|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,อัตลักษณ์,การเปลี่ยนแปลง,สังคมเมือง,เชียงใหม่ |
Author |
Panadda Boonyasaranai |
Title |
From the Upland Forest to the Urban City: Akha Identity in Changing Process |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
16 |
Year |
2544 |
Source |
Social Research Institute Chiang Mai University |
Abstract |
กลุ่มผู้หญิงอาข่าในเมืองเชียงใหม่พยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ในทางบวกของอัตลักษณ์ของอาข่า (Akhazang) เพื่อให้พ้นจากการเข้าใจผิดของผู้คนภายนอกในสังคมไทย ทำให้กลุ่มผู้หญิงที่มีการศึกษาพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ สังคมไทยรู้จักอาข่าในฐานะผู้ต่ำกว่า ด้อยกว่า และอยู่นอกสังคมไทย แต่ใช้ภาพลักษณ์ของอาข่าในด้านการท่องเที่ยว กลุ่มอาข่าที่อาศัยในเมืองไม่สามารถแยกตัวในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ได้เหมือนกลุ่มที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง เพราะว่าพวกเขามีปฎิสัมพันธ์กับสังคมเมืองหลากหลาย เป็นไปตามบริบทและอำนาจความสัมพันธ์เหล่านั้น อาข่าในเชียงใหม่ต้องต่อสู้กับหลากหลายปัญหา แม้กระนั้นก็ยังคงต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง จากความเข้าใจผิดในอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนของพวกเขาจากกลุ่มคนภายนอก (หน้า 1) |
|
Focus |
การสร้างอัตลักษณ์อาข่าของผู้หญิงอาข่าที่ย้ายเข้ามาอาศัยในเมือง |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในช่วงปลาย ค.ศ.19 และต้น ค.ศ.20 รัฐบาลพยายามพัฒนาไปสู่ความทันสมัย การเป็นศูนย์กลาง กลุ่มชาติพันธุ์ที่มิใช่คนเมืองรู้จักในฐานะชาวเขา ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่อาศัยบนภูเขา คำนี้รับมาจากอังกฤษเจ้าอาณานิคมที่เรียกกลุ่มคนในพม่าที่อาศัยบนพื้นที่สูง (Hill Tribes) รัฐบาลไทยสมัยใหม่ได้ใช้คำนี้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1959 คำว่า "ชาวเขา" จะเน้นอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ที่แสดงให้เห็นแบบแผนวัฒนธรรมในการปรับตัวบางแบบ คำตรงข้ามกับสังคมที่ครอบงำอยู่และมีวัฒนธรรรมที่เป็นหนึ่งเดียว และทำให้เห็นความไม่สอดคล้องกับความราบรื่นทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ และยังแสดงให้เห็นว่ามีความล้าสมัยตรงข้ามกับความทันสมัยของอีกกลุ่มหนึ่ง ภาพลักษณ์ของชาวเขาในความเข้าใจของคนกรุงเทพฯ คือ กลุ่มคนจน มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน สกปรก ไม่มีการศึกษา ติดฝิ่น เป็นผู้ค้ายาเสพติด อันตรายและทำลายทรัพยากรธรรมชาติ น้ำ และสิ่งแวดล้อมด้วยการทำไร่เลื่อนลอย (หน้า 2 ) |
|
Settlement Pattern |
กลุ่มอาข่ามีการจำแนกที่อยู่อาศัยออกเป็นสองประเภท คือ Phu และ Yaqah Phu คือ หมู่บ้าน เป็นสถานที่ตั้งหมู่บ้าน มีที่สำหรับผีบรรพบุรุษ และมีแหล่งน้ำสำหรับใช้ในการประกอบพิธีกรรมและพื้นที่เผาศพ Yaqah ไม่ใช่หมู่บ้านสมบูรณ์มีจำนวนผู้คนอาศัยเล็กน้อย และไม่ได้นับรวมเป็นหมู่บ้านจากทางการ ผู้คนที่อยู่ไม่ได้รู้สึกว่าด้อยกว่า แต่มีความรู้สึกเท่าเทียมกันกับกลุ่มคนที่อยู่ Phu อาข่าที่อาศัยใน Yaqah ในทุกสลัมในเมืองจะพบกันในเวลากลางคืนเพื่อแสดงความเป็นอาข่าใส่เสื้อผ้าในวัฒนธรรมของตน โดยเฉพาะหมวกและเสื้อนอก (หน้า 9-10) |
|
Demography |
สถิติต่าง ๆ เกี่ยวกับประชากรของชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่บนภูเขาในตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเป็นที่รู้กันว่าเชื่อถือไม่ได้ อาข่าในยูนนานและพื้นที่สูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (จากพม่า ตะวันออกของรัฐฉาน-ภาคเหนือของไทย ตะวันตกของลาว รวมถึงตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม) อาจจะมีประมาณ 3-5 แสนคน ในปี 1986 มีอาข่าในไทยมากกว่า 33,000 คน และในปี 1998 มีอาข่าประมาณ 60,000 คน (สถาบันวิจัยชาวเขา 1998) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ และจังหวัดอื่น ๆ ทางภาคเหนือของไทย (หน้า 2-3) |
|
Economy |
แนวทางการปลูกพืชเศรษฐกิจและการส่งเสริมการทำฟาร์มนั้น เหมือนกับแนวทางการศึกษาหรือการพัฒนาชุมชนจะประสบความสำเร็จต่อกลุ่มเป้าหมายได้ ต่อเมื่อพวกเขาให้ความร่วมมือภายในกระบวนการ ถ้าระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเช่นเดียวกัน แนวการพัฒนาเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ การศึกษาที่ดีกว่า ระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาของการพัฒนาพื้นที่สูง คุณภาพชีวิตของพวกเขายังคงเหมือนเดิม และมีการเพิ่มขึ้นของการติดเฮโรอิน ผู้ค้ายาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ กลุ่มที่เคยทำไร่ได้กลายมาเป็นแรงงานรับจ้าง กระบวนการพัฒนานอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จยังสร้างปัญหาใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นภายในสังคมไทย (หน้า 3-4) ในช่วงหลังปี 1960 เชียงใหม่ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวทางภาคเหนือ หนึ่งในโครงการสนับสนุนการท่องเที่ยวคือการนำเสนอความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ตลาด Night Bazaar เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในการขายสินค้าหัตถกรรมชาวเขา เครื่องประดับตกแต่ง ปัจจุบันได้มีกลุ่มชาวพื้นทีสูงหลายกลุ่ม เช่น ม้ง เย้า อาข่า ลีซู เข้ามาในเชียงใหม่และขายสินค้าโดยตรงให้กับนักท่องเที่ยว ในปี 1975 อาข่าผู้หญิงได้เปิดร้านขายของให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ อาข่าจำนวนมากเริ่มอพยพเข้ามาอาศัยในเมืองและใช้ชีวิตกลางคืนขายของที่ Night Bazaar (หน้า 6-7) นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนบนพื้นที่สูง โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ที่เข้ามาทำงานในเมืองเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นในร้านอาหาร ปั้มน้ำมัน สลัม ตลาด ถนน ซึ่งได้รับค่าแรงต่ำกว่ามาตรฐาน (หน้า 10) |
|
Social Organization |
ผู้หญิงอาข่าเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเองและเป็นเอกเทศไม่อยู่ภายใต้สามีอีกต่อไป (หน้า 7) เด็ก ๆ ห่างจากหมู่บ้านเนื่องจากต้องเข้ามาทำงานในเมืองหรือการศึกษาเล่าเรียน กลุ่มความสัมพันธ์ทางสังคมเปลี่ยนไปจากเดิมที่ศูนย์กลางคือครอบครัวมาเป็นเพื่อนที่โรงเรียนหรือกลุ่มคนที่ทำงานด้วยกัน (หน้า 11) |
|
Political Organization |
ปัญหาสำคัญของกลุ่มคนบนพื้นที่สูงคือการไม่มีบัตรประชาชน แม้ว่าจะอยู่ในประเทศไทยมายาวนานก็ตาม แต่ก็มีบางส่วนที่อพยพเข้ามาใหม่แต่เป็นเพียง 10-15% บัตรประชาชนเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการและเป็นสิ่งจำเป็น พวกเขาต้องการเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ และมีปฎิสัมพันธ์ในสังคม การเมือง การได้มีพื้นที่อาศัย เลือกตั้ง เนื่องจากรัฐบาลขับไล่พวกเขาออกจากพื้นที่ทำกินในส่วนหนึ่งเพราะไม่มีบัตรประชาชนยืนยันความเป็นคนไทย (หน้า 4-5) ในช่วงปี 1999 เดือน เมษายน - พฤษภาคม กลุ่มคนบนพื้นที่สูงได้ประท้วงในเมืองเชียงใหม่ เรียกร้องสัญชาติไทย และการแก้ไขปัญหาป่าและที่ดินทำกิน ผลจบลงด้วยการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ในการสลายการประท้วง ภายหลังรัฐได้มอบบัตรพิเศษซึ่งมีสีต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้สิทธิเท่ากับบัตรประชาชน (หน้า 5) |
|
Education and Socialization |
เด็ก ๆ ห่างจากหมู่บ้านเนื่องจากต้องเข้ามาทำงานในเมืองหรือการศึกษาเล่าเรียน ในระบบการศึกษาของรัฐบาลไทย (หน้า 11) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชุดอาข่าผู้หญิงแบบดังเดิมจะเป็นเสื้อครึ่งตัว เสื้อนอกและกระโปรงสั้น พร้อมกับสนับเข่า ประดับตกแต่งด้วยลูกเดือยและอื่น ๆ สีสันหลากหลาย และมีชุดสีดำด้วยเช่นกัน ผ้าที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นฝ้ายที่ปลูกกันในแต่ละพื้นที่หมู่บ้าน พร้อมกับมีกระเป๋าย่าม ซึ่งได้กลายเป็นสินค้าที่ระลึกที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยว และมีเครื่องประดับสำหรับศรีษะทำด้วยเงินตกแต่งลวดลาย (หน้า 9) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองอาข่าแต่และกลุ่มได้สร้างอัตลักษณ์ใหม่ ความเป็นตัวตนให้ปรากฎต่อผู้ที่เข้าใจผิดและอาข่ารุ่นใหม่ใช้เป็นแนวทาง โดยกลุ่มผู้หญิงอาข่า ที่มีความรู้และการศึกษาจากตัวอย่างของผู้หญิงอาข่าสามคน คือ Mee- Seu Choo Poh, Deuleu Choopoh และ Mee Ju Moh Poh จากบทบาทของผู้หญิงสามคนซึ่งแตกต่างกัน คนที่หนึ่ง Mee- Seu ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คนที่สอง Deuleu เป็นเจ้าของกิจการส่งออก หัตถกรรม สินค้าที่ระลึก และคนที่สาม Mee Ju เป็นเจ้าหน้าที่ NGO ทั้งสามเป็นกลุ่มผู้หญิงที่มีความรู้ พวกเขามีความเหมือนกันคือสร้างอัตลักษณ์ ตัวตนของอาข่าในสังคมไทย การแต่งกาย วัฒนธรรม หมู่บ้าน อาจหายไปแต่จิตสำนึกของความเป็นอาข่า (Akha zang) ยังคงอยู่และได้รับการสืบทอดต่อไป (หน้า 12-13) |
|
Social Cultural and Identity Change |
อาข่าบนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของไทยพยายามปรับตัวเข้าสู่สังคมไทย และเรียนรู้ประสบการณ์จากสภาพการณ์โดยรอบ อาข่าเป็นที่รู้จักในฐานะ ชาวเขา ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา และเป็นวัตถุทางการท่องเที่ยว การรับรู้และเข้าใจผิดเกี่ยกับอาข่ามีให้เห็นในสื่อ อาข่าพยาพยามสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อความเป็นตัวตนของพวกเขา ภายหลังการพัฒนาตามโครงการของรัฐบาล การปลูกพืชเศรษฐกิจและการศึกษาระบบใหม่นำพวกเขาไปสู่ความเป็นไทยมากขึ้น สภาพชีวิตความเป็นอยู่ขึ้นอยู่กับระบบเศรษฐกิจและสูญเสียความรู้ทางวัฒนธรรมดั้งเดิม ชุมชนหมู่บ้านบนพื้นที่สูงแม้ว่ายังมีสภาพภูมิศาสตร์แยกออกไปจากเมือง แต่ขาดความเป็นอัตลักษณ์อาข่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เลือกที่จะดำเนินชีวิตในแบบสังคมไทยและอพยพเข้าสู่เมือง โดยเฉพาะเมืองเชียงใหม่ เพื่อการศึกษาและรายได้ที่สูงกว่า สำหรับอาข่าในเมืองไม่สามารถแยกชุมชนในเชิงพื้นที่ได้ แต่ต้องเผชิญกับความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาพลักษณ์อาข่า ได้พยายามสร้างอัตลักษณ์ใหม่และฟื้นฟูจิตสำนึกความเป็นอาข่าขึ้นมาอีกครั้ง (หน้า 13) |
|
|