|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เวียดนาม, การดำรงชาติพันธุ์, การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, ชุมชนบุ่งกะแท่ว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี |
Author |
วรินรดา พันธน้อย |
Title |
การดำรงอยู่และการปรับปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของประชาชนในสังคมพหุวัฒนธรรม: กรณีศึกษาชุมชนบุ่งกะแทว ตำบลในเมือง อำเมือง จังหวัดอุบลราชธานี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
เวียด เหวียตเกี่ยว ไทยใหม่,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
79 |
Year |
2552 |
Source |
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี |
Abstract |
ชุมชนบุ่งกะแทวเป็นชุมชนที่มีลักษณะทั่วไปทางสังคมและวัฒนธรรมแตกต่างจากชุมชนอื่นๆ เนื่องจากเกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมชาวไทยอีสานกับวัฒนธรรมชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม ประชากรของชุมชนส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก สภาพทางด้านสังคมจึงเป็นสังคมของชาวคริสต์โดยแท้จริง ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามมีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ มีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมให้เข้ากับสังคมไทย การพูดภาษาไทย การเรียนหนังสือไทย และในด้านศาสนา มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมงานศพ งานแต่งงาน ประเพณีไหว้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ การไหว้ตรุษญวน เป็นต้น สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แสดงออกเหล่านี้ ล้วนเป็นการสืบทอดและดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมเหล่านั้นใช่ว่าจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่มีการปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ทางสังคม มีการรับเอาและปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมบางอย่างเพื่อให้สังคมส่วนใหญ่ยอมรับ หรือการที่ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามเลือกที่จะใช้ภาษาเวียดนาม ภาษาอีสาน และภาษาไทยเมื่อครั้งที่ต้องปฏิสัมพันธ์ กับคนกลุ่มต่างๆ การสร้างบ้านเรือนแบบทรงไทยอีสาน ซึ่งจากเดิมบ้านเรือนแบบเวียดนามจะเป็นบ้านชั้นเดียว วัฒนธรรมการกิน การแต่งกาย หลายอย่างมีการผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทย ในส่วนของประเพณี เช่น งานศพที่มีการลดขั้นในพิธีกรรมบางขั้นตอนเพื่อความสะดวกเช่นเดียวกับงานแต่งงานที่ปรับรูปแบบไปมาก แต่ยังคงส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางชาติพันธุ์ คือ การไหว้บอกกล่าวบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วต่อหน้าแท่นบูชาบรรพบุรุษของตระกูล เป็นต้น เหตุนี้ การผสมผสานทางวัฒนธรรมของชาวไทยอีสานและชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในชุมชนบุ่งกะแทว บ่งบอกถึงวิธีชีวิตของกลุ่มชนที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนาและมรดกทางวัฒนธรรม การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ด้วยปัจจัยหลายๆ ด้าน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ทำให้มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมบนพื้นฐานความเป็นอยู่แบบสังคมพหุวัฒนธรรม |
|
Focus |
ศึกษาการดำรงอยู่ของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมกลุ่มชาวไทยอีสานและชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในชุมชนบุ่งกะแทว ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี |
|
Theoretical Issues |
งานศึกษาเรื่องนี้ประยุกต์แนวคิดเรื่องชาติพันธุ์ พหุนิยม วัฒนธรรมสัมพันธ์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทย การปรับตัว และอัตลักษณ์ มาเป็นแนวทางศึกษาการดำรงอยู่ของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมกลุ่มชาวไทยอีสานและชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในชุมชนบุ่งกะแทวเพื่อค้นหาคำตอบว่าชุมชนดังกล่าวปรับตัวท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างไร |
|
Language and Linguistic Affiliations |
คนไทยเชื้อสายเวียดนามใช้ภาษาเวียดนาม อังกฤษ และจีนสื่อสารทางธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ใช้ภาษาลางและไทยในการสื่อในชีวิตประจำวัน (หน้า, 46) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้ศึกษาเก็บข้อมูลเอกสารนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489-2551และทำงานภาคสนามในช่วง 2550-2551 |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์พัฒนาการของกลุ่มคนเวียดนามในชุมชนบุ่งกะแทวอพยพจากประเทศเวียดนามด้วยเหตุผลความขัดแย้งภายในประเทศ ตลอดจนผลพวงของลัทธิจักรวรรดินิยม เรื่อยมาจนกระทั่งสงครามโลกคร้งที่ 1 และ 2 รวมถึงจึงสงครามอินโดจีน ผู้คนได้อพยพสู่ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย และหนึ่งในพื้นที่ที่มีชาวเวียดนามอาศัยอยู่หนาแน่นก็คือในอำเภอเมืองอุบลราชธานี (หน้า, 1-2; 37-42) ส่วนประวัติชุมชนจะสัมพันธ์กับการเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มขึ้นเมื่อคณะมิชชันนารีได้เดินทางจากกรุงเทพผ่านหลายจังหวัด กระทั้งมาถึงเมืองอุบลราชธานี หลังจากนั้นได้พักชั่วคราวที่ทำการเมืองอุบลฯ และพยายามเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีการพิจารณาตัดสินคดีความของคน หลังจากคณะมิชชันนารีอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีได้ไม่ถึงสองเดือนก็สามารถจัดตั้งกลุ่มคริสตังกลุ่มแรกได้ซึ่งเป็นชาวลาวจำนวน 18 คน ที่พวกกุลาจับมาจากเมืองพวน ประเทศลาว เพื่อขายให้เป็นทาสในเมืองอุบลราชธานี บาทหลวงโปรดมจึงได้ช่วยเหลือโดยยื่นคำร้องต่อศาลและได้ฟ้องพวกกุลา ดังนั้น ชาวลาวกลุ่มนี้จึงสมัครใจอยู่ในความคุ้มครองของบาทหลวง และเข้าเรียนศาสนาเป็นกลุ่มแรก หลังจากนั้น พวกทาสได้สร้างที่พักอาศัยในบริเวณที่พักชั่วคราวของคณะมิชชันนารี จึงทำให้เกิดความแออัดขึ้นภายในที่ทำการเมืองอุบลราชธานี คณะมิชชันนารีจึงได้ขอร้องเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเมืองอุบลราชธานี จัดสรรที่ดินให้เป็นแหล่งที่อยู่ถาวร และได้รับการจัดสรรที่ดินทางทิศตะวันตกของเมืองอุบลราชธานี ตั้งอยู่เหนือบึง (บุ่ง) ตามลุ่มริมฝั่งแม่น้ำมูล ซึ่งตั้งขึ้นพร้อมกับสร้างเมืองอุบลราชธานี อยู่ห่างจากรั้วไม้และคูใหญ่ล้อมรอบตัวเมือง ประมาณ 500 เมตร คณะมิชชันนารีและคริสตังกลุ่มแรก ได้เข้ามาอยู่ในบริเวณ ป่าบุ่งป่าทามแห่งนี้ เรียกหมู่บ้านเดิมชื่อเดิมว่า “บุ่งกะแทว”(หน้า, 72-74) |
|
Settlement Pattern |
ในอดีต สภาพทั่วไปของดินแดนอีสานอยู่ห่างไกลความเจริญจากส่วนกลาง การคมนาคมทุรกันดารมาก ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา นับถือผี เทวดา เชื่อถือโชคลางของขลัง อภินิหารต่างๆ และสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการเผยแพร่ศาสนาของคณะมิชชันนารี ซึ่งยากต่อการเปลี่ยนแนวคิดความเชื่อดั้งเดิมของชาวบ้านให้มานับถือเป็นพระเจ้าแทน การปลดปล่อยทาสจึงเป็นวิธีการเผยแพร่ศาสนาอีกวิธีหนึ่ง ที่ทำให้เชื่อเสียงของมิชชันนารีแพร่สะพัดไปทั่งหัวเมืองใกล้เคียงอื่นๆ อย่างรวดเร็ว ประกอบกับในปี พ.ศ. 2429 ดินแดนอีสานเกิดความแห้งแล้งติดต่อกันมา 3 ปี ทำให้เกิดการขาดแคลนข้าวปลาอาหาร ผู้คนอดอยากยากจน คณะมิชชันนารีจึงช่วยเหลือด้วยการเป็นหมอรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ชาวบ้านพร้อมกับสอนศาสนาควบคู่กันไปด้วย และยังได้สอนการทำอาชีพต่างๆ อีก เช่น การเกษตร การล่าสัตว์ การเลื่อยไม้ เป็นต้น จึงทำให้มีผู้เข้ารีตมากขึ้น เมื่อมีคริสตังมากขึ้นคณะมิชชันนารีก็ได้จัดสรรที่ดินบริเวณป่าบุ่งกะแทวให้แก่พวกนี้เป็นที่ทำกิน ทีอยู่อาศัย ซึ่งเป็นชุมชนคาทอลิกแห่งแรกในอีสาน และได้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา ลักษณะการตั้งบ้านเรือนจะสร้างด้วยไม้มุงหลังคาสังกะสี ด้านหน้าเป็นทรงสี่เหลี่ยมและหลังคาลาดชัน มีใต้ถุนบ้าน หันหน้าออกสู่ถนน ปัจจุบันผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจจะสร้างบ้านรูปทรงสมัยใหม่ และยังมีการสร้างอาคารตึกแถว (หน้า, 73-74) |
|
Demography |
ประชากรของชุมชนบุ่งกะแทวส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมือง (ไทยอีสาน) ถึงร้อยละ 70 อีกร้อยละ 29 สืบเชื้อสายมาจากเวียดนาม และร้อยละ 1 สืบเชื้อสายมาจากจีน แต่การสื่อสารจะพูดภาษาไทย-อีสานเป็นหลัก นอกจากชาวเวียดนามหรือชาวจีน ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของชุมชนเท่านั้นจะพูดภาษาของตนด้วยกัน ชุมชนบุ่งกะแทวเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตปกครองของเทศบาลนครอุบลราชธานี ฉะนั้นจึงไม่มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือหัวหน้าชุมชน แต่จะมีบาทหลวงเป็นผู้นำหรือเป็นหัวหน้าชุมชนทางด้านศาสนา โดยจะมีทะเบียนคาทอลิกไว้ โดยจะมีบาทหลวงเจ้าอาวาทโบสถ์ (อาสนวิหารแม่พระนิรมล) ทะเบียนนี้จะมีลักษณะเหมือนกับทะเบียนราษฏร์ เมื่อเด็กคาทอลิกเกิดแล้วนำไปรับศิลล้างบาปจะมีการลงทะเบียนคาทอลิกไว้ โดยมีบาทหลวงเจ้าอาวาสโบสถ์เป็นนายทะเบียน (หน้า, 73) |
|
Economy |
ประชากรชุมชนบุ่งกะแทวมีการประกอบอาชีพที่แตกต่างกันไปซึ่งมีลักษณะเหมือนกับชุมชนเมืองอื่นๆ เช่น ค้าขาย ธุรกิจ รับราชการ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การประมง รับจ้างทั่วไป ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ประชากรในชุมชนบุ่งกะแทวส่วนมากจะมีฐานะระดับปานกลางและฐานะดี ในชุมชนบุ่งกะแทว มีร้านขายสินค้าเล็ดเตล็ด ร้านขายอาหารมากมาย มีโรงงานทำขนมจีน โรงงานผลิตเส้นหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นก๋วยจั๊บ โรงงานผลิตหมูยอ แหนม กุนเชียง โรงงานผลิตอิฐแดง นอกจากนี้ยังมีร้านขายเสื้อผ้า ร้านเสริมสวย ร้านซ่อมรถยนต์ ซ่อมจักรยานยนต์ ปั้มน้ำมัน บ้านเช่า บ้านพัก และธุรกิจอื่นๆ (หน้า, 73) |
|
Social Organization |
สภาพครอบครัวของชาวเวียดนามจเป้นครอบครัวขยายที่อยู่รวมกัน เลี้ยงดูบุตรด้วยตนเอง เมื่อโตขึ้นจะให้แต่งงานแยกครอบครอบครัวหรือไม่อาจอยู่รวมกัน ระบบเครือญาติของคนไทยเชื้อสายเวียดนามจึงให้ความสำคัญต่อการนับถือเครือญาติ ตั้งบ้านเรือนรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ทำให้เกิดความรักพกพ้อง ยกย่องผู้อาวุโส เคารพญาติฝ่ายหญิงและชายเท่าเทียมกัน (หน้า, 42-44) |
|
Belief System |
สภาพทางสังคม ชุมชนบุ่งกะแทว เป็นชุมชนที่มีลักษณะทั่วไปทางสังคมและวัฒนธรรมแตกต่างจากชุมชนอื่นๆ ในเขตเทศบาลอุบลราชธานี ด้วยเหตุที่ว่ามีการผสมผสานทางวัฒนธรรมในชุมชนแห่งนี้ ประชากรของชุมชนบุ่งกะแทวส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ฉะนั้นทางด้านสภาพทางสังคมจึงเป็นสังคมของชาวคริสต์โดยแท้จริง มีบาทหลวงเป็นผู้นำทางศาสนา ประชากรส่วนใหญ่จะให้ความเคารพนับถือและเชื่อฟังบาทหลวง มากกว่าผู้นำทางด้านการปกครอง พอถึงเทศกาลงานประเพณีต่างๆ ในรอบปี ชาวชุมชนบุ่งกะแทวจะไปร่วมงานที่โบสถ์โดยพร้อมเพียงกัน ซึ่งจะมีเฉพาะชาวคาทอลิกเท่านั้น ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นจะมีน้อยคนมากที่จะให้ความสนใจ แสดงให้เห็นว่าสังคมคาทอลิกแห่งนี้มีความผูกพันทางด้านแนวความคิด ความเชื่อ อันเป็นหนึ่งอันเดียวกันยากที่คนนับถือศาสนาอื่นจะเข้าใจได้ ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาพุทธก็จะไปร่วมงานประเพณี พิธีกรรมทางศาสนาที่วัดสุปัฏนารามวิหาร ซึ่งอยู่ในเขตชุมชนบุ่งกะแทวเช่นเดียวกัน ในทุกศาสนาจะมีพิธีกรรมพิเศษสำหรับช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตตลอดทั้งปีมีเทศกาลสำคัญๆ ที่ทำให้ผู้คนทีนับถือศาสนาเดียวกันมารวมตัวกัน ด้านวัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นอัตลักษณ์ของชาวคาทอลิกชุมชนบุ่งกะแทวจึงสะท้อนให้เห็น วิถีชีวิตและจิตใจของชาวคาทอลิกแห่งนี้ตั้งแต่อดีตสืบทอดจนมาถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นมรดกสืบทอดทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษที่มีประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังเป็นอย่างมาก ถ้าพิจารณาดูประเพณีพิธีกรรมต่างๆ ของชาวคาทอลิก ที่ถือประพฤติปฏิบัติสืบต่อๆ กันมาพอจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเพณีพิธีกรรมตามปฏิทินคาทอลิกและประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งการประกอบพิธีกรรมเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาทุกพิธีกรรม และจะมีพิธีกรรมการเสกรวมอยู่ด้วย ชาวคาทอลิกได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับพิธีกรรมการเสกเป็นอย่างมาก จึงได้ยึดถือปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการดำเนินชีวิตของชาวคาทอลิก (หน้า, 43-44; 73-75) |
|
Education and Socialization |
ด้านการศึกษา ชุมชนบุ่งกะแทวมีโรงเรียนตั้งอยู่ในชุมชนถึง 2 แห่ง คือ โรงเรียนพระกุมารอุบล เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นอกจากนี้ยังเปิดรับเลี้ยงเด็กบริบาลอีกด้วย และโรงเรียนอาเวมารีอา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 เป็นโรงเรียนสหศึกษา เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั้งสองโรงเรียนตั้งอยู่ภายในบริเวณโบสถ์คาทอลิก (อาสนวิหารแม่พระนิรมล) และอยู่ในความรับผิดชอบของเขตมิสซังอุบลราชธานี (หน้า, 40) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การดำรงอยู่ของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมกลุ่มชาวไทยอีสานและชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม ผู้วิจัยพบว่า คนไทยเชื้อสายเวียดนามในชุมชนบุ่งกะแทวเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองทั้ง “ญวน” “เหวียต” และ “คนไทยเชื้อสายเวียดนาม” และ คำว่า “คนไทยเชื้อสายเวียดนาม” เพิ่งถูกนำมาใช้ในภายหลังจากที่ได้รับสัญชาติไทย สำหรับ คำว่า “ญวน” นั้น ถึงแม้ความหมายจะเป็นไปในทางดูหมิ่นดูแคลนทางชาติพันธุ์บ้าง แต่ผู้วิจัยกลับพบว่า คนไทยเชื้อสายเวียดนามชุมชนบุ่งกะแทวสามารถยอมรับได้ เพราะเมื่อคนไทยเชื้อสายเวียดนามนิยายตนเองให้มีความแตกต่างไปจากชาวไทยอีสานทั่วไป พบว่าใช้คำว่า “คนญวน” ที่มีบรรพบุรุษสืบเชื้อสายและอพยพมาจากประเทศเวียดนาม มีการสืบทอดวัฒนธรรมแบบเวียดนาม นับถือศาสนาพุทธ บางส่วนนับถือศาสนาคริสต์ ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ทีพิธีกรรม มีวิถีชีวิตในแบบของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง ขณะที่ การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไทยอีสานและชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในชุมชนบุ่งกะแทว พบว่า การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นการสร้างด้วยการใช้วัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์ก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีการปรับเปลี่ยน ลื่นไหลไปด้วยตามบริบทของสังคม เป็นไปในลักษณะที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามได้ปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธ์ เมื่อบริบทสถานการณ์ทางสังคมนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามได้มีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมให้เข้ากับสังคมไทย การพูดภาษาไทย การเรียนหนังสือไทย และด้านศาสนามีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมงานศพ งานแต่งงาน ประเพณีไหว้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ การไหว้ตรุษญวน เป็นต้น สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แสดงออกเหล่านี้ ล้วนเป็นการสืบทอดและดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันก็ใช่ว่าวัฒนธรรมเหล่านั้นจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่มีการปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ทางสังคม มีการรับเอาและปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมบางอย่างเพื่อให้สังคมส่วนใหญ่ยอมรับ อาทิ การเปลี่ยนนามสกุลแบบเวียดนามมาเป็นนามสกุลแบบไทย เมื่อได้รับสัญชาติ แต่ยังพบว่ามีการคงรูปคำและความหมายของนามสกุลแบบเวียดนามเอาไว้ด้วย เพื่อให้ลูกหลานทราบถึงเครือญาติและความเป็นชาติพันธุ์เวียดนาม หรือการที่ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามเลือกที่จะใช้ภาษาเวียดนาม ภาษาอีสาน และภาษาไทยเมื่อครั้งที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มต่างๆ ในชุมชนบุ่งกะแทว การสร้างบ้านเรือนแบบทรงไทยอีสาน ซึ่งจากเดิมบ้านเรือนแบบเวียดนามจะเป็นบ้านชั้นเดียว แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในสังคมไทย พบว่า มีการสร้างบ้านสองชั้น วัฒนธรรมการกิน การแต่งกาย หลายอย่างมีการผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทย ในส่วนของประเพณี เช่น งานศพที่มีการลดขั้นตอนในพิธีกรรมบางขั้นตอนเพื่อความสะดวก เช่นเดียวกับงานแต่งงานที่ปรับรูปแบบไปมาก แต่ยังคงส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางชาติพันธุ์ คือ การไหว้บอกกล่าวบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วต่อหน้าแท่นบูชาบรรพบุรุษของตระกูล เป็นต้น (หน้า, 72-78) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากประเทศเวียดนาม เมื่อเข้ามาอยู่อาศัยไนประเทศไทย กลุ่มชาติพันธุ์นี้มีกระบวนการต่อรองทางวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อให้กลุ่มของตนเองสามารถที่จะอยู่ร่วมในสังคมที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมของสังคมไทย ถือได้ว่าวัฒนธรรมแบบเวียดนามนั้นเป็นวัฒนธรรมย่อย และในบริบททางการเมืองทั้งประเทศเวียดนามและประเทศไทย โดยเฉพาะยุคที่รัฐบาลไทยปราบปรามคอมมิวนิสต์ และผู้นำของชาวเวียดนามในประเทศไทยถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์แล้วนั้น การวิจัยครั้งนี้ยังพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์มีการปรับวัฒนธรรมต่างๆ ให้สอดคล้องสถานการณ์ละบริบททางการเมือง การแสดงออกทางวัฒนธรรมและประเพณีแบบเวียดนามเป็นกระบวนการต่อรองกับสังคมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมีตัวตนทางชาติพันธุ์ของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม |
|
Map/Illustration |
แผนภูมิ
แผนภูมิกรอบแนวคิดการวิจัย (หน้า, 6)
ภาพ
ภาพวัดสุปัฏนาวรามวรวิหาร (หน้า, 51)
ภาพโบสถ์โรมันคอทอริก (หน้า, 59)
ภาพสำนักงานอธิการโบถส์ (หน้า, 65)
ภาพโรงเรียนพระกุมารกุล (หน้า, 66)
ภาพโรงเรียนอาเวมารีอา (หน้า, 67) |
|
|