สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ลีซู,ปัญหายาเสพติด,เชียงใหม่
Author Kwanchewan Buadang, Panadda Bamrung
Title Strategies and Solving Drug Abuse Problem: Case Studies of Highland Community in Northern Thailand
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 15 Year 2539
Source สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ปัญหายาเสพติดในกลุ่มชุมชนบนพื้นที่สูงกลายเป็นปัญหาที่สำคัญ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเฮโรอีนได้เข้าแทนที่การใช้ฝิ่น เฮโรอีนมีความแตกต่างไปจากการใช้ฝิ่น เนื่องจากการใช้ได้ขยายออกไป การติดยาเสพติดเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงาน ส่งผลกระทบและเป็นปัญหาต่อครอบครัวและชุมชน งานวิจัยครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แนวทางการพัฒนาโครงการต่างๆ กลุ่มชุมชนที่อยู่ในพื้นที่การพัฒนามีความพยายามที่จะจัดการและแก้ปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้น แต่มีเพียงบางส่วนที่ประสบความสำเร็จและเป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติด แต่หมู่บ้านส่วนใหญ่ยังคงมีกลุ่มผู้ติดยาเสพติด แนวทางในการแก้ไขปัญหามีลักษณะเฉพาะในแต่ละหมู่บ้านและเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นหลากหลายด้านทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเครือข่ายภายในแต่ละชุมชน (หน้า 1)

Focus

ศึกษาปัญหาการติดยาที่เกิดขึ้นในชุมชน ประวัติความเป็นมาของการปลูกฝิ่นทั้งสองชุมชน คือ กะเหรี่ยง บ้าน Den Hom และ ลีซู บ้าน Nam Roo รวมถึงแนวทางในการแก้ปัญหาของทั้งสองชุมชน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง บ้าน Den Hom และ ลีซู บ้าน Nam Roo ทางภาคเหนือของประเทศไทย

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 1996

History of the Group and Community

การปลูกฝิ่นในพื้นที่ประเทศไทยเกิดขึ้นในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาโดยกลุ่มชาวเขา ม้ง ลีซู ลาหู่ ฯลฯ ซึ่งอพยพมาจากทางตอนใต้ของจีนและตะวันออกของพม่ากลุ่มกะเหรี่ยงที่อยู่อาศัยในประเทศไทยดั้งเดิมนี้ไม่ได้ปลูกฝิ่นมาก่อนแต่เป็นการเรียนรู้จากกลุ่มที่อพยพเข้ามาใหม่ ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ จากการสำรวจในปี ค.ศ.1979-1980 60% 65% และ 3% ของ ม้ง ลีซู และ กะเหรี่ยง ปลูกฝิ่น และในการศึกษา Meto ในปี ค.ศ. 1965 - 1966 พบว่า ม้งปลูกฝิ่น 3.25 hectares (1 ไร่ = 0.16 hectares) ต่อครอบครัว และ 90% ของ ผลผลิตนำออกจำหน่าย สำหรับลีซู ปลูกฝิ่น 0.81 hectares ต่อครอบครัว ผลผลิตที่ได้นำออกขายเพียง 34% ส่วนกะเหรี่ยงและม้งที่ยากจนจะเข้าไปทำงานในไร่ฝิ่นและติดฝิ่นในที่สุด (หน้า 1) การปลูกฝิ่นกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายภายหลังปี ค.ศ.1958 และได้มีโครงการพัฒนาพื้นที่สูงภายใต้การสนับสนุนของรัฐและองค์กรต่าง ๆ เข้ามาเพื่อส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนฝิ่นในช่วงปี 1973 และส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมทางการเกษตรขึ้นในพื้นที่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อสภาพสังคมของกลุ่มชุมชนบนพื้นที่สูงในระยะเวลาต่อมา (หน้า 3) กะเหรี่ยงหมู่บ้าน Den Hom ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ปัจจุบันในปี 1947 และได้เริ่มมีการปลูกฝิ่นตั้งแต่เริ่มสร้างหมู่บ้านโดยเรียนวิธีการปลูกมาจากม้งในบ้าน Baw Kaeo ในปี 1945 ซึ่งส่งผลให้กะเหรี่ยงที่เข้าไปทำงานในไร่ฝิ่นของม้ง ติดฝิ่น รวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ใช้ฝิ่นเหมือนเป็นยารักษาโรค (หน้า 4) สำหรับ ลีซู บ้าน Nam Roo เป็นกลุ่มที่มาจากบ้าน Sam Muen ได้อพยพเข้ามาในช่วงปี 1964 เนื่องจากพื้นที่มีความเหมาะสมในการปลูกฝิ่น 3 ปีต่อมาจีนฮ่อจากพม่าได้อพยพเข้ามาอาศัยในพื้นที่เดียวกัน โดยทั่วไปแล้วจีนฮ่อและลีซูจะอยู่ด้วยกัน เนื่องจากมีความสัมพันธ์ในฐานะพ่อค้า และผู้ปลูกฝิ่น ในปี 1996 มีจำนวนประชากร 54 ครอบครัว (หน้า 6)

Settlement Pattern

กะเหรี่ยงมีการตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่สูงโดยเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมในการทำไร่หมุนเวียนและย้ายหมู่บ้านในการใช้พื้นที่เพาะปลูกในระยะที่ไม่ไกลไปจากพื้นที่เดิมมากนัก (หน้า 3) สำหรับลีซู การเลือกพื้นที่ตั้งถิ่นฐานเป็นการเลือกบริเวณที่เหมาะสมต่อการปลูกฝิ่น (หน้า 6)

Demography

หมู่บ้าน Den Hom เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง ซึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ปี ค.ศ.1947 ปัจจุบันมีจำนวน 53 ครอบครัว และ หมู่บ้าน Nam Roo เป็นหมู่บ้านของลีซูและจีนฮ่อ ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในช่วงปี ค.ศ.1964 ปัจจุบัน มีจำนวน 54 ครอบครัว (หน้า 4-6)

Economy

กะเหรี่ยงบ้าน Den Hom มีระบบการผลิตแบบดังเดิมคือการทำไร่หมุนเวียน ระบบเศรษฐกิจชุมชนขึ้นอยู่กับข้าว และการเลี้ยงสัตว์ในแต่ละครอบครัว และมีการปลูกฝิ่นในระยะเวลาต่อมา ตรงกันข้ามกับ ลีซู ซึ่งอพยพเข้ามาอยู่ใหม่ระบบเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการปลูกฝิ่น ข้าวโพด และการเลี้ยงสัตว์ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลุ่มได้ผลจากการพัฒนาจากโครงการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนฝิ่น เช่นเดียวกัน ทำให้กะเหรี่ยงเริ่มปลูกพืชเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น เผือก สตรอเบอร์รี่ ในปี 1992 การเพิ่มขึ้นของการปลูกสตรอเบอร์รี่ หมายถึงการลดลงของพื้นที่ปลูกข้าว และได้มีการเข้ามาของชาวภาคเหนือในการซื้อที่ดินและทำการเพาะปลูกสตรอเบอร์รี่มากขึ้น ผลตอบแทนต่อไร่ประมาณ 20,000 บาท แต่มีค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานในการเก็บเกี่ยวและการเพาะปลูก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลให้แรงงานต้องทำงานตลอดทั้งปีโดยเฉพาะครอบครัวที่ยากจนไม่สามารถผลิตข้าวได้เพียงพอ ก่อนการปลูกสตรอเบอร์รี่ มีการทดลองปลูกพืชอื่นๆ เช่น กาแฟ ถั่ว ดอกไม้เมืองหนาว แต่ไม่ได้ผลกำไรที่ดีนัก (หน้า 4-5) สำหรับลีซู บ้าน Nam Roo ระบบเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการปลูกฝิ่น และขายนำเงินที่ได้มาซื้ออาหารและสิ่งจำเป็นอื่นๆ การขายฝิ่นจะได้ราคาค่อนข้างสูง และมีตลาดอยู่ตลอดเวลา การปลูกข้าวโพดจะปลูกในพื้นที่เดียวกับฝิ่นเพื่อใช้เลี้ยงหมู การเปลี่ยนแปลงไปสู่การปลูกพืชเศรษฐกิจ ส่งผลให้การดำรงชีวิตยากขึ้น เนื่องจากผลผลิตที่ได้ราคาไม่แน่นอนและไม่มีตลาดรองรับเพียงพอ ทำให้กลุ่มคนในหมู่บ้านออกไปทำงานเป็นลูกจ้าง ร้านอาหาร เลี้ยงเด็ก ในเชียงใหม่หรือในจังหวัดอื่น ๆ (หน้า 5-7)

Social Organization

กะเหรี่ยงในหมู่บ้าน Den Hom แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านแต่ความสัมพันธ์ทางเครือญาติยังคงมีอยู่อย่างเข้มแข็ง (หน้า 5) สำหรับลีซู ความสัมพันธ์พื้นฐานเกี่ยวข้องกับสายตระกูล (Clan) ความขัดแย้งระหว่างสายตระกูลอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ในอดีตหากเกิดความขัดแย้งจะมีการอพยพออกจากหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหาแต่ในปัจจุบันไม่สามารถทำได้เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา (หน้า 7-8)

Political Organization

ผู้นำหมู่บ้านในอดีตมาจากลีซูสองตระกูลใหญ่ แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนเป็นจีนฮ่อที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันและมีความสัมพันธ์กับตระกูลแรก ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งโดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสายตระกูลแรก และทำให้ไม่ให้ความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ (หน้า 8)

Belief System

ปัจจุบันในหมู่บ้าน Den Hom ได้มีการนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ กลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธยังคงนับถือความชื่อแบบดั้งเดิมผสมผสานเข้าด้วยกัน สำหรับในศาสนาคริสต์นับถือทั้งนิยายโปรแตสแตนส์ และคาทอลิก โดยมี 17 ครอบครัวเป็นโปรแตสแตนส์ และ 29 ครอบครัวเป็นคาทอลิก ความแตกต่างทางศาสนาทำให้การให้ความร่วมมือและพบปะในหมู่บ้านน้อยลง โดยจะเป็นไปเฉพาะในกลุ่มศาสนาของตนเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 5)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลีซูอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่เดียวกันกับจีนฮ่อและมีความสัมพันธ์กันในเชิงผู้ผลิตฝิ่นและผู้ค้า และมีการแต่งงานระหว่างกลุ่มคนทั้งสอง มีการผสมผสานความเชื่อระหว่างทั้งสองกลุ่มเกิดขึ้น (หน้า 7)

Social Cultural and Identity Change

ทั้งสองหมู่บ้านมีลักษณะที่คล้ายกันของการได้รับผลจากการพัฒนาจากรัฐ โครงการต่าง ๆ ที่เข้ามาส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตดั้งเดิมมาสู่การทำการเกษตรกรรมรูปแบบใหม่ และการออกไปเป็นแรงงานรับจ้างภายนอกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ มีแนวคิดที่หลากหลายในการนับถือศาสนาต่าง ๆ (หน้า 14)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

การใช้ยาเสพติดและแนวทางในการแก้ปัญหา บ้าน Den Hom จากการสัมภาษณ์ผู้ติดยา พวกเขามีความคิดเห็นว่าการติดฝิ่นไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุไม่ได้ทำงาน ใช้ฝิ่นเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย แต่ปัญหาสำคัญคือการเข้ามาของเฮโรอีน ซึ่งกลุ่มคนที่ติดได้แพร่ไปยังกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงาน ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ และเฮโรอีนมีอันตรายต่อร่างกาย เสี่ยงต่อการติดคุกและมีราคาสูง มีบางคนต้องขายทรัพย์สินเพื่อใช้ซื้อเฮโรอีน สาเหตุของการใช้ยาเสพติดทั้งฝิ่น และเฮโรอีนนั้นมีหลายประการ เช่น รักษาอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย การใช้เพื่อให้สามารถทำงานหนักติดต่อกัน และมีการใช้ฝิ่นเหมือนการเข้าถึงจิตวิญญาณและความเชื่อ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยาพบว่าไม่มีผลดีต่อร่างกายและได้พยายามที่จะเลิกใช้ยา โดยการไปรับการรักษาล้างพิษยา ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ติดยาจะไปรับการรักษาด้วยตนเอง แต่อาจจะกลับมาติดอีกครั้งเมื่อกลับมาทำงานหนักเหมือนเดิม หรือพบปะกลุ่มเพื่อนที่ยังติดยาอยู่ มีความพยายามในการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐกับชุมชนในการแก้ปัญหายาเสพติด โดยผู้ติดยาเข้าร่วมโครงการเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา และมีกลุ่มภายในชุมชนโดยมีแกนนำคือผู้นำหมู่บ้านในการป้องกันและแก้ปัญหาโดยการให้ความรู้ในวันสำคัญทางศาสนา เช่น ในวันอาทิตย์ของกลุ่มคาทอลิก เนื่องจากลูกเขยของผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้นำทางด้านศาสนา แต่ในกลุ่มศาสนาอื่น ๆ มีการจัดการแยกออกไป สถานการณ์ในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างชุมชนและสังคมภายนอก เนื่องจากรัฐมองเห็นผู้ติดยาเป็นกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายเป็นอาชญากรต้องจับกุม ในขณะที่กลุ่มครอบครัวและเครือญาติไม่ต้องการให้ลูกหลานที่ติดยาถูกจับ แม้ว่ากลุ่มคนที่ติดยาจะเห็นโทษและพยายามเลิก แต่จากความอ่อนแอทางร่างกายและจิตใจทำให้พวกเขากลับมาติดยาอีกครั้ง และในปัจจุบัน ชุมชนยังไม่ได้แสดงออกให้เห็นแน่ชัดว่าปัญหายาเสพติดควรจะเป็นปัญหาของชุมชนหรือปัญหาของปัจเจกบุคคล แม้ว่าจะไม่เห็นกลุ่มผู้ติดยาขโมยของชุมชนแต่การที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ค้ายาเพื่อหาเงินมาซื้อยามีความเป็นไปได้สูง (หน้า 9-12) การใช้ฝิ่นในกลุ่มผู้สูงอายุที่บ้าน Nam Roo ยังพบเห็นได้จนถึงปัจจุบัน แต่จากการห้ามปลูกฝิ่นจากรัฐส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจของลีซู เนื่องจากมีพื้นฐานเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการปลูกฝิ่นมาก่อน จ ากการสัมภาษณ์ลีซูมีความเห็นเหมือนกันกับกะเหรี่ยง คือ การใช้ฝิ่นไม่ได้เป็นปัญหารุนแรง แต่สำหรับเฮโรอีนได้ส่งผลกระทบและเป็นปัญหาที่รุนแรงมากกว่า มีความพยายามในการเลิกของกลุ่มที่ติดยา แต่กลับมาติดอีกครั้งภายหลังเลิกเพียงไม่กี่เดือน ชุมชนมีแนวคิดที่จะแก้ปัญหายาเสพติดแต่เป็นไปได้ไม่ง่ายนักเนื่องจากลีซูและจีนฮ่อเป็นผู้ปลูกฝิ่น และผู้ค้ามาก่อน ผู้นำหมู่บ้านในปัจจุบันก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลูกฝิ่นและยาเสพติดมาก่อนเช่นเดียวกัน (หน้า 12-13) กล่าวโดยรวมแล้ว ทั้งสองหมู่บ้านมีความพยายามในการแก้ปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจในทิศทางเดียวกันที่ส่งผลให้ปัญหาการติดยายังคงอยู่ในชุมชน แต่ยังคงมีความแตกต่างในรายละเอียดเช่น ลีซู มีผู้ติดยามากกว่า และมีความสัมพันธ์ในฐานะของผู้ปลูกฝิ่นและค้าฝิ่นจนถึงปัจจุบันเนื่องจากเครือข่ายภายในชุมชนและภายนอกในการซื้อขายยายังคงอยู่ (หน้า 14)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ชัชฎาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ลีซู, ปัญหายาเสพติด, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง