สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เวียดนาม เพศสภาพ ศาสนา ภิษุนี นโยบายการอพยพ ประเทศเวียดนาม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Author หนึ่งฤทัย พาอ้อ
Title เพศสภาพ ศาสนา และบทบาททางสังคมของภิกษุนีเวียดนาม
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 148 Year 2554
Source มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
Abstract

เพศสภาพของภิกษุณีเวียดนามมีความสัมพันธ์โดยตรงกับบริบททางสังคมวัฒนธรรมเวียดนาม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื้อ เต๋า และพุทธศาสนา จากจีนและอินเดีย อย่างผสานกลมกลืนกับลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นและรัฐชาติเวียดนาม จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะตัวทางสังคมวัฒนธรรมในแบบเวียดนาม บริบททางสังคมวัฒนธรรมดังกล่าวได้ส่งผลต่อการประกอบสร้างความเป็นภิกษุณีเวียดนามเมื่อเวียดนามก้าวเข้าสู่ยุคสมัยรัฐชาติสมัยใหม่ ก็ได้มีการจัดตั้งองค์กรพุทธเถรสมาคมอย่างเป็นทางการภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ และมีการปรับแต่งเป้าหมายและวิสัยทัศน์ขององค์กรดังกล่าวมาเป็นลำดับ ซึ่งวิสัยทัศน์ของพุทธเถรสมาคมเวียดนามในบริบทของรัฐชาติสังคมนิยม ปัจจุบัน ได้กำหนดว่า “ธรรมะ ประเทศชาติ สังคม” โดยวิสัยทัศน์ดังกล่าวได้กลายเป็นกรอบและทิศทางในปฏิบัติการของคณะสงฆ์เวียดนาม รวมทั้งสถานภาพ บทบาทและหน้าที่ของภิกษุณีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ขณะที่โครงสร้างต่างๆ ทางสังคมวัฒนธรรมข้างต้น ได้มีส่วนสำคัญต่อการประกอบสร้างเพศสภาพให้กับภิกษุณีเวียดนามแล้ว ขณะเดียวกัน ภิกษุณีเวียดนามในฐานะของ“ผู้กระทำการ”ได้ใช้โครงสร้างดังกล่าวเป็นพื้นที่ในการสร้างตัวตน ของภิกษุณีที่มีความเลื่อนไหลไปตามบริบทสังคมวัฒนธรรม พร้อมกันนั้นปฏิบัติการของภิกษุณีเวียดนามยังส่งผลต่อการประกอบสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมวัฒนธรรมเวียดนาม ทั้งในระดับท้องถิ่น รัฐชาติ ที่มีความสัมพันธ์กับสากลมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งบริบทแห่งโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน

Focus

          ศึกษาบริบททางสังคมวัฒนธรรมเวียดนามที่มีความสัมพันธ์กับเพศภาพของภิกษุณีเวียดนาม รวมถึงสำรวจสถานภาพของภิกษุณีเวียดนามในบริบทพุทธศาสนาและพุทธเถระสมาคมเวียดนาม และศึกษาปฏิบัติการและปฏิสัมพันธ์ของภิกษุณีเวียดนามที่มีต่อศาสนาและสังคมวัฒนธรรมเวียดนาม

Theoretical Issues

          ผู้ศึกษาประยุกต์โดยใช้แนวคิดเพศสภาพ และแนวคิดโครงสร้าง-ผู้กระทำการ (Structure-Agency) เป็นแนวคิดหลักในการศึกษา ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เน้นการศึกษาเอกสาร และการทำงานสนามเชิงมานุษยวิทยา โดยศึกษาภิกษุณีวัดฟึกฮว่า เขตบิ่ง เติน นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม โดยแนวคิดดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญต่อการทำความเข้าใจปฏิบัติการและปฏิสัมพันธ์ของภิกษุณีเวียดนามที่มีต่อศาสนาและสังคมเวียดนาม 

Ethnic Group in the Focus

          ชาวเวียดนาม  

Language and Linguistic Affiliations

          ภาษาเวียดนาม

Study Period (Data Collection)

          ผู้ศึกษาสำรวจเอกสารด้านภิกษุนีในสมังคมเวียดนามย้อนหลังถึงปีพุทะศตวรรษที่ 10 จนกระทั่งถึงร่วมสมัย พ.ศ. 2554รวมถึงทำงานภาคสนามราวช่วงปี พ.ศ. 2553-2554 

History of the Group and Community

          ประเทศเวียดนามในปัจจุบัน กำลังเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผ่านภาวะสงครามอันยาวนานจนมีการรวมประเทศในปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ผลจากสงครามทำให้เศรษฐกิจของประเทศซบเซานานกว่า 10 ปี ในปี พ.ศ. 2529 รัฐบาลเวียดนามได้ปฏิรูปเศรษฐกิจ ระบบตลาดและวางรากฐานการลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดปัญหาทางสังคมต่างๆ ตามมา เช่น การออกกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชน นโยบายระดับประเทศเพื่อแก้ไขผลกระทบจากโรคเอดส์ที่มีต่อเด็กและโครงการด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษา องค์กรที่ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนส่วนใหญ่เป็นองค์กรเอกชนต่างประเทศ รองลงมาคือองค์กรเอกชนในประเทศ และมีองค์กรของรัฐบาลเวียดนามที่ให้การช่วยเหลือเด็กกำพร้าไม่มากนัก เหตุผลดังกล่าว ทำให้กลุ่มของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทในการดูแลเด็กกำพร้าซึ่งมีอยู่ในแทบทุกชุมชนของเวียดนาม คือ ภิกษุณี (หน้า, 1) ได้มามีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าว ส่วนภิกษุณีเวียดนามมีประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการควบคู่ไปกับประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในเวียดนาม จากอดีตที่ภิกษุณีอยู่วัดตามในป่าเขา มีบทบาทต่อสังคมวัฒนธรรมเวียดนามในฐานะของนักบวชหญิง จนกระทั่งมีบทบาทในต่อการเมืองและเป็นส่วนหนึ่งพุทธเถรสมาคมเวียดนาม ภิกษุณีจึงได้สร้างพื้นที่ทางพุทธศาสนา พร้อมไปกับการสร้างตัวตนของตนเองให้เป็นที่ยอมรับของสังคมเวียดนามอย่างต่อเนื่องในทุกยุคสมัย ภาพของภิกษุณีจึงปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อมีการก่อตั้งสภาองค์กรภิกษุณี ที่มีความเป็นเอกเทศ มีความเคลื่อนไหวและมีการบริหารจัดการโดยภิกษุณี องค์กรภิกษุณีสงฆ์นิกายมหายานเวียดนาม ภายใต้ชื่อ “นี โบ่ บั๊ก โตง”การจัดสภาภิกษุณีทำให้เกิดข้อบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับภิกษุณี ซึ่งเป็นการกำหนดตัวตนของภิกษุณีผ่านวาทกรรมของรัฐ กระทั่งในปี ค.ศ. 1981 ได้มีการจัดตั้งพุทธเถรสมาคมแห่งเวียดนาม ซึ่งเป็นองค์กรทางพุทธศาสนา เวียดนามที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั่วทั้งประเทศ มีการกำหนดข้อบัญญัติและระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกันทั้งภิกษุและภิกษุณี ภายหลังที่มีการจัดตั้งพุทธเถรสมาคมแห่งเวียดนามแล้ว ภิกษุณีจึงต้องอยู่ภายใต้กฎและระเบียบของพุทธเถรสมาคมแห่งเวียดนามเช่นเดียวกันกับพระภิกษุทั่วประเทศ กฎระเบียบและแนวปฏิบัติของพุทธเถรสมาคมเวียดนามเป็นเสมือนโครงสร้างหลักในการประกอบสร้าง หรือกระบวนการกลายเป็นและดำรงอยู่ของภิกษุ และภิกษุณีเวียดนามในระยะหลัง (หน้า, 138-139)

Demography

          ปัจจุบัน ประชากรของเวียดนามได้เพิ่มขึ้นเป็นถึง 86.9ล้านคน จากจำนวนประชากร 85ล้านคน ในช่วงปี พ.ศ. 2542-2550และประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน ทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่มีตลาดแรงงานใหญ่แห่งหนึ่งรองจากจีน(หน้า, 1) 

Social Organization

          งานศึกษาเรื่องนี้มองเรื่องเพศสภาพของภิกษุณีเวียดนามในบริบทของการปกครองสังคมนิยมเวียดนามและพุทธศาสนาเวียดนามเป็นเสมือนสิ่งที่ถูกบรรจุความหมายเชิงโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม ระหว่าง อุดมการณ์ทางศาสนา และการเมืองการปกครองที่พยายามกำหนดตัวตนและลีลาชีวิตทางสังคมวัฒนธรรมของพวกเธอ ภายใต้วิสัยทัศน์ที่รัฐกำหนดความหมายของพุทธศาสนาว่า “ธรรมะ ประเทศชาติ สังคม”จึงเห็นได้ว่า โครงสร้างข้างต้นไม่ได้เป็นสิ่งกำหนดเพื่อตีกรอบเพศสภาพภิกษุณีแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่พวกภิกษุนีกลับฉวยใช้โครงสร้างข้างต้นสร้างตัวตน จนเป็นที่ยอมรับทั้งในส่วนท้องถิ่น รัฐ และสากล ดังปรากฏที่วัดฟึก ฮว่ะ ได้ส่งภิกษุณีหลายรูปไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลวัดภิกษุณีที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเธอได้อาศัยโครงสร้างข้างต้นเป็นยุทธศาสตร์ในเพศสภาพของตน พร้อมขยายปริมณฑลพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่เชิงปัจเจกบุคคลของเธอให้ก้าวออกไปไกลกว่าเขตรั้ววัดสู่โลกภายนอก ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ภิกษุณี ในฐานะผู้กระทำการ (agency) กับบริบททางสังคมวัฒนธรรมเวียดนามชุดใหม่ที่มีความสลับซับซ้อน ในฐานะโครงสร้าง (structure) ที่ปฏิสัมพันธ์กันอย่างมีพลวัตตลอดเวลา (หน้า, 147)

Political Organization

          การทำความเข้าใจ ตัวตน อัตลักษณ์ ของภิกษุณีเวียดนามในระดับวัด ชุมชน รัฐและโลกาภิวัตน์ ที่สัมพันธ์ปฏิบัติการและปฏิสัมพันธ์ของภิกษุณีเวียดนาม ที่มีต่อศาสนาและสังคมเวียดนาม ตลอดจนความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ระหว่างภิกษุณีกับตัวละครโดยรอบ นั้นทำให้เห็นว่า ผู้วิจัยศึกษาได้มองผ่านวัดภิกษุณี แห่งหนึ่งในนครโฮจิมินท์ ชื่อวัด ฟึก ฮว่ะ พบว่าปฏิบัติการและปฏิสัมพันธ์ของภิกษุณีเวียดนามที่มีต่อศาสนาและสังคมเวียดนามมีความเกี่ยวพันกันเป็นอย่างมากการเกิดขึ้นของภิกษุณีได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพุทธศาสนา ทั้งนี้ ปฏิบัติการในชีวิตประจำวัน และชีวิตทางสังคมของภิกษุณีแห่งวัดฟึก ฮว่ะ นอกจากจะได้สะท้อน การประกอบสร้างความเป็นภิกษุณีที่ไม่ใช่เพียงการถูกประกอบสร้างจากเงื่อนไขและข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ทางศาสนาแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังแสดงให้เห็นว่า การประกอบสร้างภิกษุณีเวียดนามนั้นได้มีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับเงื่อนไขทางทางสังคมวัฒนธรรมในระดับชุมชน ที่สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงของท้องถิ่น อันเป็นผลจากความเปลี่ยนแปลงในระดับชาติ ที่เชื่อมต่อกับกระแสการพัฒนาเศรษฐกิจของระบบเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้โครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมเดิมของเวียดนาม ทั้งในระดับชุมชนท้องถิ่นชนบท และสังคมเมือง เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนกลายเป็นวิกฤติสังคมของเวียดนามปัจจุบัน(หน้า, 140)

Belief System

          บริบททางศาสนาและสังคมวัฒนธรรมเวียดนามที่มีความสัมพันธ์กับเพศภาพของภิกษุณีเวียดนาม ชาวเวียดนามเป็นชาติพันธุ์หนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีปฏิสัมพันธ์ทั้งต่อลักษณะทางกายภาพของพื้นที่และต่อกลุ่มชาติพันธุ์อื่นรอบข้าง วัฒนธรรมเวียดนามเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากการปะทะสังสรรค์ของวัฒนธรรมภายในท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมดั้งเดิม และวัฒนธรรมรอบข้างอยู่ตลอดเวลา ส่งผลต่ออัตลักษณ์ทางสังคมวัฒนธรรมของเวียดนามแต่ละช่วงยุคสมัย และส่งผลต่อการตกทอดทางวัฒนธรรม ด้วยการคัดเลือกจากสังคมวัฒนธรรมในยุคต่อๆ มาเป็นทอดๆ จนกลายเป็นแบบฉบับของเวียดนามในปัจจุบัน ประการสำคัญ ลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมข้างต้นยังส่งผลต่อการเพศสภาพผู้หญิงเวียดนามที่มีทั้งเหมือน แตกต่าง รวมถึงจุดเน้นเฉพาะตัวในแต่ละช่วงสมัย หรือแต่ละบริบท ทั้งนี้ ผู้ศึกษาได้สรุปบริบททางศาสนา สังคมวัฒนธรรมเวียดนามที่มีความสัมพันธ์กับเพศภาพของผู้หญิงเวียดนาม กล่าวคือ ในยุคสมัยรัฐจารีต เวียดนามเป็นดินแดนที่ดำรงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ตั้งถิ่นฐานรกรากเป็นจำนวนมาก และชาวเวียดนามก็ได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกลุ่มชาติพันธุ์อื่นรอบข้าง วัฒนธรรมเวียดนามจึงเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากการปะทะสังสรรค์ของวัฒนธรรมภายในท้องถิ่นกับวัฒนธรรมภายนอกอยู่ตลอดเวลา เวียดนามเริ่มสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ตั้งแต่ต้นคริสต์ศักราชเมื่อชาวอินเดียได้เดินทางโดยทางทะเลสู่ดินแดนประเทศเวียดนามทั้งทางภาคใต้ของเวียดนามคืออาน ซาง ภาคกลางและภาคเหนือคือลุย เลาการเดินทางมาถึงเวียดนามในครั้งนั้น ชาวอินเดียได้นำศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธมาสู่เวียดนามด้วย วัฒนธรรมอินเดียที่ส่งอิทธิพลต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นในดินแดนเวียดนามคือ วัฒนธรรมจัม ซึ่งมีลักษณะของการผสมกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรมจัม วัฒนธรรมท้องถิ่นเวียดนาม และวัฒนธรรมอินเดีย วัฒนธรรมทั้งสามดังกล่าวมีความเกี่ยวข้อง ผสมผสานกันอย่างแยกไม่ออก และมีอิทธิพลต่อความคิดความเชื่อของชาวเวียดนามในบางท้องถิ่นจนปัจจุบัน ต่อมา คือ ยุค เวียดนามยุคศักดินา อิทธิพลของแนวคิดขงจื้อต่อมโนทัศน์เรื่องการเป็นผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อมเมื่อเวียดนามนำระบบการปกครองแบบศักดินาเข้ามาใช้ อิทธิพลของลัทธิขงจื้อส่งผลให้สถานภาพของผู้หญิงค่อย ๆ เปลี่ยนไป ทัศนะเรื่อง “ผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อม”ถูกก่อร่างสร้างตัวขึ้นอย่างช้าๆ ภายใต้บริบทสังคมวัฒนธรรมเวียดนาม ซึ่งตามแนวคิดของขงจื้อนั้นการที่สังคมจะเป็นสังคมที่สมบูรณ์แบบ ที่สำคัญที่สุดจะต้องมีการเคารพให้เกียรติกันในครอบครัวได้แก่ ลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่ สามีภรรยาเคารพซึ่งกันและกัน ผู้น้อยรู้จักเคารพผู้ใหญ่ และผู้ใหญ่ให้ความเมตตาแก่ผู้น้อย นอกจากนี้แนวคิดขงจื้อยังได้กล่าวถึงผู้หญิงที่ดีว่า จะถือตามทำเนียมที่เรียกว่าตาม ต่อง ตือ ดึ๊กเป็นแนวปฏิบัติที่ผู้หญิงจะต้องยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด กระทั่งยุคล่าอาณานิคม ผู้หญิงกับการเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมและเสรีภาพบทบาทและสถานภาพผู้หญิงเวียดนามในยุคอาณานิคมฝรั่งเศสได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งเป็นยุคการปกครองแบบศักดินา มโนทัศน์ที่มองผู้หญิงว่าเป็นเพศที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอ ไร้คุณค่า ตามแนวคิดขงจื้อและระบอบศักดินา ได้ถูกสลายไปในยุคของการต่อสู้อาณานิคม และถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยการสร้างให้ผู้หญิงเข้มแข็ง 

Folklore

          เรื่องเล่านิยายปรัมปราเวียดนามในงานศึกษาเรื่องนี้เห็นได้จากประเพณีการแต่งงานและระบบครอบครัวตลอดจนกิจกรรมทางจิตวิญญาณสะท้อนให้เห็นว่า สังคมเวียดนามดั้งเดิมเป็นสังคมมาตาธิปไตย มีเรื่องเล่าปรัมปราจากบันทึก หลิงนาม จิ้ง กว้าย ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องเล่าและนิทานพื้นบ้านเวียดนาม ที่ได้มีการรวบรวมอย่างสมบูรณ์ในสมัยราชวงศ์เตริ่น กล่าวถึงเจ้าหญิงเตียน ซุ้ง ที่ได้ทาบทามจื้อ โดง ตื๋อ มาเป็นสามีของเธอเมื่อครั้งที่พบกันโดยบังเอิญ ที่ริมแม่น้ำ นอกจากนี้ ยังพบเรื่องเล่าของความเท่าเทียมของหญิงชายในวัฒนธรรมเวียดนามได้สะท้อนให้เห็นในนิทานปรัมปราที่กล่าวถึงการกำเนิดของชาวเวียดนาม กล่าวคือ ชาวเวียดนามนั้นเป็นลูกหลานของพญามังกร หลัก ลองเกวิน กับนางฟ้า เอิว เกอ ทั้งสองมีลูกด้วยกันถึง 100 คน ต่อมาได้แบ่งลูกกันคนละครึ่ง จำนวน 50 คนติดตามบิดาลงสู่ทะเล และอีก 50 คน กลับขึ้นสวรรค์พร้อมมารดา จากนิทานปรัมปราเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการแบ่งหน้าที่กันอย่างเท่าเทียมระหว่างหญิงกับชายในสังคมเวียดนามดั้งเดิมเช่นกัน (หน้า, 34)

Social Cultural and Identity Change

          ชาวเวียดนามเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีปฏิสัมพันธ์ทั้งต่อลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ และต่อกลุ่มชาติพันธุ์อื่นรอบข้าง วัฒนธรรมเวียดนามจึงเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากการปะทะสังสรรค์กับลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ วัฒนธรรมภายในท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมดั้งเดิมและวัฒนธรรมรอบข้างอยู่ตลอดเวลา ส่งผลต่อความคิด ความเชื่อ ประเพณีของสังคมวัฒนธรรมเวียดนามในแต่ละยุคสมัย และส่งต่อ ตกทอด ด้วยการคัดเลือกจากสังคมวัฒนธรรมในยุคต่อ จนกลายเป็นแบบฉบับของเวียดนามในปัจจุบัน และส่งผลต่อการประกอบสร้างผู้หญิงเวียดนามทั้งเหมือน แตกต่างและมีจุดเน้นเฉพาะตัวในแต่ละช่วงสมัยหรือแต่ละบริบท ทั้งนี้ ในบทนี้ผู้วิจัย ได้นำเสนอพัฒนาการสังคมวัฒนธรรมเวียดนาม ที่สัมพันธ์ลักษณะของเพศภาพ ต่อความเป็นผู้หญิงเวียดนาม (หน้า, 33)  การเปลี่ยนแปลงยังเห็นได้จากมิติความเชื่อพุทธศาสนาเวียดนามเป็นประเทศหนึ่งที่นับถือพุทธศาสนา พุทธศาสนาในเวียดนามได้ถูกปรับให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและบริบททางสังคมวัฒนธรรมในยุคต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และยังคงดำรงอยู่และเจริญรุ่งเรือง อย่างมีความเป็นเอกภาพในสังคมเวียดนามตราบในปัจจุบัน (หน้า, 65) ส่วนสถานภาพของผู้หญิงกับการเปลี่ยนแปลงพบว่า แม้ว่า ตาม ต่อง ตือ ดึ๊ก จะเป็นเสมือนวาทกรรมที่ได้กำหนดสร้างความเป็นผู้หญิงเวียดนามมาตั้งแต่บรรพกาล จากพัฒนาการของผู้หญิงเวียดนามในเชิงประวัติศาสตร์พวกเธอก็ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างสยบยอม แต่ผู้หญิงเวียดนามก็พยายามที่จะใช้พื้นที่ทางสังคมที่ถูกปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ปรับแต่งตัวตนและยกระดับความสำคัญของตนทันทีที่มีโอกาส ด้วยการสร้างบทบาทหน้าที่ที่สำคัญซึ่งสอดรับกับสภาพทางเพศหญิง ทำบทบาทหน้าที่ด้านต่างๆ อย่างมีส่วนร่วมและกลายเป็นอัตลักษณ์ต่อสังคมวัฒนธรรมเวียดนามอย่างมีพลวัตและต่อเนื่อง แม้ว่าสังคมวัฒนธรรมเวียดนามจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็จะเห็นได้ว่าผู้หญิงเวียดนาม ก็จะไม่ยอมอยู่กับสภาวการณ์ถูกกดให้ต่ำ ทั้งทางกายภาพและสังคมอยู่ตลอดกาล อาทิ ผู้หญิงเวียดนามในยุคอาณานิคม ที่เชื่อมต่อเวียดนามกับสังคมวัฒนธรรมแบบตะวันตก ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็ได้ฉวยใช้ภาวการณ์เรียกหาความเสมอภาค ให้กับความเป็นผู้หญิงเวียดนามอย่างได้ผล นอกจากนี้ ภายใต้บริบทการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประเทศจากผู้รุกราน ผู้หญิงเวียดนามได้ฉวยใช้บริบทดังกล่าว เป็นพื้นที่ในการยกระดับตัวตน ให้ทัดเทียมชาย หรือมีคุณค่าต่อการปลดปล่อยประเทศชาติ กระทั่ง ผู้หญิงจำนวนหนึ่งถูกจารึกไว้ในความทรงจำทางสังคมระดับชาติด้วยการประจุความหมายให้เป็นวีรสตรีของชาติ มีเรื่องเล่าเชิงประวัติศาสตร์ และอนุสาวรีย์ที่มีความหมายที่บ่งบอกว่า ผู้หญิงเวียดนามไม่ใช่เพศผู้อยู่ฝ่ายล่างกับการประกอบสร้างทางสังคมวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงเวียดนามก็ไม่ได้ปฏิเสธอดีตหรือกระบวนทัศน์จากอดีตที่ได้ประกอบสร้างความเป็นผู้หญิงเวียดนามชุดหนึ่งให้กับพวกเธอ หากแต่พวกเธอก็ได้ใช้เงื่อนไขดังกล่าว เป็นโอกาสในการประกอบสร้างตัวตนและอัตลักษณ์ให้กับสังคมวัฒนธรรมเวียดนามไปพร้อมกัน ดังนั้น เพศสภาพหรือความเป็นผู้หญิงที่ถูกประกอบสร้างทางสังคมวัฒนธรรม กรณีของผู้หญิงเวียดนาม จึงมีลักษณะการที่ดำรงอยู่อย่างมีการผสานสัมพันธ์ 

Map/Illustration

ภาพ
          ภาพเจ้าแม่เหลียวแห่งในศาลเจ้าแม่เหลียวแห่ง ที่จังหวัดนาม ดิ่ง (หน้า, 39)
          ภาพการแบ่งเขตปกครอง อาณาจักรต่างๆในยุคเวียดนามโบราณ(หน้า, 43)
          ภาพวาดวีระสตรีสองพี่น้องตระกูลจรึง(หน้า, 44)
          ภาพสตรีเวียดนาม ภรรยาของขุนนางในยุคศักดินาเวียดนาม(หน้า, 47)
          ภาพแรงงานสตรีเวียดนามในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส (หน้า,51)
          ภาพกลุ่มสตรีเวียดนามที่เข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติ (หน้า, 59)
          ภาพตาม ซ้าว ศาสนาตามความเชื่อของชาวเวียดนาม เป็นการผสมกลมกลืนของพุทธศาสนา แนวคิดขงจื้อและแนวคิดแบบเต๋า (หน้า,72)
          ภาพบรรดาสิกขามานา ที่ลงทะเบียนเพื่อขอเข้าร่วมพิธี เซ้ย ด่าน (หน้า, 90)
          ภาพพิธีกรรมบวชเพื่อเปลี่ยนสมณเพศ หรือ พิธี เซ้ย ด่าน ของภิกษุณี (หน้า, 91)
          ภาพภิกษุณีเวียดนามในเครื่องแต่งกายปกติ (หน้า, 97)
          ภาพภิกษุณี หยือ เฮว่ แบ่งปันข้าวสาร เพื่อแจกให้กับชาวบ้านผู้ยากจน (หน้า,116)
          ภาพเยาวชนจากร่วมค่ายเยาวชนเยี่ยมวัด ฟึก ฮว่า เดือนธันวาคม ค.ศ. 2009 (หน้า, 118)
          ภาพภิกษุณี หยือ เฮว่ ดูแลเด็กหญิงมิง เฮี้ยว วัย 2ขวบ (หน้า, 123)
          ภาพภิกษุณีหยือ เฮว่ โกนศีรษะให้สามเณรี วัย 3ขวบในวันพระ (หน้า,124)
          ภาพเด็กกำพร้าสมาชิกวัดฟึก ฮว่ะ (หน้า,126)

Text Analyst เอกรินทร์ พึ่งประชา Date of Report 07 มิ.ย 2562
TAG เวียดนาม, เพศสภาพ, ศาสนา, ภิษุนี, นโยบายการอพยพ, ประเทศเวียดนาม, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง