|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
สังคม, เศรษฐกิจ, เครือข่าย, ลาหู่, เมืองเชียงใหม่ |
Author |
ปนัดดา บุญยสาระนัย, หมี่ยุ้ม เชอมือ |
Title |
ลาหู่ หลากหลายชีวิตจากขุนเขาสู่เมือง |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
145 |
Year |
2558 |
Source |
มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Abstract |
เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึง การทำงานในเมืองเชียงใหม่ของลาหู่ ซึ่งคนส่วนใหญ่มาใช้แรงงาน เช่นขายพวงมาลัย เป็นเด็กเสิร์ฟ และทำงานรับจ้างรายวัน เมื่อมาอยู่รวมกัน ชาวลาหู่ไม่อาจเข้าใจภาษาไทยดังนั้นจึงร่วมกันก่อตั้งโบสถ์ภาษาลาหู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ พื้นที่ของโบสถ์นอกจากเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ยังเป็นที่พบปะพูดคุย คลายเหงาเมื่อคิดถึงบ้าน หรือเป็นที่พักยามที่ลาหู่เดินทางมารักษาโรคต่างๆ งานเขียนได้สัมภาษณ์ลาหู่จากโบสถ์คริสต์สองแห่ง เพื่อเปรียบเทียบการปฏิสัมพันธ์ของลาหู่ และลาหู่กลุ่มย่อยต่างๆ ที่ช่วยเหลือกันในการทำงานและดำรงชีวิตในตัวเมืองเชียงใหม่ นอกจากนี้ในการศึกษายังได้สัมภาษณ์ประชากรศึกษา จำนวน 5คน เพื่อสะท้อนมุมมองสภาพความเป็นอยู่ของลาหู่แต่ละสาขาอาชีพ ที่หางานทำและผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลในช่วงระยะเวลา 40ปีที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขาได้พยายามปรับตัวเพื่อให้ทันกับสังคมและเศรษฐกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน |
|
Focus |
เพื่อที่จะค้นหาและนำเสนอให้เห็นถึงสภาพการดำรงชีวิต และการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูงที่อพยพเข้ามาอยู่ในเขตเมืองเชียงใหม่ว่าแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีวิธีการเลือกใช้ฐานจากทุนทางสังคม และวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิมอย่างไร ในอันที่จะดำรงอยู่ ต่อสู้และปรับตัวตามสภาพชีวิตแบบสังคมเมือง รวมตลอดถึงการสร้างความสัมพันธ์และรวมตัวกันทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ (หน้ากิตติกรรมประกาศ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลาหู่
กลุ่มชาติพันธุ์นี้เรียกตนเองว่า ลาหู่ หรือละหู่ (Lahu)หมายถึง “คน” ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มโล โล ที่เป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรม โดยตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณที่ราบสูงทิเบต-ชิงไห่ และจีนได้ให้ลาหู่ปกครองตัวเองอย่างอิสระ โดยอยู่บริเวณตอนกลางและตอนใต้ของมณฑลยูนนานก่อนชนชาติไทยใหญ่กับจีนจะเข้าไปยึดครองพื้นที่ ในเวลาต่อมาได้โยกย้ายที่อยู่หลายครั้งในพื้นที่ของประเทศจีน, พม่า, ลาว และไทย (หน้า 1) สำหรับคนจีน ที่อยู่ในมณฑลยูนนานเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า “หลอเหย” สำหรับคำว่า “มูเซอ” สันนิษฐานว่าเป็นภาษาไทยใหญ่ที่อยู่ในรัฐฉาน แปลว่า “นายพราน” บ้างก็สันนิษฐานว่า “มูเซอ” ไม่ใช่ภาษาไทใหญ่ แต่เป็นภาษาพม่า เพราะพม่าเรียกนายพรานว่า “มกโซ” อย่างไรก็ตามคำว่า “พราน”ในภาษาพม่า เขียนว่า “มุฉุยะ” อ่านออกเสียงว่า “มกโซ” แต่ภาษาพม่าเรียกนายพราน ออกเสียงว่า “มูเซ” (หน้า 1) เมื่อไทใหญ่เรียกตามพม่าจึงออกเสียงว่า “มูเซอ” (หน้า 2)
ลาหู่อยู่ในหลายประเทศ ได้แก่ จีน, พม่า,ไทย, ลาว, เวียดนาม บางส่วนก็อพยพไปอยู่ประเทศโลกที่สามได้แก่ สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็นต้น ส่วนลาหู่ที่อยู่ในไทย ประกอบด้วย กลุ่มต่างๆ เช่น ลาหู่ญี, ลาหู่นะ, ลาหู่แซแล, ลาหูชี, และอื่นๆ อยู่ในหลายจังหวัดเช่น จังหวัดเชียงราย, เชียงใหม่, ตาก, แม่ฮ่องสอน, กำแพงเพชร, ลำปาง, น่าน, เพชรบูรณ์ เป็นต้น (หน้า 5) จากการศึกษาพบว่าในไทยมีกลุ่มลาหู่ 7กลุ่ม ดังนี้
1) มูเซอดำ (ลาหู่นะ Lahu Na) ตั้งที่อยู่ในพื้นที่อำเภอฝาง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่จังหวัดเชียงราย กลุ่มนี้นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 7)
2) มูเซอแดง (ลาหู่ญี Lahu Nyi) ตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กับอำเภอเมือง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย กลุ่มนี้มีจำนวนประชากรมากที่สุด (หน้า 7)
3) มูเซอเฌเล (ลาหู่แซแล้ Lahu Shehleh)บางครั้งเรียกว่า ลาหู่นะเหมี่ยว กลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก (หน้า 7)
4) มูเซอฌีบาหลา (ลาหู่เหลือง Lahu Shi) กลุ่มนี้อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย กลุ่มนี้นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 7)
5) มูเซอลาบา (ลาหู่ Lahu Laba or Laban) กลุ่มนี้เพิ่งเข้ามาอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้ไม่นาน (หน้า 7)
6) มูเซอกุเลา หรือมูเซอขาว (ลาหู่ฟู Lahu Phu) กลุ่มนี้มีจำนวนไม่มาก อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย (หน้า 7)
7) มูเซอกุ้ย (ลาหู่ฌีบาเกียว Lahu Shibakio) กลุ่มนี้อยู่ปะปนกับกลุ่มอื่น กลุ่มนี้ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดเชียงราย (หน้า 7)
นอกจากนี้ยังมีลาหู่กลุ่มเล็กๆที่พบในไทยอีก 13กลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มจะมีภาษาที่ไม่ค่อยต่างกันมากนัก ประเพณีวัฒนธรรมก็ใกล้เคียงกัน แต่ที่ต่างกันคือการแต่งกายของสตรี (หน้า 7ภาพหน้า 6)
ส่วนข้อมูลที่ผู้วิจัยสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลระบุว่า ในประเทศไทยมีลาหู่ ห้ากลุ่มดังนี้ ลาหู่นะ ลาหู่เซเล ลาหู่ซี ลาหู่ญี อีกกลุ่มคือ “ลาหู่โฟ” กลุ่มนี้สวมชุดสีขาว เพิ่งเดินทางมาใหม่ พื้นเพดั้งเดิมอยู่ประเทศลาว (หน้า 131) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาลาหู่
ภาษาลาหู่อยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลจีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) สาขาทิเบต-พม่า กลุ่มภาษาโลโลดั้งเดิม(Proto-Lolo) และแตกสาขาย่อยลงมาในกลุ่มพม่า-โลโล สาขาโลโลกลาง (Central Lolo) ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับภาษาลีซู และภาษาอาข่า แต่เดิมภาษาลาหู่ไม่มีตัวอักษรเขียนเป็นของตัวเอง แต่ในภายหลังมิชชันนารีจากชาติตะวันตกได้นำตัวอักษรโรมัน (หน้า 4) มาเขียนเป็นภาษาลาหู่ (หน้า 5)
ภาษาลาหู่เหมือนกับภาษาพม่า เนื่องจากอยู่ในตระกูลเดียวกัน มีการเขียนคำไม่เหมือนภาษาไทยคือ ประธาน-กริยา-กรรม (ส่วนภาษาไทย เรียงเป็น ประธาน-กริยา-กรรม) ตัวอย่างเช่น คนไทยพูดว่า “ฉันกินข้าว” คนลาหู่จะพูดว่า “หง่า อ่อ จ้า เว” ซึ่งมีความหมายคือ หง่า=ฉัน, อ่อ= ข้าว, จ้า=กิน, เว=คำลงท้าย (หน้า 5)
ภาษาเขียนของลาหู่มีความแตกต่างกัน อาทิเช่น ภาษากลุ่มคริสเตียน เขียนไม่เหมือนกับคาทอลิก ปัจจุบันลาหู่กลุ่มต่างๆ จะใช้ภาษาของลาหู่นะเป็นหลักเวลาสื่อสารกัน เนื่องจากว่าภาษาลาหู่นะมีการใช้กันมากกว่าภาษาลาหู่กลุ่มต่างๆ ภาษาพูดของ ลาหู่นั้น มีความแตกต่างกัน บางกลุ่มอาจฟังของอีกกลุ่มได้แต่พูดไม่ได้ ภาษาเขียนในอดีต การเขียนไม่มีระบบเสียงสูงต่ำ แต่เมื่อมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนา กลุ่มมิชชันนารีก็มีการปรับปรุงการเขียนภาษาลาหู่ (หน้า 139)
ปัญหาการพูดภาษาไทยของลาหู่
สาเหตุที่ลาหู่พูดไทยไม่ชัด เพราะภาษาลาหู่ไม่มีพยัญชนะท้าย ดังนั้นเมื่อไทยจึงทำให้เสียงตัวสะกดหายไป ตัวอย่างเช่น
หมด พูดเป็น โหมะ
กบ พูดเป็น โกะ
ตก พูดเป็น โตะ (หน้า 5)
การออกเสียงภาษาไทยของลาหู่นั้นมีคุณค่าต่อการสืบค้นร่องรอยอิทธิพลของวัฒนธรรมชนชาติไท-ไต ที่มีต่อวัฒนธรรมลาหู่ เช่นการนับถือศาสนาของลาหู่ ซึ่งพบว่า ลาหู่ได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายเถรวาทจากไทย อาทิเช่น “โตโบ” ผู้นำสูงสุดในชุมชน อาจจะมาจากคำว่า “ต๋นบุญ” ของคนภาคเหนือ และคำว่า “ปู่จอง” หมายถึง “มัคทายก” ในภาษาไทย ซึ่งคำว่า “จอง” ในภาษาไทยใหญ่ หมายถึง “วัด” (หน้า 5)
กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่มีความพิเศษกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่น เนื่องจากว่าลาหู่แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มย่อย ซึ่งมีความแตกต่างทั้งภาษาและประเพณีความเชื่อ แต่ในกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ด้วยกัน จะพูดภาษาลาหู่นะ(มูเซอดำ) เป็นภาษากลาง เมื่อลาหู่กลุ่มอื่นมาพูดกับลาหู่นะ ก็จะพูดภาษาลาหู่นะ ขณะเดียวกันกลุ่มลาหู่ก็ไม่ค่อยพูดภาษากลุ่มอื่นได้ เนื่องจากความเคยชินที่พูดภาษาของตนเป็นภาษากลางในกลุ่มลาหู่ด้วยกัน (หน้า 97 |
|
Study Period (Data Collection) |
โครงการวิจัยได้ดำเนินการเป็นเวลาสามปี ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2546-2548 (หน้ากิตติกรรมประกาศ) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติความเป็นมาของลาหู่
ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 ลาหู่ยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ในเวลาต่อมา จีนได้ให้อำนาจการปกครองตนเองกับลาหู่ แต่หลังจากที่จีนเปลี่ยนแปลงการปกครอง จีนได้ส่งเจ้าหน้าที่ทางทหารไปปกครองท้องถิ่น บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ แถบมณฑลยูนนาน ที่อยู่ส่วนใหญ่ของลาหู่ เมื่อลาหู่ออกมาต่อต้านการปกครองของจีน บางส่วนจึงอพยพไปอยู่ที่แคว้นเชียงตุง ประเทศพม่า ขณะที่พม่าเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (หน้า 2) |
|
Settlement Pattern |
บ้าน
ผู้ให้ข้อมูลรายหนึ่งเคยไปที่อำเภอเพื่อเดินเรื่องดำเนินการสร้างโบสถ์คริสต์ลาหู่ในเมืองเชียงใหม่ และไปทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างบ้าน โดย กล่าวถึงบ้านสั้นๆว่า มีชาวเขาจำนวน 6 กลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ ม้ง อาข่า ลาหู่ ลีซู กะเหรี่ยง เย้า ได้รับการยกเว้นให้สร้างบ้านแบบไม่ต้องมีบ้าน (หน้า 77) ส่วนบ้านของลาหู่ในชุมชนศรีปิงเมือง สภาพความเป็นอยู่นั้นเป็นสลัมสร้างบนที่ดินของครูคนหนึ่ง (หน้า 78) ลาหู่เข้ามาอยู่ในชุมชนนี้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2534 มีป้ายเขียนว่า “ห้ามปลูกสร้าง” ครั้งแรกมีบ้านลาหู่สองครอบครัวแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีเรื่องเล่าว่า ตอนนั้นมีบ้านลาหู่ทำด้วยหญ้าคา เมื่อพ่อกับแม่ออกไปทำงาน ลูกๆที่อยู่ที่บ้านทอดไข่ ไฟจึงไหม้บ้าน ดังนั้นเทศบาลจึงมาเขียนป้ายห้ามสร้างบ้าน แต่เมื่อนานวัน จำนวนบ้านก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (หน้า 79) |
|
Demography |
ลาหู่ในจีน
จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2525 พบว่า ลาหู่มีประชากร 320,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอล้านช้าง แคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน 154, 000 คน (หน้า 2)
ลาหู่ในไทย
ส่วนข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2545 พบว่าลาหู่มีจำนวนประชากร 102,876 คน 385 กลุ่มบ้าน, 18,057 หลังคาเรือน, 20347 ครอบครัว (หน้า 6)
ประชากรลาหู่ในเมืองเชียงใหม่
จากการสำรวจระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2546 มีลาหู่จำนวน 786คน แบ่งเป็นผู้ชาย 351คน ส่วนผู้หญิงมี 435คน กลุ่มที่อยู่ในเมืองเป็นวัยเรียนวัยทำงานมากที่สุด อายุ 11-20ปี จำนวน 275คน (หน้า 16)
ลาหู่ที่สัมภาษณ์
สมาชิกของคริสตจักรลาหู่แบ็บติสท์เชียงใหม่ที่ให้การสัมภาษณ์ มี 40 คน เป็นชาย 18คน หญิง 22 คน (หน้า 33)
ส่วนสมาชิกของคริสตจักรอิมมานูเอล สัมภาษณ์ 30คน เป็นชาย 19คน และผู้หญิงอีก 11คน (หน้า 33) สำหรับคนที่มาทำพิธีที่โบสถ์ ผู้เขียนได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ “สมาชิกคริสตจักร” คือ คนท่าสมัครเป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์ (หน้า 33) “ผู้ที่เข้าร่วมนมัสการ” คือ คนที่เป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์และคนที่มาเข้าร่วมนมัสการทั้งที่มาเป็นประจำและที่มาเป็นบางครั้ง (หน้า 33) |
|
Economy |
การประกอบอาชีพ
ลาหู่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ จำนวนมากกว่า 50เปอร์เซ็นต์ จากจำนวน 466 คน จึงทำงานเป็นลูกจ้าง อาชีพรองลงมาเป็นงานในองค์กรศาสนา (หน้า 30)
สมาชิกคริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์ แบ่งเป็นสามกลุ่ม
1) กลุ่มที่มีอาชีพที่มั่นคง คือกลุ่มที่อยู่ในเมืองมาเป็นเวลานาน มีบ้านและการงานที่มั่นคง และส่งลูกหลานให้ได้รับการศึกษาที่ดี กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งคริสตจักรแต่แต่ยุคบุกเบิกและเป็นกรรมการคริสตจักร (หน้า 39) คนส่วนใหญ่มาจากบ้านขาแหย่งพัฒนา จังหวัดเชียงราย (หน้า 40)
2) กลุ่มที่อยู่ในเมืองมานานแต่ตั้งตัวยังไม่ได้ กลุ่มนี้ มีปัญหาเรื่องที่ดินทำกินส่วนหนึ่งได้รับความเดือดร้อนจากนโยบาย ที่รัฐบาลประกาศเขตป่าสงวนทับที่ดินของชาวบ้าน กลุ่มนี้ ไม่มีที่ดินทำกินจึงเข้ามาในเมืองทำงานรับจ้าง ทำงานก่อสร้าง และเป็นคนสวนในสวนผลไม้ ลาหู่ในกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นกรรมการคริสตจักรลาหู่เพราะยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบหน้าที่ที่รับผิดชอบ แต่มานมัสการเป็นประจำ (หน้า 40)
3) กลุ่มที่อยู่ในเมืองชั่วคราว กลุ่มนี้มีที่ดินทำกินอยู่ที่บ้านเกิดแต่มาทำงานในเมืองนอกฤดูเก็บเกี่ยว เมื่อเพาะปลูกในที่ดินที่หมู่บ้านก็อาจลงมาหางานทำในเมือง บางส่วนมาเกี่ยวข้าวและเก็บลำไย และมานมัสการที่โบสถ์ แล้วหางานทำไปด้วย (หน้า 40) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน
ประชากรลาหู่ในเมืองเชียงใหม่ มี 786คน แบ่งเป็นคนที่ยังไม่แต่งงาน 417คน (53 เปอร์เซนต์) คนที่แต่งงานแล้วมี 363 คน (46เปอร์เซนต์) คนที่เป็นหม้ายหรือหย่า มี 6 คน (หนึ่งเปอร์เซนต์) ส่วนคนที่เป็นหม้ายหรือหย่าร้างนั้นทั้งหมดเป็นผู้หญิง ที่มาทำงานในเมือง ซึ่งต่างจากหญิงที่อยู่ในหมู่บ้านไม่ค่อยพบเห็นการหย่าร้าง (หน้า 17)
คริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์
ลาหู่ที่มานมัสการที่คริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์มาจากหลายหมู่บ้าน การมานมัสการนั้นพวกเขาจะใช้เป็นที่ปรึกษาหารือ กรณีที่มีปัญหาในการทำงานก็จะปรึกษาคนที่สนิทกันที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน หรือเพื่อนสนิท (หน้า 41) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อ
การนับถือศาสนาของลาหู่มีดังต่อไปนี้
กลุ่มที่นับถือผี และศาสนาพุทธ ลาหู่นับถือเทพเจ้า “อื่อซา” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์ และปลูกฝังให้คนทำแต่ความดี และช่วยคุ้มครองรักษาให้คนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ดังนั้นบ้านของลาหู่แต่ละหลังก็จะทำหิ้งบูชาเพื่อเซ่นไหว้ “อื่อซา”กับดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ หากคนในครอบครัวเป็นไข้ไม่สบาย (หน้า 8) ตามความเชื่อของลาหู่เชื่อว่า เมื่อลาหู่เสียชีวิต ดวงวิญญาณ (หรือ “ชอฮา”) ของคนที่ตายจะกลับไปอยู่กับ “อื่อซา” (หน้า 8) ถ้าคนผู้นั้นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำแต่ความดีตายไปก็จะไม่ตกทุกข์ได้ยาก แต่ถ้าทำแต่สิ่งไม่ดี ตายไปดวงวิญญาณก็จะล่องลอยไปอยู่ตามป่าเขาไปเกิดเป็นสัตว์ป่านานาชนิด หรือเป็นมดแมงตัวเล็กตัวน้อย อันเนื่องมาจากไม่สั่งสมทำคุณงามความดีเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ (หน้า 8) นอกจากนี้ยังมีเทพอื่นๆ เช่น เทพ (เน่) ให้ความคุ้มครองคนในหมู่บ้าน ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข (เน่ หมายถึงผีที่ดีที่มีหน้าที่ช่วยเหลือคน) (หน้า 8)
ส่วนผีไม่ดี (ลาหู่เรียกว่า “ซื้อซือ”) เป็นผีดุร้ายที่รังคราญคนให้อยู่อย่างหวาดกลัว การขับไล่ผีไม่ดีจะเป็นหน้าที่ของหมอผี (ลาส่อ) หากเจ็บป่วยไม่สบาย หมอผีจะทำพิธีขับไล่ผี เช่นผีป่า ผีห้วย ที่ทำให้คนไม่สบาย (หน้า 8) (หน้า 9) (หน้า บทคัดย่อ)
“สัจจะปู่เมอเซอ”
ลาหู่ เชื่อว่า สัจจะปู่เซอเมอนั้นเป็นเทพเจ้ารองจากอื่อซา “สัจจะปู่เซอเมอ” เป็นผู้รักษาคำพูด พูดคำไหนคำนั้น ปู่เมอเซอมีสัจจะบารมี หรือมีกาปะ (หน้า 8) กาปะ หมายถึงการมีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น เช่นว่าวันใดปู่เมอเซอออกไปล่าสัตว์ป่า ถ้าตั้งใจว่าจะล่าสัตว์ตัวผู้ก็จะไม่ยิงสัตว์ตัวเมีย หากวันไหนจะล่าสัตว์ตัวเมียก็จะไม่ล่าสัตว์ตัวผู้ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของชื่อสัจจะปู่เมอเซอ (หน้า 9)
ผู้นำด้านความเชื่อและพิธีกรรม
ในสังคมของลาหู่มีผู้นำทางความเชื่อ จำนวน 4คน ประกอบด้วย
1) โตโบ(ผู้ชาย) คือผู้นำสูงสุดมีหน้าที่ติดต่อกับพระเจ้าและรักษาคนเมื่อมีผู้เจ็บป่วย อบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี คนที่ทำหน้าที่ “โตโบ” ต้องเป็นผู้ชาย โดยมีการสืบทอดตำแหน่งทางเครือญาติ ผู้ที่เป็นโตโบต้องมีความรู้ด้านประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้าในครอบครัวไม่มีใครมีความรู้ความสามารถก็ต้องคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งกันใหม่ (หน้า 10)
2) ส่าหล่า (ผู้ชาย) คือผู้ช่วยโตโบ เป็นผู้มีความรู้ด้านประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ของลาหู่ หากโตโบติดธุระไม่ว่าง “ส่าหล่า” ก็จะทำหน้าที่แทนโตโบ (หน้า 10)
3) อาจา (ผู้ชาย) มีบทบาทหน้าที่ในการติดต่อประสานงาน (หน้า 10)
4) ลาส่อและมีผู้นำพิเศษคือ “ตาลา”(คนเข้าผู้ชาย)ทำนายการเป็นไข้ไม่สบายและอบรมให้คนทำแต่ความดี กับ “กาส้อมา”(คนเข้าทรงผู้หญิง และเป็นตำแหน่งที่เป็นผู้หญิงที่เป็นผู้นำทางความเชื่อในสังคมของลาหู่)ทำหน้าที่รักษาเมื่อมีคนเจ็บป่วย สอนให้คนเป็นคนดี ทำนายเหตุการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับหมู่บ้านรวมทั้งหาแนวทางแก้ไข และฟูกวาง มีหน้าที่รักษาซ่อมแซม หอแหย่ (หน้า 9,10)
ความขัดแย้งเรื่องศาสนา
จากบันทึกเมื่อ ค.ศ.1837 ว่า (หน้า 2) ลาหู่ที่อพยพมาจากจีนได้รับวัฒนธรรมการปกครองจากไทใหญ่ ในรัฐฉาน เช่น เรียกผู้นำชั้นสูงที่อยู่ในสังคมว่า “พญา” (Pha-ya ) หลังจากที่ลาหู่ได้เข้ามาอยู่เชียงตุง ประเทศพม่าได้เผชิญปัญหากับกลุ่มเผยแพร่ศาสนาชาวอังกฤษ กลุ่มที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาจะมีผู้นำศาสนาดั้งเดิมชื่อ “มะแฮ” ได้รวบรวมผู้คนต่อสู้กับฝ่ายอังกฤษ แต่สู้อังกฤษไม่ได้ ผู้นำลาหู่จึงนำประชาชนของตนเข้ามาอยู่ฝั่งไทย เมื่อประมาณ 200กว่าปีก่อน (หน้า 3)
หลังจากพม่าได้รับเอกราชแล้ว รัฐบาลพม่าได้มีปัญหากับชนกลุ่มน้อย ในกลุ่มลาหู่ได้มีผู้นำคือ “ปู่จองจะฟู” หรือที่รู้จักในชื่อ “เหมาะนะ-โตโบ” หรือฤษีลิงดำ (ปู่จองหลวง) ที่ดอยลาง เมืองเชียงตุง ซึ่งผู้นำทางความเชื่อนี้ กลุ่มลาหู่ให้ความนับถือเป็นอย่างมาก (หน้า 3) กลุ่มผู้นำทางความเชื่อของลาหู่ ได้พยายามต่อต้านรัฐบาลพม่า แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ ฝ่ายผู้นำของลาหู่ จึง อพยพผู้คนเข้ามาอยู่ในไทย โดยเข้ามาอยู่ในป่า บ้านต้นน้ำแม่มาว ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และบริเวณรอยต่อ ระหว่างจังหวัดเชียงใหม่ กับจังหวัดเชียงราย กระทั่งฤษีลิงดำ เสียชีวิต เมื่อปี พ.ศ. 2527หลังจากนั้นก็มีการอพยพเข้ามาในไทยของลาหู่อีกหลายระลอก (หน้า 4)
การนับถือศาสนาของลาหู่ในเมืองเชียงใหม่
ในจำนวนกลุ่มนักเรียนนักศึกษา นับถือศาสนาคริสต์ 423คน และมีหนึ่งคนที่นับถือศาสนาดั้งเดิม (หน้า 24) ในกลุ่มประชากรลาหู่ที่อยู่ในเมืองเชียงใหม่ 484คน (68.8 เปอร์เซนต์) นั้น อันดับสองอยู่ในเขตอำเภอดอยสะเก็ดมีลาหู่ 113 คน (16.1เปอร์เซนต์) ลาหู่นิยมอยู่ในอำเภอดอยสะเก็ดเนื่องจากมีโบสถ์คริสต์ของลาหู่ ที่นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ (หน้า 25)
คริสตจักรภาษาลาหู่
จุดเริ่มต้นมาจากที่ลาหู่มาทำงานในเมืองแล้วมาทำพิธีที่โบสถ์ ในระยะแรกมีปัญหาติดต่อ กับคนไทย (หน้า 31)เพราะพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ดังนั้นลาหู่กลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาทำงานในเมืองจึงร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อตั้งคริสตจักรขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา (หน้า 32) ในการศึกษาได้ศึกษากลุ่มลาหู่สองกลุ่ม คือชาวคริสต์ลาหู่ที่มาประกอบพิธีที่คริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์เชียงใหม่ และคริสตจักรอิมมานูเอล ซึ่งแต่เดิมทั้งสองกลุ่มทำพิธีที่โบสถ์เดียวกัน แต่หลังจากมีปัญหากัน แต่เดิมนั้น คริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์เชียงใหม่ สังกัดคริสตจักรในประเทศไทยภาค 18ซึ่งคนที่มาทำพิธีส่วนใหญ่เป็นลาหู่นะ ต่อมากลุ่มลาหู่บาลานได้แยกตัวออกไปตั้งคริสตจักรอิมมานูเอลเชียงใหม่ สังกัดคริสตจักรในประเทศไทย ภาค 6ดังนั้นจึงเป็นการแยกกลุ่มระหว่างลาหู่นะและ ลาหู่บาลาน สำหรับคริสตจักรทั้งสองแห่ง มีความเป็นมาดังต่อไปนี้ (หน้า 32)
ความเป็นมาของคริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์เชียงใหม่
การเกิดขึ้นของคริสตจักรลาหู่ มาจากที่มีหอพักนักศึกษาลาหู่เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว โดยนักเรียน นักศึกษาลาหู่ได้ทำพิธีนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ แต่การทำพิธีในระยะแรกมีปัญหา เพราะถ้าช่วงไหนที่นักเรียน นักศึกษากลับบ้านคนลาหู่ก็ต้องหยุดการทำพิธีไปด้วย แต่หลังจากเมื่อมีลาหู่เข้ามาทำงานในเมืองมากขึ้น พวกเขาจึงเช่าห้องทำพิธีที่หอพักนักศึกษา โดยทำพิธีในวันอาทิตย์แม้ว่านักเรียนปิดเทอมกลับบ้านก็ทำพิธีได้เช่นเดิม เชื่องจากเห็นว่า คริสตจักรนอกจากเป็นที่ประกอบพิธีแล้ว ยังเป็นที่พบปะและปรึกษากันของลาหู่ที่เข้ามาทำงานในเมือง (หน้า 34) ในระยะแรกลาหู่ได้แบ่งหน้าที่การทำพิธี (หน้า 35) ต่อมาจึงร่วมมือกันหาศิษยาภิบาลมาเป็นผู้นำในการทำพิธี ต่อมาในภายหลังลาหู่จึงช่วยกันบริจาคเงินและได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรชาวคริสต์จากอเมริกา ช่วยเหลือทางการเงินเพื่อซื้อที่ดินตั้งโบสถ์ (หน้า 36) คริสตจักรลาหู่นอกจากเป็นที่ประกอบพิธีแล้วยังเป็นที่ปรึกษาหารือ และแจ้งข่าวสารต่างๆ กับชาวลาหู่ที่เข้ามาทำงานในตัวเมืองเชียงใหม่ อีกด้วย (หน้า 41)
ความเป็นมาของคริสตจักรอิมมานูเอล
คริสตจักรแห่งนี้แยกตัวออกมาจากคริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์เชียงใหม่ คริสตจักรแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ดอยสะเก็ดตรงข้ามโรงพยาบาลดอยสะเก็ด (หน้า 45) จากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลกล่าวว่า คริสตจักรอิมมานูเอล เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2540 แต่ไม่ใช่ว่าแยกตัวออกมาคริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์เชียงใหม่ แล้วมารวมตัวกันเลย ในช่วงนั้นกลุ่มแกนนำสามคนได้สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำพิธีทางศาสนาที่บ้านของแต่ละคนแต่ได้ข้อสรุปว่ามีบ้านของแกนนำที่อยู่คลองเงินนั้นมีความเหมาะสมในการทำพิธีมากที่สุดเพราะสะอาดสะอ้านและมีพื้นที่กว้างขวาง และในชุมชนนี้มีลาหู่บาลานจำนวนมากที่สุด เมื่อกลุ่มลาหู่บาลานแยกตัวออกมาจากคริสตจักรลาหู่แบ๊บติสต์เชียงใหม่ที่อยู่ในภาค 18ต่อมาคนมจึงมีจำนวนมากขึ้น (หน้า 46) มีจำนวนสมาชิกประมาณ 40 -50คน ต่อมาเมื่อมีการหาที่ตั้งคริสตจักรโดยเช่าพื้นที่ประกอบพิธีที่บวกครกน้อย จึงมีผู้มาเข้าร่วมทำพิธีประมาณ 100กว่าคน (หน้า 47)
ลาหู่พุทธ
จากการทำงานวิจัยพบว่า มีลาหู่ที่นับถือศาสนาพุทธมี 5คน ทั้งที่ทำงานในหน่วยงานองค์กรพัฒนาเอกชน เป็นนักศึกษาและทำงานโรงงาน แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ติดต่อกันอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ แต่ผู้เขียนได้เกริ่นไว้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เห็นภาพความสัมพันธ์ของลาหู่ที่อยู่ในเมืองเชียงใหม่ (หน้า 33)
|
|
Education and Socialization |
การศึกษา
จากการศึกษาพบว่า ลาหู่ที่อยู่ในเมืองเชียงใหม่ แบ่งตามระดับการศึกษาได้ดังต่อไปนี้ กลุ่มที่เป็นนักเรียนและนักศึกษามีจำนวน 296 คน กลุ่มที่เรียนระดับชั้นประถมศึกษามีจำนวน 115คน (38.9 เปอร์เซนต์) อันดับต่อมาเรียนระดับมัธยมศึกษา ปวช. ปวส. และปริญาตรี และระดับก่อนชั้นประถมศึกษา สำหรับกลุ่มคนที่ทำงานแล้ว 424คน แบ่งเป็นคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ 120คน (53.6 เปอร์เซนต์) ในกลุ่มที่เป็นนักเรียนนักศึกษามีจำนวนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ส่วนในวัยทำงานผู้หญิงที่ไม่ได้เรียนหนังสือมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย (หน้า 24)
จากการสำรวจด้านการศึกษาจากประชากรลาหู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ 296คน แบ่งตามระดับการศึกษาได้ดังนี้ ชั้นอนุบาล 14คน, เรียนระดับประถมศึกษา 115คน, เรียนระดับมัธยมศึกษา 89คน, ระดับ ปวช. ปวส. จำนวน 58คน,ระดับปริญญาตรีจำนวน 20คน (ตารางหน้า 22)
จำนวนประชากรลาหู่ในเมืองเชียงใหม่ แยกตามอายุและระดับการศึกษาที่จบ ประชากรทั้งหมด 424คน แบ่งระดับจากการสำเร็จการศึกษาได้ดังนี้ ระดับประถมศึกษา 104คน, มัธยมศึกษา 48คน, ระดับ ปวช. ปวส. 16คน, ระดับปริญญาตรี 42คน, ไม่เคยเรียน 214คน (หน้า 23)
กล่าวโดยภาพรวมแล้วลาหู่ที่อยู่ในเมืองเรียนไม่ค่อยสูง จากกลุ่มนักศึกษาที่พบ 296คน มีกลุ่มที่เรียนระดับประถมศึกษาจำนวน 115คน หรือ 38.9เปอร์เซนต์ อันดับสองระดับมัธยมศึกษา,ปวช.ปวส., ปริญญา และระดับประถมศึกษา (หน้า 24) ในกลุ่มที่ทำงานแล้ว 424คน กลุ่มที่มีมากที่สุดคือกลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือมีจำนวน 120คน หรือ 53.6 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มที่เป็นนักเรียนนักศึกษามีจำนวนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายทุกระดับ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าผู้หญิงลาหู่ในเมืองนั้นมีโอกาสได้เรียนหนังสือมากกว่าในอดีต ส่วนในกลุ่มที่ทำงานแล้วพบว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้เรียนหนังสือมีมากกว่าผู้ชาย (หน้า 24) |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล
ความช่วยเหลือของคริสตจักรลาหู่แบ๊บติสท์ คนที่เป็นสมาชิกทางโบสถ์จะให้ความช่วยเหลือ โดยมีกองทุนช่วยเหลือในยามเจ็บป่วย เช่นสมาชิกที่ป่วยเป็นโรคเอดส์และมีฐานะยากจน คนป่วยที่เป็นโรคเอดส์จะมาที่โบสถ์เพื่อรับความช่วยเหลือ เช่น กรณีที่มีผู้ป่วยที่มาขอความช่วยเหลือทางโบสถ์ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล เมื่อทราบว่าป่วยเป็นโรคเอดส์จึงสร้างบ้านหลังเล็กๆ ในที่ดินของโบสถ์เพื่อให้เป็นที่อยู่ของผู้ป่วยรายนั้น กระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิต (เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547) สำหรับการช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่นๆ เช่นคนที่มารักษาที่โรงพยาบาลในเมือง หากไม่มีค่ารถกลับบ้านก็จะเขียนหนังสือมาขอความช่วยเหลือจากทางคริสตจักร ทางคณะกรรมการก็จะประชุมเพื่อหาทางในการดำเนินการช่วยเหลือต่อไป (หน้า 42) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เพลงและการละเล่น
การเล่นดนตรีมีส่วนเกี่ยวพันกับการดำรงชีวิตของลาหู่ เช่นจะมีการเต้นรำเมื่อถึงเทศกาลสำคัญเช่นวันปีใหม่ โดยจะเต้นที่หอแหย่ เครื่องดนตรีของลาหู่ ประกอบด้วย ขลุ่ย, ซึง, แคนน้ำเต้า, กลอง,ฆ้อง, ฉาบ, อาถ่า (เป็นเครื่องดนตรีครึ่งเป่า ครึ่งดีด) เนื้อหาของเพลงที่เล่นส่วนมากจะเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว ต้นไม้ สัตว์ป่า หลักคำสอนด้านความเชื่อ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในเวลากลางคืนลาหู่จะเต้นจะคึ เพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้าอื่อทา การเต้นรำจะจับมือกันเต้นรอบเสาที่ปักตรงกลางในสถานที่ทำพิธี ตอนเต้นจะมีคนตีกลอง และตีฉาบขณะเต้นรำ บางทีก็มีผู้นำด้านพิธีกรรมมาสวดทำพิธีล้างบาป และตีฆ้องไปด้วย การเต้นรำบางครั้งก็จะเต้นจนดึกดื่นหรือเต้นถึงเช้าวันใหม่ สำหรับลานเต้นจะคึนั้นในหมู่บ้านลาหู่จะมีลานเต้นจะคึอย่างน้อยหนึ่งแห่ง ลาหู่จะมาเต้นเมื่อถึงวันปีใหม่ และตอนทำพิธีเซ่นไหว้เมื่อตอนเจ็บป่วยไม่สบาย การเต้นนอกจากจะเป็นการทำเพื่อบูชาเซ่นไหว้เทพเจ้าอื่อซา ขณะเดียวกันก็เพื่อคลายความเหนื่อยล้า จากการทำงานในไร่นา อีกด้วย (หน้า 12)
หอแหย่
เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของลาหู่ โดยจะทำพิธีในวันศีล ขึ้น 15 ค่ำ กับแรม 14ค่ำ ในวันนี้ ลาหู่จะมารวมตัวกันที่หอแหย่แล้วเต้นรำล้างบาป โดยมี “โตโบ”นำการทำพิธีสวดมนต์ติดต่อกับอื่อซา ส่วนพิธีกรรมจะมีผู้ช่วยสามคน ทำหน้าที่ดูแลการทำพิธี ได้แก่ ส่าหล่า, อาจา และลาส่อ (หน้า 11)
ลักษณะของอาคาร หอแหย่นั้นต้องสร้างสูงกว่าบ้านเรือนทุกหลังในหมู่บ้าน หอแหย่ส่วนมากจะสร้างอยู่กลางหมู่บ้าน เพื่อความสะดวกตอนมาประกอบพิธี ในหมู่บ้านแต่ละแห่งจะมีหอแหย่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ขนาดของหอแหย่นั้นจะสร้างใหญ่หรือไม่ใหญ่จะขึ้นอยู่กับขนาดความกว้างใหญ่ของหมู่บ้านแห่งนั้น บริเวณด้านหน้าของหอแหย่จะขุด “บ่อกิ” สำหรับใส่น้ำในการประกอบพิธี (หน้า 11) ด้านหลังหอแหย่นั้นจะปักธงสีขาวหลายผืนกับกองโม ส่วนการใช้สอยพื้นที่ภายในหอแหย่ ด้านในจะกั้นเป็นห้องเล็กๆหนึ่งห้องเรียกว่า “หอใจ๋” เพื่อเป็นที่ประกอบพิธีของ “โตโบ” หรือ “ส่าหล่า” และมีเครื่องเซ่นไหว้ “อื่อซา” และทางด้านนอกก็จะมีเครื่องเซ่นไหว้อีกชุดหนึ่ง เพื่อบนบานเซ่นไหว้ให้อยู่อย่างสันติสุข หอแหย่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อของลาหู่ และเป็นสถานที่จัดการแสดงต่างๆ เป็นที่รักษาเมื่อเจ็บป่วย และเป็นที่ถือศีลของผู้เฒ่า ผู้แก่ ในหมู่บ้าน และอื่นๆ (หน้า 11) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่างลาหู่กลุ่มย่อยต่างๆ
ลาหู่ในเมืองเชียงใหม่มีหลายกลุ่ม ลาหู่มีกลุ่มย่อยที่มาจากหลายหมู่บ้านแต่เข้ามาทำงานในเมือง เช่นที่คริสตจักรลาหู่แบ็บติสท์เชียงใหม่ (หน้า 40) มีลาหู่นะ มากที่สุดนอกจากนี้ยังมีลาหู่ญี, ลาหู่บาลาน การติดต่อของลาหู่กลุ่มต่างๆที่คริสตจักรลาหู่นั้นมาจาก ลาหู่ที่เดินทางมาจากหลายหมู่บ้าน ทั้งที่มาจากจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และจังหวัดอื่นๆ การติดต่อของลาหู่กลุ่มต่างๆ ที่เข้ามาทำงานในเมือง ลาหู่ที่มานมัสการที่โบสถ์นั้น ก็เพื่อถามข่าวคราวต่างๆที่บ้านเกิด บางส่วนมาพบปะพูดคุยกันเพื่อหางานทำ หรือฟังข่าวสารต่างๆ บางคน ที่เข้ามาทำงานในเมืองหากเจ็บป่วยก็จะมาขอความช่วยเหลือที่โบสถ์เป็นต้น (หน้า 41) |
|
Other Issues |
ลาหู่ประชากรศึกษา
บัญชา หนุ่มลูกครึ่งลาหู่ จีนฮ่อ
อาชีพทหารรับจ้าง บัญชาเป็นลูกครึ่งจีนฮ่อกับลาหู่ แม่เป็นลาหู่ พ่อเป็นจีน เขาเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ไม่มีชื่อลาหู่ มีชื่อจีนว่า “ซันนี่ หลง” คนโดยทั่วไปเรียกเขาว่า “หลง” เขาเกิดที่บ้านใหม่ห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย บัญชาเรียนจบชั้น ป.4โรงเรียนประชาสงเคราะห์ชาวไทยภูเขา ที่อำเภอแม่จัน ปัจจุบัน (เมื่อ พ.ศ. 2546) อายุ 47ปี ตอนที่บัญชาอายุ 16-17ปี ประมาณ พ.ศ. 2515เขาสมัครเป็นทหารรับจ้าง เป็นลูกน้องของนายตำรวจคนหนึ่ง ซึ่งอยู่จังหวัดเชียงใหม่ ญชาเล่าว่าตอนนั้นอยู่ที่หมู่บ้านห้วยไคร้ เขาสังเกตว่า คนที่มาเป็นทหารส่วนใหญ่ มาจากประเทศพม่า เนื่องจากในอดีตคนพม่าชอบเข้ามาทำงานในประเทศไทย เมื่อเข้ามาแล้วไม่มีงานทำก็ไปเป็นทหาร (หน้า 66) ทหารรับจ้าง หรือทหารกระทิงแดง หากเป็นแล้วเลิกเป็นไม่ได้ ทั้งกรม 93 และกรม 95 หัวหน้าใหญ่เป็นคนจีนชื่อ “จอมพลเลาลี” (เสียชีวิตแล้ว) ตอนที่เข้าทำงานครั้งแรกเป็นทหารชั้นผู้น้อยเงินเดือน 600บาท เมื่อทำงานไม่ถึงเดือน เงินเดือนก็เขยิบขึ้นเป็น 1,200บาท ตอนที่จะออกเงินเดือน 8,000บาท บัญชาเป็นทหารรับจ้าง 10กว่าปี (หน้า 66)มีหน้าที่สู้รบกับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่คุ้มกันบริษัทเชียงใหม่ เอเชีย ที่ดำเนินการสร้างถนน เส้นทางที่สร้างในช่วงเวลานั้น ผาตั้ง วังข่า เขาค้อ นครไท อุ้มผาง การทำงานต้องย้ายไปเรื่อยๆ แล้วแต่คำสั่งของต้นสังกัด (หน้า 67)
ตอนที่บัญชาเข้ามาทำงานครั้งแรกเขาประจำการอยู่ที่วังข่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย จากนั้นก็ย้ายไปทำงานหลายที่ เช่นอำเภอดอกคำใต้ อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน อำเภอแม่สอด อำเภอนครไท อำเภอเขาค้อ ตอนที่เขาเป็นทหารบัญชาเล่าว่าเขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินทอง เพราะอยู่แต่ในป่าไม่มีที่ใช้เงิน ส่วนการสู้รบก็ดุเดือดเลือดพล่านอยู่ตลอดเวลา เขาเห็นว่า หากบริษัทรับเหมาก่อสร้างถนนไปถึงไหน ก็จะมี กองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์มาซุ่มยิง เพราะหมู่บ้านหลายแห่งไม่ต้องการถนน เพราะหากมีถนนความเจริญก็จะเข้าไปในหมู่บ้าน เนื่องจากคนในหมู่บ้านต้องการความสงบ โดยใช้กฎของหมู่บ้านตนเอง เนื่องจากการมีถนนมีทั้งข้อดี และข้อเสีย ข้อดีคือเหล้า ฝิ่น และเรื่องอาวุธก็จะไม่มี บัญชายกตัวอย่างว่า เมื่อก่อนหมู่บ้านชาวเขา หากมี 60ครัวเรือน ในหมู่บ้านจะมีคนติดฝิ่นไม่น้อยกว่า 50หลังคาเรือน ปัจจุบันยังมีอยู่แต่มีไม่มาก แต่อาจจะมาตามแนวชายแดน (หน้า 67)
ทหารไทยปลดอาวุธบัญชา เพื่อ พ.ศ. 2528 ทางการได้แบ่งพื้นที่ทำกินให้ทหารรับจ้างที่หมู่บ้าน 48 ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นป่าช้าของคนม้งมาก่อน บริเวณนี้ตอนนี้มีชื่อว่า หมู่บ้านร่มเกล้า 2 การจับจองพื้นที่ตอนนั้น ใครจะจับจองที่ดินมากเท่าไหร่ก็ได้ ขณะนั้นมีทหารชุดแรก 6คนไปอยู่ที่อุ้มผาง มีอาวุธได้แก่ ปืนเอ็ม 16 จำนวน 2กระบอก ปืนแก๊ป สองกระบอก มีดดาบ สองด้าม (หน้า 67) ในช่วงที่บัญชาถูกปลดจากทหารรับจ้างแล้ว ทางการได้มอบที่ดินให้ โดยให้ไปยึดภูเขาลูกที่สูงที่สุด สองลูกคือ ภูเขากิโลเมตรที่ 57และภูเขากิโลเมตรที่ 53 (หน้า 67) จากสามแยกโซโอไปถึงบ้าน 48สามแยกโซโออยู่ที่กิโลเมตรที่ 23-48ทางการไทยให้บัญชาและลูกน้องยึดภูเขา กิโลเมตรที่ 57และกิโลเมตรที่ 53ตอนที่เดินทางเข้าไปมีบะหมี่สำเร็จรูป 20ห่อ ข้าวแป้งหนึ่งห่อ จากสามแยกโซโอ ไปนอนที่หมู่บ้านร่มเกล้า 2จากนั้นก็เดินไปบ้าน 48(หน้า 68) เมื่อไปถึงอาหารก็หมดบริเวณกิโลเมตรที่ 49มีน้ำแต่กินไม่ได้ เพราะ ผกค. นำไหลที่เป็นไม้เถาวัลย์ มาทุบวางขวางกั้นแม่น้ำ น้ำที่ไหลลงมาดื่มไม่ได้ หากดื่มจะง่วงเหงาหาวนอน และท้องเสีย วิธีแก้ไขคือนำต้นกล้วยป่าต้นขนาดเล็กมาทุบแล้วบีบน้ำดื่มเพื่อแก้พิษ ก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง (หน้า 68)
หลังปลดประจำการทำงานรับจ้าง บัญชาไม่คุ้นเคยกับการทำงานเพาะปลูกดังนั้นจึงพาลูกน้องประมาณ 42คน ไปเป็นทหารในกองทัพกะเหรี่ยงฝั่งประเทศพม่า ของนายพลมู่ตู้ บัญชาไปเป็นทหารที่ฝั่งพม่า 5ปี คือช่วง พ.ศ. 2528-2533 จากนั้นก็ออกมาดูแลแม่ที่หมู่บ้าน 48ซึ่งหมู่บ้านนี้ หัวหน้าเป็นจีนฮ่อ เมื่อปลดประจำการก็มาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ส่วนคนในหมู่บ้านก็เคยเป็นทหารรับจ้าง เวลานั้นมีประมาณ 500 ครอบครัว ตอนหลังมีทหารรับจ้างกว่า 6,000คน ย้ายเข้ามาอยู่หมู่บ้านแห่งนี้ (หน้า 69) คนในหมู่บ้านประกอบด้วยคนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่ที่กิโลเมตรที่ 48 ดังนั้นคนโดยทั่วไปจึงเรียก หมู่บ้านนี้ว่า “หมู่บ้าน 48ต่อมาในภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “หมู่บ้านคีรีราษฎร์” (หน้า 70)
เมื่อบัญชาไปเป็นทหารกลับมาเพื่อปี 2533 ก็พบปัญหาในชีวิต เมื่อ พ่อกับแม่นำที่ดิน 40 กว่าไร่ไปขายแลกฝิ่น ผู้ใหญ่บ้านเห็นใจ จึงให้เงินจำนวน สองแสนบาทเพื่อให้บัญชาไปซื้อที่ดินใหม่ บัญชาไปซื้อที่ดินที่แม่สอด หนึ่งงานกว่าๆ ราคาแปดหมื่นบาท จากนั้นมาก็ทำงานหลายอย่าง เช่นเผาถ่านขาย แต่ถูกตำรวจจับจึงเลิกแล้วไปเป็นล่ามภาษาจีนกลางที่โรงงานตุ๊กตาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทำได้ 4-5เดือนก็ออก เมื่อกลับมาที่บ้านก็พบว่า พ่อกับแม่นำที่ดินไปขายแลกฝิ่นอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงพาพ่อ แม่ มาอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ ปี 2535(หน้า 70)
การทำงานรับจ้างกับพ่อแม่ที่ติดยาเสพติด เมื่อมาอยู่ที่เชียงใหม่บัญชาทำงานก่อสร้างสองปี ช่วง พ.ศ. 2535-2537จึงพาพ่อกับแม่ มาบำบัดยาเสพติดที่โรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลเห็นแล้วสงสารจึงชวนบัญชามาทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดเพื่อหารายได้เป็นค่ายารักษาพ่อแม่ (หน้า 71)
ติดคุกรับโทษค้ายาเสพติด หลังจากที่บัญชาพาพ่อกับแม่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็กลับมาทำงานก่อสร้างอีกครั้ง แต่เนื่องด้วยการทำงานที่หนัก บัญชาจึงทดลองเสพยาเสพติด เมื่อเสพแล้วจึงขายบ้าง (หน้า 72) บัญชาถูกจับเมื่อเดือนเมษายน ปี 2537ติดคุกประมาณ 8ปีกว่า ระหว่างนั้นพ่อเสียชีวิต มีเพื่อนที่บัญชาเคยทำงานด้วย นำร่างที่เสียชีวิตของพ่อบัญชาไปทำพิธีศพที่หมู่บ้าน 48และดูแลแม่ของบัญชาในช่วงที่เขาติดคุก (หน้า 73)
ฝึกอาชีพในเรือนจำ บัญชาติดคุกที่จังหวัดเชียงราย แล้วย้ายมาประจำที่จังหวัดลำปาง ระหว่างที่อยู่ในคุกเขาได้รับการฝึกทำเฟอร์นิเจอร์ เช่น เตียง โต๊ะเก้าอี้ บัญชามีความสามารถเคยไปแข่งขันทำเฟอร์นิเจอร์ จากเรือนจำทั่วประเทศทั้งหมด 180แห่ง บัญชาได้ที่หนึ่ง จากนั้นก็นำอันดับหนึ่งถึงสามไปแข่งขันระดับประเทศ บัญชาได้ที่สามของประเทศ เขาติดคุก 8ปี 4เดือน 2วัน จึงพ้นโทษพร้อมกับความรู้ในการการทำเครื่องตกแต่งบ้าน (หน้า 73) ระหว่างที่บัญชาอยู่ในคุกนั้น ได้ทำหน้าที่เป็น ผชล. (ผู้ช่วยเหลือ) ช่วยเจ้าหน้าที่ดูแลชาวเขาที่อยู่ในคุก เนื่องจากคนเหล่านี้พูดภาษาไทยไม่ได้ หรือส่วนใหญ่มักไม่ได้รับความเป็นธรรมในด้านต่างๆ (หน้า 74)
หลังจากที่ออกจากคุก บัญชาก็มาอยู่ที่ชุมชนศรีเชียงใหม่ และทำงานก่อสร้าง เมื่อเพื่อนเห็นฝีมือและเห็นใบประกาศนียบัตร ที่ได้ระหว่างอยู่ในคุก (หน้า 74) เพื่อนของบัญชาจึงแบ่งบ้านให้บัญชาเป็นคนรับเหมาเอง เมื่อทำงานได้ระยะหนึ่งจึงสามารถเก็บเงินซื้อที่จำนวนไร่กว่า ราคาหกหมื่นบาทในช่วงนั้น (หน้า 75)
ชีวิตนักเผยแพร่ศาสนา เมื่อก่อนบัญชาไม่มีศาสนา เมื่อกลุ่มศาสนาคริสต์เข้ามาแจกของในคุก เช่นสบู่ ยาสีฟันมาแจกจึงมีความสนใจ หลังจากได้อ่านหนังสือ ต่อมาเมื่อมีอาจารย์สอนศาสนามาสอนในคุกเดือนละครั้งบัญชาจึงเข้าเรียน และทำข้อสอบทางไปรษณีย์ เมื่อเรียนประมาณ 4ปีจึงได้รับใบประกาศเผยแพร่ศาสนา และได้รู้จักกับอาจารย์ที่มาจากประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ (หน้า 75)และเป็นล่ามภาษาจีนให้กับอาจารย์สอนศาสนาในบางโอกาส (หน้า 76) บัญชาเล่าแม้ว่าเขาจะมาทำหน้าที่เกี่ยวกับศาสนาแต่คนในชุมชน ไม่ค่อยมีคนชอบเขามากนักเพราะว่าบัญชาเคยติดคุกมาก่อน บัญชาเป็นคนชอบเสียสละและชอบช่วยเหลือคนในชุมชน เช่นเขาเคยไปติดต่อกับอาจารย์สอนศาสนาชาวมาเลเซีย เพื่อหางบประมาณเพื่อซื้อท่าร้างโบสถ์กระทั่งได้เงินมาจำนวน 19,000 บัญชาก็นำเงินจำนวนนี้มาซื้อที่ทั้งหมด โดยไม่ได้นำมาใช่ส่วนตัวแม้ว่าอาจารย์สอนศาสนาจะกำชับให้เขานำเงิน หกพันบาทในจำนวนนี้ มาผ่าซีสที่หน้าอก บัญชาเล่าว่า กลุ่มของเขาเป็นคริสเตียน แม่ของเขาเป็นลาหู่นะ (มูเซอดำ) ซึ่งเป็นชาวคริสต์กลุ่มใหญ่ที่สุดในกลุ่มลาหู่ โดยมีชื่อเรียกว่า “ลาหู่อ๊าปู่หยื่อ” กลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมากในประเทศพม่า หากอยู่ในไทยจะอยู่ที่ อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร กลุ่มนี้ทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์และมีความเคร่งครัดเป็นอย่างมาก ในอดีตลาหู่กลุ่มนี้นับถือผีบรรพบุรุษของกลุ่ม เรียกว่า “โตโบ” ในเวลาต่อมาจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ส่วนการแต่งกายกลุ่มนี้จะพิเศษกว่ากลุ่มอื่นคือทั้งชายและหญิงแต่งกายด้วยชุดสีขาว ในกลุ่มของลาหู่ในเชียงใหม่หากเวลาพบปะกันจะไปที่โบสถ์ที่ อำเภอดอยสะเด็ด (หน้า 76) เนื่องจากที่นั่นมีอาจารย์ศาสนาเป็นลาหู่ บางครั้งในวันอาทิตย์เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจจะนัดกันเพื่อไปเยี่ยมคนลาหู่ที่อยู่ในที่อื่นแล้วแต่จะตกลงกันว่าจะไปที่ไหน (หน้า 77)
การต่อสู้เพื่อให้ได้ที่ดินสร้างโบสถ์ บัญชาเห็นคนในชุมชนไม่มีสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา จึงได้เดินเรื่องเพื่อขอสถานที่สร้างโบสถ์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ (หน้า 77) ปัญหาสำคัญคือไม่มีที่สำหรับสร้างเพราะเจ้าของที่ไม่สนับสนุนและเรียกร้องเงินสูง ราคาที่ไม่ถึงหนึ่งงาน ราคา 80ล้านบาท (หน้า 78)
ปัจจุบันบัญชาอยู่ในชุมชนสลัมชื่อ “คลองลำคูไหว” ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร ร่วมกับทางเทศบาลนครเชียงใหม่ (หน้า 79) ปัจจุบันบัญชาทำงานรับเหมาก่อสร้าง ทำงานเลี้ยงแม่ เพราะเขายังไม่มีครอบครัว ทุกวันนี้แม่ของเขาแก่มากแล้ว และไม่เสพยาเสพติดเช่นในอดีตแต่ติดยาพาราและยาแก้ปวดหาย (หน้า 81) ในด้านความรู้สึกนึกคิดบัญชามีความรู้สึกว่า ตนเอง เป็นทั้งคนจีนและลาหู่ เมื่ออยู่กับคนจีนก็เป็นคนจีน เมื่ออยู่กับลาหู่ก็เป็นลาหู่ ส่วนข้อบกพร่องของลาหู่บัญชาบอกว่า ลาหู่ไม่ค่อยรู้จักอดออมเงินทอง ใช้จ่ายไม่ค่อยระมัดระวังทำให้เขารู้สึกเป็นห่วง (หน้า 82) ลาหู่เมื่ออยู่ในเมืองจะทำงานก่อสร้างมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ อุปสรรคในการสมัครงานคือลาหู่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือจึงไม่มีวุฒิการศึกษาไปสมัครงาน บางงานต้องมีคนค้ำประกันและใช้เงินค้ำประกันอีกด้วยดังนั้นลาหู่จึงหาทางเอาตัวรอดโดยทำงานใช้แรง เช่นรับจ้าง ทำงานก่อสร้าง เฝ้าสวน ทำงานร้านอาหาร หรือบางครั้งก็ขายดอกไม้ข้างถนน (หน้า 83)
นาโบ เพื่อนเพื่อชีวิตใหม่
นาโบเป็นประชากรศึกษาลาหู่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต และด้านการศึกษา นาโบเรียนจบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทีมคณะวิจัยได้พบกับนาโบที่ “ศูนย์ชีวิตใหม่” ชื่อ “นาโบ” เป็นภาษาลาหู่ หมายถึง “ผู้หญิงพระพร” และมีชื่อภาษาไทยว่า “น้ำ” (หน้า 84) แต่เดิมครอบครัวของนาโบตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองล้านช้าง แคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน ในช่วงที่จีนมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครอบครัวของนาโบจึงย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศพม่า อยู่ที่พม่าประมาณ 10ปีเศษ ก่อนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทย นาโบเป็นลูกคนที่ 5เกิดที่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2510 จนเข้ามาอยู่เมืองไทย พ่อกับแม่ของนาโบ มีพี่น้องทั้งหมด 9คน เสียชีวิตหนึ่งคน ที่เหลือเป็นหญิง เจ็ดคน และลูกชาย หนึ่งคน การเดินทางเข้ามาประเทศไทยใช้เวลา สามเดือนกว่า ชีวิตในวัยเด็กของนาโบต้องพบอุปสรรคมากมาย (หน้า 85) การเรียนในโรงเรียนไทย ก็ไม่สามารถแยกออกระหว่างภาษาไทย ภาษากะเหรี่ยง ภาษาคำเมือง แต่เมื่อเริ่มโตขึ้นการเรียนของนาโบก็ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เริ่มแยกแยะภาษาต่างๆได้ เมื่อจบชั้นมัธยมปลาย มีผู้แนะนำให้นาโบมาเรียนที่มหาวิทยาลัยพายัพ เนื่องจากเป็นสถานที่ศึกษาที่เปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีปัญหาเรื่องเอกสารต่างๆเข้าเรียนได้ เมื่อเรียนจบนาโบจึงสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตามความใฝ่ฝันและเข้าทำงานเพื่อช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ และแต่งงานมีครอบครัวกับสามีคนไทย การเล่าเรื่องราวชีวิตของนาโบหรือน้ำ มีเนื้อหาค่อนข้างให้กำลังใจและเป็นตัวอย่างในการเล่าเรียนของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งในการทำงานนาโบได้พบกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม จากชีวิตที่ผ่านมาของนาโบนั้น ได้สะท้อนให้เห็นมุมมองในการใช้ชีวิต และเรื่องเล่าที่ผ่านเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ของนาโบ (หน้า 86-102)
จะอื่อ กับงานเอกชนด้านศาสนาและสังคม
เขาเกิดเมื่อ พ.ศ. 2505 ที่พม่า ปัจจุบันอายุ 41ปี เป็นลูกคนที่ 6ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 10คน ในจำนวนนี้มีผู้ชาย 5คน และผู้หญิงอีก 5คน เมื่อเกิดได้ไม่นาน พ่อกับแม่ก็พาจะอื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทย มาอยู่ที่หมู่บ้านห้วยปู ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย พี่น้องส่วนใหญ่ทำงานในเมือง มีเพียงหนึ่งคนที่แต่งงานอยู่ในหมู่บ้าน พ่อกับแม่อายุ 70กว่าปีแล้ว(ขณะทำวิจัย) คนในครอบครัวทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 103) จุดเริ่มต้นของการได้เป็นครูศาสนาคริสต์ เริ่มจากเมื่อ พ.ศ. 2010 ตอนที่จะอื่อ อายุได้ห้าขวบ มีครูดอยชาวกะเหรี่ยงเดินทางมาจากน้ำลัดมาเป็นครูสอนหนังสือในหมู่บ้าน จึงเป็นจุดเริ่มต้นได้เรียนหนังสือ จะอื่อย้ายที่เรียนหลายแห่งจนจบ มัธยมศึกษาปีที่สาม ก็เกือบได้ทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่ก็พบกับความผิดหวัง (หน้า 103) จากนั้นก็ไปเรียนด้านการเกษตรแต่รู้สึกไม่ชอบจึงมาเรียนด้านศาสนา (หน้า 104) เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6จึงมาเริ่มงานด้านการศาสนาอย่างจริงจัง (หน้า 105)
การทำงานของจะอื่อแม้จะเกี่ยวกับศาสนาคริสต์แต่เขาก็ทำด้วยความทุ่มเท ชีวิตการทำงานของจะอื่อนั้นได้พบคนหลายประเภท เมื่อมาทำงานด้านโครงการสุขภาพ จะอื่อก็พบว่า มีชาวเขาเป็นจำนวนมากที่ติดยาเสพติด และเป็นโรคเอดส์ ซึ่งจากตัวอย่างที่เขาเล่าให้ผู้วิจัยฟังนั้น พบว่า ในกลุ่มลาหู่ยังมีอคติกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์ ในบางหมู่บ้านรังเกียจผู้ติดเชื้อซึ่งทางโครงการของเขาก็ได้เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและความรู้เรื่องการอยู่ร่วมกับคนที่เป็นโรคเอดส์ นอกจากนี้ด้วยบุคลิกลักษณะที่ทำชอบทำงานเพื่อสังคม ดังนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้รับคำชวนให้มาช่วยเขียนหนังสือภาษาลาหู่ซี แต่โครงการนี้ดำเนินการได้สักระยะก็ต้องยุติลงเพราะไม่มีผู้สนับสนุนด้านงบประมาณ (หน้า 110) จะอื่อเล่าว่า เนื่องจากเขามีความรู้ด้านการศาสนาจึงทำงานอย่างสบายใจ และไม่รู้สึกท้อแท้แม้ว่าจะพบอุปสรรค เพราะการทำงานนั้นเขาได้พบคนที่เจ็บป่วยและประสบปัญหาชีวิตเนื่องจากยาเสพติดมากมาย (หน้า 104-119)
นางคำหล้า ปอสาง แม่ค้าขายดอกมะลิ
การสัมภาษณ์นางคำหล้า ปอสาง ต้องใช้ล่ามเพราะว่านางคำหล้า พูดไทยไม่ได้ สำหรับชีวิตของนางคำหล้านั้น มีความลำบากแต่ก็ไม่ท้อแท้ต่อชีวิต ปัจจุบันนางคำหล้ามีอาชีพขายพวงมาลัย เลี้ยงดูคนในครอบครัว นางคำหล้า อายุ 37ปี ขายดอกไม้กับน้องสาวอายุ 35ปี และลูกสาวคนเล็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือเพราะไม่มีหลักฐานการเกิดจึงเข้าโรงเรียนไม่ได้ อาชีพนี้เธอบอกว่าเหมาะสำหรับคำที่พุดไทยไม่ได้เพราะไม่ต้องสื่อสารอะไรมาก เพียงแต่ไปซื้อดอกไม้แล้วนำมาขายเพียงเหลือทุนเพื่อซื้อของวันละหนึ่งร้อยบาทเพื่อซื้อของเป็นทุนวันต่อไปส่วนที่เหลือก็เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว ที่มีทั้งหมด 7คน ซึ่งประกอบด้วย แม่อายุ 53ปี (พ่อเสียชีวิตแล้ว) น้องสาวอายุ 35ปี ลูกสามคน ชายคนโตอายุ 18ปี คนที่สองเป็นหญิง อายุ 17ปี แต่งงานและหย่ากับสามีมีลูกหนึ่งคน และลูกสาวคนสุดท้องอายุ 10ปี ส่วนสามีของเธอไม่ประกอบสัมมาอาชีวะเพียงแต่ขอเงินเธอซื้อเหล้ากินไปวันๆเท่านั้น (หน้า 120)
เธอเล่าว่า ความสัมพันธ์ของเธอกับบ้านเก่าบนดอยแทบไม่มีความหมายเพราะไม่ค่อยได้กลับบ้านเนื่องจากห่วงทำมาหากิน ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่บ้านจะคัดรายชื่อครอบครัวของเธอออกหรือไม่ เนื่องจากบ้านที่เธอเคยอยู่ก็ไม่เหลือแล้ว เนื่องจากเจ้าของที่ยึดที่ดินคืน สำหรับการขายดอกไม้ในเมือง นางคำหล้าประมาณว่า กว่าครึ่งหนึ่งเป็นลาหู่ คงเป็นเพราะว่าลาหู่เห็นคนลาหู่ด้วยกันมาขายดอกไม้ก็มาขายด้วยกัน แม้ว่าจะเป็นลาหู่เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้รู้จักกันทั้งหมด ความใฝ่ฝันของเธอไม่ต้องการอะไรมากเพียงแต่ต้องการที่อยู่ที่ไม่กว้างพอได้อยู่อาศัย สำหรับเป็นที่พักหลับพักผ่อนก็พอ ส่วนความกังวลก็กังวลเรื่องหลักฐานการเกิดของลูกที่ไม่สามารถหาหลักฐานการเกิดหรือดำเนินการได้ เพราะตนพูดไทยไม่ได้ ดังนั้นการวิ่งเต้นจึงต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่สามารถพูดไทยได้ ซึ่งเธอก็ไม่เคยละทิ้งความหวังนี้เพื่ออนาคตที่สดใสของลูกสาวคนนี้ จากบทสัมภาษณ์นางคำหล้าส่วนหนึ่งได้สะท้อนการปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มลาหู่ด้วยกันเช่น ที่พักของนางคำหล้านั้นอาศัยอยู่ใต้ถุนบ้านของลาหู่ครอบครัวอื่น แม้ที่พักที่อยู่อาศัยจะค่อนข้างลำบากแต่เธอก็เห็นว่า ผู้ให้เธอและครอบครัวได้เช่าอยู่แม้จะเป็นตัวเงินไม่มากนั้น ก็ถือว่าคนลาหู่ด้วยกันนั้น ยังให้ความช่วยเหลือกันดีแม้ว่าไม่ใช่ญาติพี่น้อง แต่ก็มีน้ำใจให้เธอและครอบครัวได้อยู่เพื่อเป็นที่พักในการทำงานขายพวงมาลัยในเมืองเชียงใหม่ (หน้า 120-130)
สล่าจะงะ เลาอือ ผู้ประกาศข่าวภาษาลาหู่
สล่าจะงะ เลาอือ ทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวภาษาลาหู่ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่ สล่าจะงะ เป็นกลุ่มลาหู่นะ เกิดที่ฝั่งประเทศไทย ใช้ชีวิตวัยเด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ ที่บริเวณชายแดนไทย พม่า เขาเกิดเมื่อวันที่ 1มกราคม พ.ศ. 2489 เป็นลูกคนโตในจำนวนพี่น้อง 5คน ปัจจุบันเหลือพี่น้องสองคนส่วนที่เหลือนั้นได้เสียชีวิต สง่าจะงะ เล่าว่า พ่อของเขาเกิดที่ประเทศจีน ต่อมาได้ย้ายที่อยู่มาอยู่ที่ประเทศพม่าแล้วเข้ามาอยู่ประเทศไทยตามลำดับ ส่วนสาเหตุที่พ่อย้ายบ้านเนื่องจากกลัวว่าจะไม่สามารถอยู่ในจีนได้เพราะขณะนั้นจีนเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ขณะนี้พ่อของเขาได้เสียชีวิตไปประมาณ 30กว่าปี ช่วงปีพ.ศ. 2498ครอบครัวของเขาได้ย้ายมาอยู่ที่นิคมสงเคราะห์ชาวเขาเชียงดาว ที่หมู่บ้านป่าห้วยตาด อำเภออินทขิน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งที่อยู่นั้นเป็นเขตติดต่อระหว่างอำเภอแม่แตง และอำเภอเชียงดาว ซึ่งบริเวณนั้นคนเรียกว่าดอยเชียงดาว ลาหู่ในหมู่บ้านส่วนมากเป็นลาหู่ญี มีบ้านเรือนประมาณ 100หลังคาเรือน (หน้า 131) หลังจากเรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก็ออกจากโรงเรียนไม่เรียนต่อให้จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7ในสมัยนั้น (หน้า 133)
เข้าเข้าทำงานที่สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2514ซึ่งในขณะนั้น อายุ 25ปี เนื่องจากทางสถานีต้องการผู้ประกาศข่าวภาษาลาหู่ การทำงานในตอนนั้น เงินเดือน 450บาท แต่เงินเดือนไม่พอใช้จึงมาทำงานพิเศษเป็นเด็กปั้มในเวลากลางคืน เข้างาน 5โมงเย็น ถึง 7โมงเช้า (หน้า 133) เขาทำงานสถานีวิทยุมา 31ปีแล้ว อีกสามปีจะเกษียณ (พ.ศ. 2549) (หน้า 134) สำหรับสาเหตุที่ลาหู่ ต้องเดินทางลงจากดอยเข้าเมืองนั้นเขาเล่าว่า เนื่องจากไม่มีที่ดินทำกิน นอกจากนี้ยังมีบางพื้นที่ที่ทางการประกาศเป็นป่าสงวน ดังนั้นลาหู่จึงไม่สามารถปลูกพืชผักได้ ส่วนปัญหาอื่นที่พบมากเช่น ปัญหายาเสพติดเนื่องจากหมู่บ้านของลาหู่นั้นอยู่ติดบริเวณชายแดน จึงมีกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดเข้ามาขอพักค้างแรม เนื่องจากลาหู่กลัวว่ากลุ่มผู้ค้ายาเสพติดจะทำร้าย ดังนั้นปัญหาเรื่องยาเสพติดจึงยากที่จะแก้ไข ส่วนปัญหาเรื่องบัตรประจำตัวประชาชนนั้นยังมีลาหู่อีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนแม้ว่าจะอยู่เมืองไทยมาเป็นเวลานาน แต่ในระยะหลังเมื่อองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าไปช่วยเหลือจึงทำให้ลาหู่มีบัตรประชาชนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังมีลาหู่อีกจำนวนมากที่ยังไม่มีบัตรประชาชนเพราะตกสำรวจ (หน้า 135-141) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
จำนวนประชากรลาหู่ในเมือง จำแนกตามอายุและเพศ (หน้า 16) จำนวนประชากรลาหู่ในเมือง จำแนกตามสถานภาพสมรส และเพศ (หน้า 17) จำนวนประชากรลาหู่ที่เข้ามาในเมือง จำแนกตามปี พ.ศ. (หน้า 18) ประชากรลาหู่ที่เข้ามาในเมือง จำแนกตามจังหวัดต้นทาง (หน้า 19) ประชากรลาหู่ที่เข้ามาในเมือง จำแนกตามอายุและปี พ.ศ.ที่เข้าเมือง (หน้า 19) จำนวนประชากรลาหู่ที่เข้ามาในเมือง จำแนกตามเพศ และปี พ.ศ.ที่เข้ามาในเมือง (หน้า 20) ประชากรลาหู่ในเมือง เชียงใหม่ จำแนกตามอายุ และศาสนา (หน้า 21) ประชากรลาหู่ในเมือง เชียงใหม่ จำแนกตามสถานภาพสมรส และศาสนา (หน้า 21) ประชากรลาหู่ในเมือง เชียงใหม่ จำแนกตามอายุ และระดับการศึกษา (หน้า 22) จำนวนประชากรลาหู่ในเมือง เชียงใหม่ จำแนกตามอายุ และระดับการศึกษาที่กำลังเรียน (หน้า 22) จำนวนประชากรลาหู่ในเมือง เชียงใหม่ จำแนกตามอายุ และระดับการศึกษาที่จบ (หน้า 23) ประชากรลาหู่ในเมือง เชียงใหม่ จำแนกตามเพศ และระดับการศึกษาที่จบ (หน้า 23) จำนวนประชากรลาหู่ในเมือง จำแนกตามศาสนา และสถานศึกษาที่เรียน (หน้า 23)
จำนวนประชากรลาหู่ในเมือง จำแนกตามศาสนา และอำเภอที่พักอาศัยปัจจุบัน (หน้า 24) ประชากรลาหู่ในเมืองเชียงใหม่ จำแนกตามเพศ และอำเภอที่อยู่ปัจจุบัน (หน้า 25) ประชากรลาหู่ในเมือง จำแนกตามสถานภาพสมรส และประเภทที่พักอาศัย (หน้า 26) จำนวนประชากรลาหู่ในเมือง จำแนกตามอายุ และประเภทของแหลางที่พักอาศัย (หน้า 26) ประชากรลาหู่ในเมืองเชียงใหม่ จำแนกตามเพศ และลักษณะการอาศัย (หน้า 27) จำนวนประชากรลาหู่ในเมือง จำแนกตามอายุ และลักษณะการอาศัย (หน้า 27)ประชากรลาหู่ในเมือง จำแนกตามสถานภาพสมรส และลักษณะลักษณะการอาศัย (หน้า 28) ประชากรลาหู่ในเมือง จำแนกตามศาสนา และลักษณะการอาศัย (หน้า 28) จำนวนประชากรลาหู่ในเมืองเชียงใหม่ จำแนกตามเพศ และประเภทของสถานประกอบการ (หน้า 30) |
|
|