|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่ การท่องเที่ยว โฮมสเตย์ จังหวัดเชียงราย ภาคเหนือ ประเทศไทย |
Author |
สาริณีย์ ภาสยะวรรณ |
Title |
การเมืองของการสร้างภาพตัวแทนทางชาติพันธุ์ในพื้นที่การท่องเที่ยว: กรณีศึกษาโฮมสเตย์ชาวลาหู่ บ้านยะดู |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
167 |
Year |
2554 |
Source |
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ภาพลักษณ์ของโฮมสเตย์ชาวลาหู่แห่งนี้ที่นักท่องเที่ยวรับรู้นั้นถูกผลิตสร้างเป็นลักษณะดังเส้นเดินทางชักจูงให้เดินตามกระบวนการเสนอภาพลักษณ์จากการนำเสนอผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ การมีปฏิสัมพันธ์ทางตรงกับองค์กรหรือตัวแทนการท่องเที่ยว รวมถึงการปะทะกับพื้นที่และมีประสบการณ์ร่วมกับโปรแกรมทัวร์การท่องเที่ยว ซึ่งผลทำให้ความเป็นชาติพันธุ์ลาหู่ในพื้นที่โฮมสเตย์ถูกกำกับให้มีหลากหลายความหมายตามเส้นกระบวนการเสนอภาพลักษณ์โฮมสเตย์ ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ชาวลาหู่แบบดั้งเดิม ภาพชาวลาหู่ผู้มีใจอนุรักษ์และมีศักยภาพจัดการท่องเที่ยว อาจจะมีความหมายทางชาติพันธุ์ลาหู่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เพียงหมู่บ้านที่จะขอค้างพักระหว่างเดินบ้านเท่านั้นเอง อีกทั้ง ภาพลักษณ์ของโฮมสเตย์ชาวลาหู่มีกระบวนการประดิษฐ์สร้างพื้นที่อยู่เบื้องหลังอันเป็นผลความสัมพันธ์ระหว่างชาวลาหู่กับบริษัททัวร์และมัคคุเทศก์ในเชิงธุรกิจทัวร์ป่า ตลอดจนความร่วมมือระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชนกับชาวลาหู่ในเชิงพัฒนา ที่ต้องการสร้างบ้านลาหู่แห่งนี้ให้เป็นโฮมสเตย์ชาวลาหู่ตามการท่องเที่ยวแบบเชิงนิเวศในอุดมคติ ซึ่งกระบวนการสร้างพื้นที่ท่องเที่ยวดังกล่าวได้ส่งผลเข้ามากำกับควบคุมชาวลาหู่ ให้เป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ต้องคงรูปแบบบ้านและชีวิตประจำวัน ให้เป็นไปตามรูปแบบโปรแกรมท่องเที่ยวที่บริษัททัวร์และองค์กรพัฒนาเอกชนกำหนด นอกจากนั้น การกำกับให้สินค้าสินค้า ยังส่งผลทำให้ชาวลาหู่ต้องทำหน้าที่เป็นบริกรในบ้านตนเอง อีกทั้งยังต้องเผชิญกับภาวะอึดอัด ณ ขณะการต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าพักบ้านและร่วมกิจกรรมในชีวิตประจำวัน จากการถูกให้ความหมายว่าเป็นชนเผ่าแปลกประหลาดหรือน่าเวทนาสงสาร อนึ่งภายใต้การควบคุมดังกล่าวยังได้ส่งผลต่อการแบ่งกลุ่มการเมืองในการปกครองหมู่บ้านจำแนกรูปแบบการท่องเที่ยวแบบทัวร์ป่าและโฮมสเตย์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม จากการค้นหาปฏิบัติการของชาวลาหู่ของพบว่า ผลมาจากการสะสมปฏิบัติการระดับชีวิตประจำวันในการต้อนรับนักท่องเที่ยวมายาวนานถึงสามสิบปี ทำให้ชาวลาหู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ มีเทคนิควิธีการและอุบาย การจัดบ้าน การบริการ การทำอาหาร ในการสร้างความประทับใจนักท่องเที่ยวทัวร์ป่าและอาสาสมัครจากองค์กรพัฒนาเอกชน จนพวกเขาสามารถผลิต “ปฏิบัติเงียบ” ให้เป็นปฏิบัติการสร้างภาพตัวแทนทั้งการปกปิดภาพไม่พึงประสงค์เป็นวิธีการป้องตัวในการเผชิญสภาวะอึดอัด หรือเป็นวิธีการต่อรองกับการควบคุมขององค์กรพัฒนาเอกชน และที่สำคัญชาวลาหู่หมู่บ้านแห่งนี้ยังสามารถใช้ “ปฏิบัติเงียบ” สร้างความหมายความเป็นชาติพันธุ์ลาหู่ ให้เป็น “ชาวลาหู่ผู้รกสงบ” ได้อีกด้วย |
|
Focus |
ศึกษาโฮมสเตย์ชาวลาหู่แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายที่มีรูปแบบการท่องเที่ยวที่มีการนำชีวิตประจำวันและพื้นที่บ้านที่มีนัยของความเป็นชาติพันธุ์ลาหู่มาเป็นสินค้าในการท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนสามารถเข้าไปสัมผัสและรู้เห็นถึงชีวิตประจำวันถึงในระดับพื้นที่บ้าน การศึกษาครั้งนี้จึงเป็นการทำความเข้าใจถึงการถูกควบคุมและกำกับการดำเนินชีวิตชาวลาหู่บ้านยะดูในระดับพื้นที่บ้านและชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นภายในการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ ตลอดจนค้นหาปฏิบัติการของชาวลาหู่ที่พวกเขาใช้ในการสร้างภาพตัวแทน เพื่อช่วงชิง ต่อรองและจัดวางความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ให้ตนอยู่ได้ในพื้นที่การท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาใช้แนวคิดเรื่องการท่องเที่ยวและกระบวนแปรวัฒนธรรมให้เป็นสินค้าเป็นกรอบศึกษาและวิเคราะห์ |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านยะดูเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 40 กว่าปีก่อนหรือประมาณปี พ.ศ. 2507 มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มชาวลาหู่จำนวน 5 ครอบครัว ตัดสินเลือกเดินทางเคลื่อนย้ายร่วมกับชาวเขากลุ่มอื่นๆ ในการหลบหลีกหนีภัยอำนาจทหารจีนคณะชาติจากดอยแม่สะลองและเลือกตั้งถิ่นฐาน ณ บริเวณผืนป่าดอยยาว เขตอำเภอเมืองเชียงราย ให้เป็นพื้นที่ตั้งถิ่นฐานแห่งแรก การอยู่ร่วมกันระหว่างชาวลาหู่ ชาวเมี่ยน ชาวกะเหรี่ยง และคนเมือง ในครั้งนั้นจะสงบสุข เพราะพื้นที่การตั้งหมู่บ้านช่างห่างไกลจากการถูกรุกรานของทหารจีนคณะชาติ อีกทั้งยังมีผืนป่าขนาดใหญ่ที่เพียงพอต่อการหมุนเวียนทำไร่ แต่เมื่อเวลา 5 ปีผ่านไป “จะกุย” หนึ่งในสมาชิกชาวลาหู่ได้ก่อเหตุฆ่าสองผัวเมียคนเมืองที่อาศัยบริเวณน้ำตก ทำให้กลุ่มชาวลาหู่ทั้ง 5 ครอบครัวนั้น ถูกมองจากคนเมืองพื้นราบว่าเป็นกลุ่มคนที่โหดร้ายและใจอำมหิต การถูกมองเชิงลบดังกล่าวส่งผลให้ห้าครอบครัวชาวลาหู่ ต้องแยกกลุ่มหลบหนีผู้คนและเลือกตั้งถิ่นฐานเข้าไปในเขตป่าลึกมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ “ยะดู” หนึ่งสมาชิกชาวลาหู่ 5 ครอบครัว ได้ตัดสินใจเลือกพื้นที่ตั้งหมู่บ้านปัจจุบันเป็นที่หลีกภัยและเป็นที่ทำกินสำหรับครอบครัวตน บนการมีหลักการเลือกที่ตั้ง ตามคำเล่าของพ่อ ยะดูถึงความเหมาะสมของพื้นที่แห่งนี้ว่า “ที่นู้นคนหนัก (คนมีจำนวนมาก) ต๊ะนี้ (ตรงนี้) ไม่มีคนและนี้น้ำก็มี มีสองฟากนี้เน้อ น้ำก็ตักง่าย ตะก่อนๆ(เมื่อก่อน) ตักเอา เบอะเอา (แบกโดยหลัง) นอกจากนั้นก็ มีป่าแก่ป่าใหญ่กะ (กับ) ไม้ใหญ่นิ ปู้นก็มี นี้ก็มี” เมื่อเหตุการณ์ร้ายสงบลง หลังจากนั้นอีกไม่นานทั้ง 4 ครอบครัวที่แตกแยกกันก็กลับมาสมทบกับยะดู และรวมตัวช่วยการบุกเบิกพื้นที่ทำกินกันอีกครั้ง จนกลายเป็นกลุ่มบ้านขนานเล็กประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 5 หลังคาเรือน ที่ถูกคนเมืองพื้นราบเรียกว่ากลุ่มบ้านยะดูในสมัยนั้นว่า “หมู่ (พวก) บ้านมูเซอ”(หน้า, 65-66) |
|
Settlement Pattern |
ด้วยเหตุของการตั้งถิ่นฐานบนเทือกเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 875 เมตร ที่อาศัยของบ้านยะดูแห่งนี้จึงเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษภายใต้การกำกับของกรมป่าไม้ โดยเริ่มจากประมาณปี พ.ศ. 2521-2522 พื้นที่ทำกินของบ้านยะดูได้ถูกประกาศเป็นพื้นป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2522 และถูกจัดระเบียบชุมชนและการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตต้นน้ำลำธารตามโครงการปกป้องป่าไม้เมืองไทยเร่งรัดต้นน้ำลำธาร (รฟต.) พ.ศ. 2535-2539 การใช้ที่ดินของบ้านยะดูจึงถูกำหนดเขตที่อยู่อาศัยเขตที่ทำกินและพื้นที่ป่าไม้ออกจากกันอย่างชัดเจน และถูกจัดเป็นรูปหมู่บ้านป่าไม้ถือครองที่ดินได้ครอบครัวละไม่เกิน 15 ไร่ ส่งผลทำให้การดำเนินการเพาะปลูกพืชอยู่ภายใต้การจำกัดขอบเขตการใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้ที่อนุญาตให้ใช้เป็นพื้นที่ทำกินเพื่อการเกษตรเท่านั้น แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในการถือครองหรือขายทอดตลาดได้และไม่มีสิทธิ์ขยายพื้นที่เพิ่มเติม จากจำนวนพื้นที่กรมป่าไม้กำหนดไว้ การทำไร่สำหรับชาวบ้านยะดูในปัจจุบันจึงไม่สามารถใช้วิธีแบบหมุนเวียนไปกลับมาระหว่างจำนวนพื้นที่ตนบุกเบิกเพิ่มเติมครั้งแต่เดิมได้ การเพาะปลูกข้าวไร่จึงเป็นการเพาะปลูกในพื้นที่เดิม การลงทุนชื้อปุ๋ยและสารเคมีเข้ามาช่วยเมื่อดินทำไร่นั้นเสื่อมสภาพลง ซึ่งจำนวนพื้นที่เฉลี่ยที่ชาวบ้านยะดูได้รับอนุญาตให้ทำกินอยู่ประมาณครัวเรือนละ 1-2 แห่ง ทั้งนี้ยังไม่ได้มีการวัดพื้นที่การถือครองเป็นหน่วยวัดมาตรฐานว่าชาวบ้านมีสิทธิ์ทำกินจำนวนครัวเรือนละกี่ไร่ แต่สำหรับอาณาเขตพื้นที่ป่าในการดูแลของกรมป่าไม้มีการปักหลักล้อมรั้วแสดงอาณาเขต หรือสามารถสังเกตด้วยตาเปล่าตามความเข้าใจของชาวบ้านว่าตรงพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้หรือเป็นพื้นที่ปลูกป่าบริเวณตามขอบบริเวณพื้นที่ไร่ข้าวนั้นคือพื้นที่ครอบครองของกรมป่าไม้ (หน้า, 58)
หมู่บ้านชาวลาหู่มีขนาดเล็กประกอบไปด้วยบ้านประมาณ 5-6 หลังคาเรือน มีสมาชิกในหมู่บ้านประมาณ 25-30 คน การสร้างบ้านจะสร้างโดยไม้ไผ่ หลังคาสร้างจากหญ้าคา และใต้ถุนบ้านมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ หมู หมา เป็น ควาย โดยเฉพาะหมูเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชาวลาหู่นำไปประกอบอาหารเพื่อทำพิธีทางศาสนา ภายในบ้านชาวลาหู่มีรูปแบบอาศัยแบบครอบครัวที่มีประกอบโดยสมาชิกประมาณ 7 คน ที่เป็นเครือญาติประมาณ 2-3 รุ่น ผู้ชายมีอายุมากที่สุดเป็นหัวหน้าครอบครัว นอกจากนั้นในบ้านลาหู่ยังมีสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิตนั้น คือ หน้าไม้ และค้อนทีใช้ทุบเมล็ดพืช การสร้างบ้านของชาวลาหู่เป็นลักษณะสร้างบ้านบนไม้ต่อยกพื้นสูงจากพื้นดิน โดยรูปแบบแผนผังบ้านจะขึ้นอยู่กับลักษณะของกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่ม ขนาดครอบครัวจำนวนสมาชิก ตัวบ้านจะปิดโดยฝากระดานรอบด้านยกเว้นเปิดไว้แต่ด้านหน้าซึ่งจะแบ่งเป็นพื้นที่ส่วนเปิดหรือระเบียงเชื่อมต่อกับห้องหลักด้านในซึ่งจะมีเตาไฟตรงกลางห้องเป็นเตาไฟจุดรวมกลุ่มสนทนาพูดคุยของคนในบ้าน ส่วนห้องนั้นจะมีการแบ่งจัดสรรพื้นที่ออกไปจากพื้นที่การใช้สอย ชาวลาหู่ญี่จะมีการสร้างแท่นบูชาไว้มุมบ้านในที่ปลอดภัยที่สุดของบ้านห่างจากประตู เมื่อบ้านชาวลาหู่ญี่สร้างเสร็จนั้นจะมีพิธีกรรมโดยการจุดเทียนเพื่อแสดงความเคารพวิญญาณผู้ช่วยสร้างบ้านให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หลังจากนั้นก็จะเป็นพิธีการเลี้ยงฉลองคนในหมู่บ้าน โดยข้าวและหมูเพราะเชื่อกันว่าเสียงสนุกสนานจะทำให้เจ้าของบ้านเจริญรุ่งเรือง (หน้า, 48-49) |
|
Demography |
ครัวเรือนทั้งหมดจำนวน 42 หลังคาเรือน มีจำนวนประชากรทั้งหมด 172 คน แบ่งเป็นชาย 87 คน หญิง 85 คน และมีพื้นที่หมู่บ้านทั้งหมด 20 ไร่ |
|
Economy |
สภาพเศรษฐกิจของชาวลาหู่บ้านยะดูเป็นการเลี้ยงชีวิตแบบวันต่อวัน ทำไร่ข้าว ปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ หาของป่า และรับจ้างทั่วไปอัตราวันละ 150 บาท การดำรงชีพดังกล่าวถือว่าเป็นอาชีพหลักของสมาชิกส่วนใหญ่ของหมู่บ้าน โดยมีจำนวนถึง 32 หลังคาเรือนหรือคิดเป็นร้อยละ 76 ของหลังคาเรือนทั้งหมด สมาชิกกลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนละประมาณ 20,000-30,000 บาทต่อปี ส่วนกลุ่มสมาชิกผู้มีรายได้สูงสุดของบ้านยะดูคือ กลุ่มบ้านแขกประจำ เป็นครัวเรือนที่มีรายได้หลัก จากการรับแขกนักท่องเที่ยวประมาณเดือนละประมาณ 5,000-20,000 บาท ซึ่งกลุ่มนี้มีจำนานเพียง 3 หลังคาเรือน หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของจำนวนหลังคาเรือนทั้งหมด ส่วนสมาชิกกลุ่มสุดท้าย คือ ครัวเรือนที่รายได้อยู่ระหว่างสองกลุ่มข้างต้นอันมีรายได้พิเศษจากการรับหน้าที่เป็น “ไกด์หุ่นเงา” หรือเปิดร้านค้าขายของชำ ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากกลุ่มสมาชิกส่วนใหญ่ผู้ของหมู่บ้านประมาณเดือนละ 1,000-2,000 บาท ซึ่งสมาชิกกลุ่มนี้มีจำนวน 7 หลังคาเรือนหรือประมาณร้อยละ 14 ของจำนวนหลังคาเรือนทั้งหมด แต่ทั้งนี้ สมาชิกเกือบทุกหลังคาเรือนในบ้านยะดู จำนวน 40 หลังคาเรือน ยังมีรายได้เสริมจากการเปิดบริการการท่องเที่ยวแบบโฮทสเตย์ เฉลี่ยแล้วครัวเรือนละประมาณ 2,000-3,000 บาทต่อปี และอาจมีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักตั้งแต่ 20-5,000 บาท (หน้า, 60) |
|
Social Organization |
ระบบครอบครัวเครือญาติชาวลาหู่ มีความสัมพันธ์ฝ่ายทั้งพ่อแม่และปรับบริบทความสัมพันธ์ตามการแต่งงาน นอกจากนั้นชาวลาหู่ยังมีระบบความสัมพันธ์นับถือผู้อาวุโสให้เป็นผู้นำหรือผู้ปกครอง ทั้งนี้การเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับการนับถือและการสนับสนุนในทุกๆ ด้านจากสมาชิกของหมู่บ้านนั้น การเลือกผู้นำแสดงระบบการเมือง จะต้องผ่านเส้นทางการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ปกครองอันแสนยากลำบากและกล้าหาญพอที่จะแสดงความท้าทายช่วงชิงอำนาจเพื่อเป็นการปูทางให้ตนได้รับการยอมรับและยกสถานทางอำนาจให้สูงขึ้นในอนาคต ดังนั้น ก่อนที่จะมีการเลือกผู้นำชาวลาหู่จะมีการพูดคุยปภิปรายรอบเตาไฟยามค่ำคืนแสดงความเห็นต่อตำแหน่งผู้นำ รวมถึงมีการพยายามพูดคุยชักจูงสร้างกลุ่มสนับสนุนตนให้รับการเลือก อีกทั้งยังมีการแสดงความท้าทายผ่านถ้อยแถลงขู่เข็ญต่อผู้คิดช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้าอาวุธซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะทำให้ผู้คิดที่จะช่วงชิงตำแหน่งหลหนีไป (หน้า, 50) |
|
Political Organization |
การปกครองสถานะบ้านยะดูเป็นหมู่บ้านบริวาลที่ขึ้นอยู่กับปกครองระดับหมู่บ้าน โดยการส่งผู้นำที่ได้รับการคัดเลือกจากชุมชนเป็นตัวแทนในการปกครองหมู่บ้านในตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แต่ถึงกระนั้นระบบการปกครองภายในบ้านยะดูขึ้นอยู่กับการดูแลของผู้นำที่ได้รับเลือกจากชาวบ้าน ในลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับระบบนับถือผู้อาวุโสและการรับรู้ของคนในชุมชนเป็นหลัก ดังเห็นจากเหตุการณ์การตัดสินการทำผิดกฎหมู่บ้านและละเมิดเรื่องศีลธรรม ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาท ระหว่างชาวบ้านโดยกันเองหรือเป็นเรื่องราวระหว่างผัวเมียอย่าง เช่น กรณีลักลอบเล่นชู้ ผู้นำจะต้องเรียกคู่กรณีมาชี้แจง พร้อมเรียกประชุมให้ชาวบ้านทั้งหมดหมู่บ้านมารับฟังและรับทราบเหตุการณ์ เมื่อคู่กรณีชี้แจงเสร็จผู้นำจะขอความเห็นคิดเห็นจากชาวบ้าน โดยยึดข้อคิดเห็นของผู้อาวุโสเป็นหลัก หลังจากนั้นผู้นำจึงตัดสิน ทั้งนี้ระบบความสัมพันธ์ในชุมชนยังสัมพันธ์กับฐานะทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นจากกรณีการเลือกผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบันที่เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้มีรายได้มากที่สุดในหมู่บ้าน ภายใต้ความสัมพันธ์ในชุมชนทั้งหมด ชาวบ้านยะดูจะให้ความสำคัญกับเครือญาติขิงตนเป็นหลัก ดังเห็นจากกรณี การอนุญาตให้เฉพาะญาติพี่น้องของตนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปขายของที่ระลึกเมื่อมีแขกเข้าพักบ้าน ทั้งนี้บ้านยะดูมีสายตระกูลเครือญาติกันทั้งหมด 7 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลจะตาะ ตระกูลจะก่อ ตระกูลจะก่า ตระกูลจะบู ตระกูลจะเหมาะ ตระกูลจะปอ และตระกูลอูปา (หน้า, 63) |
|
Belief System |
ชาวลาหู่มีการนับถือ “อื่อซา” เป็นเทพเจ้าสูงสุด มีความเชื่อเกี่ยวกับผีและนับถือผีที่มีประโยชน์ ผีที่ป้องกันภัยให้แก่มนุษย์ เช่น ผีบรรพบุรุษ โดยชาวลาหู่มีศาสนาสถานที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมเรียกว่า “หอแหย่” ซึ่งในเวลากลางคืนจะมีการเต้น “จะคึ” เพื่อบวงสรวงเทพเจ้าอื่อซา และมีผู้นำทางศาสนาที่เรียกว่า “โตโบ” ทำหน้าที่ดูแลพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นตัวสื่อสารระหว่าง “ชาวบ้าน” และ “กือซา”พิธีกรรมทางศาสนา การสวดมนต์นั้นมีความสำคัญกับชาวลาหู่ เป็นการสวดมนต์ให้ “กื่อซา”หรือวิญญาณที่ปกป้องรักษาบ้าน วิญญาณปกครองป่า ถ้ำ บทสวดจัดเป็นสูตรท่องสวดอันสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ หรืออาจไม่มีการตระเตรียม มีการแต่งขึ้นมาเป็นใหม่เป็นบทกลอนสด การสวดเหล่านี้จะส่งผลดีต่อร่างกาย จิตวิญญาณ ทั้งสำหรับตัวเอง ครอบครัว สัตว์เลี้ยง และพืชพรรณ ทั้งนี้การประกอบพิธีกรรมศาสนา ในหอแหย่งดังกล่าวจะปฏิบัติกันในวันพระหรือวันพระจันทร์เต็มดวง นอกจากนั้นในหนึ่งรอบปีจะมีวันศักดิ์สิทธิ์หลักสามวัน ที่ชาวลาหู่จะหยุดงานในการทำไร่ของพวกเขา วันแรกจะเป็นช่วงระหว่างการกำจัดวัชพืชก่อนการปลูกข้าวไร่ วันที่สองเป็นช่วงพิธีขึ้น วันที่สามเป็นช่วงหลังการเก็บเกี่ยวข้าว โดยทั้งสามวันนี้เป็นการรับอิทธิพลมาจากวันพระของชาวไต ซึ่งในช่วงเวลานี้ชาวลาหู่จะสักการะ “เจ้าแห่งดิน” โดยการเต้น “จะคึ” เป็นวงกลม บนความเชื่อว่าการเต้นจะนำโชคดีมาสู่พวกเขา ซึ่งในช่วงทศวรรษ ดังกล่าวชาวลาหู่บางกลุ่มได้เปลี่ยนศาสนาของตนมานับถือศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ส่วนเทศกาลปีใหม่เป็นเอกลักษณ์ของชาวลาหู่จะยึดตามวันตรุษจีนของชาวจีน ชาวลาหู่เชื่อว่า วันปีใหม่วิญญาณพยายามกลับมาเป็นพยานการเลี้ยงฉลองวันนั้นจึงถือว่าเป็นวันมงคล วันปีใหม่พวกเขาจะไม่ยุ่งกับการทำงาน และไม่มีใครเลยทำงานในไร่ ในช่วงปีใหม่ชาวลาหู่เดินทางเยี่ยมเยือนกันระหว่างหมู่บ้าน ช่วงเวลาปีใหม่จะแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงที่หนึ่ง เป็นช่วงปีใหม่ผู้หญิง ช่วงที่สองเป็นปีใหม่ผู้ชาย วันแรกของปีใหม่ เรียกว่า “วันเริ่มแห่งปี” วันนี้ทุกบ้านจะแลกเปลี่ยนเมล็ดข้าวกัน แต่ละบ้านจะรับข้าวที่แลกกันมาทำ “เค้กแป้ง” โดยการหุงข้าวให้เหนียวแล้วนำมาผสมงาและนำมาผสมในอ่างไม้ไผ่ เวลาระหว่างนั้นจะมีการทำแท่นบูชาเพื่อวาง “เค้กข้าว” แทนที่ทำขึ้นจะได้รับการตกแต่งด้วยด้ายสีขาวและกระดาษสีที่ถูกตัดเป็นรูปคนชายหญิง ชาวลาหู่จะระลึกถึงเวลาพระเจ้าประทานหนังสือให้แก่เขาโดนการเขียนบน “แขกข้าว” ส่วนต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ สุดท้ายทุกครอบครัวจุดเทียนพร้อมเค้กข้าว แล้วเอาเค้กให้คู่สามีภรรยาที่เป็นเนื้อคู่ การจุดเทียนเพื่อให้ชีวิตแต่งงานนั้นแข็งแรง หลังจากนั้นจะเป็นการเลี้ยงฉลอง มีการเต้น โดยจะมีผู้นำจังหวะเป็นผู้เล่นพิณ ตีกลอง ฆ้อง ฉาย เด็ก ผู้หญิง ผู้ชายจะเต้นตามซึ่งรูปแบบการเต้นจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มย่อย ผู้ชายและเด็กชายจะสนุกกับการเล่นลูกข่าง ผู้หญิงและเด็กหญิงก็จะสนุกกับการเล่นลูกสะบ้า นอกจากนี้ ยังมีการ “รดน้ำใหม่” เป็นสิ่งสำคัญในการฉลองปีใหม่ ผู้หญิงจะเล่นเกมค้นหาน้ำ เพราะเชื่อว่า ชีวิตนั้นจะลื่นไหลเหมือนน้ำ แล้วพวกเขาจะให้ “น้ำใหม่” นั้นเป็นตัวแทนผู้หญิงจากทุกครอบครัว ไปล้างมือให้ทุกครอบครัว โดยเฉพาะหัวหน้าหมู่บ้านและภรรยา ส่วนการเต้นรอบจะเป็นการเคลื่อนย้ายรอบต้นปีใหม่ ส่วนชาวลาหู่จะทำต้นวอจากไม้ไผ่เป็นสี่ต้นและทำเป็นสี่เหลี่ยมมีแท่นบูชาอยู่ตรงกลางเพื่อวางหัวหมู “ต้นปีใหม่” เป็นตัวแทนของต้นชีวิต ชาวลาหู่เชื่อว่าถ้าเต้นนี้จะทำให้ชีวิตอมตะ ชาวลาหู่จะมีการถวายของบนแท่นบูชาและพวกเขาจะนำน้ำมารดต้นวอ ประเพณีปีใหม่เป็นการแสดงออกถึงการช่วยเหลือกันในหมู่บ้านกลุ่มคนจะเดินทางเยี่ยมเยือนกันระหว่างหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านละร่วมกันเต้นเป็นกลุ่มใหญ่พร้อมหมู่บ้านอื่น และนำเค้กข้าว เทียน หมู ไปให้หัวหน้าหมู่บ้าน เอาให้กือซา สวดในพิธีให้พื้นผลดี สุขภาพดี มีเด็กเกิดใหม่ หลังจากนั้น 4-5 วัน มีการเฉลิมฉลอง มีการเต้น ยิงปืน จุดดอกไม้ไฟ เล่นลูกข่าง เยี่ยมญาติ ซึ่งวันปีใหม่ชาวลาหู่มีความสุขมาก ปีอื่นก็ทำเช่นนี้ อดีตให้อยู่ข้างหลังและหวังในวันปีใหม่ ให้เจริญและเกิดขึ้นใน (หน้า, 51-52) |
|
Education and Socialization |
การศึกษา บุตรหลานชาวบ้านยะดูส่วนใหญ่เรียนหนังสือ ณ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง ซึ่งสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในบริเวณหมู่บ้านยะดูที่จัดสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2540 เปิดสอนในระดับชั้นประถมศึกษาและให้บริการศึกษานอกโรงเรียนในระดับผู้ใหญ่ โดยมีครูการศึกษานอกโรงเรียนดำเนินการสอนทุกระดับชั้นจำนวนเพียง 1 ท่าน เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชาวบ้านยะดูนิยมให้ลูกหลานทำงานรับจ้างในเมืองหรือให้ออกมาช่วยพ่อแม่ทำงานพร้อมๆ กับเรียนศึกษานอกโรงเรียนในวันเสาร์อาทิตย์ ถึงอย่างไรมีนักเรียนจำนวน 6 คน ที่พ่อแม่ส่งเสริมให้เรียนต่อในระดับ มัธยมศึกษาและระดับอาชีวะศึกษา แบ่งเป็นระดับมัธยมต้นจำนวน 3 คน ระดับมัธยมปลายโรงเรียนจำนวน 1 คน สุดท้ายคือระดับอาชีวะศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 2 คน ที่จัดได้ว่าเป็นสมาชิกในหมู่บ้านยะดูที่มีการศึกษาสูงสุดในปัจจุบัน ส่วนระดับการศึกษาของผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเป็นผู้ไม่ได้รับการศึกษาจำนวน 93 คน จบการศึกษาระดับประถมศึกษา จำนวน 24 คน จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 6 คน จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 2 คน และกำลังศึกษาการศึกษาผู้ใหญ่นอกระบบการศึกษานอกโรงเรียนสายอาชีพจำนวน 40 คน ทั้งนี้วัยผู้ใหญ่ที่ได้รับการศึกษามีทักษะการใช้ภาษไทยในระดับพอใช้คือพออ่านออกและเขียนหนังสือได้บ้างจนถึงระดับพออ่านหนังสือได้บ้างแต่มิอาจเขียนผสมคำได้ (หน้า, 62) |
|
Health and Medicine |
ด้านสาธารณสุข สถานพยาบาลอยู่ใกล้สุดคือ สถานีอนามัยบ้านหวยแม่ซ้ายอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 6.5 กิโลเมตร แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมเดินทางเข้าตัวเมืองเชียงรายเพื่อรับบริการ ณ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เนื่องจากมีบริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากกว่าและสามารถใช้บริการบัตรประกันสุขภาพได้ด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม การรับการรักษาในระบบสาธารณสุขของรัฐ ชาวบ้านมักเลือกใช้บริการเมื่อมีอาการเจ็บป่วยขั้นรุนแรงหรือได้รับอุบัติเหตุหนักเท่านั้น เมื่อสมาชิกภายในหมู่บ้านมีอาการเจ็บป่วยพวกเขาดำเนินการรักษาตนเองตามวิถีชาวลาหู่ไม่ว่าจะเป็นใช้ยาสมุนไพร นวดดึงผิวหนังบรรเทาอาการเจ็บปวด เป่าคาถา หรือรักษาทางจิตวิญญาณจากผู้นำทางศาสนา ดังคำบอกกล่าวของหญิงสาววัยกลางคน (หน้า, 62-63) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชาวลาหู่สวมเสื้อผ้าเหมือนคนพื้นราบในการดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว แต่เมื่อช่วงเทศกาล ชาวลาหู่จะสวมชุดตามประเพณี ชาวลาหู่นั้นมีชื่อเสียงในเย็บผ้าติดประดับปะติด บนชายเสื้อ ชายผ้าถุง และมีความสามารถในการทอผ้าเป็นสายกระเป๋ายามอีกด้วย เครื่องแต่งกายของผู้หญิงชาวลาหู่นั้นจะสวมเสื้อนอกตัวสั้น สวมผ้าถุงยาวคลุมเข้าผลิตจากฝ้ายสีดำ น้ำเงิน เขียว บริเวณขอบเสื้อด้านหน้าเย็บแถบผ้าสีแดงติดทับโดยกระดุม กระบอกแขนเสื้อเย็บผ้าสีแดงรอบแขนไว้ด้านบนอันเป็นลักษณะเด่นแสดงถึงที่มาของชื่อลาหู่ญี่ (ลาหู่แดง) อย่างไรก็ตาม จะมีสีน้ำเงิน สีขาว ประดับเพิ่มด้านหน้าของชุดพร้อมตกแต่งโดยเครื่องเงินขนาดใหญ่ ส่วนผ้าถุงนั้นมีการประดิษฐ์แถบผ้าลายขว้างจำนวน 3 เส้น โดยแถบด้านบนมีพื้นที่สีแดงแล้วจึงปะผ้าสีอื่นลงไป แถบผ้าตรงกระดุมนั้นมีความหนาขนาน 6 เซนติเมตร เดินตะเข็บเหมือนชายผ้าถุง แต่ผ้าถุงที่ใช้สวมในช่วงเทศกาลจะมีขอบขนาน 15 เซนติเมตร เป็นพื้นผ้าสีแดงและเดินเส้นด้ายหลายสี ส่วนตรงกลางผ้าถุงมักจะถูกทิ้งไว้แต่บางที่บางคนอาจมีการประดับโดยแถบผ้าสีแดง สายคาดเอว เครื่องเงินที่ถูกใช้จนเก่า หรือเหรียญเงินรูปีของอินเดีย ปัจจุบัน ชาวลาหู่ญี่มีการใช้จักรเย็บแทนการใช้มือ ทำให้สามารถออกแบตะเข็บลวดลาบหลากหลายบนผ้าถุงและชาวเสื้อ ได้มากขึ้น ด้านเครื่องประดับนั้นนิยมเครื่องเงินประเภท กำไล ห่วงคอ แหวนและตุ้มหู ทรงวงกลมมีตะขอคล้องหูหรือขดม้วนเป็นกระดุม ส่วนชาวลาหู่ผู้ชายสวมเสื้อนอกสีดำและผูกไว้ด้านข้างตามสไตล์จีนรงชายเสื้อผู้ชายอาจจะเย็บปักประดับบ้างเล็กน้อย เด็กหนุ่มจะสวมเสื้อสีน้ำเงินและเขียว เมื่ออายุสูงขึ้นนั้นจะสวมเสื้อสีดำหรือบางเวลาอาจสวมสีขาว ส่วนกางเกงของผู้ชายนั้นจะเป็นสีดำ สีขาวหรือสีน้ำเงิน ในช่วงเทศกาลทั้งชายหญิงชาวลาหู่ทุกวัยจะประดับชุดของตนด้วยกระดุมเงินและเหรียญ ซึ่งตามประเพณีในเทศกาลปีใหม่ผู้ชายจะโพกหัวโดยผ้าสีแดง สีดำ หรือ สีขาว ทั้งนี้รูปแบบมาตรฐานที่แสดงถึงความเป็นชาวลาหู่คือ ชาวลาหู่ญีจะต้องมีการสะพายกระเป๋าย่ามสีแดงเด่น เย็บปักลวดลายหลากหลายและเดินตะเข็บสีแดง รอบๆ กระเป๋าและในช่วงเทศกาลจะมีการประดับเพิ่มโดยกระดุมเงินหรือเหรียญรูปีอินเดีย (หน้า, 47-48) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การพัฒนาโดยนำความเป็นชาติพันธุ์ลาหู่มาเป็นทรัพยากรท่องเที่ยวสร้างพื้นที่ท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ อันส่งผลให้มีการควบคุม จัดการบ้านและชีวิตประจำวันเกิดขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันชาวลาหู่บ้านยะดูก็เรียนรู้ชีวิตประจำวันจากการรับนักท่องเที่ยว และมีการใช้ “ปฏิบัติการเงียบ” สร้างพื้นที่สร้างความหมายให้กับความเป็นชาติพันธุ์ลาหู่ ทั้งนี้การสร้างความหมายเกี่ยวกับบ้านชีวิตประจำวันนั้นยังสัมพันธ์กับเป้าหมายของคนแต่ละกลุ่มที่ต่างกันอันนำไปสู่ความหมายของ “พื้นที่เชิงนามธรรม” ที่ต่างกันด้วย เช่น สิ่งที่บริษัททัวร์ป่าและไกด์ป่าสิ่งต้องการคือค่าบริการจากนักท่องเที่ยว ส่วนนักท่องเที่ยวจะใช้ชีวิตพักผ่อนบนความหมายของความสนุกสนานสัมผัสสิ่งที่ต่างออกไปจากชีวิตประจำวันของตน สุดท้ายคือชาวลาหู่บ้านยะดูซึ่งผลประโยชน์ที่พวกเขาต้องการคือเงินรายได้เพื่อต่อชีวิตให้อยู่ได้ เมื่อพื้นที่โฮมสเตย์บ้านยะดูมีลักษณะดังกล่าว คือมีความสัมพันธ์กับบุคคลมากมาย ที่วาดหวังผลประโยชน์ต่างกัน มีความคิดในจิตนาต่างกัน กระบวนการสร้างภาพตัวแทนเพื่อให้บรรลุหรือได้มาซึ่งผลประโยชน์ย่อมต่างกัน กระบวนการสร้างภาพตัวแทนของบริษัททัวร์อาจไม่อาศัยพิธีรีตองอะไรมาก เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือจูงใจกลุ่มลูกค้าแบ๊กแพ๊ค การเสนอจึงมีเพียงโต๊ะและแผ่นพับเพื่อสื่อความเป็นกันเองและประหยัด เนื้อหาการนำเสนอเน้นการเผชิญภัยเป็นหลัก ชาวเขาจึงเป็นองค์ประกอบของการสร้างความเร้าใจในการเดินทาง ความหมายของชาติพันธุ์ลาหู่จึงไม่ปรากฏลึกมีแต่รูปภาพประกอบ หรือถ้าจะเสนอรายละเอียดอาจเป็นเพียงการให้ข้อมูลเดิมของการศึกษาชาติพันธุ์เมื่อสี่สิบปีก่อน บนการเสนอรูปคงเดิมเน้นทำให้เกิดความแปลกและพิสูจน์ว่า ท่ามกลางสังคมสมัยใหม่ชาวเขาตามภาพนั้นมีจริงหรือไม่และอย่างไร (หน้า, 169-170) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ด้วยบริบทของพื้นที่การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชาวลาหู่บ้านยะดูมีลักษณะเป็นภูเขาที่อุดมด้วยธรรมชาติและป่าเขา มีกลุ่มชาวเขาตั้งถิ่นอันหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ และเป็นพื้นที่ที่ถูกละเลยการพัฒนาจากรัฐ แต่อีกด้านหนึ่งกับเป็นพื้นที่แห่งการพัฒนาที่มีองค์กรพัฒนาเอกชนเมาช่วยเหลือ ดังนั้น หมู่บ้านยะดูจึงถูกเป็นส่วนหนึ่งการท่องเที่ยวทั้งในมิติการแสวงหาผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจและในมิติของการพัฒนา ดังได้ยกตัวอย่างได้จาก ประวัติของชุมชนที่มีการเคลื่อนเปลี่ยนตามการเข้ามาสัมพันธ์ของการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น “บ้าน” หรือ “ตัวชาวลาหู่” เอง ถูกดึงให้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจการท่องเที่ยวแบบทัวร์ป่า เพื่อสร้างความเร้าใจให้กับเดินป่าส่วน “ฝรั่ง” (ชาวต่างชาติ) จากบุคคลต้องห้ามอันน่าหวาดกลัว ก็กลายเป็น “นักท่องเที่ยว” ที่ชาวลาหู่บ้านยะดูยินดีต้อนรับ และปัจจุบันหมู่บ้านยะดูเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาพักบ้านเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตชาวลาหู่ตลอดเกือบทั้งปี (หน้า, 169-170) |
|
Map/Illustration |
ภาพ
การจัดรูปแบบนำเสนอหน้าหลัก (HOMEPAGE) ของเวปไซด์ (หน้า, 80)
ห้องภาพเวปไซด์แสดงวิวทัศน์หมู่บ้านยะดู (หน้า, 81)
การจัดรูปแบบนำเสนอหน้าหลักเวปไซด์ภาษาอังกฤษ (หน้า, 88)
การอธิบายเกี่ยวกับชาวเขาบนเวฟไซด์ภาษาอังกฤษ (หน้า, 89)
ภาพประกอบกิจกรรม “DO & DON’T ข้อห้ามมีเพศสัมพันธ์ในบ้านพักโฮมสเตย์ (หน้า, 91)
ภูมิทัศน์หมู่บ้านชาวลาหู่บ้านยะดู (หน้า, 92)
รายการอาหาร “นักท่องเที่ยวหุ่นเงา” (หน้า, 94)
กิจกรรมเต้นจะคึ (หน้า, 95)
การขุดพื้นลงเสาปูนเพื่อสร้างบ้านของ “นาสี” (หน้า, 141)
การสร้างตัวบ้านปิดบังเสาปูน “บ้านนาสี” (หน้า,142)
การปูที่นอนสำหรับนักท่องเที่ยวบริเวณห้องโถงของตัวบ้าน (หน้า,144)
การสร้างชั้นวางอุปกรณ์เครื่องครัวในการประกอบอาหาร (หน้า,145)
การออกแบบประตูห้องนอนให้มีความกลืนกับฝาบ้าน (หน้า,147)
เทคนิคการสวมชุดลาหู่เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพสินค้าของ “จาเปี่ยว” (หน้า,149)
กาแฟ ขนมปัง และแยม บนขันโตก การจัดอาหารเช้า “นักท่องเที่ยวบริษัททัวร์ (หน้า,152) |
|
|