|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ลีซู,ปัญหายาเสพติด,เชียงใหม่ |
Author |
Kwanchewan Buadang, Panadda Bamrung |
Title |
Strategies and Solving Drug Abuse Problem: Case Studies of Highland Community in Northern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
15 |
Year |
2539 |
Source |
สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ปัญหายาเสพติดในกลุ่มชุมชนบนพื้นที่สูงกลายเป็นปัญหาที่สำคัญ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเฮโรอีนได้เข้าแทนที่การใช้ฝิ่น เฮโรอีนมีความแตกต่างไปจากการใช้ฝิ่น เนื่องจากการใช้ได้ขยายออกไป การติดยาเสพติดเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงาน ส่งผลกระทบและเป็นปัญหาต่อครอบครัวและชุมชน งานวิจัยครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แนวทางการพัฒนาโครงการต่างๆ กลุ่มชุมชนที่อยู่ในพื้นที่การพัฒนามีความพยายามที่จะจัดการและแก้ปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้น แต่มีเพียงบางส่วนที่ประสบความสำเร็จและเป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติด แต่หมู่บ้านส่วนใหญ่ยังคงมีกลุ่มผู้ติดยาเสพติด แนวทางในการแก้ไขปัญหามีลักษณะเฉพาะในแต่ละหมู่บ้านและเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นหลากหลายด้านทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเครือข่ายภายในแต่ละชุมชน (หน้า 1) |
|
Focus |
ศึกษาปัญหาการติดยาที่เกิดขึ้นในชุมชน ประวัติความเป็นมาของการปลูกฝิ่นทั้งสองชุมชน คือ กะเหรี่ยง บ้าน Den Hom และ ลีซู บ้าน Nam Roo รวมถึงแนวทางในการแก้ปัญหาของทั้งสองชุมชน |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง บ้าน Den Hom และ ลีซู บ้าน Nam Roo ทางภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
การปลูกฝิ่นในพื้นที่ประเทศไทยเกิดขึ้นในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาโดยกลุ่มชาวเขา ม้ง ลีซู ลาหู่ ฯลฯ ซึ่งอพยพมาจากทางตอนใต้ของจีนและตะวันออกของพม่ากลุ่มกะเหรี่ยงที่อยู่อาศัยในประเทศไทยดั้งเดิมนี้ไม่ได้ปลูกฝิ่นมาก่อนแต่เป็นการเรียนรู้จากกลุ่มที่อพยพเข้ามาใหม่ ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ จากการสำรวจในปี ค.ศ.1979-1980 60% 65% และ 3% ของ ม้ง ลีซู และ กะเหรี่ยง ปลูกฝิ่น และในการศึกษา Meto ในปี ค.ศ. 1965 - 1966 พบว่า ม้งปลูกฝิ่น 3.25 hectares (1 ไร่ = 0.16 hectares) ต่อครอบครัว และ 90% ของ ผลผลิตนำออกจำหน่าย สำหรับลีซู ปลูกฝิ่น 0.81 hectares ต่อครอบครัว ผลผลิตที่ได้นำออกขายเพียง 34% ส่วนกะเหรี่ยงและม้งที่ยากจนจะเข้าไปทำงานในไร่ฝิ่นและติดฝิ่นในที่สุด (หน้า 1) การปลูกฝิ่นกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายภายหลังปี ค.ศ.1958 และได้มีโครงการพัฒนาพื้นที่สูงภายใต้การสนับสนุนของรัฐและองค์กรต่าง ๆ เข้ามาเพื่อส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนฝิ่นในช่วงปี 1973 และส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมทางการเกษตรขึ้นในพื้นที่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อสภาพสังคมของกลุ่มชุมชนบนพื้นที่สูงในระยะเวลาต่อมา (หน้า 3) กะเหรี่ยงหมู่บ้าน Den Hom ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ปัจจุบันในปี 1947 และได้เริ่มมีการปลูกฝิ่นตั้งแต่เริ่มสร้างหมู่บ้านโดยเรียนวิธีการปลูกมาจากม้งในบ้าน Baw Kaeo ในปี 1945 ซึ่งส่งผลให้กะเหรี่ยงที่เข้าไปทำงานในไร่ฝิ่นของม้ง ติดฝิ่น รวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ใช้ฝิ่นเหมือนเป็นยารักษาโรค (หน้า 4) สำหรับ ลีซู บ้าน Nam Roo เป็นกลุ่มที่มาจากบ้าน Sam Muen ได้อพยพเข้ามาในช่วงปี 1964 เนื่องจากพื้นที่มีความเหมาะสมในการปลูกฝิ่น 3 ปีต่อมาจีนฮ่อจากพม่าได้อพยพเข้ามาอาศัยในพื้นที่เดียวกัน โดยทั่วไปแล้วจีนฮ่อและลีซูจะอยู่ด้วยกัน เนื่องจากมีความสัมพันธ์ในฐานะพ่อค้า และผู้ปลูกฝิ่น ในปี 1996 มีจำนวนประชากร 54 ครอบครัว (หน้า 6) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงมีการตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่สูงโดยเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมในการทำไร่หมุนเวียนและย้ายหมู่บ้านในการใช้พื้นที่เพาะปลูกในระยะที่ไม่ไกลไปจากพื้นที่เดิมมากนัก (หน้า 3) สำหรับลีซู การเลือกพื้นที่ตั้งถิ่นฐานเป็นการเลือกบริเวณที่เหมาะสมต่อการปลูกฝิ่น (หน้า 6) |
|
Demography |
หมู่บ้าน Den Hom เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง ซึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ปี ค.ศ.1947 ปัจจุบันมีจำนวน 53 ครอบครัว และ หมู่บ้าน Nam Roo เป็นหมู่บ้านของลีซูและจีนฮ่อ ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในช่วงปี ค.ศ.1964 ปัจจุบัน มีจำนวน 54 ครอบครัว (หน้า 4-6) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงบ้าน Den Hom มีระบบการผลิตแบบดังเดิมคือการทำไร่หมุนเวียน ระบบเศรษฐกิจชุมชนขึ้นอยู่กับข้าว และการเลี้ยงสัตว์ในแต่ละครอบครัว และมีการปลูกฝิ่นในระยะเวลาต่อมา ตรงกันข้ามกับ ลีซู ซึ่งอพยพเข้ามาอยู่ใหม่ระบบเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการปลูกฝิ่น ข้าวโพด และการเลี้ยงสัตว์ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลุ่มได้ผลจากการพัฒนาจากโครงการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนฝิ่น เช่นเดียวกัน ทำให้กะเหรี่ยงเริ่มปลูกพืชเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น เผือก สตรอเบอร์รี่ ในปี 1992 การเพิ่มขึ้นของการปลูกสตรอเบอร์รี่ หมายถึงการลดลงของพื้นที่ปลูกข้าว และได้มีการเข้ามาของชาวภาคเหนือในการซื้อที่ดินและทำการเพาะปลูกสตรอเบอร์รี่มากขึ้น ผลตอบแทนต่อไร่ประมาณ 20,000 บาท แต่มีค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานในการเก็บเกี่ยวและการเพาะปลูก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลให้แรงงานต้องทำงานตลอดทั้งปีโดยเฉพาะครอบครัวที่ยากจนไม่สามารถผลิตข้าวได้เพียงพอ ก่อนการปลูกสตรอเบอร์รี่ มีการทดลองปลูกพืชอื่นๆ เช่น กาแฟ ถั่ว ดอกไม้เมืองหนาว แต่ไม่ได้ผลกำไรที่ดีนัก (หน้า 4-5) สำหรับลีซู บ้าน Nam Roo ระบบเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการปลูกฝิ่น และขายนำเงินที่ได้มาซื้ออาหารและสิ่งจำเป็นอื่นๆ การขายฝิ่นจะได้ราคาค่อนข้างสูง และมีตลาดอยู่ตลอดเวลา การปลูกข้าวโพดจะปลูกในพื้นที่เดียวกับฝิ่นเพื่อใช้เลี้ยงหมู การเปลี่ยนแปลงไปสู่การปลูกพืชเศรษฐกิจ ส่งผลให้การดำรงชีวิตยากขึ้น เนื่องจากผลผลิตที่ได้ราคาไม่แน่นอนและไม่มีตลาดรองรับเพียงพอ ทำให้กลุ่มคนในหมู่บ้านออกไปทำงานเป็นลูกจ้าง ร้านอาหาร เลี้ยงเด็ก ในเชียงใหม่หรือในจังหวัดอื่น ๆ (หน้า 5-7) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยงในหมู่บ้าน Den Hom แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านแต่ความสัมพันธ์ทางเครือญาติยังคงมีอยู่อย่างเข้มแข็ง (หน้า 5) สำหรับลีซู ความสัมพันธ์พื้นฐานเกี่ยวข้องกับสายตระกูล (Clan) ความขัดแย้งระหว่างสายตระกูลอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ในอดีตหากเกิดความขัดแย้งจะมีการอพยพออกจากหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหาแต่ในปัจจุบันไม่สามารถทำได้เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา (หน้า 7-8) |
|
Political Organization |
ผู้นำหมู่บ้านในอดีตมาจากลีซูสองตระกูลใหญ่ แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนเป็นจีนฮ่อที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันและมีความสัมพันธ์กับตระกูลแรก ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งโดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสายตระกูลแรก และทำให้ไม่ให้ความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ (หน้า 8) |
|
Belief System |
ปัจจุบันในหมู่บ้าน Den Hom ได้มีการนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ กลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธยังคงนับถือความชื่อแบบดั้งเดิมผสมผสานเข้าด้วยกัน สำหรับในศาสนาคริสต์นับถือทั้งนิยายโปรแตสแตนส์ และคาทอลิก โดยมี 17 ครอบครัวเป็นโปรแตสแตนส์ และ 29 ครอบครัวเป็นคาทอลิก ความแตกต่างทางศาสนาทำให้การให้ความร่วมมือและพบปะในหมู่บ้านน้อยลง โดยจะเป็นไปเฉพาะในกลุ่มศาสนาของตนเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 5) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลีซูอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่เดียวกันกับจีนฮ่อและมีความสัมพันธ์กันในเชิงผู้ผลิตฝิ่นและผู้ค้า และมีการแต่งงานระหว่างกลุ่มคนทั้งสอง มีการผสมผสานความเชื่อระหว่างทั้งสองกลุ่มเกิดขึ้น (หน้า 7) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ทั้งสองหมู่บ้านมีลักษณะที่คล้ายกันของการได้รับผลจากการพัฒนาจากรัฐ โครงการต่าง ๆ ที่เข้ามาส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตดั้งเดิมมาสู่การทำการเกษตรกรรมรูปแบบใหม่ และการออกไปเป็นแรงงานรับจ้างภายนอกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ มีแนวคิดที่หลากหลายในการนับถือศาสนาต่าง ๆ (หน้า 14) |
|
Other Issues |
การใช้ยาเสพติดและแนวทางในการแก้ปัญหา บ้าน Den Hom จากการสัมภาษณ์ผู้ติดยา พวกเขามีความคิดเห็นว่าการติดฝิ่นไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุไม่ได้ทำงาน ใช้ฝิ่นเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย แต่ปัญหาสำคัญคือการเข้ามาของเฮโรอีน ซึ่งกลุ่มคนที่ติดได้แพร่ไปยังกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงาน ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ และเฮโรอีนมีอันตรายต่อร่างกาย เสี่ยงต่อการติดคุกและมีราคาสูง มีบางคนต้องขายทรัพย์สินเพื่อใช้ซื้อเฮโรอีน สาเหตุของการใช้ยาเสพติดทั้งฝิ่น และเฮโรอีนนั้นมีหลายประการ เช่น รักษาอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย การใช้เพื่อให้สามารถทำงานหนักติดต่อกัน และมีการใช้ฝิ่นเหมือนการเข้าถึงจิตวิญญาณและความเชื่อ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยาพบว่าไม่มีผลดีต่อร่างกายและได้พยายามที่จะเลิกใช้ยา โดยการไปรับการรักษาล้างพิษยา ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ติดยาจะไปรับการรักษาด้วยตนเอง แต่อาจจะกลับมาติดอีกครั้งเมื่อกลับมาทำงานหนักเหมือนเดิม หรือพบปะกลุ่มเพื่อนที่ยังติดยาอยู่ มีความพยายามในการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐกับชุมชนในการแก้ปัญหายาเสพติด โดยผู้ติดยาเข้าร่วมโครงการเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา และมีกลุ่มภายในชุมชนโดยมีแกนนำคือผู้นำหมู่บ้านในการป้องกันและแก้ปัญหาโดยการให้ความรู้ในวันสำคัญทางศาสนา เช่น ในวันอาทิตย์ของกลุ่มคาทอลิก เนื่องจากลูกเขยของผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้นำทางด้านศาสนา แต่ในกลุ่มศาสนาอื่น ๆ มีการจัดการแยกออกไป สถานการณ์ในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างชุมชนและสังคมภายนอก เนื่องจากรัฐมองเห็นผู้ติดยาเป็นกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายเป็นอาชญากรต้องจับกุม ในขณะที่กลุ่มครอบครัวและเครือญาติไม่ต้องการให้ลูกหลานที่ติดยาถูกจับ แม้ว่ากลุ่มคนที่ติดยาจะเห็นโทษและพยายามเลิก แต่จากความอ่อนแอทางร่างกายและจิตใจทำให้พวกเขากลับมาติดยาอีกครั้ง และในปัจจุบัน ชุมชนยังไม่ได้แสดงออกให้เห็นแน่ชัดว่าปัญหายาเสพติดควรจะเป็นปัญหาของชุมชนหรือปัญหาของปัจเจกบุคคล แม้ว่าจะไม่เห็นกลุ่มผู้ติดยาขโมยของชุมชนแต่การที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ค้ายาเพื่อหาเงินมาซื้อยามีความเป็นไปได้สูง (หน้า 9-12) การใช้ฝิ่นในกลุ่มผู้สูงอายุที่บ้าน Nam Roo ยังพบเห็นได้จนถึงปัจจุบัน แต่จากการห้ามปลูกฝิ่นจากรัฐส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจของลีซู เนื่องจากมีพื้นฐานเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการปลูกฝิ่นมาก่อน จ ากการสัมภาษณ์ลีซูมีความเห็นเหมือนกันกับกะเหรี่ยง คือ การใช้ฝิ่นไม่ได้เป็นปัญหารุนแรง แต่สำหรับเฮโรอีนได้ส่งผลกระทบและเป็นปัญหาที่รุนแรงมากกว่า มีความพยายามในการเลิกของกลุ่มที่ติดยา แต่กลับมาติดอีกครั้งภายหลังเลิกเพียงไม่กี่เดือน ชุมชนมีแนวคิดที่จะแก้ปัญหายาเสพติดแต่เป็นไปได้ไม่ง่ายนักเนื่องจากลีซูและจีนฮ่อเป็นผู้ปลูกฝิ่น และผู้ค้ามาก่อน ผู้นำหมู่บ้านในปัจจุบันก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลูกฝิ่นและยาเสพติดมาก่อนเช่นเดียวกัน (หน้า 12-13) กล่าวโดยรวมแล้ว ทั้งสองหมู่บ้านมีความพยายามในการแก้ปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจในทิศทางเดียวกันที่ส่งผลให้ปัญหาการติดยายังคงอยู่ในชุมชน แต่ยังคงมีความแตกต่างในรายละเอียดเช่น ลีซู มีผู้ติดยามากกว่า และมีความสัมพันธ์ในฐานะของผู้ปลูกฝิ่นและค้าฝิ่นจนถึงปัจจุบันเนื่องจากเครือข่ายภายในชุมชนและภายนอกในการซื้อขายยายังคงอยู่ (หน้า 14) |
|
|