|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,พัฒนาการ,ระบบเศรษฐกิจ,เพชรบูรณ์ |
Author |
วานุรัตน์ แสนยากุล |
Title |
พัฒนาการทางวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจของชาวเขาเผ่าม้งในชุมชนเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
147 |
Year |
2547 |
Source |
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
Abstract |
ม้งในชุมชนเข็กน้อยเป็นกลุ่มชาวเขายุคใหม่ที่มีความเจริญที่สุดในประเทศไทย เป็นเมืองหลวงของเผ่าม้ง ก่อกำเนิดจากเหตุการณ์สมรภูมิเลือดในปี พ.ศ. 2511-2525 มีผู้ก่อการร้ายพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต่อต้านระบบการปกครองของรัฐบาล ม้งบางส่วนได้แสดงความจงรักภักดีต่อประเทศไทยเป็นทหารอาสาสมัครช่วยรบอยู่ในกองทัพร่วมกับทหารไทย ม้งมีความเชี่ยวชาญในการเข้าป่า รู้จักลักษณะทางภูมิประเทศทางภาคเหนือของประเทศไทยเป็นอย่างดี ม้งพักอยู่ในค่ายพักทหารเดียวกับกองร้อยที่ 31 ซึ่งอยู่ในบริเวณชุมชนเข็กน้อยในปัจจุบัน และในปี พ.ศ. 2524 รัฐบาลไทยได้รับชัยชนะในการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ม้งในป่าพากันอพยพมาอยู่ในชุมชนเข็กน้อยเป็นจำนวนมาก ทำให้ชุมชนเข็กน้อยมีการขยายพื้นที่กว้างมากขึ้น ม้งมีพัฒนาการทางวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจเรื่อยมาตั้งแต่แรกเริ่มที่อพยพเข้ามาอยู่ในชุมชนเข็กน้อย ม้งอยู่ภายใต้การดูแลช่วยเหลือของทหารกับเจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ มีปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจของชุมชนเข็กน้อยที่มาจากการทำอาชีพเกษตรกรรม นโยบายของรัฐบาล การติดต่อกับคนพื้นราบ มีการเลียนแบบและการศึกษา |
|
Focus |
เน้นการศึกษาพัฒนาการทางวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจของชาวเขาเผ่าม้งในชุมชนเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจของชาวเขาเผ่าม้ง (หน้า 3) |
|
Theoretical Issues |
พัฒนาการทางเศรษฐกิจของชุมชนม้งที่เข็กน้อยจัดแบ่งได้เป็น 4 ช่วงเวลาคือ ในช่วงเวลา พ.ศ. 2514-2520 เป็นระบบเศรษฐกิจที่เน้นการเพาะปลูกเพื่อการบริโภค ส่วนในระยะที่ 2 พ.ศ. 2521-2530 ระบบเศรษฐกิจได้พัฒนาการไปสู่การค้ามากขึ้น ในระยะที่ 3 เป็นช่วงเวลา พ.ศ. 2531-2540 เศรษฐกิจของเข็กน้อยพัฒนาไปในทางที่หลากหลาย และมีพืชพาณิชย์ที่หลายชนิดมากขึ้น และมีการบริโภคสินค้าจากภายนอก เช่น เครื่องไฟฟ้ามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เกิดความแตกต่างทางสังคม และความขัดแย้งภายในให้มากขึ้น ส่วนในช่วงสุดท้ายคือ ทศวรรษของ 2540 ได้เกิดวิกฤติการระบาดของยาเสพติด ในขณะที่พืชบางชนิด เช่น ขิง ราคาตกลง ทำให้เกิดภาวะเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจ
ผู้วิจัยได้อธิบายให้เห็นพัฒนาการทางเศรษฐกิจของเข็กน้อยเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการร่วมกัน คือ การดำเนินนโยบายของรัฐบาล การติดต่อกับคนพื้นราบ พัฒนาการทางการเกษตรกรรม การรับวิถีชีวิตของคนพื้นราบ การเสื่อมโทรมของทรัพยากรและอิทธิพลของตลาดโลก (หน้า 107-112) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งในชุมชนเข็กน้อย หมายถึง ชาวเขาเผ่าหนึ่งอพยพจากจีนเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทยและอยู่อย่างกระจัดกระจาย ด้วยเหตุการณ์ต่อสู้ทางการเมืองระหว่างรัฐบาลไทยและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ม้งเป็นผู้ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แทนรัฐบาลไทย เพราะรู้จักลักษณะทางภูมิประเทศป่าทางภาคเหนือของประเทศไทยเป็นอย่างดี หลังการสู้รบยุติลงทางรัฐบาลไทยจึงตอบแทนความจงรักภักดีของม้ง ด้วยการอนุญาตให้ม้งตั้งหลักแหล่งในพื้นที่ชุมชนเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ (หน้า 16, 54, 89, 102, 114, 115) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้งสื่อสารกันด้วยภาษาม้งเป็นภาษาเฉพาะเพื่อการสื่อสารในสังคมม้ง แต่เพราะม้งมีการติดต่อกับคนพื้นราบจึงทำให้พูดภาษาไทยแบบเดียวกับคนพื้นราบ เยาวชนม้งนิยมใช้ภาษาไทยในการสื่อสารเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 16, 54, 89, 102, 114-115) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 - 30 ตุลาคม 2546 (หน้า 43) |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนได้อ้างรายงานของอมรา พงศาพิชญ์ ที่พูดถึงชาวเขาเผ่าม้งมีการอพยพเข้ามาทางภาคเหนือของประเทศไทยประมาณ 150 ปีมาแล้ว ม้งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาจีน-ทิเบต ม้งส่วนใหญ่มักตั้งบ้านเรือนอยู่บนภูเขาที่มีความสูงเกินกว่า 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในปี พ.ศ. 2510 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้เข้ามาปลุกระดมม้งจากหมู่บ้านต่าง ๆ ในภาคเหนือของประเทศไทยให้เป็นแนวร่วม
แต่ก็ยังมีม้งอีกส่วนหนึ่งไม่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ และได้ลงมาเข้าร่วมกับรัฐบาลไทย และขอพื้นที่ในชุมชนเข็กน้อยเพื่อให้ราษฎรม้งมาอยู่ร่วมกัน ทางรัฐบาลไทยได้นำม้งไปฝึกเป็นทหาร เพื่อเป็นทีมสนับสนุนต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะม้งมีความชำนาญและรู้จักภูมิประเทศป่าทางภาคเหนือของประเทศไทยเป็นอย่างดี ภายหลังการสู้รบระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับฝ่ายรัฐบาลไทยยุติลง ทางรัฐบาลไทยจึงอนุญาตให้ม้งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ชุมชนเข็กน้อยอย่างถาวร เพื่อเป็นการตอบแทนความจงรักภักดีที่ม้งมีต่อประเทศไทย (หน้า 16, 48) |
|
Settlement Pattern |
ม้งในชุมชนเข็กน้อยมีการตั้งบ้านเรือนติดกันเป็นแนวตลอดสองข้างทาง ตั้งแต่ปากทางเข้าหมู่บ้านทั้งสองข้างทางประกอบไปด้วยบ้านที่มีเนื้อที่ติดต่อกันเป็นผืนไม่มีรั้วกั้นในเนื้อที่ของแต่ละครอบครัว ลักษณะของบ้านมีทั้งที่ยังดำรงไว้ซึ่งความเป็นม้งดั้งเดิม คือมีการปลูกบ้านคร่อมดิน โดยปรับพื้นที่ให้เรียบทำเป็นพื้นแล้วปลูกบ้านคร่อมทับลงไป ใช้วัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น แต่ลักษณะของบ้านม้งส่วนใหญ่ในปัจจุบันสร้างบ้านแบบคนพื้นราบ เป็นบ้านยกพื้น 2 ชั้น คลุมหลังคาด้วยกระเบื้องและสังกะสี เสาบ้านเป็นเสาปูน และรอบตัวบ้านเป็นเสาปูน (หน้า 54-55) |
|
Demography |
ม้งในประเทศไทยมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับสองรองจากกลุ่มกะเหรี่ยง โดยมีจำนวนหมู่บ้านประมาณ 223 หมู่บ้าน 15,177 ครัวเรือน ประชากรคิดเป็นร้อยละ 15.77 ของจำนวนประชากรชาวเขาทั้งหมด กระจายตัวอยู่ใน 13 จังหวัด คือ กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย และเลย (หน้า 7)
ชาวเขาเผ่าม้งในชุมชนเข็กน้อย เป็นชุมชนชาวเขายุคใหม่ที่เจริญที่สุดในประเทศไทย มีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงเนื่องจากการไม่นิยมคุมกำเนิดและมีการอพยพเข้ามาของม้งต่างถิ่น รวมประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชนเข็กน้อยประมาณ 9,151 คน และมี 1,471 ครัวเรือน ประกอบด้วย 12 หมู่บ้าน ได้แก่ (หน้า 58-62)
หมู่ที่ 1 บ้านน้ำขาว 114 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 340 คน หญิง 341 คน)
หมู่ที่ 2 บ้านเข็กน้อย 124 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 439 คน หญิง 438 คน)
หมู่ที่ 3 บ้านป่ากล้วย 132 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 377 คน หญิง 379 คน
หมู่ที่ 4 บ้านเข็กน้อย 88 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 275 คน หญิง 281 คน)
หมู่ที่ 5 บ้านเล่าลือเก่า 120 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 372 คน หญิง 568 คน)
หมู่ที่ 6 บ้านปากทาง 132 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 507 คน หญิง 442 คน)
หมู่ที่ 7 บ้านศักดิ์เจริญ 67 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย174 คน หญิง 163 คน)
หมู่ที่ 8 บ้านชัยชนะ 84 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 274 คน หญิง 274 คน)
หมู่ที่ 9 บ้านประกอบสุข 120 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 377 คน หญิง 394 คน)
หมู่ที่ 10 บ้านเจริญพัฒนา 212 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 663คน หญิง 631 คน)
หมู่ที่ 11 บ้านคีรีรัตน์ 109 หลังคาเรือน ประชากรรวม (ชาย 308 หญิง 330 คน)
หมู่ที่ 12 (ไม่ปรากฏชื่อในงาน) 169 หลังคาเรือน (ชาย 507 คน หญิง 497 คน) |
|
Economy |
ชาวเขาเผ่าม้งในชุมชนเข็กน้อยยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยมีระบบการผลิตแบบตัดฟันเผา (slash and burn) คือใช้พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจนหมดความสมบูรณ์แล้วจึงย้ายพื้นที่เพาะปลูก เดิมนั้นมักทำไร่อย่างน้อย 2 แปลง แปลงแรก ใช้สำหรับปลูกข้าวและพืชผักรวมกัน แปลงที่สองปลูกฝิ่นปะปนไปกับพืชผักชนิดต่าง ๆ (หน้า 9-10)
อาชีพรองลงมา ได้แก่ การค้าขาย เลี้ยงสัตว์ ช่างตัดผม ช่างซ่อมรถ รับจ้าง รับราชการ ตามลำดับ พื้นที่ทำไร่ของม้งจะอยู่นอกหมู่บ้าน บางครอบครัวต้องเช่าที่ของคนอื่น จึงต้องใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการขับขี่ ถ้าครอบครัวไหนไม่มีรถยนต์ก็ไปนอนค้างที่ไร่และกลับบ้านในบางช่วงอาจจะสัปดาห์ละ 1 ครั้ง การเพาะปลูกทำเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น พืชที่ปลูกคือ ขิง กะหล่ำปลี กระชายดำ ข้าว ข้าวโพด ผัก ฟักทอง แตงกวา ถั่ว พริก อ้อย แต่ขิงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของม้ง ปลูกขิงในช่วงเดือนเมษายน พร้อมที่จะขายได้ในเดือนกันยายน กระชายดำเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่มีราคาดีกำลังเป็นที่นิยมของม้ง ส่วนข้าวนั้นม้งปลูกเพื่อการบริโภคอย่างเดียว
นอกจากนี้ยังเลี้ยงสัตว์ ซึ่งได้แก่ วัว หมู ไก่ และเป็ด วัวเป็นสัตว์เลี้ยงเศรษฐกิจที่สำคัญของม้ง เนื่องจากราคาดี รองลงมาก็คือ เลี้ยงหมูไว้ขายและบริโภค เป็ดและไก่นั้นม้งเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารอย่างเดียว ทั้งนี้เนื่องจากม้งติดต่อกับคนพื้นราบจึงรับเอาวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจของคนพื้นราบมาใช้ ทำการค้าขาย เปิดร้านขายของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เปิดร้านซ่อมรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ในหมู่บ้าน เปิดร้านเสริมสวย เปิดร้านขายยา ซึ่งสามารถขายได้ดีที่สุดในชุมชน ม้งรับราชการเป็นส่วนน้อย (หน้า 58-62) |
|
Social Organization |
ชาวเขาเผ่าม้งในชุมชนเข็กน้อยมีความสัมพันธ์กันหลายระดับในชุมชน แต่ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์ภายใต้กฎความเป็นเครือญาติ โดยเริ่มจากครอบครัวมี พ่อ แม่ และลูก บางครอบครัวมีความสัมพันธ์แบบครอบครัวขยาย มีปู่ย่า พ่อแม่ พี่เขย พี่สะใภ้ อยู่ในบ้านเดียวกัน ถัดจากครอบครัวก็เป็นความความสัมพันธ์แบบสายตระกูลซึ่งกว้างกว่าความสัมพันธ์ในครัวเรือน มีความสัมพันธ์ที่มีขอบเขตถึงห้าชั่วอายุคน คือ ตั้งแต่รุ่นลูก รุ่นพ่อแม่ รุ่นปู่ย่า รุ่นทวด และรุ่นพ่อแม่ของทวด จะมีเครื่องหมายที่บอกถึงความเป็นสายตระกูลเดียวกันคือ การนับถือผีบรรพบุรุษเดียวกัน เรียกว่า "ลี้กัง"
โดยม้งมีความเชื่อว่า ผีบรรพบุรุษจะคอยปกป้องคุ้มครองลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์แบบสายตระกูลนี้จะแสดงออกด้วยการร่วมพิธีต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ หรือการขอแรงงานช่วยกันทำงานในไร่ และยังมีความสัมพันธ์แบบแซ่ตระกูล ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในตระกูลแซ่เดียวกันหรือที่เรียกว่า "เส่ง" บางทีอาจจะไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน แต่แซ่เดียวกันม้งมีวัฒนธรรมไม่อนุญาตให้แต่งงานกัน และถ้าคนต่างถิ่นซึ่งมีตระกูลแซ่เดียวกันเข้ามาเยี่ยมเยียนในหมู่บ้าน ม้งจะมีหน้าที่ให้ที่พักและอาหาร และท้ายที่สุด ความสัมพันธ์แบบสายตระกูลจากการแต่งงาน เกิดจากการที่ชายและหญิงแต่งงานกัน เกิดความเกี่ยวข้องกันสองครัวเรือน เกิดว่าบิดามารดาของฝ่ายหญิงเสียชีวิตลง จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายชายซึ่งเป็นสามีจะฆ่าวัวให้แก่ครอบครัวของภรรยา บางทีฝ่ายชายต้องไปอยู่กับครอบครัวของภรรยา เพื่อทำงานแทนในกรณีไม่มีจ่ายค่าสินสอดให้บิดามารดาของฝ่ายหญิง (หน้า 55-57)
ในงานศึกษาระบุถึงการแบ่งบทบาทหน้าที่ของวัยต่าง ๆ กันอย่างชัดเจนในงานฉลองเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ผู้นำชุมชนซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยของชุมชนตลอดงานเฉลิมฉลอง และต้อนรับแขกที่มาร่วมในงานพิธีโดยเฉพาะที่มาจากหน่วยราชการ กลุ่มผู้ชายมีบทบาทในการ่วมงานเลี้ยงฉลองตามวงศ์ตระกูลคอยต้อนรับแขกที่มาเยือนและพาญาติพี่น้องที่มาเยือนไปเยี่ยมเยียนพี่น้องในหมู่บ้าน หากครอบครัวใดมีงานพิเศษ เช่น แต่งงาน ผู้ชายก็จะไปช่วยงานหรือไปเป็นเกียรติในงานสำคัญ ๆ กลุ่มผู้หญิงเป็นกลุ่มที่ไปร่วมงานเฉลิมฉลองที่ลานมากที่สุด เนื่องจากเป็นโอกาสพิเศษที่ไม่ต้องทำงานอะไร กลุ่มวัยหนุ่มสาวจะเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญที่สุด บรรดาหนุ่มสาวจะแต่งตัวอย่างสวยงามมาโยนลูกช่วง เป็นสีสันของงาน เป็นโอกาสให้หนุ่มสาวแสดงความพึงพอใจต่อคนที่หมายปอง กลุ่มผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะไปนั่งดูการแสดงบนเวที ดูหนุ่มสาวโยนลูกช่วงถือเป็นโอกาสที่ได้พบปะพูดคุยกัน กลุ่มพ่อหม้ายแม่หม้าย นับเป็น โอกาสที่ดีเพราะจะใช้โอกาสนี้หาคู่ครองอีกครั้ง เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นคนรุ่นเก่าจึงสามารถแสดงถึงขนบประเพณีดั้งเดิมได้อย่างน่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการเล่น การพูดจาต่อรอง การร้องเพลงม้ง จึงเป็นกลุ่มที่สามารถสืบทอดการเล่นลูกช่วงแบบเดิมให้คงไว้ ซึ่งจะต่างไปจากกลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มคนในวัยเด็ก ส่วนใหญ่เด็ก ๆ มักจะวิ่งเล่น เล่นของเล่น หรือเครื่องเล่นตามงานมากกว่าการไปดูหนุ่มสาวเล่นลูกช่วง (หน้า 73-74) |
|
Political Organization |
ม้งในชุมชนเข็กน้อยแบ่งการปกครองออกเป็น 12 หมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านแต่ละหมู่บ้าน มีการบริหารโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นโดยม้ง การแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านของม้งจะเลือกจากบุคคลที่สามารถพูดภาษาไทยได้ เพื่อติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ชุมชนเข็กน้อยมีการปกครองในระบบเดิมที่มีผู้นำตามจารีต ผู้นำในตระกูลแซ่ และผู้นำหมอผีคาถา
- ผู้นำตามจารีต เป็นผู้นำการสร้างชุมชน สมาชิกทุกคนจึงให้ความสำคัญ และฟังความคิดเห็น และในชุมชนเข็กน้อย นายโก๊ะ แซ่หยาง เป็นผู้นำในการตั้งหมู่บ้าน
- ผู้นำในตระกูลแซ่ เป็นตัวแทนของตระกูลนั้น ๆ มีความรู้ทางจารีตประเพณีในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของตระกูล เช่น งานศพ งานแต่งงาน เป็นต้น
- ผู้นำหมอผีคาถา มีบทบาทเป็นผู้ให้บริการทางพิธีกรรมเชิงนามธรรมที่เกี่ยวข้องกับภาวะจิต และยังเป็นผู้ช่วยวินิจฉัยสาเหตุการเกิดอาการเจ็บป่วย และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อรักษาความเจ็บป่วย ผู้นำในกลุ่มนี้ได้รับการยอมรับนับถือจากชุมชนว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อชุมชน แต่ปัจจุบันมีจำนวนลดลง
และผู้นำในระบบใหม่คือ ผู้นำทางการเมืองที่คัดเลือกคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ มีการศึกษา แต่ผู้นำระบบเดิมกับระบบใหม่มักจะแตกแยกกัน มีสาเหตุมาจากความเข้าใจผิดกัน (หน้า 68, 94-96, 114) |
|
Belief System |
ม้งในชุมชนเข็กน้อยมีความเชื่อในพุทธศาสนาและคริสตศาสนา มีผู้นับถือศาสนาพุทธทั้งสิ้น 7,694 คน และนับถือศาสนาคริสต์จำนวน 1,457 คน ในชุมชนเข็กน้อยมีวัดพุทธ 1 แห่ง แต่ไม่มีพระสงฆ์ประจำวัด ม้งไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับหลักธรรมคำสอน หรือหลักปฏิบัติที่แท้จริงของพุทธศาสนา จึงคิดว่าเป็นความเชื่อเดียวกับการถือผีบ้านผีเรือน ส่วนกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ก็มี 2 นิกาย คือ โรมันคาทอลิกและโปแตสแตนท์ แต่ทั้ง 2 นิกายมีผู้นำประจำ มีพิธีกรรมทุกวันอาทิตย์ให้กับม้ง และมีการอบรมสอนคำสอนให้ผู้ที่เชื่อในศาสนาคริสต์ ม้งยังมีความเชื่ออีกว่าการที่จะทำให้บิดามารดาที่เสียชีวิตได้ไปสวรรค์นั้นต้องฆ่าวัวและหมู (หน้า 75-76) |
|
Education and Socialization |
ม้งนิยมส่งบุตรหลานให้ศึกษาเล่าเรียนกันทุกครอบครัว ตั้งแต่ระดับเด็กเล็กจนมหาวิทยาลัย ในชุมชนเข็กน้อยมีโรงเรียนขนาดใหญ่สอนระดับอนุบาลถึงมัธยมต้น มีนักเรียนประมาณ 2,000 คน และมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 7 ศูนย์ เพื่อรับเลี้ยงเด็กขณะที่ผู้ปกครองต้องออกไปทำไร่ ลูกหลานม้งไปศึกษาเล่าเรียนกับคนพื้นราบจึงทำให้นิยมพูดภาษาไทยมากกว่าภาษาม้ง การศึกษาทำให้ม้งรับเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ ของคนพื้นราบ เช่น การประกอบอาชีพแบบคนพื้นราบ ม้งเห็นคุณค่าการศึกษา ลูกหลานม้งในชุมชนเข็กน้อยจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทจำนวน 30 คน (หน้า 102-103, 110-111) |
|
Health and Medicine |
ในชุมชนเข็กน้อย มีสถานีอนามัยที่ได้มาตรฐานมีขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชน ม้งขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ไม่รู้จักการป้องกัน เมื่ออาการหนักจึงไปหาหมอ หรือไม่ก็ไปหาซื้อยามากินเองจากร้านขายยาแผนปัจจุบันที่มีในชุมชน ครอบครัวม้งกินอาหารที่ไม่ค่อยคำนึงถึงคุณภาพและประโยชน์ของอาหาร ทำให้เด็ก ๆ ม้งเป็นโรคขาดสารอาหาร เจริญเติบโตช้า หนุ่มสาวม้งนิยมแต่งงานเร็ว จึงไม่ค่อยมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจในการดูแลบุตรที่เกิดมา ทำให้เด็กที่เกิดมามีสุขภาพอนามัยที่ไม่ดี ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านใช้วิธีการรักษาแบบเก่า ๆ คือการใช้ฝิ่นรักษาโรค ซึ่งฝิ่นนั้นเป็นสารเสพติดให้โทษต่อร่างกาย (หน้า 62-65) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ม้งในชุมชนเข็กน้อย จะสวมใส่เผื้อผ้าตามแบบอย่างของคนพื้นราบเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้ใหญ่ที่สวมใส่ชุดประจำเผ่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ทุกวันจะใส่ในวันฉลองเทศกาลปีใหม่ของม้ง พิธีแต่งงาน พิธีงานศพ สตรีม้งมีความสามารถพิเศษในการปักผ้าเป็นลายเฉพาะที่มีอยู่ในกลุ่มม้งเท่านั้น มีความละเอียด ประณีตและสวยงาม (หน้า 57, 114) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีลักษณะเฉพาะของการดำเนินชีวิต และการปฏิบัติพิธีกรรมต่าง ๆ ตามจารีตประเพณี มีการฉลองเทศกาลปีใหม่ของม้ง การเรียกขวัญ การผูกข้อมือผู้เฒ่าผู้แก่ การทำบุญให้กับบรรพบุรุษของวงศ์ตระกูล
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ม้งยังมีภาษาม้งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคนม้งที่แตกต่างจากคนพื้นราบ แต่ละตระกูลแซ่มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมไปสู่ลูกหลาน เช่น ตระกูลหยาง ผู้ชายม้งตระกูลหยางทุกคนถูกห้ามไม่ให้รับประทานหัวใจของสัตว์ทุกชนิด
ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของม้ง ยังเป็นสิ่งเดียวที่ม้งทุกคนสำนึกอยู่เสมอ เหมือนกับคำที่ม้งมักพูดในกลุ่มของตนว่า "Peb Yog Hmoob" มีความหมายว่า "พวกเราคือม้ง" (หน้า 114, 116) |
|
Social Cultural and Identity Change |
แต่เดิมนั้นม้งส่วนใหญ่จะใช้ภาษาม้งในการติดต่อสื่อสารกันเฉพาะในสังคมม้ง แต่เมื่อมีการติดต่อกับคนพื้นราบ ทำให้ม้งรับอิทธิพลของคนพื้นราบมาใช้ในชุมชนม้ง ม้งเกิดการยอมรับในวัฒนธรรมของคนพื้นราบ โดยเฉพาะการดำเนินชีวิตประจำวัน การใช้จ่ายเงิน การศึกษา การสร้างที่อยู่อาศัย การแต่งตัว เยาวชนม้งไม่นิยมใช้ภาษาม้งในการติดต่อสื่อสาร มักใช้ภาษาไทยแทน
ชุมชนม้งมีระบบการตลาดเกิดขึ้น ทำให้วิถีชีวิตแบบเดิมนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป มีการปลูกพืชเพื่อค้าขายเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของเงินตรา จากที่เคยปลูกเพื่อรับประทานภายในครัวเรือน ระบบตลาดแม้จะทำให้ม้งมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ม้งสูญเสียเอกลักษณ์ความเป็นม้งที่พึ่งพาอาศัยกัน มีน้ำใจต่อกัน (หน้า 111, 114-116) |
|
Map/Illustration |
แผนที่จังหวัดเพชรบูรณ์ (หน้า 137)
แผนที่ชุมชนเข็กน้อย (หน้า 145)
ตารางสรุปจำนวนประชากรชุมชนเข็กน้อย (หน้า 146) |
|
|