภาษาไทยยวน ต่อมาตั๋วเมืองได้แพร่หลายไปสู่อาณาจักรล้านช้าง (หน้า 4) และข้ามโขงสู่ภาคอีสานของประเทศไทย พัฒนารูปแบบเป็นตัวอักษรไทยน้อย (หน้า 5)
          ภาษาล้านนาหรือ “ตั๋วเมือง” มีทั้งในภาคเหนือ และภาคอีสาน แต่ลักษณะรูปแบบจะไม่เหมือนกัน ภาคเหนือเรียกว่า “อักษรธรรมล้านนา” ตั๋วเมือง” หรือ “ตั๋วธรรม” ส่วนภาคอีสานเรียกว่า “อักษรธรรม” ซึ่งมีรูปแบบใกล้เคียงกับอักษรล้านนา สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากตัวอักษรธรรมล้านนา ส่วนที่มาของอักษรธรรม ทุกวันนี้ยังไม่รู้ที่มาของตัวอักษรธรรม (ตั๋วเมือง) ว่าเกิดมาจากไหนใครคิดค้น หรือประดิษฐ์ขึ้นมาเมื่อปีไหน  แต่ผู้เขียนได้หาข้อสันนิษฐานจากผู้เชี่ยวชาญ  ซึ่งได้ความคิดเห็นที่แตกต่างกันดังนี้ (หน้า 5)  ประเสริฐ  ณ นคร ระบุว่า พระเจ้ามังราย  ทรงนำหนังสือมอญมาเขียนภาษาไทยอยู่ก่อนแล้ว เรียกว่าตัวหนังสือพื้นเมือง  (หน้า 5) ส่วนยอร์ซ เซเดย์ คาดว่า ตัวหนังสือล้านนาได้แบบมาจากตัวหนังสือมอญโบราณ  (หน้า 5)
          ส่วนมหาสิงฆะ วรรณสัย ผู้แต่งหนังสือแบบเรียนลานนาไทย ระบุว่า ยังไม่รู้แน่ชัดว่า ผู้ใดคิดค้น ตัวหนังสือตั๋วเมือง  แต่คาดว่าเป็นตัวหนังสือรุ่นเดียวกับ มอญ พม่า  เนื่องจากมีรูปร่างกลมเหมือนกัน แต่ถ้าดูลักษณะแล้วจะใกล้เคียงกับตัวหนังสือขอม ซึ่งคาดว่าอาจจะดัดแปลงมาจากตัวหนังสือขอม  (ดูแผนภูมิหน้า 5และ 6)
 
กลุ่มที่พูดภาษาไท –กะได  แบ่งเป็นสามกลุ่มย่อยดังนี้
          1.กลุ่มตะวันตก เช่น กลุ่มไทอาหม, ไทอ้ายตอน, ไทพาเก่ ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย  ไทคำตี่ ในรัฐอัสสัม กับตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า ไทยใหญ่ในรัฐฉาน ปะเทศพพม่า ไทเหนือ ที่อยู่ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน    (หน้า 460)
          2.กลุ่มใต้ เช่น กลุ่มสยาม ที่อยู่ในประเทศไทย กลุ่มไทยใต้  ไทยภาคกลาง    (หน้า 461)
          3.กลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง  เช่นคนไทยที่อยู่ที่ราบลุ่มน้ำโขง นับจากพม่า กระทั่งลงไปถึงตอนเหนือของลาว ตัวอย่างเช่น ไทลื้อ สิบสองปันนา  ยูนนาน เมืองยอง  เชียงตุง ในรัฐฉาน  ประเทศพม่า  กับบางส่วนที่อยู่ในประเทศลาว  กับคนไทลื้อในพะเยา  เชียงราย  ลำพูน ในประเทศไทย , ไทเขิน ในเชียงตุง ประเทศพม่า ไทยวนที่อยู่ในล้านนา (หน้า 461)
          4.กลุ่มที่อยู่ที่ราบตอนกลาง ตัวอย่างเช่น ไทดำ ไทขาว  ไทแดงในเวียดนามตอนเหนือ  หรือ ไทซำเหนือ ในหัวพันทั้งห้า ทั้งหก เขตซำเหนือในลาว , ไทพวนในเมืองพวน  เซียงทอง ประเทศลาว ผู้ไทในลาวกับจังหวัดนครพนม ไทกะเลิง  ไทย้อ  ไทแสก (หน้า 461)
          5.กลุ่มตะวันออก เช่น คนไทย ในประเทศจีนกับประเทศเวียดนาม  ไทย้อยใน   กุ้ยโจว   จ้วงในเขตจ้วง กวางสี, ไทนุง ไทโท้ ในกวางสี กับตอนเหนือของลาว (หน้า 461)
          6.กลุ่มกะได  เช่น คนไทเกาะไหหลำ  ประเทศจีน  (หน้า 461)

History of the Group and Community

อาณาจักรล้านนา
          ก่อตั้งอาณาจักรในช่วง พ.ศ. 1835-2010 โดยมีพระยามังรายเป็นปฐมกษัตริย์  และได้สร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ.1839  กระทั่ง พ.ศ. 2010เมืองเชียงใหม่ก็เสื่อมถอยตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า (หน้า 4) การสถาปนาอาณาจักรล้านนา พระยามังราย ได้รวมเอาอาณาจักหริภุญชัย ของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 13 มีเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองหลวง เริ่มจากปี พ.ศ. 1839  ประกอบด้วยกลุ่มหลากหลายชาติพันธุ์ ซึ่งมีคนเมืองเป็นประชากรส่วนใหญ่(หน้า 86)
          ด้านการปกครอง ปกครองด้วยกฎหมายมังรายศาสตร์ มีอาณาเขตครอบคลุมเมืองต่างๆ ได้แก่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย เชียงแสน น่าน แพร่  พะเยา  เชียงใหม่  แม่ฮ่องสอน  เชียงตุง  สิบสองพันนา (หน้า 86)
          ด้านภาษา  ด้านภาษา มีภาษาล้านนาหรือ “ตั๋วเมือง” เป็นภาษาสื่อสาร และมีภาษาอื่นด้วย เช่น ภาษาเขิน  ภาษาลื้อ และอื่นๆ  (หน้า 86)
          อย่างไรก็ตาม  พัฒนาสังคมกลุ่มชาติพันธุ์ในดินแดนไทย ย้อนไปได้ 6แสนปี  แต่ไม่สามารถระบุลงไปได้อย่างชัดเจน ว่ากลุ่มคนที่อยู่ในดินแดนไทย มีมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ชุมชนเริ่มหนาแน่น และมีการติดต่อ กับสังคมภายนอก รับรับวัฒนธรรมจากภานอก ในช่วงพุธศตวรรษที่ 19 (หน้า 155) จากการจำแนกหลักฐานทางโบราณคดี สามารถแบ่งพัฒนาการของสังคมมนุษย์ในภูมิภาคตอนบนได้ดังนี้   (หน้า 156)
          สมัยแรก        พัฒนาการของคนในสมัยไพลสโตซีน (หน้า 156)
          สมัยที่สอง        พัฒนาการของคนในสมัยโลหะ และดินน้ำ เครื่องปั้นดินเผา
          สมัยที่สาม        อาณาจักรหริภุญไชย  สมัยเข้าสู่ยุตประวัติศาสตร์ภูมิภาคตอนบน
          สมัยที่สี่            สมัยอาณาจักรล้านนา (หน้า 156)
 
อาณาจักรหริภุญไชย
          จากหลักฐาน ทางแอกสารที่พบระบุว่า ฤษีวาสุเทพ กับสุทกกทันตฤษี ได้สร้างเมืองหริภุญไชย เมื่อ พ.ศ.1204 และเชิญพระนางจามเทวี จากเมืองละโว้ขึ้นมาปกครองเมือง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า หริภุญไชย และเมืองละโว้ได้ติดต่อกันและมีการถ่ายทอดวัฒนธรรม ในการศึกษาได้กล่าวถึงทูตควาย ทูตของฤษีวาสุเทพ ได้นำคน 500 คน ไปเชิญพระนางจามเทวีมาปกครองเมืองหริภุญไชย เมื่อพระนางเสร็จมาที่เมืองพระองค์ก็มาพร้อมกับพระ 500รูป และบริวารจำนวน 500คน ผู้เขียนบอกว่าตัวเลขจำนวน 500 นี้คงไม่ได้เป็นจริง แต่เป็นเครื่องหมายในตำนานที่แสดงถึงจำนวนมาก       (หน้า 165)
 
อาณาจักรล้านนา
          ต้นพุทธศักราชที่ 19ก่อนการก่อตั้งอาณาจักรล้านนา ภูมิภาคตอนบนมีศูนย์กลางอำนาจที่เป็นอิสระแก่กัน อันประกอบด้วย

  1. แคว้นโยน ที่อยู่ในเขตที่ราบลุ่ม แม่น้ำกก กับฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง โดยมีเมืองหลวงชื่อ หิรัญนครเงินยาง (ใกล้เชียงแสน) มีพระยามังรายเป็นผู้ปกครอง (หน้า 171)
  2. ภูกามยาว (พะเยา) ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำอิง  มีพระยางำเมืองเป็นเจ้าเมือง
  3.  อาณาจักรหริภุญไชย ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง ผู้ปกครองคือพระยายีบา ราชวงศ์จามเทวี (หน้า 171)
          อาณาจักรล้านนา มาจากการรวบรวมเมืองต่างๆ โดยมีเชียงใหม่เป็นเมืองหลวงซึ่งมีพระยามังรายเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักร  พระยามังราย เจ้าเมืองหิรัญนครเงินยาง พระโอรสของพระยาลาวเม็ง กับพระนางเทพคำขยาย พระธิดาเจ้าเมืองเชียงรุ้ง ในการศึกษาระบุว่า อาณาจักรล้านนา หลังจากที่พระยามังรายขึ้นปกครองเมืองหิรัญนครเงินยางต่อจากบิดา เมื่อ พ.ศ. 1802 และขยายอำนาจไปยังเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง พ.ศ. 1805  ทรงสร้างเมืองเชียงรายเป็นศูนย์กลางแทนหิรัญเงินยาง จากนั้นได้ขยายอำนาจสู่แม่น้ำปิง สร้างเมืองฝาง  แล้วยึดเมืองหริภุญไชย ใน พ.ศ.1826 1และอยู่ที่นั่นสองปี จากนั้นจึงย้ายไปประทับที่เวียงกุมกาม กระทั่งในพ.ศ.1839พระองค์ได้สร้างเมืองเชียงใหม่ เป็นเมืองหลวง  (หน้า 171)
          ความเป็นมา    ชาวไทยวน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ของล้านนา  บรรพบุรุษเป็นชาวไทกลุ่มหนึ่ง  ที่มีเจ้าชายสิงหวัติจากราชวงศ์ไทเมือง ต่อมาได้โยกย้ายที่อยู่ จากแคว้นไทเทศ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยูนนาน ที่กล่าวไว้ในจำนานสิงหวัติ ตำนานสิบห้าราชวงศ์และตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ชาวล้านนาเรียกตัวเองว่า “คนเมือง” และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เรียกชาวล้านนาว่า “ไทยวน”  “ไทโยน” หรือ “โยน” ชาวไทยวนได้เริ่มสร้างเมืองและพัฒนาเป็นอาณาจักร บนที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง ที่ราบลุ่มแม่น้ำสาย (แม่น้ำวา) ที่ราบลุ่มแม่น้ำกอ  ที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง  กระทั่งพัฒนาขึ้นเป็นแคว้นสุวรรณโคมคำ  อาณาจักรโยนก   อาณาจักรหิรัญนครเงินยาง โดยบมีเมืองที่สำคัญเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ ต่อการขยายอาณาจักรของไทยวน ได้แก่เมือง สุวรรณโคมคำ  เมืองโยนก  เมืองปรึกษา เมืองหิรัญนครเงินยาง  เมืองเชียงตุง  เมืองเชียงรุ่ง  เมืองเชียงราย  เมืองไชยปราการ  เมืองพร้าว  เมืองเชียงใหม่ และอื่นๆ ในล้านนา เป็นเมืองโบราณที่ถูกสร้างขึ้นก่อน แล้วถูกรวบรวมเข้าเป็นอาณาจักรล้านนา เช่น หริภุญไชย (ลำพูน)  ลคร (ลำปาง)  แพร่  น่าน   อุตรดิตถ์ (ลับแล)  ทุ่งยั้ง  ศรีสัชนาลัย  (สมัยพระเจ้าติโลกราช)  เมืองโบราณได้มีการตั้งถิ่นที่อยู่ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เรื่อยมาจนเข้าสูยุคประวัติศาสตร์  โดยมีชาวลัวะ (ละว้า) กลุ่มชาติพันธุ์แรกที่โยกย้ายที่อยู่มาจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา มาตั้งชุมชนเมือง จากนั้นก็มีการโยกย้ายของขอมโบราณขึ้นมตามแม่น้ำโขง ในยุคต้นปีพุทธศตวรรษแรก  (หน้า 270)

Settlement Pattern

บ้านเรือนล้านนา
          บ้านของประชาชนทั่วไปนั้นจะสร้างด้วยไม้ไผ่เป็นส่วนใหญ่  ส่วนต่างๆ ของตัวบ้าน  ประกอบด้วย เสา  คาน ขื่อ  บางครั้งจะใช้เป็นไม้เนื้อแข็งเพื่อความคงทน ในช่วงก่อนยุคค้าไม้สมัยรัชกาลที่ 4คนที่สร้างบ้านไม้เนื้อแข็ง  หรือปูน  จะมีแต่กษัตริย์  เชื้อพระวงศ์  เจ้าเมือง หากเป็นบ้านของประชาชนทั่วไปจะเป็นเรือนเครื่องผูก (หน้า 284) ในวิถีชีวิตของชาวล้านนา เมื่อเริ่มสร้างครอบครัวใหม่ คนที่เป็นผู้นำครอบครัวจะปลูกเรือนเครื่องผูก อยู่ใกล้บ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิง หลังจากที่ตั้งตัวมีฐานะ ก็จะสร้างบ้านมั่นคง เรือนเครื่องผูก คนเมืองเรียกว่า “สตูบ” หรือ “ตูบ” ( หน้า 284ดูภาพหน้า 278-281) 

Demography

ประชากรกะเหรี่ยง
          มีประชากรทั้งหมด 437,131 คน หรือ 47.54 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรชาวเขา โดยอาศัยอยู่ใน 1,912  หมู่บ้าน มีจำนวนหลังคาเรือน 87628หลังคาเรือน  95,088  ครอบครัว ใน 15จังหวัด พบมากที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่  แม่ฮ่องสอน และตาก (ข้อมูล พ.ศ. 2545 หน้า 480)
 
ประชากรม้ง
          ม้งทั่วโลกมีประชากร 10ล้านคน  อยู่ในประเทศจีน 7ล้านคน ส่วนที่เหลืออยู่ในหลายประเทศเช่น เวียดนาม ไทย พม่า ลาว  สหรัฐอเมริกา แคนาดา และอื่นๆ  (หน้า 513)  ส่วนในประเทศไทย จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2545ในไทยมีม้งจำนวน 126,300 คน  อยู่ในจังหวัดต่างๆ เช่น เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, พะเยา, แพร่, น่าน เป็นต้น  (หน้า 513) 

Economy

ซอ และเศรษฐกิจ
          การให้ทานและค่าจ้างเกี่ยวกับการซอ ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวว่า ในช่วงสามชั่วอายุคนที่ผ่านมา การจ้างและการให้ทานมีความเกี่ยวข้องกับการเล่นซอ (หน้า 449)
 
เศรษฐกิจ
          ชาวล้านนา ทำอาชีพ  ทำนา  ทำสวน  ทำไร่  อยู่ตามหุบเขา และบางพื้นที่ทำอุตสาหกรรมป่าไม้ (หน้า 81) 

Social Organization

ซอและสังคม
          การแสดงซอแสดงให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิตว่า ชีวิตมีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และพื้นที่สาธารณ์ ซีวิตต้องมีความสมดุล มีทั้งดี มีทั้งเลว ซึ่งแสดงให้เห็นถึง การก้าวพ้นคู่ตรงข้าม เพราะชีวิตต้องประกอด้วยความดี ความเลว เนื่องจากว่าชีวิตไม่อาจขาดด้านใดด้านหนึ่งได้  นอกจากนี้ แก่นเรื่องที่ชาวบ้านล้อเลียนข้าราชการนั้นก็เป็นการตอบโต้ที่ทางการได้ให้ความหมายว่าชาวบ้านเป็นตัวตลก  ส่วนซอเก็บนก ก็ให้ความหมายและแสดงให้เห็นว่าข้าราชการก็อาจกลายเป็นตัวตลกได้เช่นกัน  (หน้า 456)
 
สังคม
          ชาวล้านนา มีความใกล้ชิดสนิทสนม นับถือเครือญาติ มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจกับคนต่างถิ่น เป็นต้น (หน้า 86) 

Political Organization

การเมืองของล้านนา
          ผู้เขียนกล่าวว่า เมื่อเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์  โดยมีลัวะ (ละว้า) เป็นชาติพันธุ์แรกที่ย้ายมาอยู่บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งเมืองหลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนย้ายของชายขอมโบราณขึ้นมาตามลำน้ำโขง ในช่วงต่อมา ต้นตระกูลของบรรพบุรุษที่มีเจ้าชายสิงหวัติ เป็นผู้นำพาประชากร มาตั้งเมืองใหม่ โดยอยู่ในเมืองสุวรรณโคมคำ ที่เป็นที่อยู่ของขอม ดังนั้นจึงเกิดสงครามหลายครั้ง  จนถึงยุคอาณาจักรโยนก หลังจากที่เวียงโยนล่มจมเปลี่ยนเป็นหนองน้ำขนาดมหึมา หลังจากที่เกิดภัยธรรมชาติแผ่นดินไหว  (หน้า 270)
          จากนั้นจึงมารวมตัวกันที่เวียงปรึกษา หรือ “พางคำ” พญาพรหมมหาราช ภายใต้ชื่ออาณาจักรหิรัญแห่งเวียงปรึกษาจึงต่อสู้ขับไล่ขอมลงไปทางใต้จนหมด  พื้นที่บริเวณนี้จึงรุ่งเรืองก้าวหน้า ภายใต้ชื่ออาณาจักรหิรัญนครเงินยวง ต้นกำเนิดของราชวงศ์  ลวจังกราช  ซึ่งมีพระยามังรายมหาราชเป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ต่อมาพระองค์ได้รวบรวมเมืองต่างๆ และตั้งราชวงศ์มังราย   (หน้า 271)
          ชาวไทยวน ที่เป็นชาติพันธุ์อารยธรรมหลัก ได้ย้ายที่อยู่มาอยู่กับชาวลัวะ ที่เคยอยู่มาแต่เดิมเป็นเวลานานกว่าพันปี  ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ภาษาออสโตรเอเชียติก  แต่เนื่องจากปัญหาภัยธรรมชาติ และความขัดแย้งกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น  จึงทำให้ชาวลัวะ (ละว้า) อพยพหนีภัยสงคราม จากขอมและอาณาจักรทวารวดีแล้วเดินทางขึ้นมาตามลำน้ำเจ้าพระยาแล้วแยกย้ายไปอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั้งภาคกลางของไทย ภาคเหนือ และ เชียงตุง  (หน้า 271)
          หลังจากที่พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ อาณาจักรได้ติดต่อค้า ขาย กับประเทศต่างๆ  เช่น จีน  พม่า อินเดีย ไทใหญ่  ไทลื้อ  (หน้า 271) ในสมัยพระเจ้าเมฏิสุทธิวงศ์ กษัตริย์องค์ที่ 16  ราว พ.ศ. 2094 ล้านนาได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า  และใน พ.ศ. 2325ล้านนาจึงได้รับอิสรภาพในสมัยพระเจ้ากาวิละ  (หน้า 271) เมื่อผ่านการสู้รบมาเป็นเวลานาน  พระเจ้ากาวิละได้มีนโยบาย ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองต่างๆมาสู่หัวเมืองใหญ่ของล้านนา ต่อมาหลังเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ ล้านนาก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม (หน้า 272)

Belief System

ศาสนาและความเชื่อ
          แต่เดิมคนเมืองนับถือผี และวิญญาณบรรพบุรุษ  แต่หลังจากศาสนาพุทธเผยแพร่เข้ามา ชาวล้านนาก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ โดยได้นำความเชื่อทางศาสนามาปรับใช้ กับการดำรงชีวิต เช่นพระธาตุประจำปีเกิด, ประเพณีวัฒนธรรม จารีต ข้อห้าม (ขึด) และข้อควรปฏิบัติ และมีศาสนสถาน เช่น พระธาตุ  วัดในจังหวัดใหญ่ๆ เช่น เชียงใหม่  เชียงราย  ลำพูน  มีวัด ประมาณ 40-50วัด และมีประเพณีที่สำคัญ ได้แก่ ประเพณีไหว้พระธาตุ ประเพณีปีใหม่เมือง  ประเพณียี่เป็ง ประเพณีตักบาตร  พระอุปคุต (เป็งพุธ) และอื่นๆ  (หน้า 81)
 
ความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนา
          แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ คือ
          1.ความเชื่อเหนือธรรมชาติ
          2.สิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ เช่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
          3.ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (หน้า 87)

 
การนับถือผี  ชุมชนในล้านนา ได้นับถือผีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ผีมีหลายอย่างเช่น  ผีที่อยู่ในน้ำ  ป่า เขา ก่อนนับถือศาสนาพุทธ ชาวล้านนานับถือผี แม้นับถือศาสนาพุทธแล้ว แต่ก็ยังนับถือผีอยู่เช่นกาลก่อน (หน้า 87)
 
ประเภทของวัดของล้านนา  ในอดีตมีวัดอยู่สองอย่าง ดังนี้ 

  1. วัดที่อยู่ในเมือง เรียกว่า วัดฝ่ายคามวาสี ที่เป็นที่เล่าเรียนพระธรรมวินัย
  2. วัดป่าฝ่ายอรัญวาสี อยู่ไม่ไกลจากชุมชน เป็นวัดที่อยู่นอกเมือง(หน้า 201)   เป็นวัดที่พระเน้นวิปัสสนา มุ่งการปฏิบัติเพื่อสู่นิพพาน (หน้า 202)  
ลักษณะการสร้างวัดจะมีความแตกต่างกันดังนี้ 
         วัดฝ่ายอรัญวาสี   จะสร้างอยู่นอกเมืองอยู่ใกล้กับป่าเขาลำเนาไพร แต่ไม่ไกลจากชุมชนจนเกินไป มีอาคารไม่ค่อยมาก ให้ความสำคัญกับกุฏิและศาลาเอนกประสงค์  ได้แก่วัดอุโมงค์เณรจันทร์ วัดป่าแดง วัดสวนดอก  จังหวัดเชียงใหม่   (หน้า 202)
         วัดฝ่ายคามวาสี    เป็นวัดที่อยู่ในเมือง หรือในชุมชนกิจกรรมหลักจะเป็นพิธีกรรม มีหน้าที่ถ่ายทอดธรรมะแก่ประชาชน พระสงฆ์มีความรู้ความชำนาญ ด้านภาษา และปรัชญาศาสนา (หน้า 202)

Education and Socialization

การศึกษาของล้านนาในอดีต
          ในอดีตชาวล้านนาจะไปเรียนหนังสือกับพระที่วัด คนที่จะมาเรียนจะปรนนิบัติรับใช้พระโดยจะเรียกว่า “ขโยมวัด” หรือ “เด็กวัด” เมื่อพระสงฆ์เห็นว่า เด็กวัดมีไหวพริบ ขยันขันแข็งที่จะสามารถเรียนคำสอน ทางศาสนาได้ ก็จะให้เรียน “ตั๋วเมือง” แล้วให้บวชเณร เนื่องจากว่าการเรียนตั๋วเมืองนั้นมีความจำเป็นเพราะถ้าหากอ่านเขียนตั๋วเมืองได้ ก็สามารถศึกษาความรู้จากคัมภีร์ และปั๊บสา หลังจากที่ศึกษาตั๋วเมือง  กระทั่งอ่านอออกเขียนได้ก็จะเรียนท่องสวดมนต์ ศึกษาธรรมะจากคัมภีร์ใบลานหรือปั๊บสา  กระทั่งอายุครบ 20ปี ก็จะบวชเป็นพระ (ตุ๊) ผู้เขียนกล่าวว่า การศึกษาในอดีต ผู้ชายมีโอกาสได้เรียนมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงไม่สามารถบวชได้ (หน้า 7)
          อย่างไรก็ตาม การอ่านการพูดส่วนใหญ่จะอ่านตามคำพูด การเขียนก็เหมือนกัน หากพูดอะไรก็ให้เขียนเหมือนกับที่พูด  ดังนั้นจึงทำให้เกิดเป็นภาษาสองได้แก่ ภาษามุขปาฐะ (ภาษาพูด) กับภาษาลายลักษณ์ (ภาษาเขียน) ดังนั้นความรู้หลากหลายอย่าง ก็จะเก็บไว้ด้วยภาษาทั้งสองแบบ โดยรูปแบบภาษาพูดจะไปเรียนกับพ่อครู และรูปแบ ภาษาเขียนต้องไปเรียนกับคัมภีร์ลานกับปั๊บสา ซึ่งเป็นวรรณกรรมล้านนา โดยมีหลักธรรมะของศาสนาพุทธ เป็นบทเรียนแรก  จากนั้นก็จะมีวรรณกรรมล้านนาที่เก็บความรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของปู่ ย่า ตายาย  (หน้า 27)

การศึกษาตั๋วเมือง
          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ตั้งศูนย์วิจัยสังคม เมื่อ  28 กรกฎาคม 2524 โดยได้เก็บข้อมูลความเชื่อพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย เอกสารโบราณและอื่นๆ  และต่อมาได้ตั้งสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 2  กรกฎาคม 2536และได้สร้างพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา 8หลัง ยุ้ง สามหลัง และสาธิตวิถีชีวิตของชาวล้านนา (หน้า 8)  และได้จัดกิจกรรมประชุมเพื่อสรุปแนวทางข้อกำหนด เพื่อให้สามารถเขียนอักษรธรรมได้อย่างถูกต้อง  ดังนั้น  (หน้า 9)  พ.ศ. 2546คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้เปิดอบรมหักสูตร ภาษาและวรรณกรรมล้านนาระยะสั้น ที่มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ ในเวลานั้นได้มีลูกจ้าง คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ได้มาเผยแพร่ความรู้และเปิดอบรม ภาษาและ วรรณกรรมล้านนา   หลักสูตรระยะสั้น 36ชั่วโมง รุ่นที่ 1โดยให้เรียนฟรี  (หน้า 10) ซึ่งมีผู้เข้าอบรมครั้งแรก 170คน และเปิดอบรมอย่างต่อเนื่อง  จนถึง พ.ศ. 2524(หน้า 11) ทุกวันนี้การเรียนอักษรธรรมล้านนาที่คณะเทคนิคการแพทย์ ได้หยุดสอนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554  เพราะผู้สอนไปเรียนต่อและมีคนเรียนน้อย  ต่อมาเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์  ได้ขอให้ไปเปิดการเรียนการสอนที่วัดพระสิงห์ เริ่มจากวันที่ 19พฤษภาคม 2554  จนถึงทุกวันนี้  (หน้า 14)   ทุกวันนี้ การเรียน การสอนอักษรธรรมล้านนา หรือ “ตั๋วเมือง” ยังมีข้อขัดข้องเนื่องจากคนรุ่นเก่า  ได้ยึดเอาแบบดั้งเดิม แต่คนรุ่นใหม่ได้ยอมรับแบบดั้งเดิม และแบบใหม่ไม่เปลี่ยนแปลง  ดังนั้นจึงพบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องรูปอักษร เสียง และวิธีการเขียน ที่เขียนภาษาไทยกลาง และภาษาล้านนาไม่ตรงกัน จึงทำให้เกิดคำพ้องรูป แต่ไม่พ้องเสียง, รวมทั้งพ้องเสียงแต่ไม่พ้องรูป   (หน้า 14)

Health and Medicine

ตำราสมุนไพร
          ผลงานวรรณกรรมที่ผู้เขียนกล่าวถึง เป็นงานของพรรณเพ็ญ เครือไทย ที่เขียนตำราชื่อมหาพน ตำรายา (พ.ศ. 2543)  ซึ่งเป็นการศึกษามหาพน ซึ่งเอากัณฑ์หนึ่งในจำนวน 13กัณฑ์ ของชาดกมหาชาติหรือมหาเวสสันดรชาดก ฉบับล้านนาที่มีเป้าหมายเพื่อปริวรรต ต้นฉบับอักษรล้านนา เป็นอักษรไทยปัจจุบัน เขียนเปรียบเทียบกับพืชท้องถิ่นของไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ลักษณะ สรรพคุณตัวยา ความเชื่อ  ต้นฉบับมหาพนตำรา เขียนด้วยตัวอักษรธรรมล้านนา คำประพันธ์แต่งเป็นร่าย มีคำคล้องจองไพเราะ เนื้อเรื่องของมหาพนตำรายา เหมือนนิราศ บทชมธรรมชาติ โดยจะอธิบายเกี่ยวกับพืช สัตว์ และสมุนไพรนานาชนิดที่มีมากมายในป่าหิมพานต์ เนื้องานได้สื่อให้เห็นถึงความรู้ด้านสมุนไพร และสรรพคุณในการรักษา  (หน้า 83)
 
การรักษาแบบพื้นบ้าน
          หมอเมืองคือหมอพื้นเมือง ที่ได้ศึกษาวิธีการรักษาจากโรค จากหมอพื้นบ้านที่เชี่ยวชาญ ด้านสมุนไพร และการรักษาแบบพื้นบ้าน และเรียนรู้เอกสาร พับสาใบลาน
         วิธีรักษา

  1. รักษาด้วยไสยศาสตร์ ใช้คาถาเป่า เช่น การรักษากระดูกหัก “ขวากซุย” โดยใช้น้ำมันที่ได้จากเนื้อสัตว์ และน้ำมันพืช นำมาเป่ารักษาบริเวณที่กระดูกหัก
  2. การรักษาแบบมด เช่นการทรงเจ้าเข้าผี  (หน้า 388)
  3. การรักษาด้วยหมอยา  โดยใช้สมุนไพร แต่ถ้ารักษาร่วมกันสามอย่างจะเรียกว่า การรักษาแบบมดหมอ (หน้า 388)
 
การรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน
          ผู้เขียนกล่าวว่า เมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว แพทย์แผนปัจจุบัน ได้ห้ามการรักษาแบบพื้นบ้าน หากผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ญาติพี่น้องก็จะแอบรักษาด้วยวิธีแบบพื้นบ้าน เช่นผูกข้อไม้ข้อมือ และอื่นๆ แต่เมื่อหมอ และพยาบาลเห็นก็จะสั่งห้ามทำให้ผู้ป่วยหมดกำลังใจ  (หน้า 403)  แต่ทุกวันนี้ ได้มีการอะลุ่มอล่วย เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดกำลังใจในการรักษาที่ควบคู่กัน ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน และการแพทย์พื้นบ้าน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาคนไข้ (หน้า 404) 

Art and Crafts (including Clothing Costume)

วรรณกรรมล้านนา
          ผู้เขียนกล่าวว่า วรรณกรรมล้านนาที่พบเป็นแบบมุขปาฐะ ลายลักษณ์  ร้อยแก้ว ร้อยกรอง มีหกอย่างด้วยกัน  (หน้า 7)
          คร่าว  ได้แก่  คร่าวธรรม คร่าวฮ่า  คร่าวไจ๊ คร่าวก้อม  คร่าวคำเครือ (หน้า 7)
          ซอ      ได้แก่ ซอตั้งเชียงใหม่  ซอล่องน่าน  ซอจ๊ะปุ๊  ซอละม้าย  ซอพระลอ  ซอเจียงแสน    
                              ซอเงี้ยว  ซอพม่า กับอื่อ (หน้า 7)
          กาพย์      เช่น   กาพย์เสียงเล็ก  กาพย์เสียงใหญ่
          ร่าย         เช่น  ธรรมมหาชาติ  ธรรมวัตร  ปั่นพร  เวนตาน และโองการทั้งหลาย
          กะโลง     เช่น  กะโลงสอง   กะโลงสาม  กะโลงสี่ (หน้า 7)
          คร่าวฮ่ำ    อาทิเช่น  ฮ่ำสังขาร  ฮ่ำบอกไฟ สัพป๊ะฮ่ำ  (หน้า 7)
          โดยจะนำวรรณกรรมทั้งหกอย่าง มาเรียบเรียงเป็นร้อยแก้ง ร้อยกรอง ทั้งที่เป็นรูปแบบมุขปาฐะ  ลายลักษณ์  การเรียบเรียงเป็นประวัติ
 
ซอ เพลงของล้านนา
          ล้านนามีเพลงอยู่สามประเภทดังนี้
          1.เพลงบรรเลงไม่มีเนื้อร้อง
          2.เพลงที่มีเนื้อร้องแต่ไม่มีดนตรี
          3.เพลงที่มีครบทั้งเนื้อร้องและดนตรี และซอเป็นเพลงประเภทที่มีทั้งเนื้อร้องและดนตรีประกอบ (หน้า 447)

ความเป็นมาของซอ
           มีข้อสันนิษฐานเรื่องความเป็นมาสองอย่างด้วยกันคือ (หน้า 448) ซอเกิดจากที่มีพระสงฆ์รูปหนึ่งต้องการที่จะเผยแพร่ธรรมะกับชาวบ้าน จึงคิดค้นคำสอนเป็นคำคล้องจอง เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ และมีความไพเราะ ต่อมาจึงเปลี่ยนแปรมาเป็น “ซอ” ในที่สุด และเผยแพร่ไปสู่ประชาชน และนำมาร้องอย่างแพร่หลาย (หน้า 448)
            ส่วนความเป็นมาอีกเรื่องมีอยู่ว่า นานมาแล้วมีหญิงสาวอยู่คนละฟากฝั่งของห้วย วันหนึ่งฝ่ายหญิงได้ร้องเพลงออกมาอย่างไพเราะเพราะพริ้งเป็นท่วงทำนองที่คล้องจอง โดยร้องเป็นประจำทุกวัน เมื่อฝ่ายชายได้ยินจึงหลงใหลในตัวหญิงสาวคนนั้น จึงร้องเพลงโต้ตอกัน จนเกิดเป็นความรักและแต่งงานมีครอบครัว (หน้า 448)
            หลังจากที่แต่งงานได้ไม่นาน วันหนึ่งโจรป่าได้จับเมียของชายหนุ่มไป และเรียกค่าไถ่เป็นเงินจำนวนมาก ดังนั้นสามีจึงเดินลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน  และร้องเพลงเป็นท่วงทำนองคล้องจอง ชาวบ้านจึงเกิดความสงสาร และแบ่งข้าวปลาอาหารให้แทนการฟังเพลง  บางคนก็ให้เงินตอบแทน เมื่อได้ฟังเพลงอันน่าประทับใจนั้น  และชาวบ้านส่วนหนึ่งได้แต่งเนื้อร้องขึ้นมาใหม่ จึงเป็นที่มาของ “ซอ” จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ (หน้า 448)
 
ปริศนาคำทายล้านนา
          เขียนเมื่อปี พ.ศ. 2546 เป็นการเก็บรวบรวมปริศนาคำทาย ในภาคเหนือตอนบน 8จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่  เชียงราย  ลำพูน  ลำปาง  พะเยา  แพร่  น่าน แม่ฮ่องสอน  ส่วนใหญ่ได้มาจากบทสัมภาษณ์ผู้สูงอายุ  บางส่วนได้มาจากเอกสาร (หน้า 83)
 
หนังสือกล่อมเด็กล้านนา
           เล่มนี้เขียนเมื่อ พ.ศ. 2552 ส่วนใหญ่จะสื่อให้เห็นความเป็นอยู่ วิถีชีวิต ธรรมชาติรอบกาย โดยจะเน้นการสร้างจิตสำนึก ให้เด็กรักธรรมชาติ โดยศูนย์วิจัย ต้องการให้หนังสือเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน และผู้ที่สนใจด้านคติวิทยา และเพลงพื้นบ้าน  (หน้า 84)
 
ลานสาวกอด
         ผู้เขียนได้กล่าวถึงลานสาวกอด โดยนำคำสัมภาษณ์จากอาข่ามาเล่าต่อดังนี้ ลานสาวกอด ตามที่คนไทยเข้าใจนั้นไม่มี มีแต่”แดข่อง” ที่แปลว่าลานโล่ง หรือลานเอนกประสงค์ที่ให้คนหนุ่มสาว หรือคนในหมู่บ้านไปทำกิจกรรม เต้นรำ ร้องเพลง  แต่การที่หนุ่มจะไปนั่งกอดสาวตามอำเภอใจนั้นไม่อาจทำได้ถ้าหากหญิงสาวไม่พอใจ  แต่ถ้าตกลงปลงใจหรือถ้าหญิงสาวมีใจก็ค่อยว่ากันอีกที หรือไปในที่มิดชิดลับตาคน  แต่บทเพลง “มิดะ” เป็นการแช่แข็งทางความคิด ซึ่งอาข่าบอกว่า “มิดะ”ไม่มี มีแต่ “หมี่ดะ” ที่แปลว่า หญิงสาว ส่วนหนุ่ม คือ “ส่าดะ” หรือ “ยาดะ”  (หน้า 500)

Folklore

นิทานพื้นบ้าน
          งานเขียนได้กล่าวถึงการศึกษาเกี่ยวกับนิทานของตะวันตกที่ระบุว่า จากการศึกษาของ Stith  Thompson ได้แบ่งนิทานพื้นบ้านออกเป็น 11ประเภทดังนี้  นิทานมหัศจรรย์, นิทานชีวิต, นิทานวีรบุรุษ, นิทานประจำถิ่น, นิทานอธิบายเหตุ, ตำนานปรัมปรา, นิทานสัตว์, มุขตลก, นิทานศาสนา, นิทานภูตผี, และนิทานเข้าแบบ (หน้า 463)
          ส่วนประคอง นิมมานเหมินท์ ได้ปรับแนวคิดของ Stith Thomson .ให้เป็นแบบนิทานพื้นบ้านของไทย โดยแบ่ง ออกเป็น 11  ประเภทเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วย นิทานเทวปกรณ์, นิทานศาสนา,  นิทานคติ, นิทานมหัศจรรย์, นิทานชีวิต, นิทานประจำถิ่น, นิทานอธิบายเหตุ, นิทานสัตว์, เรื่องเกี่ยวกับผี, มุขตลกขำขัน เรื่องโม้ กับนิทานเข้าแบบ (หน้า 463)    
 
นิทานพื้นบ้านล้านนา (หน้า 460-477)
 
ลื้อ  
          ลื้อเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ตระกูลภาษาไทย โดยตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณลุ่มน้ำโขงตอนบน โดยปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์เริ่มจากช่วงปลายศตวรรษที่ 17 โดย ได้ตั้งรัฐของชาวลื้อ  บริเวณภาคเหนือของไทย และทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ภาคตะวันออกของรัฐฉาน  ภาคเหนือและภาคกลางตอนบนของลาว และบางพื้นที่ของภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม กับภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 430)
          หลังจากที่มีการแบ่งประเทศเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ ในบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนบน  โดยเริ่มจากยุคที่ประเทศชาติตะวันตกเข้ามาล่าอาณานิคม ในช่วงกลางพุทธศักราชที่ 24 ดังนั้นจึงทำให้ดินแดนของชาวลื้อถูกแบ่งออกโดยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน  พม่า  ลาว  หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2  ชาวลื้อถูกแยกย่อยเป็นกลุ่มตามประเทศที่อยู่ เช่น เป็นชนชาติส่วนน้อยชาวไต  (ลื้อสิบสองปันนา)  ในประเทศจีน   ลาวลุ่ม (ลื้อเมืองพง  เมืองอู  เมืองสิงห์  เวียงภูคา ในประเทศลาว) เป็นชาวฉาน (ลื้อ เมืองยอง เมืองพยาก ท่าขี้เหล็ก และเชียงตุงในประเทศพม่า) เป็นชาวไทย  (ลื้อที่อยู่บริเวณชายแดนจีน-เวียดนาม) ในภาคเหนือของเวียดนาม และชาวไทยลื้อ ในภาคเหนือของประเทศไทย   (หน้า 430) (หน้า 430-441) (หน้า....)
 
กลุ่มชาติพันธุ์ในนิทานพื้นบ้านแบ่งเป็นสองกลุ่ม
          กลุ่มแรก Tai Speaking  people
ไทใหญ่
          อยู่ในภาษาตระกูล ไท-กะได เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไท กลุ่มตะวันตก ที่มีที่อยู่ในพื้นที่รอยต่อของรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย บริเวณพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพม่า, มณฑลยูนนาน ประเทศจีน และในรัฐฉานประเทศพม่า เนื่องจากการตั้งถิ่นฐานที่ค่อนไปทางทิศเหนือ และมีวันธรรมและภาษาที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงทำให้การสื่อสารกับคนล้านนา ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนกับกลุ่มชาติพันธุ์ในกลุ่มคนไทยอื่นๆ  (หน้า 465)
          ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว กลุ่มไทใหญ่ต้องทำศึกสู้รบเป็นประจำ และมีปัญหาความขัดแย้งกับล้านนาบ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังมีโจรเงี้ยว (ไทใหญ่)ที่ออกปล้นชาวล้านนา เช่น เมื่อครั้งเงี้ยวปล้นเมืองแพร่ ถึงแม้ไทใหญ่จะเดินทางด้วยวนวัวต่างมาค้าขายในพื้นที่ต่างๆ ของล้านนามานาน แต่ในความคิดเห็นของคนล้านนาก็มองว่าไทใหญ่ มีความฉลาด  แสนร้ายกาจ ขี้โกง ไว้ไม่ได้ (หน้า 465)
          ผู้เขียนอกว่าแม้ข้อมูลจะดูเหมือนว่าไทใหญ่โหดร้ายใจทมิฬ แต่ก็ชอบทำบุญทำทาน ดังนั้นจึงขัดแย้งกับข้อมูล ที่ว่าไทใหญ่ชอบเอารัดเอาเปรียบ ขี้โกง ไม่น่าวางใจ  (หน้า 465) ขณะที่นิทานพื้นบ้านล้านนา ที่พูดถึงไทใหญ่ส่วนมากจะเป็นนิทานที่เกี่ยวกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน  (หน้า 466)
 
ไทลื้อ  ไทยอง  ไทเขิน
          ไทลื้อ  ไทยอง  ไทเขิน มีความใกล้ชิดทั้งด้านภาษา การแต่งกาย อาหารการกิน ส่วนข้อแตกต่างของคนกลุ่มนี้ ที่ผู้เขียนกล่าวถึงเช่น คนยองที่อยู่เมืองยอง จะไม่เรียกตัวเองว่า ลื้อ แต่จะเรียกตัวเองว่า “คนยอง” ทั้งสามกลุ่มนี้  หากอยู่ในนิทานพื้นบ้านล้านนาก็จะเป็นนิทานขำขันที่ล้อเลียนเรื่องภาษา ที่มีสำเนียงพูดที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่เหมือนภาษาไทยวน หรือภาษาคำเมือง ตัวอย่างได้แก่ภาษาล้านนาจะออกเสียงเป็นสระโอ  ในภาษาลื้อ ยองและเขิน สระเอียก็จะออกเสียงเป็นสระเอ  (หน้า 466) ตัวอย่างเช่น
 
โจรอู้ยอง
          กาลครั้งหนึ่ง มีโจรชาวยองไปปล้นคนแต่เกรงว่า คนจะรู้ว่าเป็นคนยองจึงหัดพูดภาษาไทยกลาง หลังจากที่พูดคุยกับเหยื่อได้ไม่นาน โจรจึงเผลอพูดสำเนียงยอง แล้วเหยื่อรู้ทันก็เลยเตือนว่า เป็นคนยองเหมือนกัน อย่าปล้นกันเลย แล้วก็รีวิ่งจากไปอย่างไม่คิดชีวิต (ดูตัวอย่างที่หน้า 466)
นิทานเกี่ยวกับลื้อ
          นิทานเล่าถึงการไม่รู้วัฒนธรรมของคนลื้อ ที่มีต่อคนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น     
 
เรื่องลื้อไปซื้อของร้านคนจีน
          เมื่อลื้อไปซื้อของแต่พบเจ้าของที่พูดไทยไม่ชัด เมื่อเห็นลื้อ คนจีนจึงถามว่า “ลื้อจาเอาอาราย อั้วจาขายห้าย” ส่วนคนลื้อเมื่อได้ฟังก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะคิดว่าเขาดูถูกที่พูดไม่ชัด จึงชี้หน้าคนจีนและด่าด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ (หน้า 466)
          นิทานได้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นคนชายขอบของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อที่รู้สึกไม่ภาคภูมิใจกับภาษา วัฒนธรรมของตนเอง ที่มักถูกล้อเลียนว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน เช่น ในเรื่องโจรอู้ยอง จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่คนยองจะไม่พูดภาษาของตน เพื่ออำพรางตนเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมที่ไม่พูดภาษาถิ่นหรือภาษาในกลุ่มชาติพันธุ์ของตน  เพื่อสื่อว่าเป็นชาติพันธุ์กลุ่มน้อย  (หน้า 466)
          นอกจากนี้กลุ่มชาติพันธุ์ก็มักปกปิดตนเองเช่นกัน เช่น ไทลื้อในจังหวัดลำปาง ที่มักปกปิดตนเองเพราะกลัวการดูถูกดูแคลนว่าเป็นคนบ้านนอก ไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือ มีแต่ทำงานขายแรง ทำงานผิวดำกร้านไม่มีวันร่ำรวยลืมตาอ้าปากสบายในสังคม เหมือนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ดังนั้นจึงทำให้ไทลื้อในบางหมู่บ้าน ปกปิดตนเอง โดดเดี่ยวไม่ติดต่อกับคนนอกหมู่บ้าน หรือถ้าหากไปติดต่อกับคนหมู่บ้านอื่นก็จะไม่พูดภาษาลื้อ ถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆ นอกจากนี้ก็จะไม่สวมเครื่องแต่งกายประจำกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง เพราะกังวลว่าคนอื่นจะล่วงรู้ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อ และอื่นๆ (หน้า 466)
 
ไทยวน
          คนเมือง หรือ “ไทยวน” เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักในล้านนาที่อยู่มาตั้งแต่อดีต ดังนั้นเวลาเขียนเป็นนิทาน ไทยวนจึงมีบุคลิกเป็นคนเฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบดีกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ นิทานหลายเรื่องได้สื่อให้เห็นถึงการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนในอดีต อาทิเช่น เรื่องทางเพศ ดังนั้นนิทานจึงมีเรื่องการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ที่ผู้หญิงมักถูกฝ่ายชายลวนลามหรือละเมิดทางเพศในหลากหลายรูปแบบ อยู่เนืองนิตย์ (หน้า 467)
          หากเป็นนิทานตลกที่ปราศจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ก็มักเป็นเรื่องขำขันเบาสมอง  ในเรื่องก็จะให้ตัวละครไทยวนล้อเลียนกันเอง เช่นพี่ชายกับน้องเมีย ลูกเขยกับแม่ยาย  ผัวกับเมีย และอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องเพศ หรือไม่ก็เป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  (หน้า 467) แต่ถึงอย่างไร เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยก็ยังมีนิทานไทยวนอีกหลายเรื่อง ที่ให้ไทยวนหรือคนเมืองเป็นตัวตลก เช่นนิทานที่เกี่ยวกับไทยวนที่ได้พูดคุยกับคนกรุงเทพฯ  ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนละฝ่าย หรือบางครั้งคนไทยวนก็ปรับตัวให้ดูเหมือนคนกรุงเทพฯ และอื่นๆ (หน้า 467)
 
กลุ่มที่สอง Non Tai Speaking  people
          กลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ได้พูดภาษาตระกูลไท แงเป็นสามกลุ่มดังนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่บนดอย เช่น ขมุ ลัวะ ม้ง กะเหรี่ยง มูเซอ และอื่นๆ  (หน้า 467)  ส่วนกลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่ใกล้เคียงอาณาจักรล้านนา ได้แก่ มอญ สุโขทัย ลาว กำแพงเพชร (หน้า 467) และกลุ่มชาวต่างชาติที่มีถิ่นที่อยู่ที่ติดกับอาณาจักรล้านนา ได้แก่ จีน แขก ฝรั่ง คนใต้  (หน้า 467)
 
กลุ่มชาติพันธุ์บนดอย
          ลัวะที่พบในนิทานมีสองแบบดังนี้  (หน้า 467) หนึ่ง ลัวะที่เป็นเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิมในล้านนาตัวละครมักจะเป็นเจ้าเมือง พระยา (หน้า 467) สอง ตัวละครที่มีความซื่อ ถูกหลอกได้ง่าย โดยจะพบในนิทานถิ่น ที่ได้รับความเชื่อจากตำนานพระเจ้าเลียโลก    
          ที่มีเรื่องราวว่า ในช่วงสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังล้านนา ได้พบกับพระยาลัวะ ชาวลัวะที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในอาณาจักรล้านนาทั้งที่เป็นชนชั้นปกครอง  พระยาลัวะ ที่มาถวายฆ้องให้แก่พระพุทธเจ้าในนิทานเรื่องผาฆ้อง ,กลุ่มลัวะเก้าตระกูลที่ดูแลเสาอินทขีล, ลัวะกอนลำพ้าง อันเป็นที่มาของชื่อจังหวัดลำปาง, ขุนวิลังคะ หรือ ขุนบะลังก๊ะ ที่ปกครองเชิงดอยสุเทพ ที่ปรารถนาจะได้นางจามเทวีมาเป็นพระชายาของตน และอื่นๆ (หน้า 467)
          ในนิทานประจำถิ่นที่มีตัวละครชาวลัวะพบว่า มีการกล่าวถึง ชาวลัวะที่เป็นเจ้าของที่ดินที่พบในจังหวัดต่างๆในล้านนา เช่นจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน  ลำปาง  ตาก ตัวละครจะมีตำแหน่งเป็นผู้นำ เป็นชนชั้นปกครอง บางครั้งก็เล่าถึงการสร้างเมือง ,ลัวะ   เก้าตระกูลที่สร้างเวียงสวนดอก พระยาลัวะที่ถวายข้าวต้มให้กับพระพุทธเจ้าที่ลำพูน เป็นต้น  (หน้า 468) บุคลิกของชาวลัวะค่อนข้างใสซื่อ ไม่ทันคน  เช่นนิทานเรื่องลัวะกับไต ที่เล่าถึงเรื่องราวของลัวะที่ถูกคนไต หรือไทยวนใช้ไหวพริบเอาเปรียบ แต่หากเมื่อเปรียบเทียบกับนิทานพื้นบ้านอื่นๆ  นิทานพื้นบ้านล้านนา จะให้ความสำคัญกับผู้ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ ที่อยู่ในล้านนามากกว่า ที่จะกล่าวเป็นล้อเลียนเสียดสี เรื่องทำให้เป็นเรื่องชวนขันบันเทิงใจ (หน้า 468)
 
กะเหรี่ยง
          กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (ปาเกอะญอ) ที่อยู่ในนิทานพื้น้านล้านนา จะพบมากหากเป็นนิทานประจำถิ่นของจังหวัดตาก เช่นอำเภอแม่สอดที่มีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (หน้า 468) ตัวอย่างเช่น ตำบลเพอะพะ คือบริเวณ ที่มีน้ำขัง ชื้นแฉะ ในภายหลังจึงเพี้ยนเสียงมาเป็นตำบลพบพระ,ส่วนตำบลขะเนจื้อ หมายถึง “รังผึ้ง” และอื่นๆ  (หน้า 468)
 
นิทานที่มีตัวแสดงเป็นกะเหรี่ยง
          ตัวอย่างเช่น ศาลพะวอ ที่เป็นกะเหรี่ยง ที่มาตั้งบ้านอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สอด ทำหน้าที่เป็นนายด่านแม่ละเมา ในช่วงที่พม่าเคลื่อนกำลังพลผ่านมาทางด่านแม่ละเมา   พะวอได้นำกองกำลังกะเหรี่ยง ออกไปสู้รบกับทหารพม่าอย่างกล้าหาญ กระทั่งสิ้นชีพในสนามรบ  ต่อมาชาวบ้านจึงตั้งศาล และเรียกขานว่า “ศาลเจ้าพะวอ” ส่วนบริเวณยอดเขาทางด้านหลังของที่ตั้งศาล เป็นหน้าผาสูงแล้วมียอดเขาหิน โดยมีแท่งหินที่ดูเหมือนปืนใหญ่ ที่คนแม่สอดเล่าต่อๆ กันมาว่า หากเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามในเขตอำเภอแม่สอด    ก็จะได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังกึกก้องมาจากยอดภูเขาดังกล่าว  (หน้า 468)
          นิทานกะเหรี่ยงเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องราวของนายพะกุโพ ผู้นำกะเหรี่ยงที่สร้างบ้านทำมาหากินอย่างสุจริตอยู่บริเวณลำห้วยแม่กุหลวง ซึ่งในภายหลังก็เลยเป็นชื่อเรียกลำห้วยและชื่อหมู่บ้านแม่กุ ในที่สุด  (หน้า 468) อย่างไรก็ตาม นิทานที่มีกะเหรี่ยงเป็นตัวแสดงนั้น เป็นนิทานที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดตากมากที่สุด  นิทานอาจเป็นเรื่องขำขันเบาสมอง  หรือเสียดเย้ย การไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหา หรือการพูดอย่างเปิดเผยไม่มีอ้อมค้อม  แต่ทว่า นิทานล้อเลียน (เจี้ยก้อม)  ก็อาจดัดแปลงตัวแสดงขึ้นอยู่กับเทคนิคของ    ผู้เล่าเรื่อง หรืออาจเปลี่ยนตัวแสดงเป็นชาติพันธุ์อื่น  ตัวอย่างเช่น (หน้า 468)
          นิทานขำขัน ที่เลือกผู้นำหมู่บ้าน จากการแข่งขันคนที่สามารถนับหนึ่งถึงร้อย  (หน้า 468) นิทานเรื่องนายอำเภอขึ้นดอยไปเยี่ยมเยียนกลุ่มชาติพันธุ์ แล้วมีชาวเขาได้ทักทายนายอำเภออย่างสนิทสนมว่า เมื่อสักครู่ยังเห็นนายอำเภอเดินขึ้นดอยมา ตัวเล็กเท่าหมาน้อยอยู่เลย(เมื่อมองจากบนดอยในระยะไกล) (หน้า 468)
 
นิทานม้ง
          ม้งหรือแม้ว ในนิทานมีบุคลิก ใสซื่อ พูดจากจริงใจแบบขวานผ่าซาก แต่มักไม่ทันคน บางครั้งจึงถูกเอารัดเอาเปรียบ  จากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ตัวอย่างเช่น (หน้า 468)
 
นิทานเรื่องเสี่ยวกินง่าว
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีม้งคนหนึ่ง ที่มีเพื่อนเป็นคนเมือง ได้เดินทางเข้าป่าไปล่าฟาน(เก้ง) เมื่อล่าฟานได้แล้ว จึงนำมาทำกับข้าว กินกันอย่าง อร่อย ออกรสออกชาติ แต่ถูกเพื่อนคนเมืองหลอกเพื่อที่จะได้กินเนื้อฟานแสนโอชะนั้นให้มากกว่าม้ง หลังจากที่กินจนอิ่มหนำสำราญ เพื่อนคนเมือรู้สึกแน่นท้อง จุกเสียดจนนอนไม่หลับ จึงลุกจากที่นอนมาต้มน้ำดื่มเพื่อให้หายปวดท้อง เพื่อนคนที่เป็นม้งเมื่อตื่นขึ้นมาเห็น จึงพูดกับเพื่อนคนเมืองอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “เสี่ยวกินง่าว” เมื่อคนเมืองที่เห็นแก่กินได้ฟังถึงกับสะอึก    (หน้า 469)
 
นิทานม้งฟังธรรมะ
          เรื่องมีอยู่ว่า ม้งที่อยู่บนดอย กลุ่มหนึ่งชอบ ฟังพระเทศน์มาก เมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนา ก็รวบรวมเงินติดกัณฑ์เทศน์ถวายพระทุกครั้ง อยู่มาวันหนึ่งมีคนเมืองคนหนึ่งที่เฝ้าสังเกตดู พฤติกรรมของม้งกลุ่มนี้ วันหนึ่ง เมื่อพระสงฆ์ป่วยไม่อาจมาเทศน์ให้ม้งฟังได้ คนเมืองจึงปลอมตัวเป็นพระมาเทศน์ให้ม้งฟัง แม้ว่าจอมต้มตุ๋นคนนั้นจะเทศน์ไม่ได้ความแต่ม้งก็ไม่อาจจับพิรุธได้ คนเมืองคนนั้นเมื่อเทศน์ผิดเทศน์ถูกจนเสร็จพิธีก็เชิดเงินหนีอย่างลอยนวล  นิทานได้อกให้รู้ว่า ด้วยความใสซื่อของม้งจึงไม่อาจทันเล่ห์กลของคนเมืองที่ปลอมตัวเป็นพระมาต้มตุ๋น ด้วยความซื่อจึงตกเป็นเหยื่อของภัยสังคม หรือเนื่องจากคิดว่าตัวเองเป็นชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยจึงไม่กล้าทักท้วง แม้จะรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมือของเหล่ามิจฉาชีพ (หน้า 469)
 
นิทานมูเซอ (ลาหู่)  
          ชาติพันธุ์ลาหู่ หรือมูเซอ ในนิทานพื้นบ้านล้านนาเพียงเรื่องเดียว เป็นเรื่องราวการค้นพบบ่อน้ำซับของพรานมูเซอ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื้อเรื่องมีดังนี้ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่พระธาตุดอยกองมู มีนายพรานมูเซอคนหนึ่ง ได้เข้าป่าล่าสัตว์และยิงกวางตัวหนึ่งจนบาดเจ็บ ส่วนกวางที่ถูกยิงได้ไปกินน้ำที่อหน้าบริเวณวัด ที่เป็นน้ำซับน้ำใสเย็น กวางตัวนั้นก็หายากเจ็บ โดยไม่มีบาดแผลของการถูกยิง  ดังนั้นคนจึงเล่าขานและเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงเรียกบ่อนี้ว่า “บ่อน้ำมูเซอ”   (หน้า 469)
          จากบทบาทของมูเซอที่พบในนิทานในนิทานเพียงหนึ่งเรื่องนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ามูเซอมีอาชีพเป็นนายพราน เข้าป่าล่าสัตว์เป็นหลัก และอาศัยอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นเวลานาน  ซึ่งงานเขียนได้รู้ว่าลาหู่ (มูเซอ) เคยตั้งบ้านเรือน อาศัยอยู่ในจีนมาเนิ่นนาน แต่ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งจึงได้โยกย้ายที่อยู่ลงมาทางใต้ โดยเข้ามาอยู่ในพม่า และภาคเหนือของไทย เช่น จังหวัดเชียงราย  เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนและตาก  (หน้า 469)
 
นิทานขมุ
          บทบาทของขมุ ในนิทานจะเป็นคนซื่อไม่ค่อยทันคน จึงมักถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น  ตัวอย่างเช่น (หน้า 469)
 
ขมุไปซื้อก๋วยเตี๋ยว
          เรื่องมีอยู่ว่า ขมุคนหนึ่งไปทำงานในเมือง วันหนึ่งนายจ้างบอกให้ปั่นจักรยานไปซื้อก๋วยเตี๋ยว แต่ขมุคนนั้นปั่นจักรยานไม่เป็นแต่ก็ไม่ยอมอกนายจ้าง จึงเดินจูงจักรยานไปซื้อ จึงทำให้ช้ากว่าเดิน นิทานเรื่องนี้ได้อกเล่าความใสซื่อของขมุ กระทั่งไม่กล้าโต้แย้งนายจ้าง จนทำให้ตัวเอง ตกเป็นเบี้ยล่าง หรือดูไม่ฉลาดเฉลียวในสายตากลุ่มชาติพันธุ์อื่น  (หน้า469)
 
ขมุขอให้นายจ้างหม่าข้าว(แช่ข้าว)
          วันหนึ่งขมุที่ไปทำงานในเมืองเป็นไข้ จึงบอกให้นายจ้างช่วยหม่าข้าว(แช่ข้าว) เมื่อที่จะได้นอนพักผ่อนแต่หัววัน ส่วนนายจ้างก็เลยใช้อุบายหลอกให้ขมุ ตักน้ำกับตักข้าวใส่กะละมัง ก็เหมือนกับว่าขมุผู้เป็นลูกจ้างแม้เป็นไข้ก็ยังต้องหม่าข้าวเหมือนเดิม ดังนั้นเขาจึงออกมาต่อว่านายจ้าง (หน้า 469)
 
ขมุเจ้าอารมณ์ (ขี้โขด หรือคนโมโหง่าย)
          ในเนื้อเรื่องของนิทานนอกจากจะเล่าถึงการไม่ทันคนของขมุ หรือมักถูกกลุ่ม  ชาติพันธุ์อื่นมองด้วยความขบขันแล้ว ขมุยังมีบุคลิกที่เป็นคนโมโหง่าย หรือคนขี้โขด ดังเช่น เรื่องเล่าที่ว่า นานมาแล้ว ลุงคำ ซึ่งเป็นขมุที่มีความขยันขันแข็งจนสร้างฐานะอย่างมั่นคง แต่ลุงคำเป็นคนโกรธง่าย เช้าวันหนึ่งขณะที่ลุงคำกำลังนั่งเฝ้าไหข้าวแต่มีผึ้งตัวหนึ่งบินวนไปเวียนมา ลุงคำรำคาญ รู้สึกโมโหจึงเตะผึ้งแต่พลาดไปเตะไหข้าวล้มคว่ำจึงอดกิน    (หน้า 470)
 
ขมุกับน้ำพริกฮาและน้ำพริกคิง
          ในนิทานยังหยิบยกเสียงที่เหน่อของขมุมาล้อเลียน ดังเช่นในนิทานที่เล่าว่า วันหนึ่งขมุสองคนไปตัดฟืนในป่ากับเพื่อนคนเมือง เมื่อตัดฟืนจนเหน็ดเหนื่อย เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ขมุที่เตรียมน้ำพริกไปด้วยจึงนำห่อน้ำพริกออกมาแล้ว  (หน้า 470) ขมุคนแรกก็พูดว่า “อันนี้ น้ำพริกฮา”(อันนี้น้ำพริกปลาร้า)
ส่วนขมุอีกคนจึงพูดว่า “อันนี้ น้ำพริกคิง” (อันนี้น้ำพริกขิง)  แต่เพื่อนคนเมืองเมื่อได้ยินจึงเข้าใจว่า ทั้งสองพูดว่า “นี่น้ำพริกของข้า นั่นน้ำพริกของเอ็ง” แล้วเขาจึงพูดกับเพื่อนขมุทั้งสองนั้นว่า “น้ำพริกฮา น้ำพริกคิงอะหยังกั๋น กิ๋นตวยกั๋นบ่ได้กา” (น้ำพริกข้า ข้ำพริกเอ็งอะไร กินด้วยกันไม่ได้หรือ) (หน้า 470)   

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวลื้อ
          การเดินทางเพื่อไปทำงานต่างแดน หรือต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนของชาวลื้อ  มีสาเหตุมาจาก เหตุต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง และประวัติศาสตร์พื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสงครามกลางเมืองในประเทศลาว การสู้รบของกองกำลังรัฐบาลทหารพม่ากับกองกำลังชนกลุ่มน้อย การปฏิวัติทางวัฒนธรรมในประเทศจีน จึงก่อให้เกิดชุมชนลื้อพลัดถิ่น  เช่น ชาวลื้อสิบสองปันนาที่แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก , ชาวลื้อในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา  บางส่วนก็อยู่ในบ้านเกิดเมืองนอน แต่มีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเข้ามาปกครอง ได้แก่ ชาวลื้อในเมืองยอง รัฐฉาน กับชาวลื้อที่อยู่ในเขตปกครองตนเองของชนชาติไตสิบสองปันนา  (หน้า 431) 

Map/Illustration

แผนภูมิ   
          หมวดที่หนึ่ง     ยอร์ซ  เซเดส์ เสนอแผนภูมิอักษรสมภพ (หน้า 5) อุดม รุ่งเรืองศรีนำเสนอแผนภูมิกำเนิดอักษรชนิดต่างๆ (หน้า 6)  กาญจนา  ปัทมดิลก  นำเสนอแผนภูมิความสัมพันธ์ของอักษรไทยเหนือ (หน้า 6)
 
ภาพ
          หมวดที่หนึ่ง     ท่านพระครูอดุลสีลกิตต์ ประกอบพิธี กิ๋นอ้อผญ๋า (หน้า 11) มอบของที่ระลึกให้กับเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ (หน้า 11)  มอบของที่ระลึกให้ศาสตราจารย์มณี  พะยอมยงค์ งานอบรมภาษาและวรรณกรรมล้านนา รุ่นที่หนึ่ง-เก้า คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2546-2554(หน้า 12) แม่ครูบัวซอน ถนอมบุญ และอ้ายสาย กางเกงแดง (หน้า 12)  พิธีมอบใบประกาศนียบัตรภาษาและวรรณกรรมล้านนา (หน้า 12) พิธีมอบใบประกาศนียบัตร ภาษาและวรรณกรรมล้านนา (หน้า 12) เอกสารประกอบหลักสูตรภาษาล้านนา (หน้า 13,14) อักษรธรรมล้านนา  (หน้า 15) พยัญชนะ (หน้า 29)
          สุภาษิตคำคร่าว (หน้า 78) โครงดอยสุเทพ (หน้า 78) โคลงเมืองเหนือ (หน้า 79) ฉันท์สัตตมหาฐาน (หน้า 80) คร่าวสร้อยระมิงค์เมือง (หน้า 81)  โคลงศาลาใจ (หน้า 81)
          ตรามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยพุทธภาษิตประจำมหาวิทยาลัย (หน้า 105) ศาลาธรรมมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (105) หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล (หน้า 106) หอพระพุทธมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หน้า 107) พระพุทธทศพลชินราช (หน้า 107)พระพุทธพิงคนคราภิมงคล (หน้า 109) พิธีเททองหล่อ (หน้า 110) วัดฝายหิน วัดในความอุปถัมภ์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หน้า 112) พระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์ (หน้า 112) พระครูปริยัตยานุศาสตน์ (ไสว เทวปุญโญ) เจ้าอาวาสวัดฝายหิน (หน้า 113) อัญเชิญผ้ากฐิน และเครื่องกฐินบริวารไปถวายวัดฝายหิน (หน้า 114) รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อำนาจ อยู่สุข รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนา นักศึกษาฯ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมศาสนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หน้า 115) พิธีบรรพชา อุปสมบทหมู่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล (หน้า 116) พิธีบวชศีลจาริณีปฏิบัติเนื่องในมหามงคลวโรกาศเฉลิมพระชนม์พรรษา (หน้า 116)  พิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันเทโวโรหนะ (วันออกพรรษา) แด่พระสงฆ์ 500รูป (หน้า 117) ศาสตราจารย์พิเศษ จำนง ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต (รูปซ้าย คนกลาง) ศาสตราจารย์ ดร.เดือน คำดี (รูปขวา คนกลาง) ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ รุ่งเรือง บุโญรส มาร่วมพิพากษ์หลักสูตร ก่อนเปิดการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ 21สิงหาคม 2545(หน้า 119)
          หมวดที่สอง   เครื่องมือหินกะเทาะพบที่บ้านแม่ทะ จังหวัดลำปาง ภาพโดย Geoffrey G. Pope(หน้า 156) เครื่องมือประเภทแกนหินที่ทำจากหินกรวดแม่น้ำ พบที่ออบหลวง จังหวัดเชียงใหม่ (ที่มา : พิพิธภัณฑ์อุทยานแห่งชาติออบหลวง) (หน้า 158) ภาพกลุ่มคนและวัว บนภาพเขียนสีที่แหล่งโบราณคดีประตูผา ,ที่มา :วลัยลักษณ์ ทรงศิริ และวิวรรณ แสงจันทร์. ภาพเขียนสี พิธีกรรม 3,000ปี ที่ผาศักดิ์สิทธิ์. หน้า 110(หน้า 161) ภาพเขียนรูปร่างคล้ายสัตว์สี่เท้ากำลังถูกลากจูงโดยคน, ที่มา :กรมศิลปากร. โบราณคดี ลุ่มน้ำปิงตอนบน. หน้า 30(หน้า 162) ลูกปัดหินอาเกต พบที่บ้านวังไฮ ,ที่มา : กรมศิลปากร. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน หน้า 11-12(หน้า 162) ลูกปัดหินคาร์นีเลียน พบที่บ้านวังไฮ, ที่มา : กรมศิลปากร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย จังหวัดลำพูน หน้า 11-12(หน้า 162)ลูกปัดแก้วสีต่างๆ (ซ้าย) และเครื่องประดับทำจากเปลือกหอยทะเล (ขวา)พบที่บ้านวังไฮ, ที่มา : กรมศิลปากร. โบราณวัตถุและศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย. หน้า 13-14(หน้า 163) ศิลาจารึกวัดดอนแก้ว อักษรมอญโบราณ ที่มา : กรมศิลปากร. โบราณวัตถุและศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย. หน้า 40(หน้า 164) เศียรพระพุทธรูปดินเผาสมัยหริภุญไชย พบที่วัดมหาวัน อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน, ที่มา : กรมศิลปากร. โบราณวัตถุและศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย. หน้า 36(หน้า 165) เศียรพระพุทธรูปดินเผาสมัยหริภุญไชย พบที่เวียงท่ากาน จังหวัดเชียงใหม่, ที่มา : กรมศิลปากร. โบราณวัตถุและศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย. หน้า 36 (หน้า 165) ศิลธรรมจักรศิลาและกวางหมอบ พบที่เสน่หาร้างจังหวัดนครปฐม, ที่มา: กรมศิลปากร. ศิลปะทวาราวดี: ต้นกำเนิดพุทธศิลป์ประเทศไทย. หน้า 127 (หน้า 166)  เปรียบเทียบลักษณะคูน้ำคันดินจากภาพถ่ายทางอากาศเมืองหริภุญไชย(ซ้าย) กับเมืองอู่ทอง (ขวา) ที่มา:  สำนักนายกรัฐมนตรี. เมืองและแหล่งชุมชนโบราณในล้านนา. หน้า 32(หน้า 167) หม้อน้ำลายครามพร้อมฝา สมัยราชวงศ์หยวน พบที่เวียงท่ากาน  ตำบลทุ่งเสี้ยว  อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่  ที่มา: ณัฏฐภัทร  จันทวิช. เครื่องถ้วยจีนที่พบจากแหล่งโบราณคดีในประเทศไทย. หน้า 22  (หน้า 167) พระพิมพ์ดินเผา แบบทวารวดี พบที่เวียงมโน อำเภอหางดง  จังหวัดเชียงใหม่  ที่มา: กรมศิลปากร. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย  จังหวัดลำพูน  หน้า 96 (หน้า 169)   พระพุทธรูปหินทราย แบบทวารวดี พบที่วัดพระธาตุหริภุญไชย  อำเภอเมือง  จังหวัดลำพูน ที่มา: กรมศิลปากร. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย  จังหวัดลำพูน  หน้า 51(หน้า 169)  ชิ้นส่วนตุ๊กตาดินเผา เด็กชายเปลือย พบภายในหลุมขุดค้นทางโบราณคดี บริเวณหน้าศาลากลาง จังหวัดลำพูน  ที่มา : สำนักนายกรัฐมนตรี. เมืองและแหล่งชุมชนโบราณล้านนา หน้า 197(หน้า 169) แหล่งเตาอินทขิล  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 172) พระบฏ พบที่กรุวัดเจดีย์สูง  อำเภอฮอด  จังหวัดเชียงใหม่ ภาพโดย :สุรชัย จงจิตงาม (หน้า 172) เจดีย์รายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ที่วัด สวนดอก ซึ่งได้รับอิทธิพลรูปแบบเจดีย์จากสุโขทัย ที่มา :รัตนปัญญาเถระ. ชินกาลมาลีปกรณ์ แปลโดย พ.ต.ท. แสง มนวิทูร หน้า 186 (หน้า 173)
          พิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้บ้านบัว  ตำบลแม่กา  อำเภอเมือง  จังหวัดพะเยา     (หน้า 180) ลวดลายสัตว์บนเครื่องปั้นดินเผาพะเยา  ที่มา:พิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้บ้านบัว  ตำบลแม่กา  อำเภอเมือง  จังหวัดพะเยา (หน้า 181)  บริเวณพื้นที่กลุ่มเตาโทกหวาก(หน้า 181)บริเวณพื้นที่ม่อนออม / ห้วยโจ้วข้าว (หน้า 182)บริเวณพื้นที่กลุ่มเตาม่อนออม (หน้า 183) ส่วนของหลังเตาในพื้นที่ม่อนออม (หน้า 183)  บริเวณม่อนออม ซึ่งพบเตาเผาและชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผา (หน้า 183) เตาที่พบในเขตเวียงบัว-ม่อนออม มีลักษณะพังทลาย เหลือเฉพาะผนังเตา (หน้า 184) จานสองใบประกบกันแสดงวิธีการวางภาชนะในเตาเผา จากกลุ่มเตาเวียงบัว-ม่อนออม (หน้า 184) เตาเดี่ยวและเศษภาชนะดินเผา, ที่มา :พิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้บ้านบัว ตำบลแม่กา  อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา (หน้า 184) เตาเผาคู่เวียงบัว (หน้า 185)  พื้นที่จัดแสดงเตาที่พิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้บ้านบัว  ตำบลแม่กา  อำเภอเมือง  จังหวัดพะเยา (หน้า 186) ภายในพิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้บ้านบัว  ตำบลแม่กา  อำเภอเมือง  จังหวัดพะเยา (หน้า 186) เตาเผาแบบ Cross draft Kiln Type ที่พิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้บ้านบัว  ตำบลแม่กา  อำเภอเมือง  จังหวัดพะเยา (หน้า 187) รูปตัดด้านข้าง (หน้า 187) Ga 2/ 2553/ 8 (หน้า 188)       Ga 2/ 2553/ 12(หน้า 188) Ga 2/ 2553/ 5  (หน้า 189) Ga 2/ 2553/ 15(หน้า 189) Ga 2/ 2553/ 61(หน้า 189)Ga 2/ 2553/ 29 (หน้า 189)Ga 2/ 2553/ 56(หน้า 189) G2/2548/1/2(หน้า 189) G2/2548/29 (หน้า 189)  ตัวอักษรบนก้นจาน ชามด้านนอกที่มา :เกรียงศักดิ์ ชัยดรุณ. เครื่องถ้วยพะเยา หน้า 32 (หน้า 191)  จารึกวัดพระเกิดและจารึกวัดบุนบาน ที่มา :เกรียงศักดิ์  ชัยดรุณ. เครื่องถ้วยพะเยา. หน้า 34(หน้า 192)ตัวเลขบนกล่องดินหรือหม้ออบ ที่มา : เกรียงศักดิ์  ชัยดรุณ. เครื่องถ้วยพะเยา. หน้า 35  (หน้า 193) นโยบายการส่งออกเครื่องปั้นดินเผาจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ที่มา : เกรียงศักดิ์  ชัยดรุณ. เครื่องถ้วยพะเยา. หน้า 36(หน้า 193)  จานชามลายปลาคู่ (หน้า 194) ชาม ถ้วย สมัยราชวงศ์หมิง (หน้า 194)  แผ่นอิฐจารึกอักษรฝักขาม ที่มา : เกรียงศักดิ์  ชัยดรุณ. เครื่องถ้วยพะเยา. หน้า 37(หน้า 194)  เครื่องปั้นดินเผาเวียงกาหลงที่พบในบริเวณกลุ่มเตาโทกหวาก มีทั้งชนิดเซลาดอนและเขียนลายใต้เคลือบสีดำ (หน้า 195) เครื่องปั้นดินเผาจีนสมัยราชวงศ์หมิง ที่พบในกลุ่มเตาโทกหวาก (หน้า 195) ชิ้นส่วนของจานชาม ชนิดเคลือบเซลาดอนสีออกเขียวอ่อน (หน้า 196) ชิ้นส่วนจาน ชาม ชนิดเขียนลายใต้เคลือบสีน้ำเงิน (หน้า 196)  ชิ้นส่วนของจาน ชาม ชนิดเขียนลายใต้เคลือบสีน้ำเงิน (หน้า 196) เครื่องปั้นดินเผาเวียงกาหลง ชนิดเขียนลายใต้เคลือบสีดำ พบที่กลุ่มเตาเวียงบัว –ม่อนออม  ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้บ้านบัว  ตำบลแม่กา  อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา (หน้า 197) เครื่องปั้นดินเผาจีนสมัยราชวงศ์หมิงที่พบในกลุ่มเตาห้วยลึก-เหล่านอด เวียงกาหลง  (หน้า 197)ตัวอักษรที่จารึกอยู่บนก้นจาน-ชาม ด้านนอก (หน้า 197)  เครื่องปั้นดินเผา (หน้า 199)
          เจดีย์แบบเหลี่ยมแบบหริภุญชัย (หน้า 208) เจดีย์ทรงกลมล้านนา (หน้า 209) เจดีย์ทรงปราสาทล้านนา (หน้า 209) เจดีย์ล้านนา (หน้า 209) ลักษณะโครงสร้างและวัสดุวิหารล้านนา (หน้า 211) วิหารล้านนา วัดกานโถมเวียงกุมกาม (หน้า 212) ซุ้มโขงล้านนา (หน้า 214) มณฑปวัดหนานช้างเวียงกุมกาม (หน้า 214) ซุ้มโขงล้านนา (หน้า 215)
          วิหารน้ำแต้ม วัดพระธาตุลำปางหลวง ลำปางลักษณะแบบวิหารโถง (หน้า 219) วิหารวัดบ้านลิง  แคว้นสิบสองปันนา มีลักษณะเป็นวิหารโถง คล้ายวิหารล้านนา (หน้า 219) วิหารน้ำแต้ม  วัดพระธาตุลำปางหลวง (หน้า 220)  วิหารจามเทวี วัดปงยางคก (หน้า 220) วิหารวัดคะตึกเชียงมั่น  จังหวัดลำปาง (หน้า 221) วิหารวัดพระธาตุเสด็จ  จังหวัดลำปาง (หน้า 221) โครงสร้างหลังคาบ้านจีน (หน้า 223) เสาวิหารและโครงสร้างปีกนกของวิหารวัดบ้านลิง สิบสองปันนา (หน้า 224)
          ช่อฟ้า (หน้า 227) ปราสาทเฟื้อง เสาบัวและเมฆา ของวัดหลวงเชียงหลวง เมืองสวง  สิบสองปันนา (หน้า 227)   ภาพซ้าย ลายเส้น ลวดลายปูนปั้นสไตน์จีนบนหน้าแหนบวิหารวัดไหล่หิน  จังหวัดลำปาง (หน้า 229) ภาพขวา การตกแต่งหน้าบัน วิหารวัดสุชาดาราม  จังหวัดลำปาง (หน้า 229) ปากแลและแผงแล วิหารวัดหนองก๋าย  อำเภอแม่แตง  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 230) นาคทันต์หรือนาคะตัน (หน้า 230) การอนุรักษ์ฟื้นฟูวัดร้างในจังหวัดเชียงใหม่ วิหารวัดโลกโมฬี และวิหารวัดอินทขิลสะดือเมือง ของ มูลนิธิวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นการปฏิบัติงานปฏิสังขรณ์แบบท้องถิ่น โดยการไม่ยึดถือตามรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดิม ถ่ายภาพโดยผู้เขียน  พ.ค. 2557(หน้า 238) การอนุรักษ์สถาปัตยกรรมอาคารในจังหวัดเชียงใหม่ พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณ และคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ เจ้ามหาอินทร์ ณ เชียงใหม่ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นการปฏิบัติงาน แบบการสงวนรักษาและการบูรณะ โดยการยึดถือตามรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดิม  ภาพถ่ายโดยผู้เขียน 1พ.ค.2557(หน้า 240)
          อาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ในบริบทของเมืองเก่าเชียงใหม่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกถึงการรักษาวัฒนธรรม และสร้างกฎหมายมาควบคุม (หน้า 254)  อาคารห้องแถวและบ้านเรือนแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่เฟื่องฟูในช่วง พ.ศ. 2500(หน้า 254)  อาคารห้องแถวที่ประดับกาแลที่เป็นผลมาจากเทศบัญญัติ พ.ศ. 2531และได้รับความนิยมแพร่หลาย (หน้า 254) ที่ทำการธนาคารแห่งหนึ่งที่นำกาแลมาประยุกต์ได้กลมกลืนกับรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของตะวันตก (หน้า 255) ธนาคารแห่งประเทศไทยสาขาภาคเหนือ สถาปนิกมีแรงบันดาลใจจากหลองข้าว (หน้า 255) หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ไม่นำทรงหลังคาจั่วขนาดใหญ่มาคลุมหอประชุม แต่เลือกที่จะนำวิหารล้านนามาประยุกต์มาสร้างเป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรม (หน้า 256) อาคารคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่เลือกสีอิฐของกำแพงเมือง และร่มบ่อสร้างมาสื่อถึงความเป็นงานสถาปัตยกรรมล้านนาร่วมสมัย (หน้า 257)  อาคารห้องสมุด  คณะสัตวแพทยศาสตร์ ที่ประยุกต์สถาปัตยกรรมแบบไทลื้อ ผสมผสานกับแนวความคิด ของหอไตรที่เก็บความรู้ (หน้า 257)  หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประยุกต์รูปทรงสถาปัตยกรรมล้านนา กับแนวทางการสร้างงานประติมากรรม (หน้า 257)  มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ที่นำรูปทรงสถาปัตยกรรมล้านนาผสมผสานกับแนวการออกแบบสถาปัตยกรรมเขตร้อน (หน้า 258) ที่ทำการศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ ใช้รูปทรงและหลังคาสถาปัตยกรรมล้านนามาประยุกต์กับความเป็นระเบียบและสมมาตร มีการประดับกาแลบนหลังคา (หน้า 258) ศูนย์ประชุมนานาชาติ เชียงใหม่ แสดงความเป็นสถาปัตยกรรมล้านนาประยุกต์ ด้วยรูปทรงของหลังคาผืนใหญ่ และเสริมจุดเด่นด้วยผิววัสดุโลหะสีทอง (หน้า 259)  หอเฉลิมพระเกียรติ 7รอบพระชนมพรรษา  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่นรูปทรงวิหารล้านนา มาปรับให้เข้ากับผัง 9เหลี่ยม ใช้วัสดุสมัยใหม่ แต่ซ่อนภายในด้วยงานตกแต่งแบบศิลปะล้านนา  (หน้า 259) หอคำหลวง อุทยานราชพฤกษ์ ที่คงแบบแผนสถาปัตยกรรมล้านนาแต่ประยุกต์การก่อสร้างแบบปัจจุบัน (หน้า 260) หอคำไร่แม่ฟ้าหลวง ใช้ไม้เป็นวัสดุสำคัญในการก่อสร้างผสานกับการใช้โครงสร้างหลังคาถักไม้ ไม่ใช้เสาภายในอาคารรับโครงสร้างหลังคา (หน้า 260) วิหารบูรพาจารย์ วัดเจดีย์หลวงที่นำต้นแบบวิหารวัดต้นแกว๋น มาประยุกต์ใหม่ (หน้า 261) บ้านที่ออกแบบโดยใช้การประยุกต์เรือนพื้นถิ่น ให้สอดคล้องกับบริบทของหมู่บ้านของชาวยอง แต่เลือกใช้วัสดุสมัยใหม่ และใช้สีขาวทั้งหลัง (หน้า 262) ศูนย์การค้ากาดสวนแก้วที่ใช้กระเบื้องดินเผากรุอาคารเพื่อสื่อถึงอิฐกำแพงเมืองเก่า และศาลาทางเข้าที่มีรูปทรงสถาปัตยกรรมล้านนาประยุกต์ (หน้า 262) ศูนย์การค้าเซ็ลทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ที่นำวัฒนธรรมโคมลอยมาใช้แทนการนำรูปทรงสถาปัตยกรรมล้านนามาประยุกต์ (หน้า 262) อาคารสำนักงานการบินไทย ในเขตคูเมืองเชียงใหม่ ที่นำเสาใจบ้านมาสร้างเป็นจุดเด่นและประยุกต์รูปทรงสถาปัตยกรรมล้านนา ใช้ร่วมกับวัสดุที่สื่อความทันสมัย (หน้า 263)  โรงแรมเชียงใหม่ออร์คิด โรงแรมรุ่นเก่าที่ใช้วัสดุกระเบื้องดินเผา และอิฐรวมถึงรูปทรงหลังคาประดับกาแลในการประยุกต์สถาปัตยกรรมล้านนา (หน้า 264) โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่แม่สาที่นำสถาปัตยกรรมล้านนามาประยุกต์ผ่านรูปแบบ และวัสดุหลังคา บนการจัดผังบริเวณรอบสระน้ำแบบตะวันตก (หน้า 264)
          หมวดที่สาม       ที่ตั้งถิ่นฐานทั่วไปของล้านนา เป็นที่ราบลุ่มระหว่างเขา (หน้า 273) ที่ราบที่มีจำกัด โดยทำนาขั้นบันได (หน้า 273) ลำเหมืองในหมู่บ้านล้านนาที่ผันน้ำจากฝายส่งน้ำเข้านา (หน้า 278) ภูมิทัศน์ทางสัญจร(กอง) ของชาวนาและควายออกสู่ท้องนา (หน้า 278) ลำเหมืองหลักเข้าหมู่บ้าน สำหรับทำการเกษตรและใช้สอย   (หน้า 278) ลักษณะหอเสื้อบ้านหรือใจบ้าน (เจ้าพ่อบ้าน) กลางหมู่บ้าน (หน้า 278)หอเจ้าที่ในเขตบ้านที่รายล้อมด้วยไม้ดอกไม้ประดับพื้นบ้าน  (หน้า 278) หอผีปู่ย่าในเขตบ้านต้นตระกูลที่ทุกคนมารวมเซ่นไหว้ประจำปี (หน้า 278) ข่วงบ้านเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ที่เรียบง่ายงดงามดูธรรมชาติ (หน้า 279) ตูบหรือกระท่อมสำหรับครอบครัวใหม่หรือมีขนาดเล็ก (หน้า 279) เรือนกาแลแบบสามหลังร่วมพื้นของต้นตระกูลอนุสารสุนทร (หน้า 279) ผนังเรือนนอนของเรือนกาแล (หน้า 279) เติ๋น เป็นที่พักผ่อนและรับแขกมีหิ้งพระทางทิศตะวันออก (หน้า 279) เติ๋นเป็นชานร่มเชื่อมพื้นที่ในห้องนอนและชานแดดด้านนอก (หน้า 279)  ที่นอนเจ้าของเรือนหันหัวไปทางเสามงคลที่มักมีหิ้งผีปู่ย่า (หน้า 280) ครัวไฟมีกระบะเตาไฟและหิ้ง(ควั่น) ตากผึ่งถนอมอาหาร  (หน้า 280) ร้านน้ำที่ชานแดดเป็นสัญลักษณ์การต้อนรับของชาวล้านนา (หน้า 280)ช่วงที่ว่างเชื่มโยงเรือนนอน ยุ้งข้าวบ่อน้ำและสวนไว้ด้วยกัน (หน้า 280) เรือนสันป่าตองสะท้อนพัฒนาการภูมิปัญญาการสร้างสรรค์ (หน้า 280) เรือนล้านนาที่ปรับรูปตามเทคโนโลยีใหม่ที่ได้จากตะวันตก (หน้า 280) ข่วงหน้าบ้านและกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับตีนบันไดที่งดงาม  (หน้า 281)   ทางสัญจรในหมู่บ้าน (กอง) สำหรับเกวียน คน และสัตว์เลี้ยง  (หน้า 281)  น้ำบ่อแหล่งน้ำใช้สอยสำคัญกับภูมิทัศน์แบบท้องถิ่น (หน้า 281) ต๊อมอาบน้ำแบบไม่มีหลังคาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของล้านนา  (หน้า 281) ภาพวาดคุ้มเจ้าราชสีห์แห่งเชียงราย (Carl  Bock, 1986 ) (หน้า 286)  หอคำเจ้าหลวงบุญวาทย์ ผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย (หน้า 286) หอคำเวียงแก้วของเวียงเชียงใหม่ สร้างสมัยพญากาวิละ (หน้า 286) หอคำเจ้ามโหตรประเทศที่ถูกถวายเป็นวิหารวัดพันเตา (หน้า 286)
          นาหลั่นปั๊บ บ้านลัวะแม่เหาะ ตำบลแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 289) ฝายพระราชาเจ้าดารารัศมี กั้นน้ำแม่สา ตำบลแม่แรม  อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 291) ฝายพระราชาเจ้าดารารัศมีแบ่งน้ำเป็นสามสาย คือน้ำแม่สา เหมืองเจ้าฯ และเหมืองโค้งไหลลงน้ำแม่ปิงที่บ้านสบสา ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 292) ลำเหมืองแก้ว  ตำบลเหมืองแก้ว  อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่ (เป็นฝายชักน้ำแม่ปิงสู่น้ำแม่กวงที่เรียกว่า “เหมืองแข็ง” หรือ “เหมืองแก้ว” ที่มีอายุตามประวัติศาตร์ล้านนากว่า 700ปี  ) (หน้า 292) ประเพณีการตีฝายกั้นน้ำแม่แจ่ม  อำเภอแม่แจ่ม  จังหวัดเชียงใหม่  ที่มา:วิถี พานิชพันธ์ (หน้า 292) เหมืองซอยที่แบ่งน้ำเข้าผืนนา บ้านแม่สาน้อย  อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 292)  ต๊างนา บ้านแม่สาน้อย  อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 292) หลุกผัด หรือระหัดวิดน้ำเข้านา ที่มา:วิถีพานิชพันธ์ (หน้า 292)  ข้าวไร่บ้านไผ่ ตำบลเมืองมาย  อำเภอแจ้ห่ม  จังหวัดลำปาง ปลูกด้วยการหยอดหลุม หล่อเลี้ยงต้นกล้าด้วยน้ำฝน ที่มา :วิถี  พานิชพันธ์  (หน้า 293) การหว่านข้าวเชื้อลงในแปลงนาตากล้า ในอำเภอแม่แจ่ม  จังหวัดเชียงใหม่  ที่มา:  วิถี  พานิชพันธ์  (หน้า 293)  ต้นกล้าข้าวบ้านเหมืองแก้ว  ตำบลเหมืองแก้ว  อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 294) การไถดะเปิดหน้าดินขี้ไถอยู่ด้านขวามือเรียกว่า “พัดขวา” ที่มา :วิถี พานิชพันธ์ (หน้า 295) การยกง้อนไถหลังจากสลับกระทงนาเรียกว่า “อ่อยควาย”  ที่มา: วิถี  พานิชพันธ์ (หน้า 295) การถอนต้นกล้าข้าว ที่มีความสูงประมาณหนึ่งศอก ที่มา วิถี  พานิชพันธ์ (หน้า 296) การแฮกนา โดยการปักตะแหลวหลวงและแฮกปลูกในบริเวณปากต๊างนา (หน้า 297) การโยนกล้าลงในนาเพื่อเตรียมไว้ในการใส่นาหรือดำนา (หน้า 298) การดำนาโดยการย่ำถอยหลังเรียงกันเป็นแถวๆ  (หน้า 298)  การขังน้ำนาให้ต้นกล้าเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ หลังช่วงการดำนาในเดือนเก้า หรือมิถุนายน (หน้า 299)  ข้าวตกงวงตั้งท้องในช่วงเดือน 12(ตุลาคม) ชาวนาจะลดน้ำนาออกและเตรียมเกี่ยวข้าว ที่มา :วิถี พานิชพันธ์ (หน้า 300) การเกี่ยวข้าววางพาดไว้กับตอเฟืองให้ข้าวแห้งประมาณ 3-5วัน  ที่มา :วิถี  พานิชพันธ์ (หน้า 300)การนำข้าวเท่าที่มัดไว้มาเสียบปลายหลาวข้าวทั้งสองข้าง  ที่มา:วิถี  พานิชพันธ์ (หน้า 302) การหาบหลาวข้าว เพื่อย้ายไปกองข้าวในตาลาง  ที่มา วิถี  พานิชพันธ์ (หน้า 302) ตาลางตีข้าว  อำเภอปางมะผ้า  จังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 302)  การตีคุโดยใช้ไม้คีบข้าวตีข้าวลงไปที่หมงตีข้าวสลับกันเข้า-ออก ขนาด 2คนต่อ 1คู  ที่มา :วิถี  พานิชพันธ์    (หน้า 303)  อุปกรณ์ในการตีข้าวและวีข้าว ได้แก่ ไม้คีบข้าว ฝากข้าว และก๋าวีข้าว  ที่มา:วิถี พานิชพันธ์  (หน้า 304)  อุปกรณ์ในการตีข้าวและวีข้าว ได้แก่ ไม้คีบข้าว ฝากข้าว และก๋าวีข้าว  ที่มา:วิถี  พานิชพันธ์ (หน้า 304)  การใช้ไม้ฝากหะข้าวและใช้ก๋าวีข้าวลีบออกจากข้าว เต็งที่เมล็ดสมบูรณ์  ที่มา:วิถี  พานิชพันธ์ (หน้า 304) การใช้ก๋าวีข้าวในตาลาง  ที่มา:  วิถี  พานิชพันธ์ (หน้า 305) การใช้ก๋าวีข้าวหลังจากการหะข้าวจากคุ ที่มา : วิถี  พานิชพันธ์ (หน้า 305)  ต๋างของจังหวัดเชียงใหม่ใช้ตวงข้าว จำนวน 30ลิตร (หน้า 305)  การใช้ต๋างหรือ “เป้ด” ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนในการตวงข้าวเปลือก (หน้า 306) ไม้จกข้าวออกหลอง แขวนไว้กับประตูหลองข้าว ใช้ดูเดือนดับเดือนเพ็ง หรือข้างขึ้นข้างแรม  (หน้า 307) ครกมองใช้ตำข้าวเปลือก (หน้า 308)  กล่องข้าวลายบ้านไผ่ เมืองมาย  ตำบลเมืองมาย  อำเภอแจ้ห่ม  จังหวัดลำปาง  ข้าวนึ่งที่ใส่ลงในกล่องข้าว  สามารถระบายไอน้ำออกได้ และไม่ทำให้ข้าวแข็งตัว (หน้า 309)
            กระบวยตักน้ำ และหม้อน้ำดินเผา ที่พบคู่กันเสมอในวัฒนธรรมล้านนา (หน้า 313)  ภาชนะสำหรับตักน้ำจากบ่อของภาคเหนือและภาคใต้ เปรียบเทียบความแตกต่างของวัสดุ รูปร่าง รูปทรง และความคล้ายทางสาระสำคัญในการแก้ปัญหา ได้ ที่มา: พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ (หน้า 314) ป่าไผ่และป่าไม้ในป่าเบญจพรรณ ที่ให้วัสดุในการสร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรม (หน้า 314) เครื่องจักรสานที่พบในชีวิตประจำวันของชาวล้านนา ทั้งเครื่องมือการเกษตร จับสัตว์น้ำ กวักฝ้าย ที่มา:พิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน โรงเรียนแม่ทาวิทยาคม  อำเภอแม่ทา  จังหวัดลำพูน (หน้า 316)เจดีย์ไม้ไผ่สาน  ลงรักปิดทอง ณ วัดป่าอ้อร่มเย็น อำเภอเมือง  จังหวัดเชียงราย ได้แนวคิดมาจากพระพุทธรูปสานไม้ไผ่ เน้นความเรียบง่ายในการใช้วัสดุและความร่วมมือของคนในชุมชน  (หน้า 317)  หอพระอุปคุตโครงไม้ไผ่ในงานพิธีกรรม ตามความเชื่อในอิทธิฤทธิ์ของพระอุปคุตในการดูแล ปัดเป่าความชั่วร้าย ทำให้งานดำเนินไปได้โดยไร้อุปสรรค (หน้า 317) ผ้าหลบของชาวไทลื้อในล้านนา ลวดลายตกแต่งส่วนปลายผ้าด้วยเทคนิคการขิต เพื่อแสดงส่วนหัวนอนและปลายเท้าให้ชัดเจน ด้วยการปูผ้าให้ถูกทิศทางเพื่อความเป็นมงคลในการดำรงชีวิต (หน้า 318) งานประดับตกแต่งหน้าหมอนของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อล้านนา เป็นเทคนิคการปักลวดลายบนผืนผ้า (หน้า 318) งานถักทอ งานเย็บปักถักร้อยจากฝ้ายและไหมแทรกด้วยโลหะที่รีดแบน ก่อให้เกิดความงดงาม ที่มา: ผ้าห่อคัมภีร์ใบลานวัด หมูเปิ้ง  ตำบลเหมืองจี้  จังหวัดลำพูน (หน้า 318) ผ้าห่อคัมภีร์ใบลานจากวัดห้วยกาน อำเภอบ้านโฮ่ง  จังหวัดลำพูน เป็นงานศิลปหัตถกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา มีหน้าที่ใช้สอยเพียงห่อคัมภีร์ใบลาน แต่ประดับตกแต่งด้วยฝีมืออันวิจิตร เพื่อตอบสนองความเชื่อเรื่องกุศลผลบุญ และอานิสงส์อันจะเกิดในภายภาคหน้า (หน้า 318) ฮ้านน้ำสำหรับวางหม้อน้ำกระบวยตักน้ำ สำหรับผู้คนที่สัญจรไปมาแวะดื่ม ด้วยความเชื่อว่าการให้น้ำเป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง จึงพบฮ้านน้ำตั้งอยู่หน้าบ้านเกือบทุกบ้าน (หน้า 319)  หม้อดินเผาสำหรับต้มหรือแกงมีคุณสมบัติเนื้อแกร่ง อุ้มน้ำและทนไฟ  (หน้า 319) เตาเผาโบราณก่อด้วยอิฐเป็นโพรงสำหรับสุมไฟเผาเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก จากพิพิธภัณฑ์แหล่งเตาอินทขิลเมืองแกน  ตำบลอินทขิล  อำเภอแม่แตง  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 319)  กระเบื้องดินขอสำหรับมุงหลังคาบ้าน  ตลอดจนอาคารทางศาสนา (หน้า 319) การเตรียมภาชนะดินดิบที่ขึ้นรูปแล้วสำหรับการเผาในเตา โดยใช้เวลาในการสุมไฟเผาต่างกันไปตามรูปแบบของภาชนะ โดยส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งคืน หนึ่งวัน (หน้า 319) แม่พิมพ์พระเครื่องหรือพระพิมพ์ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดต้นแก้ว  อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน (หน้า 320) ขันเงินหรือพาน สำหรับบรรจุเครื่องประกอบพิธีกรรม ด้วยเทคนิคการตีดุนโลหะให้เกิดเป็นลวดลายต่างๆ โดยนิยมลายพันธุ์พฤกษา (หน้า 320) การทำปิ่นปักผมเครื่องประดับของสตรีล้านนาจากทองเหลืองที่มีการสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ณ อำเภอแม่แจ่ม  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 320) เหรียญเงินที่เกิดจากเทคนิคการตีและดุนลาย  จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย (หน้า 321) งานตีมีดบ้านต้นปัน และของใช้มีคมต่างๆ โดยช่างเมฆ ยะบึง  ตำบลหนองหนาม  อำเภอเมือง  จังหวัดลำพูน (หน้า 321) การตอกโลหะด้วยเทคนิคการต้องลาย เพื่อประดับตกแต่งฉัตรประดับยอดพระธาตุล้านนา ณ วัดพวกแต้ม  อำเภอเมือง  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 321) พระพิมพ์ขนาดเล็กหล่อโลหะด้วยแม่แบบที่แตกต่างกัน (หน้า 321) งานหล่อพระพุทธรูป โดยการขึ้นรูปแล้วหุ้มด้วยขี้ผึ้ง และตกแต่งให้งดงามตามต้องการก่อนการหล่อด้วยเทคนิคไล่ขี้ผึ่ง (Lost  wax) (หน้า 321) งานกระดาษ การตัดกระดาษว่าว สำหรับทำโคมหูแมว ที่มา:วัดไหล่หิน  อำเภอเกาะคา  จังหวัดลำปาง (หน้า 322) การผลิตกระดาษจากเยื่อปอสา สำหรับเป็นวัตถุดิบ ในงานศิลปหัตถกรรมประเภทกระดาษ (หน้า 322) งานต้องลายบนกระดาษสา ด้วยลวดลายที่ซ้ำๆ สำหรับประดับตกแต่งอาคารสถานที่  (หน้า 322) การใช้กระดาษประดับตกแต่ง ประดับโครงสร้างงานชั่วคราว (หน้า 323) งานแกะและชุดท่อนไม้ เป็นครกไม้ ขันโตก กวักข้าว สำหรับใช้ในครัวเรือน รวบรวมโดยพิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน โรงเรียนแม่ทาวิทยาคม  อำเภอแม่ทา  จังหวัดลำพูน  (หน้า 324) การเคี่ยนกลองหลวง โดยใช้ไม้ขนาดใหญ่ ลักษณะเช่นเดียวกับการกลึงเพื่อให้เกิดลายคล้ายเส้นลวดที่ก้นกลอง (หน้า 324) ธรรมาสน์ และสัตตภัณฑ์ ในวิหารวัดสุชาดาราม อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ที่สร้างจากงานไม้ประดับตกแต่งด้วยเทคนิคการแกะสลักประดับกระจกสี ลงรักปิดทอง สัตตภัณฑ์มีหน้าที่สนองตอบความเชื่อเรื่องไตรภูมิจักรวาล ในการเป็นสัญลักษณ์ของเขาสัตตบริภัณฑ์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ส่วนธรรมาสน์มีหน้าที่ใช้สอยสำหรับพระสงฆ์ในการขึ้นเทศน์มหาชาติในประเพณียี่เป็งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน ด้วยความเชื่อในอานิสงส์การฟังเวสันตรชากดก ทำให้ได้ไปเกิดในยุคของพระศรีอาริยเมตรัยต่อไป (หน้า 325) ไม้ประกับธรรมแกะสลักลวดลายลงรักปิดทองและประดับด้วยกระจกสี (หน้า 325) เทคนิคการปั้นแปะ ต่างจากการแกะสลักโดยการเพิ่มวัสดุขึ้นจากพื้นผิว ตัวอย่างภาพลวดลายจากการปั้นรักประดับหน้าบันวิหาร  วัดไหล่หิน  อำเภอเกาะคา  จังหวัดลำปาง        (หน้า 325) เทคนิคการแกะสลัก การฉลุ ทำให้วัสดุหลุดออกไปโดยการเจาะ สกัดออกด้วยเครื่องมือ สิ่วและค้อน ฝีมือของช่างพิชิต  รินคำ ตำบลต้นเปา  อำเภอสันกำแพง  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 325) สัตตภัณฑ์ไม้แกะสลักประดับกระจกสี ภาพเขียนสีตามโครงสร้างของวิหาร  ที่มา:วิหารน้ำแต้ม  วัดพระธาตุลำปางหลวงจังหวัดลำปาง      (หน้า 326) การจัดอบรมการถ่ายทอดผลงานศิลปหัตถกรรมในวัดไหล่หิน อำเภอเกาะคา  จังหวัดลำปาง  ร่วมกับสถานศึกษาในท้องถิ่นส่งเสริมหลักสูตรท้องถิ่นด้านงานศิลปหัตถกรรมจากผู้สูงอายุสู่เยาวชน (หน้า 327)  การอนุรักษ์และจัดการศึกษางานศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นในสถานศึกษา โรงเรียนแม่ทาวิทยาคม  อำเภอแม่ทา  จังหวัดลำพูน (หน้า  329)   
            ฆ้องแบนวัดพระธาตุหริภุญไชย  จังหวัดลำพูน (หน้า 333) เทวดาดีดพิณเปี๊ยะ ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดไหล่หิน  อำเภอเกาะคา  จังหวัดลำปาง (หน้า 335) หัวพิณเปี๊ยะ ที่มา:จากสมบัติส่วนตัวของนักสะสมหัวพิณเปี๊ยะโบราณ (หน้า 335) กลองปูจา  วัดไหล่หิน  อำเภอเกาะคา  จังหวัดลำปาง (หน้า 336) การแสดงฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ที่มา:หอจุดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร (หน้า 337) การเก็บข้อมูลดนตรีไทใหญ่ โดยใช้กระบวนการทางมานุษยดนตรีวิทยา (หน้า 339)การแสดงคอนเสริ์ตร่วมสมัย อาหัว แซ่ยะ ศิลปินชนเผ่าม้ง (หน้า 343) การบรรเลงกีต้าร์ ในวงปี่พาทย์ล้านนา ประกอบพิธีฟ้อนผี จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 343) การแสดงดนตรีล้านนาร่วมสมัย บรรเลงพิณเปี๊ยะเจ็ดชิ้น (หน้า 346) การแสดงดนตรีล้านนา วงดนตรีช้างสะตน (หน้า 347)การแข่งขันดนตรีล้านนาร่วมสมัย Lanna Awardsสำนักประชาสัมพันธ์ เขต 3เชียงใหม่ (หน้า 348)
          เครื่องสักการบูชา และวงดนตรีปี่พาทย์ล้านนา ถือเป็นเครื่องสังเวยวิญญาณบรรพชนที่สำคัญ (หน้า 353) ฟ้อนผีบวงสรวงบรรพกษัตริย์เมืองเชียงใหม่ ณ หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ 30มิถุนายน 2556(หน้า 353) ฟ้อนนกกิงกะหร่า และฟ้อนโต สัตว์ป่าหิมพานต์ที่ออกมาร่ายรำแสดงความยินดีปรีดา (หน้า 355)  ฟ้อนเล็บ และฟ้อนปิติเพื่อแห่เครื่องไทยทานเข้าสู่วัด เนื่องในงานปอยหลวง (หน้า 355 ) ฟ้อนม่านมุ้ย เชียงตา ในคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี (หน้า 356) ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาของศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ปัจจุบัน (หน้า 356)  ระบำซอ (ขวา) และฟ้อนเงี้ยว (ซ้าย) ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ ได้ปรับปรุงท่ารำขึ้นมาจากท่ารำดั้งเดิมในแบบของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี (หน้า 359) นางฟ้อนจากจิตรกรรมฝาผนังวัดป่าแดด อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (ซ้าย) และฟ้อนนีโอล้านนา โดยคุณแววดาว ศิริสุข (ขวา)(หน้า 359) ฟ้อนเทวดาที่นำเครื่องแต่งกายและท่ารำมาจากจิตรกรรมฝาผนัง และรูปปั้นเทวดาล้านนา (ซ้าย) จากหอไตรวัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 360)  นักท่องเที่ยวรับประทานอาหารขันโตกพร้อมชมการแสดงฟ้อนรำ ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ (หน้า 361) ช่างฟ้อนร่ายรำบนรถกระทงในขบวนแห่กระทงใหญ่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในประเพณียี่เป็งเชียงใหม่ ปี 2554(หน้า 362) การแสดงเล่าเรื่องการก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ ในขบวนแห่โคมยี่เป็งเชียงใหม่ ปี 2554(หน้า 362)
          กัวะข้าว ที่มา: คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หน้า 366) แกงแค  ที่มา:ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 368) ลาบหมูคั่ว ที่มา:ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 369) น้ำพริกอ่อง ที่มา:ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 369) ห่อนึ่งไก่  ที่มา:ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 370) เฮือนเตาไฟ ที่มา:ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่  จังหวัดเชียงใหม่  (หน้า 372) แกงโฮะ ที่มา:ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 376) แกงฮังเล ที่มา: ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 377)  การกินอาหารแบบขันโตก ที่มา:ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่  จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 380)
          เขี้ยวเสือสำหรับใช้แหก (หน้า 389) เขี้ยวหมูตันสำหรับใช้แหก (หน้า 389)สำนักทรงเจ้า (หน้า 391) บ้านหมอยา (หน้า 392) ยาผง (หน้า 392) ยากาก (หน้า 392) ยาต้ม (หน้า 392) พิธีกรรมย่ำขาง (หน้า 393) เครื่องมือในการย่ำขาง (หน้า 393) การตอกเส้น (หน้า 395) การรักษาแบบพุ่งธูป (หน้า 395) การรักษาแบบรูดโซ่ (หน้า 396) การประคบ(หน้า 396) สะตวงส่งเคราะห์ (หน้า 399) ขันตั้งครูหมอ (หน้า 400)
          บ้านหลังเดิมของพระพิจิตรโอสถ ที่มา:บุญเสริม  สาตราภัย  (หน้า 411) โรงพยาบาลนครเชียงใหม่สมัยแรก (หน้า 415) โรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่น (หน้า 416) โรงพยาบาลแมคคอร์มิค  พ.ศ. 2468(หน้า 416) พิธีเปิดโรงพยาบาลแมคคอร์มิคอย่างเป็นทางการ โดยสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พร้อมสมเด็จพระศรีนครินครินทรา บรมราชชนนี เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดในวันที่ 13มกราคม พ.ศ.2468  (หน้า 418) ตึกมหิดล (หน้า 418) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีเปิดตึกมหิดลหลังใหม่ (หน้า 418) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินเปิดตึกมหิดลหลังใหม่ (หน้า 419)ตึกมหิดล หลังใหม่ (หน้า 419) นายแพทย์ เจมส์ ดับบลิว แมคเคน และภรรยา         (หน้า 420) เครื่องผลิตยาควินิน เม็ด อ.ม. (อเมริกันมิชชั่น) ที่นายแพทย์แมคเคนนำเข้ามา ปัจจุบันตั้งแสดงที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค (หน้า 420) มิสซิสไซรัส เอช แมคคอร์มิค (หน้า 420) นายแพทย์เอ็ดวิน ชาร์ลส์  คอร์ท (หน้า 421) สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเสด็จเปิดตึกสูติกรรม โรงพยาบาลแมคคอร์มิค  เมื่อวันที่ 5กุมภาพันธ์  พ.ศ.2471  (หน้า 422)
          หมวดที่สี่         พระพุทธศาสนาของชาวลื้อในสิบสองปันนา (หน้า 436)  ครูบาปฏิบัติการทางศาสนาและพื้นที่แห่งความทรงจำของชาวลื้อ (หน้า 438) ความเป็นมาของซอ (หน้า 448,456) นิทานพื้นบ้านล้านนา (หน้า 464) การละเล่นของชาวไทใหญ่และกะเหรี่ยง   (หน้า 470) กะเหรี่ยงโป อำเภอแม่สะเรียง  จังหวัดแม่ฮ่องสอน  ในพิธีงานศพแบบดั้งเดิม ถ่ายโดย Peter  Hinton  ปี 2511(หน้า 486) พิธีทอดผ้าป่าวัดพระบาทห้วยต้ม  อำเภอลี้  จังหวัดลำพูน  ถ่ายโดยจักรคำ  มาตุทาพูน  ปี 2547(หน้า 489) ลูกศิษย์วัดชายในสำนักฤาษี  อำเภออุ้มผาง  จังหวัดตาก  ถ่ายโดย วิธูร บัวแดง ปี 2547(หน้า 490)  อาข่า  (หน้า  503) ม้ง (หน้า 512) การอพยพเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง (หน้า 513)   
   
ตาราง
          หมวดที่หนึ่ง  เครื่องหมายกำกับอักษร (หน้า 23-28) ตัวเลข (หน้า 28) สระลอยในภาษาบาลี (หน้า 29)วรรณยุกต์ (หน้า 30) สระจม (หน้า 30,31) คำบาลี สันสกฤต (หน้า 32) แบบแจกแม่กักมี ๓ เป็นตัวสะกด (หน้า 34) ประสมกับพยัญชนะต้น 1รูป  (หน้า 34)  ประสมกับพยัญชนะต้น 2รูปฐานเสียงเดี่ยว (หน้า 34)รูปไม้สระ (หน้า 35) ประสมกับพยัญชนะต้น 1รูป (หน้า 35) ประสมกับพยัญชนะต้น 2รูป ฐานเสียงเดี่ยว (หน้า 35) แบบแจกแม่กัด  รูปไม้สระ(หน้า 36) ประสมกับพยัญชนะต้นหนึ่งรูป (หน้า 36) ประสมกับพยัญชนะต้นสองรูปฐานเสียงเดี่ยว (หน้า 36) แบบแจกแม่กัน  รูปไม้สระ (หน้า 37) ประสมกับพยัญชนะต้นหนึ่งรูป (หน้า 37) ประสมกับพยัญชนะต้น 2รูปฐานเสียงเดี่ยว (หน้า 37) แบบแจกแม่กับ รูปไม้สระ (หน้า 38) ประสมกับพยัญชนะต้น 1รูป (หน้า 38) ประสมกับพยัญชนะต้น 2รูปฐานเสียงเดี่ยว (หน้า 38) แบบแจกแม่กัม รูปไม้สระ (หน้า 39) ประสมกับพยัญชนะต้น 1รูป (หน้า 39) ประสมกับพยัญชนะต้น 2รูปฐานเสียงเดี่ยว (หน้า 39) แบบแจกแม่ไกย รูปไม้สระ (หน้า 40) ประสมกับอักษร (หน้า 40) เทียบอักษรไทย (หน้า 40) แบบแจกแม่กาว รูปไม้สระ(หน้า 41) ประสมกับอักษร (หน้า 41) เทียบอักษรไทย (หน้า 41) คำยากหรือคำเฉพาะ (หน้า 44,45,46) ตัวอย่างคำศัพท์ล้านนา (หน้า 47)   อักษรกล (หน้า 48)
          แบบนำเสนอแนวทางการเขียนศัพท์วิชาการด้วยอักษรธรรมล้านนา,มหาวิทยาลัยของรัฐ (หน้า 50) มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ(หน้า 51) มหาวิทยาลัยราชภัฏ (หน้า 51,52,53)  มหาวิทยาลัยเทคโลยีราชมงคล(หน้า 53,54) สถาบันอุมศึกษาเอกชน บางส่วน (หน้า 54) บุคลากรมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หน้า 54,55,56) หน่วยงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หน้า 56,57,58,59,60) หน่วยงานในคณะการสื่อสารมวลชน (หน้า 60) หน่วยงานในคณะเกษตรศาสตร์(หน้า 60-62) หน่วยงานในคณะทันตแพทย์ศาสตร์ (หน้า 62) หน่วยงานในคณะเทคนิคการแพทย์ (หน้า 62,63) หน่วยงานในคณะนิติศาสตร์ (หน้า 63) หน่วยงานในคณะนิติศาสตร์ (หน้า 63)  หน่วยงานในคณะบริหารธุรกิจ (หน้า 63) หน่วยงานในคณะพยาบาลศาสตร์ (หน้า 63,64) หน่วยงานในคณะแพทย์ศาสตร์ (หน้า 64,65) โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ (หน้า 65,66) หน่วยงานคณะเภสัชศาสตร์ (หน้า 66,67) หน่วยงานในคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ (หน้า 67,68) หน่วยงานในคณะวิจิตรศิลป์ (หน้า 68) หน่วยงานในคณะวิทยาศาสตร์ (หน้า 68,69) หน่วยงานในคณะวิศวกรรมศาสตร์ (หน้า 69) หน่วยงานในคณะศึกษาศาสตร์ (หน้า 69-71)หน่วยงานในคณะเศรษฐศาสตร์  (หน้า 71) หน่วยงานในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (หน้า 71) หน่วยงานในคณะสังคมศาสตร์ (หน้า 71) หน่วยงานในคณะสัตวแพทยศาสตร์ (หน้า 71)หน่วยงานในคณะอุตสาหกรรมเกษตร (หน้า 72) หน่วยงานในวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี (หน้า 72) หน่วยงานในสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ (หน้า 73) หน่วยงานในสำนักทะเบียนและประมวลผล (หน้า 73)  
 
           หมวดที่สี่       ประชากรกะเหรี่ยงในประเทศไทยแยกตามจังหวัด พ.ศ.2544-2545 (หน้า 483) จำนวนและเปอร์เซ็นต์ของคนกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 489)
 
แผนผัง
           หมวดที่หนึ่ง   เวียงบัว ที่มา: เมืองและแหล่งชุมชนโบราณในล้านนา หน้า 215 (หน้า 182)  
           หมวดที่สอง     ผังเตา  ที่มา: กฤษฎา  พิณศรี และคณะ. เครื่องถ้วยสุโขทัยพัฒนาการของเครื่องถ้วยไทย หน้า 25(หน้า 187)
           วัดล้านนา และอาคารประธานในเขตพุทธาวาส (หน้า 203) ผังพื้นและรูปด้านของวิหารล้านนา (หน้า 211) ด้านข้างและแผนผังวิหารน้ำแต้ม วัดพระธาตุลำปางหลวง  ลำปาง  ลักษณะแบบสำเภานาวา (หน้า 222)
 
ภาพวาด
            หมวดที่สาม       ภาพจำลองกายภาพของที่นาเรียงลำดับจากความสูงตามไหล่เขาถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำในล้านนา (หน้า 289) ภาพจำลองระบบเหมืองฝายและการแจกจ่ายน้ำเข้าสู่ที่นา (หน้า 291)    

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 10 ต.ค. 2567
TAG ภาษา, ศาสนา, วรรณกรรม, ประวัติศาสตร์, อาหาร, ศิลปะ, ชาติพันธุ์, ล้านนา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง