สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การท่องเที่ยว,ผลกระทบ,เชียงใหม่
Author สุนิสา ฉันท์รัตนโยธิน
Title ผลกระทบของการท่องเที่ยวต่อชุมชน : บ้านม้งดอยปุย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Total Pages 173 Year 2546
Source หลักสูตรปริญญาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

ชาวบ้านม้งดอยปุยเรียนรู้ที่จะนำลักษณะทางวัฒนธรรมของตนมาเปลี่ยนเป็นสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวในการบริโภควัฒนธรรมที่แปลกและแตกต่างจากตัวเอง มีการจัดฉากนำเสนอความจริงแท้เพื่อสร้างจุดดึงดูดการท่องเที่ยว และการขายสินค้าทางวัฒนธรรมเช่นเครื่องแต่งกาย งานหัตถกรรม ของที่ระลึก ซึ่งมีการโยงสินค้าให้เข้ากับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของม้ง แต่การท่องเที่ยวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของม้งดอยปุย จากการเกษตรมาสู่การขายสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม เกิดปัญหาสังคม และเปลี่ยนแปลงบทบาทชายหญิง (หน้า (1))

Focus

ศึกษาผลกระทบการท่องเที่ยวต่อชุมชนทั้ง ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมโดยเน้นกระบวนการทำให้เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมกลายเป็นสินค้า (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่ชัดเจน

Ethnic Group in the Focus

ม้งในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มย่อย คือม้ง น้ำเงิน หรือม้งเขียว และม้งขาว โดยจำแนกตามลักษณะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และสำเนียงภาษา สำหรับม้งหมู่บ้านดอยปุยเป็นม้งน้ำเงินหรือม้งเขียว (หน้า 29)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ใช้เวลาศึกษาตั้งแต่ กันยายน 2543 ถึง สิงหาคม 2545 โดยใช้เวลารวบรวมข้อมูลเอกสารและทำความคุ้นเคยกับสมาชิกในหมู่บ้านเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2543 ถึงมีนาคม 2544 ใช้เวลาเก็บข้อมูลภาคสนาม 18 เดือน ตั้งแต่มีนาคม 2544 ถึง สิงหาคม 2545 และเขียนสรุปผลการศึกษา 2-3 เดือน หลังการเก็บข้อมูลภาคสนาม (หน้า 4)

History of the Group and Community

ประวัติหมู่บ้านมี 2 สำนวน สำนวนแรกจากเอกสารประวัติหมู่บ้านชุมชนกล่าวว่า หมู่บ้านดอยปุยก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกลุ่มม้งได้อพยพหนีโรคฝีดาษเข้ามาอยู่ในพื้นที่ป่าดอยสุเทพ โดยเห็นว่าเป็นป่าใหญ่อุดมสมบูรณ์ ขณะนั้นตั้งชื่อหมู่บ้านว่าหมู่บ้านปางขมุ ต่อมาจึงมีม้งและชาวจีนฮ่อหนีภัยการปราบปรามยาเสพติดจากหมู่บ้านปากคา อำเภอแม่ริมเข้ามาเพิ่มอีก สำนวนที่ 2 ได้จากการสัมภาษณ์ ว่าบ้านดอยปุยตั้งขึ้นปี พ.ศ. 2496 โดยมีม้ง 3 กลุ่มสกุลคือ กลุ่มแซ่ว่าง แซ่ย่างและแซ่ลี ซึ่งอพยพมาจากบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม เพราะเกิดอหิวาต์และไข้ฝีดาษระบาดไปที่ดอยป่าคา แล้วจึงอพยพมาอยู่ที่ปัจจุบันเพื่อหนีการปราบปรามยาเสพติด ผู้เขียนเห็นว่าสำนวนแรกมีความน่าเชื่อถือมากกว่า และสำนวนแรกได้รับการยอมรับจนตีพิมพ์เป็นประวัติของหมู่บ้าน (หน้า 29-30)

Settlement Pattern

การเลือกทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านม้งมีความสัมพันธ์กับลักษณะทางกายภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น ลักษณะดิน น้ำ ป่า กล่าวคือชนิดพืชที่ปลูกคือฝิ่น จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเลือกที่ตั้งหมู่บ้าน ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล นอกจากนี้ การตั้งหมู่บ้านดอยปุยยังสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานถาวรและนโยบายการปราบปรามฝิ่นของรัฐ (หน้า 30-31) หน้าที่การหาที่ตั้งหมู่บ้านเป็นของผู้นำแซ่สกุล ตามความเชื่อของม้ง ที่ตั้งที่เหมาะสมต้องมีภูเขาล้อมรอบ โดยเฉพาะด้านหน้าของหมู่บ้านต้องหันไปทางทิศตะวันตก สามารถมองเห็นได้ไกลโดยไม่มีภูเขาขวางกั้น ส่วนด้านหลังเป็นทิศตะวันออกต้องเป็นภูเขาสูง มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ (หน้า 30)

Demography

หมู่บ้านดอยปุยมีจำนวนครัวเรือนในปี 2544 ทั้งหมด 124 หลังคาเรือน จำนวนครอบครัวทั้งหมด 185 ครอบครัวมีจำนวนประชากร 835 คน เป็นชาย 428 คน หญิง 407 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง 103 ครัวเรือน รองลงมาได้แก่คนเมือง 12 ครัวเรือน จีน 5 ครัวเรือน และกะเหรี่ยง 4 ครัวเรือนตามลำดับ (หน้า 40-42)

Economy

ในช่วงแรกระบบการผลิตของหมู่บ้านดอยปุยเป็นแบบการเกษตรกึ่งยังชีพและอยู่ในรูปแบบย้ายที่ ปลูกพืชข้าวโพด ข้าวไร่ และฝิ่น มีการเลี้ยงสัตว์เช่นหมูและไก่ ต่อมาถูกกดดันจากรัฐให้ยกเลิกการปลูกฝิ่น และได้รับการส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่น เช่นท้อ และลิ้นจี่ตามลำดับ ซึ่งก่อให้ดินเสื่อมโทรมอย่างหนัก ทางอุทยานจึงห้ามชาวบ้านถางป่าขยายพื้นที่เพาะปลูก ชาวบ้านจึงมีข้อจำกัดในการทำเกษตรมากขึ้น (หน้า 49-52) ขณะเดียวกันเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้านมากขึ้น กลุ่มผู้หญิงเริ่มเปลี่ยนจากการทำการเกษตรมาเปิดร้านขายของกันมากขึ้น ในช่วงปี 2525 เป็นต้นมา ชาวบ้านมีรายได้หลักมาจากการทำงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว (หน้า 53) ปัจจุบัน อาชีพค้าขายยังคงเป็นอาชีพหลัก มีถึง 108 ครัวเรือน หรือร้อยละ 87 ในส่วนนี้มีทั้งค้าขายและการเกษตรร้อยละ 43 และครัวเรือนที่ออกไปค้าขายนอกหมู่บ้านมี 24 ครัวเรือน หรือร้อยละ 19 นอกจากนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังทำงานในภาคอื่น ๆ เช่นบริการ รับราชการ (หน้า 53) ชาวบ้านที่ทำการเกษตรอย่างเดียวมีจำนวนน้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่นำผลผลิตมาขายให้กับนักท่องเที่ยว (หน้า 54)

Social Organization

ม้งจะใช้กฎจารีตประเพณีมาจัดการโดยการตักเตือนหรือปรับสินไหม เช่นเมื่อมีการขโมยหรือการพนัน แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่เช่นฆ่าคนตาย จะใช้กฎหมายบ้านเมือง แต่อาจสามารถประนีประนอมกันได้โดยใช้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติแทน เมื่อเกิดข้อพิพาทภายในกลุ่มคนม้งด้วยกัน จะใช้ระบบการตัดสินโดยผู้นำอาวุโส ซึ่งประกอบไปด้วยหลายกลุ่มตระกูล คือแซ่ว่าง แซ่ย่าง และแซ่ลี นอกจากการตัดสินคดีความแล้ว บทบาทของกลุ่มอาวุโสยังเกี่ยวข้องกับงานด้านพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วย (หน้า 79)

Political Organization

มีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านเมื่อปี พ.ศ. 2520 แต่เนื่องจากหมู่บ้านอยู่ในเขตอุทยาน ชาวบ้านจึงร่างข้อบังคับว่าด้วยการปกครองท้องถิ่นหมู่บ้านดอยปุย พ.ศ. 2541 และจัดทำแผนโครงการการจัดการอุทยานแห่งชาติ โดยมีระเบียบข้อบังคับอยู่บนพื้นฐานการปกครองของม้งแบบเดิม เพื่อสร้างความชอบธรรมต่อการปกครองของม้งดอยปุยเอง (หน้า 78-79) การปกครองหมู่บ้านจะมาจาก 2 กลุ่มตระกูลสลับกันขึ้นมาปกครอง คือ แซ่ว่างและแซ่ย่าง ผู้ปกครองรุ่นใหม่จะมีอำนาจในหมู่บ้าน สำหรับกรณีพิพาทระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ตัดสินจะเป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งจากผู้ใหญ่บ้าน (หน้า 79-80) นอกจากนี้บ้านดอยปุยยังมีผู้นำด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีอำนาจ บทบาทในการชี้นำกำหนดแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้สำคัญของหมู่บ้าน ผู้นำด้านการท่องเที่ยวจึงเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้นำทางการเมืองด้วย (หน้า 81)

Belief System

ม้งมีการถือผีโดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ ผีประจำบ้านเรือนและผีฟ้า ถือโชคลางโดยใช้ไข่ไก่ และอวัยวะของไก่เป็นเครื่องทำนาย (หน้า 66) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติในป่า ความเชื่อเกี่ยวกับบ้าน และความเชื่อเรื่องเทพเจ้าสูงสุด ความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติในป่า (เจ้าที่เจ้าทาง) การบนเทพเจ้าในป่าหรือการถือเซ็ง เพื่อให้คุ้มครองตระกูลถ้าครบปีก็มาแก้บน เทพเจ้าตามความเชื่อของม้งมีเทพเจ้าแห่งแผ่นดิน ผู้สร้างแผ่นดิน หรือเจ้าที่เจ้าทาง เทพเจ้าแห่งป่า เทพเจ้าแห่งดิน เทพเจ้าแห่งน้ำ และเทพเจ้าประจำฮวงจุ้ย (หน้า 67) ความเชื่อเกี่ยวกับบ้าน/ผีบ้านผีเรือน การบนผีบ้านผีเรือนเพื่อให้ความคุ้มครองคนในบ้านและสัตว์เลี้ยง รวมทั้งการทำมาหากินและการประกอบอาชีพ ผีบ้านผีเรือนมีมากมายตามส่วนต่าง ๆ เช่น ซือก๊ะอยู่ในบ้าน ต๊าโครงอาศัยอยู่ในที่นอนช่วยปกปักรักษาลูกหลาน เซี่ยแม้งเฝ้าประตูป้องกันสิ่งชั่วร้าย ผีเตาไฟเล็กและผีเตาไฟใหญ่ ส่วนผีบรรพบุรุษจะไม่มีหิ้งบูชาและอาศัยอยู่กลางบ้าน (หน้า 67-68) ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าสูงสุด ม้งเชื่อว่าคนตายจะได้รับการตัดสินความจากโซ๊ะนยู้วะตัวะแต่ง/นยู้วะสิกแต่งและยมบาล ผู้ที่ทำดีจะได้อยู่กับเย่อโซ๊ะ/เทพเจ้าผู้ปกครองโลกในดินแดนที่เงียบสงบและหนาวเย็น และสามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้ ส่วนผู้ที่ทำความชั่วจะไปอยู่กับยมบาลในนรก และเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือเย่อ มนุษย์สามารถติดต่อกับเทพเจ้าโดยผ่าน ซียี หรือผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากบรรพชนผู้สามารถติดต่อให้มนุษย์ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกได้ (หน้า 68)

Education and Socialization

ไม่ระบุรายละเอียด

Health and Medicine

ม้งมีการรักษาโดยหมอผี มีการเป่ามนต์คาถา ผู้ประกอบพิธีกรรมมีทั้งจีมัวและอัวเน้ง จีมัวมักเป็นผู้หญิงจะได้รับการคัดเลือกจากครูจีมัว ไม่ได้สืบทอดทางสายเลือด ผู้ที่จะเป็นจีมัวจะรู้ได้จากมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อรับการวินิจฉัยก็จะทราบและทำพิธีรับจีมัว หากไม่ทำจะได้รับความเจ็บป่วย ปัจจุบันมี จีมัว 2 คน (หน้า 67) ส่วนอัวเน๊งมักเป็นผู้ชาย เป็นผู้ฝึกฝนการทำพิธีต่าง ๆ และมีการถ่ายทอดตามสายตระกูล ซึ่งแต่ละแซ่ตระกูลจะมีรายละเอียดการทำพิธีแตกต่างกันไป ปัจจุบันมีอัวเน้ง 1 คน (หน้า 67)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้หญิงม้งน้ำเงินจะสวมกระโปรงน้ำเงิน ใส่เสื้อปักลวดลายถี่ยิบ เกล้าผมมวยใหญ่ มีผ้าโพกหัว สวมตุ้มหู ห่วงคอทำด้วยเงิน ส่วนผู้ชายสวมเสื้อสั้น นิยมสวมห่วงคอเงิน เสื้อผ้าของม้งทำจากใยกัญชงย้อมด้วยสีธรรมชาติ เขียนลายด้วยขี้ผึ้ง ตกแต่งด้วยการเย็บปักลวดลายแบบครอสติส (หน้า 66)

Folklore

ชาวบ้านดอยปุยมีการเป่าแคน (ใช้เป่าในงานศพ) เป่าใบไม้ และการเป่าขลุ่ยและปี่ซึ่งเชื่อว่าสามารถเรียกผีได้ จึงไม่นิยมเป่ากัน ปัจจุบันไม่ค่อยมีการสืบทอด มีเพียงการฟังและร้องเพลงม้งแต่ไม่รู้ตัวโน้ต ส่วนศิลปะการแสดงได้แก่รำดาบ จะมีการรำตอนปีใหม่ปัจจุบันในหมู่บ้านมีคนที่รำเป็นเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตามนอกจากเพลงไทย จีน สากลแล้วยังมีการร้องเพลงภาษาม้งในทำนองใหม่ ส่วนการละเล่นมีการเล่นลูกข่างตอนปีใหม่ และการยิงหน้าไม้คอยให้บริการนักท่องเที่ยว (หน้า 78)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ม้งดอยปุยมีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ภาษา ชาติพันธุ์ และการสืบเชื้อสายเป็นจุดร่วมเดียวกัน อย่างไร ก็ตามมีความแตกต่างในการนับถือศาสนาคือม้งพุทธ ม้งผี และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ม้งพุทธกับม้งผีมีความขัดแย้งกันบ้าง เช่น การทำพิธีรบกวนเพื่อนบ้าน แต่จะร่วมมือกันพัฒนาหมู่บ้านเช่นการท่องเที่ยว เพราะกลัวว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นจะมาแย่งรายได้ โดยเฉพาะคนเมืองและคนญี่ปุ่น (หน้า 58-59)

Social Cultural and Identity Change

การท่องเที่ยวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวบ้านม้งดอยปุยเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ จากอาชีพเกษตรกรรมแบบเคลื่อนที่มาสู่การค้าและบริการเพื่อรองรับการท่องเที่ยว เนื่องจากผู้หญิงซึ่งเป็นแรงงานสำคัญต่อการทำเกษตรหันมาค้าขายมากกว่า ประกอบกับแรงกดดันจากอุทยานจึงทำให้เกษตรกรรมทำได้ลำบากมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซบเซาลง ม้งหลายคนกลับไปทำเกษตรมากขึ้น และส่วนหนึ่งก็ออกไปทำงานนอกชุมชน (หน้า 108-109) เมื่อการท่องเที่ยวขยายตัวมากจนทรัพยากรและธรรมชาติไม่สามารถรองรับได้ทัน จึงเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเช่นขยะล้น ความสกปรก มลภาวะและทัศนียภาพแย่ลง (หน้า 113-115) นอกจากนี้การท่องเที่ยวยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรม เช่น บางกลุ่มเมื่อเปลี่ยนจากการถือผีมาถือพุทธ หมดนับถือผีดั้งเดิม นำเอาเข้าของเครื่องใช้ในบ้านมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ หรือมีการจัดแสดงประเพณีแต่งงาน วันปีใหม่เพื่อให้นักท่องเที่ยวชม จึงทำให้หน้าที่ของประเพณีเหล่านี้ต่อชุมชนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม ม้งที่ยังคงนับถือผี ก็ยังคงรักษาประเพณี พิธีกรรมของม้งไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว (หน้า 116-119) ลักษณะของครัวเรือนเปลี่ยนไปจากเดิมมีเฉลี่ย 3-4 ครอบครัวต่อ 1 ครัวเรือน มาเป็นเฉลี่ย 1.5 ต่อครัวเรือน เนื่องจากการแยกออกไปตั้งครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น และเกิดการอพยพย้ายลงสู่พื้นราบเมื่อมีช่องทางที่ดีกว่า (หน้า 122-124) การท่องเที่ยวยังได้ส่งผลให้เกิดการรับวัฒนธรรมจากภายนอก วิถีชีวิต ความเป็นอยู่เข้าสู่ความทันสมัยและสะดวกสบายมากขึ้น ความสำเร็จจากอาชีพการท่องเที่ยวกลายเป็นคุณค่าทางสังคม มากกว่าเรื่องการศึกษา นอกจากนี้มีการเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ เพื่อรองรับการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม พบว่ากลุ่มคนชาติพันธุ์อื่นก็สามารถพูดภาษาม้งได้ มีลักษณะวัฒนธรรมท้องถิ่นครอบงำวัฒนธรรมเมือง (หน้า 128-131)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ผลกระทบจากการท่องเที่ยวเป็นต้นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการครอบงำทางวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวจะมีความสุขกับการเข้าถึงความจริงแท้จากการท่องเที่ยว แม้ว่าในความเป็นจริงนักท่องเที่ยวไม่ได้ใส่ใจกับความเป็นของแท้เลยแม้แต่น้อย พวกเขากลับพอใจกับการเล่นเกมการท่องเที่ยวที่ถูกจำลองหรือจัดฉากขึ้นมา เพื่อตอบสนองการบริโภคความเป็นของแท้มากกว่า (หน้า 9-10) ม้งสามารถกำหนดเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนให้กลายเป็นสินค้า นักท่องเที่ยวที่บริโภคสินค้าไม่ได้ต้องการเพียงประโยชน์ใช้สอย หากยังต้องการคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ฝังตัวมากับสินค้าด้วย เช่น เครื่องแต่งกายประจำเผ่า ของที่ระลึก และลักษณะของบ้านเรือนและวัฒนธรรมของม้ง มีการนำเสนอผ่านการจัดฉากความจริงแท้ เป็นการนำเสนอเอกลักษณ์ความจริงแท้แก่นักท่องเที่ยว คือสวนน้ำตกดอยปุยและพิพิธภัณฑ์ชาวเขา เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวรุกไล่เข้ามาในชีวิตหลังฉากของพวกเขา ภายใต้รูปแบบการท่องเที่ยวต่าง ๆ (หน้า 132-144) แนวคิดทุนวัฒนธรรมและการฝังตัวของวัฒนธรรม เป็นการทำความเข้าใจทุนวัฒนธรรม ซึ่งเกิดจากอุตสาหกรรมสินค้าวัฒนธรรม หมายถึงสินค้าและบริการที่มีวัฒนธรรมแฝงตัวในสินค้าและบริการนั้น ส่วนการฝังตัวทางวัฒนธรรมคือการนำเอาการฝังตัวทางเทคโนโลยีมาประยุกต์วิเคราะห์กับวัฒนธรรม สินค้าวัฒนธรรม คือสินค้าและบริการที่คนซื้อเสพหรือมีการให้คุณค่าเชิงวัฒนธรรม ผู้บริโภคไม่ได้เป็นเพียงวัตถุเท่านั้น หากยังได้บริโภควัฒนธรรมที่ติดมากับสินค้านั้นด้วย (หน้า 14-17) การท่องเที่ยวทำให้บ้านดอยปุยมีพัฒนาการไปสู่ทุนนิยมวัฒนธรรม ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการบริโภคความจริงแท้ทางวัฒนธรรม และความเป็นอื่นของม้ง (หน้า 132)

Map/Illustration

ตารางลักษณะประชากรในหมู่บ้านดอยปุยจำแนกตามกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 42) จำนวนประชากรในหมู่บ้านดอยปุยจำแนกตามช่วงอายุ (หน้า 43) ประชากรในหมู่บ้านดอยปุยจำแนกตามอาชีพ (หน้า 54) การประกอบอาชีพของชาวบ้านในหมู่บ้านดอยปุยจำแนกตามสถานที่ที่ประกอบอาชีพ (หน้า 55) ลักษณะประชากรในหมู่บ้านดอยปุยจำแนกตามการนับถือความเชื่อต่างๆ (หน้า 59) การแบ่งช่วงรายได้จำแนกตามกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านดอยปุย (หน้า 60) การถือครองพื้นที่บ้านพักอาศัยจำแนกตามกลุ่มชาติพันธุ์ ในปี พ.ศ. 2543 (หน้า 61) การถือครองพื้นที่ร้านขายของ จำแนกตามกลุ่มชาติพันธุ์ ในปี พ.ศ. 2543 (หน้า 62) การเป็นเจ้าของพื้นที่ร้านค้าในหมู่บ้าน จำแนกตามกลุ่มชาติพันธุ์ ในปี พ.ศ. 2543 (หน้า 62) การถือครองพื้นที่ไร่ จำแนกตามกลุ่มชาติพันธุ์ ในปี พ.ศ. 2543 (หน้า 63) การถือครองพื้นที่สวน จำแนกตามกลุ่มชาติพันธุ์ ในปี พ.ศ. 2543 (หน้า 63) รายได้จากการท่องเที่ยวของแต่ละประเภทร้านค้าและรับจ้าง (หน้า 111) การเปรียบเทียบธุรกิจการท่องเที่ยวในหมู่บ้าน (หน้า 140) Map : ลักษณะภูมิประเทศและที่ตั้งหมู่บ้านดอยปุย (หน้า 31) แผนผังบริเวณบ้านม้งดอยปุย (หน้า 91) ภาพ : โรงเรียนดอยปุย (หน้า 152) กองขยะบริเวณข้างทางของทางเข้าหมู่บ้าน (หน้า 152) ลักษณะบ้านเรือนที่มุงหลังคาด้วยสังกะสี (หน้า 153) หญิงม้งกำลังตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง (หน้า 153) ทางเข้าหมู่บ้านดอยปุย (หน้า 154) เส้นทางออกของพื้นที่ท่องเที่ยว (หน้า 154) แผงขายพลอยบริเวณทางเข้าสวนนำตก (หน้า 155) ร้านค้าตามทางเดิน (หน้า 155) พิพิธภัณฑ์ชาวเขา (หน้า 156) สวนน้ำตกดอยปุย (หน้า 156) แปลงดอกฝิ่น (หน้า 157) กลุ่มผู้ชายม้งร่วมสังสรรค์กัน (หน้า 157)

Text Analyst ชัยวัฒน์ ไชยจารุวณิช Date of Report 17 ส.ค. 2549
TAG ม้ง, การท่องเที่ยว, ผลกระทบ, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง