สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject การท่องเที่ยว, การอนุรักษ์, วัฒนธรรม, ไทยโซ่ง, นครปฐม
Author สมทรง บุรุษพัฒน์ และคณะ
Title การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ไทยโซ่ง
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 284 Year 2558
Source มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Abstract

เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการจัดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ โดยชุมชน อันเป็นความร่วมมือกันระหว่างสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล กับชุมชนไทยโซ่ง โดยได้ร่วมมือกันดำเนินการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ชุมชนไทยโซ่งเป็นชุมชนต้นแบบสำหรับการเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้การท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์แบบยั่งยืน นอกจากนี้ยังส่งเสริมการทำงานแบบเครือข่ายการเรียนรู้ระดับชุมชน เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาของตนเองได้ ในการศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาในชุมชนไทยโซ่ง ในจังหวัดนครปฐม จำนวนห้าชุมชนประกอบด้วย ชุมชนสะแกราย, ชุมชนดอนทอง, ชุมชนหัวถนน, ชุมชนเกาะแรต และชุมชนไผ่หูช้าง ในการทำการวิจัยได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชุมชนไทยโซ่ง ได้แก่ การวางรากฐานการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน คือ แกนนำด้านการวางรากฐานการจัดการท่องเที่ยวชุมชนได้รับการพัฒนาศักยภาพ ในการจัดการท่องเที่ยว การพัฒนาและทดลองการจัดการท่องเที่ยวในชุมชน สร้างเครือข่ายการเรียนรู้และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยโซ่ง  จากการทำการวิจัยได้ทำให้ไทยโซ่งในชุมชนศึกษาทั้งห้าแห่งได้เกิดการเรียนรู้ด้านการจัดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์และทำให้เกิดความภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยโซ่ง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต  

Focus

เพื่อพัฒนาชุมชนไทยโซ่งให้เป็นชุมชนต้นแบบ สำหรับการเรียนรู้และการถ่ายทอดองค์ความรู้การท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์แบบยั่งยืน  และเพื่อส่งเสริมการทำงานแบบเครือข่ายการเรียนรู้ในระดับชุมชนให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาได้ (หน้า 6)

Language and Linguistic Affiliations

 ภาษาไทยโซ่ง
          ระบบวรรณยุกต์ของภาษาไทยโซ่ง อยู่ในภาษากลุ่มไท (หน้า 85) คำศัพท์ส่วนมากใกล้เคียงกับภาษาลาว  (หน้า 86) อยู่ในตระกูลไทสาขาตะวันตกเฉียงใต้ (Southwestern Tai) ซึ่งภาษาไทสาขาตะวันออกเฉียงใต้แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม  ภาษาไทยโซ่งอยู่ในกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ตอนบน (Upper Southwestern Tai) ที่ประกอบด้วย  ไทดำ  ไทขาว  ลื้อเชียงตุง  ลื้อเชียงรุ้ง  และชาน  (หน้า 91)  กลุ่มภาษาไทยโซ่งอยู่ในกลุ่มไทเหมือนกับภาษาพวน  ภาษาไทยวน ที่เป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มลาว  อาทิ ลาวครั่ง  ลาวใต้  ลาวหลวงพระบาง  ลาวเวียงจันทน์  ลาวอีสาน  แต่ภาษาไทยโซ่งมีคำหลายคำที่เหมือนภาษาลาว ตัวอย่างเช่น (หน้า 91)
          เอ็ด  หมายถึง  ทำ
          เบิ๊ง   หมายถึง  ดู
          มื้อ   หมายถึง  วัน
          แข่ว  หมายถึง  ฟัน และอื่นๆ (หน้า 91)  แต่ในภาษาไทยโซ่งยังมีคำศัพท์เฉพาะของตนเองอีกด้วย ตัวอย่างเช่น
          อ้าย  หมายถึง  พ่อ
          เอ็ม   หมายถึง  แม่
          จั๊น    หมายถึง  สวย
          งวะ   หมายถึง  หันหน้า
          แขวะ  หมายถึง  ทีแรก  และอื่นๆ (ดูที่หน้า 91)
          ระบบเสียงภาษาไทยโซ่งเหมือนกับภาษาไทย แต่ไม่เหมือนกันที่ภาษาไทยโซ่ง มี      เสียง “ย” ขึ้นจมูกเหมือนภาษาอีสาน และยังมีสระไอไม้ม้วน ภาษาไทยโซ่งมีหน่วยวรรณยุกต์ หกหน่วยเสียง มากกว่าภาษาไทยหนึ่งวรรณยุกต์  ตัวอย่างเช่น  (หน้า 92)
          “จี่เอ๋ามอื๊ออ๋า” แปลว่า “จะเอาอีกหรือเปล่า”
           “เม้ดแล่วว้า”  แปลว่า “ หมดแล้วหรือยัง” เป็นต้น (หน้า 92)
ตัวอักษรไทยโซ่งได้สืบต่อมาจากตัวอักษรไทดำ ที่เรียกว่า “โตสือไตดำ” (ตัวสือ ไทดำ)ที่คาดว่าน่าจะมาจากตัวอักษรสมัยสุโขทัย เนื่องจากอาณาจักรสุโขทัยมีอาณาบริเวณถึงตังเกี๋ย ดังนั้น ไทดำ  ไทขาว  ไทแดง  ผู้ไท ที่อยู่ในประเทศลาว กับที่อยู่ทางทิศเหนือของแคว้นสิบสองจุไทคาดว่าจะใช้ตัวอักษรที่ใช้ในในประเทศลาวเวลานั้น  คาดว่าตัวอักษรภาษาไทดำได้รับอิทธิพลมาจากตัวอักษรสุโขทัย และใช้เขียนในอาณาจักรล้านช้าง ไทดำรับรูปแบบตัวอักษรตั้งแต่ยุคที่อยู่แคว้นสิบสองจุไท ที่มีเมืองแถง หรือเดียนเบียนฟู เป็นศูนย์กลางความเจริญทางด้านการค้าและวัฒนธรรมในเวลานั้น (หน้า 92) 

Study Period (Data Collection)

กุมภาพันธ์ 2554 ถึง มิถุนายน  2555 (หน้า บทคัดย่อภาษาไทย viii) 

History of the Group and Community

ความเป็นมาของไทยโซ่ง
          ไทยโซ่งอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 3ชั่วอายุคน หรือ 200กว่าปี  ทุกวันนี้ตั้งรกรากเป็นจำนวนมากอยู่ทางภาคตะวันตก เช่น จังหวัดเพชรบุรี, ราชบุรี, กาญจนบุรี, นครปฐม, สมุทรสาคร,สมุทรสงคราม,สุพรรณบุรี ในภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างอาศัยอยู่ที่ จังหวัดพิษณุโลก, สุโขทัย, พิจิตร, กำแพงเพชร, ชัยนาท, ลพบุรี และจังหวัดเลยในภาคอีสาน (หน้า 85)
          ไทยโซ่งในอดีตนั้นตั้งรกรากอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศจีน ที่เป็นที่อยู่เดิมของคนไท ในเวลาต่อมาได้ย้ายครอบครัวลงมาทางตอนใต้มาอยู่ที่เมืองแถง หรือเมืองเดียนเบียนฟู ในทุกวันนี้ ซึ่งมีอาณาเขตติดกับตอนใต้ของจีน  (หน้า 88) และอยู่ทางภาคเหนือของเวียดนาม แต่เดิมเมืองแถงอยู่ใต้การแกครองของเมืองหลวงพระบาง แต่เพราะว่าอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรลาว อยู่ไกลจากเมืองหลวงพระบาง ทำให้การดูแลไม่ค่อยทั่วถึง ดังนั้นจึงให้ปกครองกันเอง ดังนั้นจึงมีบางช่วงเวลา ที่หัวเมืองฝ่ายเหนือ เช่น เมืองแถง และเมืองอื่นๆ ถูกเรียกว่า “เมืองสามฝ่ายฟ้า” เพราะขึ้นกับจีน บางยุค บางช่วงก็อยู่ใต้อำนาจของเวียดนาม (หน้า 89)
          ไทยโซ่งโยกย้ายที่อยู่เข้ามาอยู่ประเทศไทยหลายระลอก เนื่องจากศึกสงครามในอดีต (หน้า 89) ครั้งที่หนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2322ในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อกองทัพไทยนำโดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกกองทัพเมืองหลวงพระบางไปตีเมืองม่วย  เมืองทัน  หรือที่เวียดนามเรียกว่า “ซือหงี” อันเป็นเมืองของไทดำที่อยู่บริเวณชายแดนเวียดนามเหนือ  แล้วอพยพประชาชนชาวลาวจากเวียงจันทน์ กับไทดำมาประเทศไทย ซึ่งทางการไทยได้ให้ลาวเวียงจันทน์ สร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยอยู่ที่เมืองสระบุรี  ราชบุรี  และจันทบุรี  ขณะที่กลุ่มไทดำให้มาอยู่ที่ตำบลหนองปรง  อำเภอเขาย้อย  เมืองเพชรบุรี  งานเขียนคาดว่าสาเหตุที่ให้มาอยู่เพชรบุรีเนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติใกล้เคียงกับเมืองแถง  เช่นมีภูเขา มีลำห้วย   (หน้า 89)
          เมื่อ พ.ศ. 2371 ในสมัยรัชกาลที่ 1กองทัพไทยนำโดยเจ้าพระยาธรรมาได้ยกกองกำลังไปทำสงครามกับเมืองแถง แล้วโยกย้ายครอบครัวไทดำให้มาอยู่ที่เมืองเพชรบุรี (หน้า 89) กระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2379 ไทดำที่อยู่เมืองทึม  เมืองคอย  เมืองควร ได้ก่อกบฎต่อเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุยราช เจ้าราชวงศ์ ได้มอบหมายให้ท้าวพระยายกกองกำลังไปปราบปราม เมื่อสงครามสงบจึงให้ครอบครัวไทดำมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เพชรบุรี ไทดำที่ย้ายครอบครัวมาจากประเทศลาว (หน้า 89)ในสมัยรัชกาลที่ 3ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลท่าแร้ง  อำเภอบ้านแหลม  ภายหลังได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เขาย้อย เพราะอยู่สูงไม่ต้องกังวลเรื่องการเกิดอุทกภัย  จากการที่ไทดำย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน  โดยได้มาอยู่ที่เพชรบุรี ในเวลาต่อมาไทยโซ่งต้องการกลับไปอยู่เมืองแถง จึงได้เดินทางกลับไปทางเหนือ ด้วยความยากลำบาก บางส่วนได้เจ็บป่วยล้มตาย จึงได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามเส้นทางที่ต้องการกลับบ้านที่เมืองแถง  ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก  พิจิตร (หน้า 90)  (หน้า 91)
          ส่วนไทยโซ่งในพื้นที่ศึกษาประกอบด้วย
               1) หมู่บ้านไผ่หูช้าง   ตำบลไผ่หูช้าง  อำเภอบางเลน -ไม่มี
               2) หมู่บ้านดอนทอง  ตำบลดอนข่อย  อำเภอกำแพงแสน-ไม่มี  
               3) หมู่บ้านเกาะแรต  ตำบลบางปลา  อำเภอบางเลน
               แม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน ตำบลบางปลา บริเวณนี้จึงมีปลาชุกชุมเป็นจำนวนมาก เป็นที่หาปลาของคนโดยทั่วไปดังนั้นจึงถูกเรียกว่า “ตำบลบางปลา”  ตำบลบางปลาเป็นอำเภอเก่า อยู่ในพื้นที่นครไชยศรี ในภายหลังทางการได้ย้ายมาอยู่สถานที่ใหม่ ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบางเลน (หน้า 79)  
                4) หมู่บ้านหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา  อำเภอดอนตูม
 แต่เดิมในพื้นที่มีต้นไม้ขึ้นเป็นจำนวนมากแต่มีจำนวนต้นพุทรามากที่สุด ประชากรในพื้นที่ส่วนมากย้ายที่อยู่มาจากตำบลวัดละมุด ในพื้นที่อำเภอนครชัยศรี กับไทยโซ่งจากจังหวัดเพชรบุรี  โดยมาอยู่ในพื้นที่ตำบลดอนพุทรา ประมาณ 100  กว่าปี  (หน้า 80) ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าดอนพุทรา  สำหรับชื่อบ้านหัวถนนนั้น ช่วงรัชกาลที่ 7ราว พ.ศ. 2475  ไทยโซ่งจาก อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ได้ย้ายที่อยู่มาทำมาหากินบริเวณนี้ ดังนั้นทางการจึงสร้างถนนดิน ติดต่อกับตำบลดอนพุทรา ถึงอำเภอดอนตูม จากนั้นเป็นต้นมาหมู่บ้านนี้จึงถูกเรียกว่า บ้านหัวถนน จนถึงทุกวันนี้  (หน้า 81)
               5) หมู่บ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง
               จากคำบอกเล่าระบุว่า ยายหอม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างพระปฐมเจดีย์เคยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้  เมื่อ พ.ศ. 2490 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านดอนยายหอม  (หน้า 82) 

Settlement Pattern

บ้านเรือนไทยโซ่ง  
          ลักษณะบ้านไทยโซ่ง บ้านแบบเก่าหลังคามุงเป็นทรงหลังเต่า วัสดุที่ใช้เป็นไม้ไผ่ บางครั้งก็เป็นหวาย มุงหญ้าแห้งแล้วผูกด้วยเชือกหวาย  (หน้า 92) บริเวณยอดหลังคาทำเป็น ‘ขอกุด’ซึ่งมีลักษณะคล้ายเขาควาย ตามความเชื่อของไทยโซ่งนั้นเชื่อว่าควายนั้นมีบุญคุณ ช่วยไถนาให้คนมีข้าวกินไม่อดอยาก  การมุงหลังคาจะมุงคลุมลงมาถึงพื้นบ้าน ส่วนพื้นบ้านปูด้วยฟากไม้ไผ่ ฝาบ้านก็กั้นด้วยฟากไม้ไผ่ บ้านเป็นแบบชั้นเดียวยกพื้นสูง บริเวณใต้ถุนบ้านใช้เป็นที่นั่งพักผ่อนและเก็บสิ่งของ (หน้า 93)
          บ้านของไทยโซ่งในอดีตจะสร้าง “หิ้งผี” “หอผี” หรือ “กะล้อห่อง” (ห้องผีเรือน) ซึ่งเป็นที่อยู่ของดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับ โดยจะตั้งมุมใดมุมหนึ่งของห้องที่อยู่ในบ้าน ส่วนหิ้งผีจะตั้งที่เสา “เจื้อ” หรือเชื้อสาย ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความอยู่ดีกินดี  ทุกวันนี้แม้ว่าจะมีการปรับปรุงเรื่องการใช้วัสดุ ที่มั่นคงเช่นการใช้ปูน มุงหลังคาด้วยกระเบื้องแต่การสร้างกะล้อห่อง ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม (หน้า 93ภาพ หน้า 94)

Demography

ประชากรไทยโซ่งในพื้นที่ศึกษา
          1)  หมู่บ้านไผ่หูช้าง   ตำบลไผ่หูช้าง  อำเภอบางเลน
มีประชากรทั้งหมด  3,979คน  มีจำนวนหลังคาเรือน  807  หลังคาเรือน (หน้า 76)
          2)  หมู่บ้านดอนทอง  ตำบลดอนข่อย  อำเภอกำแพงแสน
ในตำบลมีจำนวน 16  หมู่บ้าน  จำนวน 1,316ครัวเรือน  (หน้า 77)  ประชากรในตำบล  6,805คน  จำนวนหลังคาเรือน  10,505หลังคาเรือน  (หน้า 78)
          3)  หมู่บ้านเกาะแรต  ตำบลบางปลา  อำเภอบางเลน 
มีประชากรในตำบล 6,974 คน  จำนวนหลังคาเรือน 1,290คน (หน้า 80)
          4)  หมู่บ้านหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา  อำเภอดอนตูม
 ในตำบลมีประชากร 5,077คน  มีจำนวนหลังคาเรือน 1,014หลังคาเรือน  (หน้า 81)
          5)  หมู่บ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง
 ในตำบลมีประชากร  4,293คน  มีจำนวนหลังคาเรือน 861หลังคาเรือน (หน้า 83) 

Economy

เศรษฐกิจ
          1) หมู่บ้านไผ่หูช้าง   ตำบลไผ่หูช้าง  อำเภอบางเลน  
               ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ (หน้า 76)
          2) หมู่บ้านดอนทอง  ตำบลดอนข่อย  อำเภอกำแพงแสน  
               ประชาชนส่วนใหญ่ ทำนาทำสวน  ทำนากุ้ง  ทอผ้า  รับจ้างรายวัน และค้าขาย (หน้า 78)   
          3) หมู่บ้านเกาะแรต  ตำบลบางปลา  อำเภอบางเลน
               ส่วนใหญ่ ทำนา อาชีพรองได้แก่ ทำสวน  ค้าขาย บางส่วนรับราชการและอื่นๆ(หน้า 80)
          4) หมู่บ้านหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา  อำเภอดอนตูม
               ประชาชนส่วนใหญ่ ทำนา ทำสวน ทำไร่ และทำงานรับจ้างเล็กๆน้อยๆ (หน้า 81)
          5) หมู่บ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง
               ประชาชนส่วนใหญ่ทำสวนผลไม้ ปลูกผักขาย เลี้ยงกุ้ง  เลี้ยงปลา ในชุมชนมีการรวมกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองขายเป็นรายได้จุนเจือครอบครัว (หน้า 83)
 
การพัฒนาต้นแบบแหล่งท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์โดยชุมชน
          คณะผู้วิจัยได้ร่วมกับไทยโซ่งในชุมชน เพื่อระดมความคิดเห็นในการพัฒนาชุมชนไทยโซ่ง ในพื้นที่ศึกษาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ โดยเข้าไปศึกษาและค้นศักยภาพสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทยโซ่ง (หน้า 115)  โดยกลุ่มผู้วิจัยได้ศึกษาเปรียบเทียบกับชุมชนที่อยู่ในจังหวัดอื่นๆในประเทศไทย จึงพบว่า ชุมชนไทยโซ่งทั้งห้าแห่งนั้นมีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมภาษา ที่สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ได้ ดังนั้นในส่วนหนึ่งของการทำวิจัย คณะผู้วิจัยได้ลงพื้นที่พบผู้นำชุมชน คนไทยโซ่งในชุมชนเพื่อระดมความคิดเห็น และศึกษาดูงานในแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอื่นๆ ซึ่งในการศึกษาได้มีการดำเนินการดังต่อไปนี้  (หน้า 116)
          1) กว่าจะเป็นหมู่บ้านเป้าหมาย 5ชุมชน
 พื้นที่ศึกษาที่เป็นชุมชนไทยโซ่ง 5ชุมชนนั้น เป็นพื้นที่ที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายในโครงการวิจัยเรื่องการใช้ภาษาและทัศนคติต่อภาษาและการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ในภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเข้มแข็งทางภาษาวัฒนธรรมได้แก่ กะเหรี่ยง  มอญ และไทยโซ่ง  ซึ่งกลุ่มไทยโซ่ง ในพื้นที่ศึกษานี้เป็นกลุ่มนำร่อง ในการศึกษาเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ (หน้า 116) หากการทำงานวิจัยประสบความสำเร็จก็จะมีโครงการขยายไปยังกลุ่มชาติพันธุ์อื่นต่อไป (หน้า 117) ในการศึกษาวิจัยได้มีการลงภาคสนามและสัมภาษณ์ผู้นำชุมชน แกนนำ ปราชญ์ชาวบ้าน และไทยโซ่งในชุมชน ซึ่งคณะวิจัยได้ให้รายละเอียดต่างๆดังนี้ (หน้า 118)
          2) จากกรอบความคิดสู่แนวทางการปฏิบัติ  (หน้า 118)
               2.1)  ขั้นตอนที่หนึ่ง การเชิญแกนนำชุมชนเข้าร่วมประชุมชี้แจงเป้าหมายพร้อมทั้งสอบถามความสนใจ  ทางผู้วิจัยได้ประสานงานกับผู้นำท้องถิ่น เช่น กำนัน  ผู้ใหญ่  แกนนำไทยโซ่งในชุมชนเพื่อสอบถามความคิดเห็นและเชิญร่วมโครงการ (หน้า 120) นอกจากกลุ่มผู้นำแล้วยังมองหาแนวทางเพื่อขยายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ อันจะเป็นการฟื้นฟูและอนุรักษ์ ภาษาและวัฒนธรรมไทยโซ่ง (หน้า 121) ระดมความคิดเห็นของผู้นำชุมชนเช่น อบต.  (หน้า 122) ครูและผู้นำชุมชนอื่นๆ เพื่อสอบถามความคิดเห็น ด้านการทำงานส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรม (หน้า 123) จากนั้นคณะผู้วิจัยและชุมชนก็ได้จัดเวทีเพื่อระดมความคิดเห็นในการทำโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ อันเป็นความร่วมมือระหว่างคณะผู้วิจัยและไทยโซ่งที่อยู่ในชุมชนไทยโซ่งทั้ง 5ชุมชน (หน้า 124)
               2.2)  ขั้นตอนที่สอง การสร้างความเข้าใจที่ตรงกันของชาวบ้านผ่านการจัดเวทีชาวบ้าน   ได้แก่การชี้แจงโครงการวัตถุประสงค์ ข้อดีและข้อเสียเรื่องการจัดการท่องเที่ยว และให้ทราบถึงข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นหากมีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอนาคต (หน้า 124) นอกจากนี้ยังหาแนวทางเพื่อนำสินค้าจำหน่าย รวมถึงการมองเผื่อถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้การจำหน่ายสินค้าเป็นรายได้เสริมหากไม่มีนักท่องเที่ยวมากเท่าที่ควรแต่ก็สามารถให้คนในชุมชนอยู่ได้ (หน้า 125)การระดมความคิดเห็นเรื่องการฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมไทยโซ่ง (หน้า 126) ที่คนในชุมชนจะได้ระดมความคิดเห็นร่วมกันและฟังวัตถุประสงค์ของการทำการวิจัยแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ไทยโซ่งในครั้งนี้ (หน้า 127)
               2.3)  ขั้นตอนที่สาม การระดมความคิดเห็นในการค้นหา “ของดีชุมชน” พร้อมทั้งการสำรวจชุมชน   ขั้นตอนนี้ได้ระดมความคิดเห็นของผู้นำชุมชน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อฟังความคิดเห็นและสำรวจของดีในชุมชน  เช่นทรัพยากรทางธรรมชาติ  ภูมิปัญญาในท้องถิ่น ตำนาน และอื่นๆ  (หน้า 127) สินค้าด้านการเกษตรที่สามารถนำมาจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว (หน้า 128) วัฒนธรรมการแต่งกาย   การทอผ้า  วิธีการทอผ้า   อาหาร เช่นแกงหน่อส้ม  ลาบเลือด ที่ปรุงให้สุกด้วยการใช้พืชสมุนไพร (หน้า 129) การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จัก การลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์ผู้รู้ และอื่นๆ  (หน้า 130)
               2.4)  ขั้นตอนที่สี่ การวางแผนการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน  เป็นขั้นตอนเพื่อวางแผนการทำงาน เช่นทำอะไร ทำอย่างไร ที่ไหน เวลาดำเนินการและผู้ดำเนินการ (หน้า 131-134)
          3) “ชม ชิม ช้อป” ผลของการจัดเวทีชาวบ้านระดมค้นหา “ของดีชุมชน”         ร่วมระดมความคิดเห็น (หน้า 134) เพื่อรวบรวมสิ่งที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวโดยชูนโยบายสามอย่างคือ “ชม  ชิม ช้อป” คือที่ชมการละเล่นพิธีกรรม แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ, ชิม อาหารพื้นเมืองทั้งคาวและหวาน, ช้อป คือการจัดจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองของไทยโซ่ง ทั้งสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติและสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้น  (หน้า 135)
               3.1)  หมู่บ้านหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา  อำเภอดอนตูม   กิจกรรมที่เตรียมไว้ได้แก่  ชม การแต่งกายแบบไทยโซ่ง  ชมวัด ชมกลุ่มจักสาน เป็นต้น(หน้า 136) ชิมอาหารพื้นบ้าน เช่นแกงผำ (สาหร่ายน้ำจืด) ผักปลอดสารพิษ (หน้า 137)   ช้อป สินค้าด้านการเกษตร เครื่องจักสาน น้ำพริก และอื่นๆ  (หน้า 137)
               3.2)  หมู่บ้านดอนทอง  ตำบลดอนข่อย  อำเภอกำแพงแสน  ชมศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำ  ชมกลุ่มทอผ้า (หน้า 138)  ชิมอาหารที่ทำจากกุ้งและปลา และผักนานาชนิด(หน้า 138) เลือกช้อปสินค้าพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์การแปรรูปด้านการเกษตร  และอื่นๆ (หน้า 139)
               3.3)  หมู่บ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง  ชมศิลปวัฒนธรรมไทยโซ่ง ชมผ้าทอที่ศูนย์ทอผ้า (หน้า 139) ชิมอาหารพื้นบ้าน สมุนไพร ผักปลอดสารพิษ (หน้า 140)  เลือกซื้อสินค้าด้านการเกษตรและสินค้าแปรรูป ขนมพื้นบ้าน และอื่นๆ  (หน้า 140)
               3.4)  หมู่บ้านเกาะแรต  ตำบลบางปลา  อำเภอบางเลน   ชมศูนย์วัฒนธรรมไทยโซ่ง(หน้า 140)  ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน แหล่งทอผ้า (หน้า 141)ชิมอาหารพื้นเมือง ขนมต่างๆ เช่นข้าวต้มมัด ข้ามหลาม กระยาสารท ส้มโอ และอื่นๆ  (หน้า 142) เลือกซื้อผ้าซิ่นลายแตงโม  เสื้อฮี เสื้อก้อม เสื้อซอน  ผ้าเปี่ยว กระเป๋า เสื้อผ้า เป็นต้น ( หน้า 142)
               3.5)  หมู่บ้านไผ่หูช้าง   ตำบลไผ่หูช้าง  อำเภอบางเลน ชมเรือนไทยโซ่ง (หน้า 142) สมาคมไทดำ(แห่งประเทศไทย) ศูนย์ศึกษาภาษาไทยโซ่ง  (หน้า 143)  เลือกชิมอาหารพื้นบ้าน (หน้า 143) เลือกซื้อสินค้าพื้นบ้านไทยโซ่ง  (หน้า 144)   

Social Organization

สังคมไทยโซ่ง
          เพราะไทยโซ่งย้ายไปอยู่จังหวัดอื่นเพื่อเสาะหาที่ดินทำกินใหม่ นามสกุลของไทยโซ่งในการหาที่ทำกินใหม่ได้บอกว่ามาจากพื้นที่ต่างๆของจังหวัดเพชรบุรี ตัวอย่างเช่น
          นามสกุล “อินทร์เขาย้อย” อยู่หมู่บ้านหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา  อำเภอดอนตูม  จังหวัดนครปฐม  (หน้า 90) นามสกุล “ไฝเพชร” อยู่หมู่บ้านดอนมะเกลือ  ตำบลดอนมะเกลือ  อำเภออู่ทอง  จังหวัดสุพรรณบุรี (หน้า 90) นามสกุล “เพชรเกอร์” และนามสกุล “เพชรเอี๊ยะ” อยู่หมู่บ้านวังปลา  ตำบลแก้มอ้น  อำเภอจอมบึง  จังหวัดราชบุรี (หน้า 90) จากการตั้งข้อสังเกตของผู้เขียนบอกว่า ไทยโซ่งรุ่นเก่าโดยมากได้ย้ายครอบครัวมาจากจังหวัดเพชรบุรี แต่ไทยโซ่งรุนหลังได้ย้ายครอบครัวต่อไปอีก (หน้า 90) โดยไปอยู่จังหวัดที่อยู่ใกล้กัน ได้แก่ ไทยโซ่งหมู่บ้านวังปลา  ตำบลแก้มอ้น  อำเภอจอมบึง  จังหวัดราชบุรี ส่วนมากย้ายครอบครัวมาจากจังหวัดนครปฐม นอกจากนี้ไทยโซ่งที่อยู่จังหวัดใกล้ๆกันชอบติดต่อพบปะสังสรรค์เมื่อถึงงานประเพณีสำคัญของไทยโซ่ง เช่นงานวันสงกรานต์ เป็นต้น  (หน้า 91)  

Political Organization

การเมืองการปกครอง
          จังหวัดนครปฐม ประกอบด้วย 7อำเภอ 106ตำบล 930หมู่บ้าน  เทศบาลนครหนึ่งแห่ง  องค์การบริหารส่วนจังหวัดหนึ่งแห่ง  14เทศบาลตำบล, 101องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)  (หน้า 68)  เขตการปกครองทั้งเจ็ดอำเภอประกอบด้วย  อำเภอเมืองนครปฐม  อำเภอนครชัยศรี  อำเภอสามพราน  อำเภอดอนตูม  อำเภอบางเลน  อำเภอกำแพงแสน  และอำเภอพุทธมณฑล (หน้า 68)

Belief System

ศาสนาความเชื่อและพิธีกรรม
          ไทยโซ่งมีความเชื่อเรื่องผี โดยเชื่อว่า ผีมีทั้งผีดีและผีร้าย ผีทั้งหลายอาจให้คุณและให้โทษได้  ลูกหลานไทยโซ่งจะต้องดูแลผีให้ดีไม่เช่นนั้นผีจะลงโทษให้ได้รับความเดือดร้อน ประเภทของผีแบ่งเป็นสามอย่างดังนี้ แถนหรือผีฟ้า ผีบ้านผีเมือง ผีบรรพบุรุษหรือผีเรือน  (หน้า 101)
          แถนคือ  เทวดาที่อยู่บนฟ้ามีอิทธิฤทธิ์มาก มีความเก่งกาจสามารถทำในสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับมนุษย์  สัตว์ต่างๆ และพืชพรรณทั้งหลาย (หน้า 101)
          ผีบ้าน คือผีเจ้าที่ที่สิงสถิตอยู่บริเวณป่าดอยหรือตามต้นไม้ต่างๆ มีหน้าที่ปกป้องดูแลให้บ้านเมืองอยู่อย่างมีความสุขอยู่ดีกินดี (หน้า 101)
          ผีบรรพบุรุษ หรือผีเรือน  คือ ขวัญของปู่ ย่า ตา ยาย ที่ล่วงลับไปแล้วลูกหลานทั้งหลายได้ทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณมาอยู่ที่เรือน โดยเชิญวิญญาณมาอยู่ที่กะล้อห่อง     
ทุกวันนี้ไทยโซ่งส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ ส่วนไทยโซ่งที่นับถือศาสนาคริสต์ก็จะไม่เซ่นไหว้ผีเรือน  (หน้า 101) ส่วนพิธีที่เกี่ยวกับการนับถือผีมีดังนี้
          พิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีเฮือนหรือผีบรรพบุรุษ    ประกอบด้วย  พิธีขึ้นบ้านใหม่ พิธีเชิญผีขึ้นเรือน (หน้า 101) พิธีเสนกวัดไกว หรือ เสนกวัดกวาย คือการทำพิธีไล่สิ่งอัปมงคลออกจากบ้านเพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข (หน้า 105)  พิธีปาดตง  ข้าวใหม่  พิธีเสนเรือน  และอื่นๆ  (หน้า 101) พิธีปาดตง   คือการเซ่นไหว้ผี หรือเลี้ยงผีเรือนด้วยอาหารหวานคาว ทุกๆ 10วัน ตามวันข้อกำหนดของแต่ละตระกูล โดยเรียกว่า“เวนตง” ถ้าเป็นตระกูลผู้น้อย  ส่วนตระกูลผู้ต๊าว หรือผู้ท้าว จะทำทุกๆ รอบห้าวัน (หน้า 105)
          พิธีกรรมเกี่ยวกับผีมด หรือผีที่ทำให้ป่วยไข้  ประกอบด้วย  พิธีเสนหับมด  พิธีเสนกินปาง, พิธีตามขวัญคนไข้, พิธีเสนแก้เคราะห์ให้ผู้ป่วยหายจากความเจ็บไข้ได้ป่วย และอื่นๆ  (หน้า 101,105) พิธีเสนตัว (เสนโต๋)  คือการเรียกขวัญเมื่อเวลาเป็นไข้ไม่สบาย ให้ขวัญกลับเข้าสู่ร่างกายจะได้หายจากการเจ็บป่วย (หน้า 105)
          พิธีกรรมเกี่ยวกับแถนหรือผีฟ้า  เช่นพิธีเสนเต็ง หรือเสนผีน้อยจ้อย(หน้า 102) พิธีเสนเต็ง     คือพิธีเสนเพื่อไถ่ความผิดของผีเรือนที่ทำให้แถนโกรธเคือง เมื่อแถนจับผีเรือนไปลงโทษ ดังนั้นด้วยความแค้นผีเรือนจึงกลับมาทำโทษลูกหลานในครอบครัวให้เป็นไข้ไม่สบาย  เพื่อให้ลูกหลานไปช่วยไถ่ถอนตัวเองจากแถน ฉะนั้นแล้วเมื่อคนในครอบครัวเป็นไข้ไม่สบาย จึงจัดพิธีเสนเพื่อนำเครื่องเซ่นไหว้ไปให้แถนจะได้หายจากความเจ็บไข้ได้ป่วยนั่นเอง  (หน้า 105)
          พิธีที่เกี่ยวกับผีประจำหมู่บ้าน     ได้แก่ พิธีไหว้ศาลของหมู่บ้าน (หน้า 102)
          พิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีเกือด(แม่ซื้อ)        คือ พิธีเสนฆ่าเกือด คือการฆ่าแม่ซื้อของทารก ไทยโซ่งเชื่อว่าแม่ซื้อคือผีที่ตาทารกแรกเกิด และจะเอาเด็กกลับไปอยู่ด้วย  ฉะนั้นแล้วก็ต้องกำจัดแม่ซื้อก่อนเพื่อให้เด็กน้อยมีพลานามัยสมบูรณ์ (หน้า 102,105)
          พิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีนา และแม่โพสพ          ประกอบด้วย พิธีเลี้ยงผีนา  การทำพิธีเรียกขวัญข้าวขึ้นยุ้งฉาง  (หน้า 102)
          พิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีไม่มีญาติ หรือผีที่ตายไม่เป็นมงคล         อาทิเช่น    พิธีทำสังกะบาล (หรือ สังฆทาน) เป็นต้น (หน้า 102)  
          ส่วนพิธีอื่นๆ เช่น พิธีเสนแก้เคราะห์เฮือน คือการแก้เคราะห์ให้กับบ้านที่มีคนในครอบครัวสิ้นชีวิต หรือสร้างบ้านหลังใหม่ (หน้า 105)
 
พิธีเสนเฮือนหรือเสนเรือน
          แบ่งเป็นสองอย่างคือ ประกอบพิธีตามตระกูล หรือสิง  เช่น ตระกูลผู้ต๊าว     (หรือ ผู้ท้าว) คือไทยโซ่งที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลชั้นเจ้าเมือง  กับตระกูลผู้น้อยคือไทยโซ่งที่สืบเชื้อสายมาจากประชาชนทั่วไป (หน้า 102)
          การประกอบพิธีเสนเรือนจะทำพิธีทุกปี บางครั้งก็ทำ 2-3ปีต่อครั้งขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละครอบครัว คนที่เป็นลูกหลานจะจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ มาทำพิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ เพื่อแสดงความขอบคุณที่ผีบรรพบุรุษช่วยดลบัลดาลให้คนในครอบครัวอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  ในวันที่ประกอบพิธีกรรมนั้น ญาติพี่น้องที่นับถือผีเรือนเดียวกันก็จะมาทำพิธีร่วมกันโดยพร้อมเพรียง ในวันนี้ลูกหลานจะนำเครื่องเซ่นไหว้ เช่น เหล้า  ข้าวสาร  หมาก  พลู  เงิน และสิ่งของอื่นๆมารวมกัน วันนี้หากเป็นผู้ท้าวก็จะฆ่าควาย แต่หากเป็นผู้น้อยก็จะฆ่าหมู หลังจากฆ่าแล้วก็จะทำความสะอาด  (หน้า 102) จากนั้นคนที่เป็นลูกเขย หรือลูกชายที่สวมเสื้อฮี ก็จะหามหมูตัวนั้นไปยังห้องผีเรือน เซ่นไหว้บอกผีเรือน จากนั้นก็จะชำแหละเนื้อออกเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในกระบะที่ประกอบพิธี ซึ่งเรียกว่า “ปานเผือน” ในนี้จะมีของหวานคาวนานชนิด ผลไม้หมากพลู และเหล้าหนึ่งขวด  เมื่อถึงเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า หมอเสนก็จะเชิญผีเรือนเพื่อให้มารับเครื่องเซ่นไหว้ โดยหมอเสนจะอ่านชื่อผีปู่ ย่า ตายายที่ล่วงลับไปแล้ว จากสมุด (ไทยโซ่งเรียกว่า “ปั๊บผีเรือน) ในช่วงที่ทำพิธีเลี้ยงผีเรือน  หมอเสนจะนำตะเกียบคีบกับข้าวชิ้นเล็กจ้อย ใส่ลงไปในรูขนาดเล็กที่บริเวณฝาเรือน  (หน้า 103)
          หลังจากทำพิธีเซ่นไหว้เรียบร้อยแล้ว ก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้ที่อยู่ในเผือนออกมาแบ่งปันกับคนที่มาร่วมงานและญาติพี่น้อง  ต่อมาหมอเสน  คนในครอบครัวและญาติพี่น้องก็จะกินข้าวร่วมกัน ภายในห้องผีเรือน ส่วนแขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็จะพบปะพูดคุยและกินข้าวร่วมกันที่บริเวณทางด้านนอก (หน้า 103ดูภาพพิธีเสนเรือนที่หน้า 104)

Education and Socialization

การศึกษา
          ในจังหวัดนครปฐมได้มีการสอนภาษาไทยโซ่งและอนุรักษ์วัฒนธรรมของไทยโซ่ง ในชุมชนไทยโซ่ง ได้แก่ ตำบลไผ่หูช้าง  ตำบลบางปลา  อำเภอบางเลน (หน้า 106)  ตำบลสระกระเทียม  ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง (หน้า 106) ตำบลดอน พุทรา อำเภอดอนตูม (หน้า 106)  ตำบลสระสี่มุม  ตำบลสระพัฒนา  อำเภอกำแพงแสน    (หน้า 106) ชุมชนต่างๆ ได้จัดกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยโซ่ง ดังต่อไปนี้  
          หมู่บ้านไผ่หูช้าง   ตำบลไผ่หูช้าง  อำเภอบางเลน
          ไทยโซ่งได้ก่อตั้งสมาคมไทดำ(แห่งประเทศไทย) นอกจากนี้ยังมีการตั้งชมรมไทดำไว้ที่จังหวัดเลย  และไทดำที่อพยพไปอยู่ที่รัฐไอโอว่า สหรัฐอเมริกา ก็มีไทดำที่ไปอยู่ที่นั่นได้บริจาคที่ดินเพื่อเป็นที่ตั้งของชมรมไทดำ  ไทยโซ่งในชุมชนได้ร่วมกันอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมไทยโซ่ง โดยได้สอนภาษาไทยโซ่งที่ศูนย์เรียนรู้ภาษาไทดำ นอกจากนี้ยังได้ตั้งศูนย์วัฒนธรรมตำบลไผ่หูช้าง   กลุ่มทอผ้า  วงแคนประยุกต์ของเยาวชนหนุ่มสาว  และมีการจัดตั้ง หมู่ที่ 5(หมู่บน) เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ไทดำ ไผ่หูช้าง  ก่อตั้งโดยครูของโรงเรียนวัดไผ่หูช้าง (หน้า 106ภาพหน้า 107) 
 
หมู่บ้านเกาะแรต  ตำบลบางปลา  อำเภอบางเลน
          ในชุมชนได้มีการอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมไทยโซ่ง โดยเก็บสิ่งของเครื่องใช้ของไทยโซ่ง ไว้ที่ศูนย์เด็กเล็ก เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ของชุมชนไทยโซ่ง มีการเรียนการสอนภาษาไทยโซ่งในระดับมัธยมศึกษา (หน้า 108)ในหมู่บ้านเกาะแรต คนในชุมชนได้ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยโซ่ง เช่น ภายในหมู่บ้านมีศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำ ตั้งอยู่ที่หมู่ 11, ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเกาะแรต โรงเรียนวัดเกาะแรต, มูลนิธิไทยทรงดำ ตั้งอยู่ หมู่ 11, มีกลุ่มทอผ้าพื้นเมือง, กลุ่มจักสาน ที่หมู่ 12, ชุมชนแห่งนี้นอกจากนี้ยังมีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งร่วมทำงานด้านอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยโซ่งหลายคน ชุมชนบ้านเกาะแรตนั้นได้จัดงานวันสงกรานต์เป็นประจำทุกปี (หน้า 109)
 
ชุมชนไทยโซ่ง ตำบลสระกระเทียม  อำเภอเมือง
          โซ่งได้ตั้งกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยทรงดำ ที่หมู่ 9บ้านดอนทราย โดย  องค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียม ให้การสนับสนุนในการจัดกิจกรรมด้านอนุรักษ์  (หน้า 109)
 
หมู่บ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง
          ในชุมชนมีบ้านไทยโซ่งจำลอง จัดเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชน ที่หมู่ 9บ้านสะแกราย   (หน้า 109) ศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาไทยปิยะชนก ศูนย์ท่องเที่ยววัฒนธรรมวิถีชีวิต ดูแลโดยไทยโซ่ง, กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองสะแกราย ตั้งอยู่หมู่ 9 ได้รับการคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์ระดับสี่ดาว เมื่อปี พ.ศ. 2552  ประเภทผ้าทอพื้นเมืองลายแตงโม โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และศูนย์เรียนรู้ชุมชน หมู่ 9บ้านสะแกราย สำนักงานพัฒนาชุมชน  (หน้า 110)
 
หมู่บ้านหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา  อำเภอดอนตูม
          ไทยโซ่งในชุมชนและผู้นำชุมชนได้ร่วมกันตั้งพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตไทยทรงดำบ้านหัวถนน  เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาไทยโซ่ง โดยมีการจัดแสดงกิจกรรมต่างๆเช่น การแสดงประเพณีวัฒนธรรมของไทยโซ่ง การทอผ้า การย้อมผ้า สาธิตเครื่องมือทำมาหากินในชีวิตประจำวันของไทยโซ่ง และมีศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวอีกด้วย (หน้า111) 
 
หมู่บ้านดอนทอง  ตำบลดอนข่อย  อำเภอกำแพงแสน
          ไทยโซ่งและผู้นำชุมชนได้ร่วมกันจัดทำโครงการหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยทรงดำ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของไทยทรงดำ โดยได้สร้างบ้านไทยทรงดำเพื่อทำกิจกรรม แสดงศิลปวัฒนธรรมเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวัน และเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว (หน้า 113) นอกจากนี้พื้นที่ หมู่ 15บ้านโคกหลวง ตำบลดอนข่อย คนในชุมชนได้ร่วมกันทำโครงการโฮมสเตย์  ในชุมชนมี       วัดดอนทอง ที่เป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยี่ยมชม (หน้า 113)
 
ตำบลสระสี่มุม  ตำบลสระพัฒนา  อำเภอกำแพงแสน   
          ชุมชนไทยโซ่งที่มีความขยันขันแข็งด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยโซ่งคือชุมชน สระสี่มุม และชุมชนสระพัฒนา ที่คนในชุมชนยังคงพูดคุยด้วยภาษาไทยโซ่ง และยังมีการประกอบพิธีกรรม และงานประเพณีของไทยโซ่งที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ตายาย  ตัวอย่างเช่น วันที่ 17เมษายน ของทุกปี  อบจ.นครปฐมและอบต.สระสี่มุมและไทยโซ่งในชุมชนได้ร่วมจัดงานไทยทรงดำและรำฟ้อนแคน ที่บริเวณหน้าองค์การบริหารส่วนตำบลสระสี่มุม  (หน้า 114) ส่วนที่หมู่บ้านเสืออีด่าง ก็มีการสอนภาษาไทยโซ่งทุกวันศุกร์ และมีการจัดทำคู่มือการเรียนภาษาไทดำ ดำเนินการสอนโดยอดีตนายกสมาคมไทดำ(ประเทศไทย)  (หน้า 114)   
 
การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโดยสถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน
          ในการฝึกอบรมได้มีการจัดกิจกรรมร่วมกัน ระหว่างผู้นำไทยโซ่ง ไทยโซ่งในชุมชน เพื่อระดมความคิดเห็นและหาแนวทางในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ การหามัคคุเทศก์ที่เป้ฯคนในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและแนวทางแก้ปัญหาที่มาจากการท่องเที่ยว การหารายได้ให้กับคนในชุมชน และอื่นๆ  (หน้า 174-187)

Health and Medicine

ขวัญและความเจ็บป่วย
          ไทยโซ่งเชื่อว่าในร่างกายของคนจะมีขวัญประจำอยู่ ขวัญแม้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ขวัญก็ทำให้ร่างกายของคนก้าวเดินมีความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนทำการงาน ถ้าหากขวัญหนีออกจากร่าง หรือตกหล่นเพราะตื่นตกใจ หรือไม่สบาย หากขวัญไม่อยู่กับร่างกายก็จะทำให้เจ็บป่วยเป็นไข้ วิธีการรักษาให้หายป่วยไข้ก็คือต้องประกอบพิธีเรียกขวัญ ให้กลับมาอยู่ในร่างกายเช่นเดิม (หน้า 101) 

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย
          ไทยโซ่งในอดีตนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า “ไทดำ” เสื้อผ้าตัดเย็บจากผ้าฝ้ายที่ย้อมด้วยน้ำต้นคราม (หรือต้นห้อม) บางครั้งก็ย้อมด้วยลูกมะเกลือ ผ้าที่ย้อมจะมีสีดำ (หน้า 94)
               ผู้ชาย     ในอดีตสวมกางเกงขาสั้นที่เรียกว่า “ส้วงขาเต้น” หรือ “ส้วงก้อม” สวมเสื้อแขนยาวที่เรียกว่า “เสื้อซอน” (หน้า 94ภาพหน้า 96 และหน้า 103)  
               ผู้หญิง   หากในวันปกตินั้นสวมผ้าถุงสีดำสลับลายสีขาวคล้ายเปลือกแตงโม (หน้า 94) การนุ่งผ้าถุงจะเอามุมซ้ายกับขวาพับทบกัน บริเวณตรงกลางแล้วพับลง คาดเข็มขัด ชายผ้าถุงทางด้านหน้าสูงกว่าด้านหลัง สวมเสื้อแขนกุดตัวสั้นผ่าทางด้านหน้าเสื้อติดกระดุม เรียกว่า “เสื้อน้อย หรือ เสื้อแขนจิ๊ด”  นอกจากนี้ผู้หญิงไทยโซ่งยังชอบใช้ผ้าคาดอกหรือผ้าแถบที่เรียกว่า “ผ้าเปี่ยว” ที่ประดับด้วยลวดลายก้นหอยด้วยไหมสีต่างๆอย่างสวยงามที่บริเวณชายเสื้อทั้งสองด้าน ผ้าเปี่ยวนอกจากใช้คาดหน้าอก ยังนำมาใช้พาดไหล่ บางครั้งก็คล้องคอ  (หน้า 95)
          ส่วนตอนเดินทางออกไปทำธุระนอกบ้านั้นหญิงไทยโซ่งชอบสวมเสื้อแขนยาวเรียกว่า “เสื้อก้อม” หากเป็นช่วงงานประเพณีสำคัญ เช่นช่วงทำพิธีเสนเรือนหรืองานแต่งงาน  ไทยโซ่งนิยมสวม “เสื้อฮี” เป็นเสื้อแขนยาวคลุมถึงสะโพก เสื้อแบบนี้สวมใส่ได้ทั้งสองด้าน เสื้อด้านในประดับด้วยเศษผ้าไหมสีต่างๆ เสื้อด้านนี้มักสวมใส่เมื่อมีงานมงคล ได้แก่ พิธีเสนเรือน กับช่วงที่เล่นคอน ส่วนอีกด้านจะมีหลากสีสันประดับด้วยด้ายไหมและผ้าหลากสีสัน เสื้อด้านนี้จะสวมเมื่อมีงานไม่เป็นมงคล  เช่นพิธีศพ และในพิธีเสนเรือน หญิงไทยโซ่งที่เป็นลูกสะใภ้ที่ทำพิธีจะต้องนำเสื้อฮีคาดหน้าอกทับเสื้อตัวใน (หน้า 95ภาพหน้า 96, หน้า 97)
          ทุกวันนี้ไทยโซ่งชอบแต่งกายด้วยชุดสมัยนิยมเหมือนคนไทยโดยทั่วไป แต่เมื่อมีงานพิธีสำคัญก็ยังสวมชุดแบบไทยโซ่งเช่นเดิม  ส่วนหญิงไทยโซ่งที่สูงวัยยังชอบนุ่งผ้าถุงลายเปลือกแตงโม กับเสื้อน้อย เมื่ออยู่บ้าน และใช้ผ้าเปี่ยวในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านไทยโซ่งบางหมู่บ้านรวมกลุ่มกันทอผ้าใช้เองหรือจำหน่าย (หน้า 98)
 
ทรงผมของหญิงไทยโซ่ง
          ทรงผมนั้นเป็นสิ่งแสดงสถานภาพในสังคมไทยโซ่ง ซึ่งในแต่ละช่วงวัยหญิงไทยโซ่งจะไว้ทรงผมที่แตกต่างกันเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยสาวก็จะรู้จักรักสวยรักงามไว้ทรงผม  “เอื้อมไหล่”  (หน้า 98) หรือ “เอื้อมไร” ในการศึกษาได้กล่าวถึงทรงผมของหญิงไทยโซ่งในแต่ละช่วงวัยดังต่อไปนี้  (หน้า 99)
          อายุ 14 ถึง 15ปี     เมื่อผมเริ่มยาว ก็จะพับปลายผมม้วนขึ้นแล้วสับหวี หรือปิ่นรวบผมไว้บริเวณท้ายทอย ทรงผมแบบนี้เรียกว่า “สับปิ่น” (หน้า 99)
          อายุ 16 ถึง 17ปี      ก็จะรวบผมไว้ทางด้านหลัง แล้วผูกผมเป็นปมปล่อยชายผมไว้ทางด้านหน้า เรียกว่าทรง “ขอดกะต๊อก” (หน้า 99)
          อายุ 17 ถึง 18ปี     หลังจากที่ผมยาวสามารถเกล้าผมได้แล้ว  ก็จะผูกผมเป็นเงื่อนตาย  นำชายผมไว้ทางด้านซ้าย ทำผมเป็นโบว์ทั้งสองด้าน เรียกว่าทรง “ขอดซอย”
          อายุ 19 ถึง 20ปี     หลังจากที่ผมเริ่มยาวมากขึ้นก็จะผูกผมคล้ายเนคไทหูกระต่าย จากนั้นก็จะปล่อยหางผมยาวทางด้านขวา ทรงผมนี้เรียกว่า “ปั้นเกล้าซอย”  (หน้า 99 ภาพ หน้า 100)
          อายุ 20ปีขึ้นไปจนตลอดชีวิต วัยนี้จะเกล้าผมม้วนไว้บริเวณกึ่งกลางศีรษะ เป็นลอนขนาดใหญ่ ชายผมม้วนสอดไว้ด้านในขัดผมด้วยไม้หรือปิ่น เรียกว่าทรง “ปั้นเกล้า” หรือ “ปั้นเกล้าถ้วน” (หน้า 99 ภาพหน้า 100)
          จากการศึกษาพบว่า ทรงผมแบบต่างๆ นั้นมีความสัมพันธ์กับข้อปฏิบัติต่างๆในสังคมไทยโซ่ง  ตัวอย่างเช่น เด็กหญิง ที่ผมยังไม่ยาวพอที่จะ “ปั้นเกล้า” ก็ถือว่ายังไม่ถึงวัยแต่งงานมีครอบครัว จึงไม่ให้คบหากับชายหนุ่มแบบคนรัก แต่กรณีที่ผมยาวปั้นเกล้าผมได้ จะถือว่าเป็นสาวแล้ว วัยนี้อาจคบหากับเพื่อนชายได้ ถ้าผู้หญิงไทยโซ่งคนหนึ่งคนใดไม่ทำตามข้อปฏิบัตินี้ คนในชุมชนก็จะตำหนิได้ (หน้า 99) ส่วนหญิงที่เป็นหม้ายจะไว้ทรงผม “ปั้นเกล้าต๊ก” ลักษณะคล้ายปั้นเกล้า  แต่ให้กลุ่มผมห้อยตรงบริเวณท้ายทอย อันเป็นการแสดงความอาลัยไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปี ต่อจากนั้นก็สามารถกลับมาไว้ทรงผมปั้นเกล้าได้อีกครั้ง แต่หญิงไทยโซ่งบางรายอาจไว้ผมปั้นเกล้าต๊กตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร  ทุกวันนี้ในชุมชนไทยโซ่งยังมีหญิงสูงอายุไทยโซ่งไว้ผมทรงปั้นเกล้าเช่นในอดีต นอกจากนี้ในแต่ละชุมชนยังมีผู้เชี่ยวชาญการทำผมไทยโซ่งแบบต่างๆ อีกด้วย และทำผมให้หญิงไทยโซ่ง เมื่อมีงานพิธีสำคัญ (หน้า 99ภาพหน้า 100)
 
งานหัตถกรรม
          1) หมู่บ้านไผ่หูช้าง   ตำบลไผ่หูช้าง  อำเภอบางเลน
          กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองตำบลไผ่หูช้าง ได้ร่วมกันทอผ้าซิ่นลายแตงโม ผ้าพื้นเมืองของไทยโซ่ง  ลักษณะผ้ามีพื้นสีดำ แล้วคาดด้วยสีฟ้าลวดลายเหมือนเปลือกแตงโม  ทอด้วยมือ  แล้วนำตีนจกมาต่อที่ส่วนปลายของผ้า ผ้าซิ่นลายแตงโม หญิงไทยโซ่งจะสวมใส่เมื่อมีงานประเพณีสำคัญในชุมชน  (หน้า 77)
          2) หมู่บ้านดอนทอง  ตำบลดอนข่อย  อำเภอกำแพงแสน
          ในชุมชนมีกลุ่มทอผ้าพื้นเมือง ที่ทอและขายผ้าพื้นเมืองที่ไทยโซ่งชอบใส่เมื่อมีงานประเพณีสำคัญ  (หน้า 79)
          3) หมู่บ้านเกาะแรต  ตำบลบางปลา  อำเภอบางเลน
          ในชุมชนไทยโซ่งแห่งนี้มีการทอผ้าทอพื้นเมือง และเครื่องจักสานแบบไทยโซ่ง (หน้า 80)
          4) หมู่บ้านหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา  อำเภอดอนตูม – ไม่ระบุรายละเอียด
          5) หมู่บ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง
          ไทยโซ่งในชุมชนได้ตั้งกลุ่มทอผ้าพื้นเมือง ซิ่นลายแตงโม ซิ่นของไทยโซ่งที่นิยมสวมใส่เมื่องานงานพิธีกรรมสำคัญ  (หน้า 84)
 
บทสวดงานศพของไทยโซ่ง
          ในบทสวดงานศพของไทยโซ่ง ที่มาอยู่ที่เมืองเพชรบุรี ต่อมาได้ต้องการเดินทางกลับบ้านเกิดที่เมืองแถงจึงเดินทางกลับแต่ไปไม่ถึง จึงตั้งบ้านเรือนอยู่ตามเส้นทางในพื้นที่ต่างๆ ดังที่เล่ารายละเอียดในบทสวดงานศพไทยโซ่ง ที่มีเนื้อหาบอกเส้นทางกลับบ้านไปที่เมืองแถงที่ระบุว่า การย้ายที่อยู่มาจากที่อยู่เดิมมีหลักฐานจากการสวดเมื่อมีงานศพ โดยได้บอกเส้นทางให้กลับไปเฝ้าแถน ที่บ้านเกิดเมืองนอนเดิมว่า เริ่มจากหนองปรง  ทับคาง  เขาย้อย เพชรบุรี สุพรรณบุรี  ราชบุรี  นครราชสีมา  หนองบัวลำพู  หนองคาย แล้วช่วยกันสร้างแพลอยน้ำไปเมืองเวียงจันทน์ กับหลวงพระบาง (หน้า 90)

Other Issues

การพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการบริหารการจัดการการท่องเที่ยว
          ในการทำการวิจัย คณะผู้วิจัยและไทยโซ่งในชุมชน ได้พัฒนาแนวทางการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ โดยแบ่งเป็นสามรูปแบบคือ  1)  การศึกษาดูงานชุมชนแหล่งท่องเที่ยว (หน้า 151)    2) การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโดยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน (หน้า 151)  และ3) การฝึกอบรมมัคคุเทศก์น้อยเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ไทดำ ไผ่หูช้าง (หน้า 151) ในการเดินทางไปดูงานได้พาไทยโซ่งในชุมชนไปชมแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเพื่อนำมาปรับใช้ในชุมชนของตนดังนี้
          1) การศึกษาดูงาน (หน้า 154) (หน้า 155)
          จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม อำเภอปักธงชัย  จังหวัดนครราชสีมา ในการเดินทางไปศึกษาดูงาน มีผู้เดินทางไปทั้งหมด 23คน ประกอบด้วยผู้นำไทยโซ่ง ไทยโซ่งในชุมชน และคณะผู้วิจัย (หน้า 156)  ข้อมูลเกี่ยวกับจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม  ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2531  บนที่ดิน กว่า 600ไร่ ที่เชิงเขาพญาปราบ  ตำบลตะขบ  อำเภอปักธงชัย  จังหวัดนครราชสีมา ฟาร์มนี้เป็นที่ผลิตไข่ไหมขายให้เกษตรกร และรับซื้อรังไหมเพื่อผลิตเส้นไหม นอกจากนี้ยังปลูกต้นหม่อนเป็นจำนวนมากเพื่อใช้เลี้ยงหนอนไหมอีกด้วย (หน้า 156) เมื่อปี 2544จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ได้เปิดเป็นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยเปิดปีละครั้ง และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตร การเลี้ยงไหม ในฟาร์มได้เปิดขายพืชผัก ดอกไม้ พืชปลอดสารพิษ  นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นอยู่ของชาวอีสานอีกด้วย (หน้า 156)
          เพื่อชมการบริหารจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมชาวไทยเชื้อสายลาวของจิม ทอมป์สันฟาร์ม (หน้า 156)  แนวทางการดำเนินการของฟาร์มที่คณะไปเยี่ยมชม เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมีดังนี้ (หน้า 156)
          1)  การจัดการสถานที่และสิ่งแวดล้อม  ในฟาร์มมีแผนที่ ป้ายบอกทาง ที่ทิ้งขยะ  มีซุ้มอาหาร  น้ำเครื่องดื่ม ขายในฟาร์มหลายจุด และมีห้องน้ำชาย หญิง(หน้า 155)และห้องน้ำของผู้พิการ  เจ้าหน้าที่ของฟาร์มรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี (หน้า 157)
          2)  การเดินทางเที่ยวชมภายในจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม  ในฟาร์มมีรถรางวิ่งหมุนเวียนภายในที่ท่องเที่ยว แต่ละคันมีไกด์นำทางและให้ความรู้ตามจุดต่างๆ หากต้องการแวะชมจุดใด นักท่องเที่ยวก็สามารถลงแวะชมแหล่งท่องเที่ยวนั้นได้  (หน้า 157)
          3)   การปฏิบัติงานโดยคนในชุมชนและชาวบ้านจากพื้นที่ใกล้เคียง การเปิดฟาร์ม ทำให้คนในชุมชนมีรายได้ ชาวบ้านนำอาหารและสินค้าต่างๆ มาขายให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวพักผ่อนที่ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม  (หน้า 157)
          4)  การจัดการด้านอาหารและเครื่องดื่มประจำในทุกจุดท่องเที่ยว ในฟาร์มมีที่นั่งพัก และรับประทานอาหารหลายจุดเพื่อชมการแสดง (หน้า 157)
          5)  การใช้ประโยชน์จากผลผลิตเกษตรในจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม  ในฟาร์มได้ใช้ประโยชน์จากผลผลิตทางการเกษตรที่จัดแสดงในจุดท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ของผลผลิตทางการเกษตรเป็นอย่างมาก  (หน้า 157)
          6)  ผลิตภัณฑ์จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม เป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยว       (หน้า 157) เช่นผักปลอดสารพิษ  บรรจุภัณฑ์สวยงามเพิ่มมูลค่าสินค้า เช่นพริกแห้ง  พริกป่นบรรจุขวด  ชาใบหม่อนผสมมะตูม  และอื่นๆ  (หน้า 158)
          7) การใช้ประโยชน์สิ่งปลูกสร้างทั้งถาวร(บ้านอีสาน) และไม่ถาวร (แปลงดอกไม้และพืชพรรณต่างๆ) นักท่องเที่ยวถ่ายรูปได้ทุกจุดอย่างเบิกบานใจ (หน้า 158)

          ปัจจัยที่ทำให้จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้
          1) จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม มีระบบการจัดการบริหารแหล่งท่องเที่ยวอย่างมีระบบการดำเนินงานเป็นรูปแบบบริษัท แต่คนทำงานเป็นคนในชุมชน แม้การทำงานเป็นแบบบริษัท แต่คนในชุมชนก็มีส่วนสำคัญ ในด้านการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทย เชื้อสายลาว  (หน้า 158)
          2) จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย  เพื่อส่งเสริมให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม  ในฟาร์ม มีกิจกรรมการแสดงที่เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาวอีสาน การสาธิตการสาวไหม  การปั้นหม้อ การจักสาน (หน้า 158) เรือนอีสาน แบบต่างๆ และกิจกรรมงานประเพณีของชาวอีสาน เป็นต้น (หน้า 159) 
และสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ไทยโซ่งในพื้นที่ศึกษาไปชมก็คือ
         บ้านหัวเขาจีน ตำบลห้วยยางโทน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี  ในการเดินทางไปดูงานครั้งนี้ มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 50คน ได้แก่ ผู้นำชุมชน ไทยโซ่ง ไทยโซ่งที่อยู่ในชุมชน นักวิชาการและคณะผู้วิจัย  (หน้า 159)
          1) ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว และหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ  หมู่บ้านนี้เป็นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ (ลาวโซ่ง) ที่ย้ายครอบครัวมาจากอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ส่วนที่มาของชื่อ “บ้านหัวเขาจีน” เพราะในอดีตพื้นที่หมู่บ้านติดทะเล ดังนั้นจึงมีพ่อค้าชาวจีนมากับเรือสำเภาเพื่อมาซื้อขายสินค้าต่างๆ แต่เกิดเรื่องร้ายเมื่อเรือสำเภาแตก หัวเรือลอยมาติดอยู่ที่ภูเขา จึงมีชื่อว่า “หัวเขาจีน” ในภายหลังจึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านหัวเขาจีน”จนถึงทุกวันนี้  (หน้า 159) หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตไทยทรงดำ   (หน้า 160) หมู่บ้านหัวเขาจีน เปิดศูนย์วัฒนธรรมไทยโซ่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17กันยายน 2554และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยว  (หน้า 160)
          2) การบริหารจัดการหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยวหัวเขาจีน   หมู่บ้านหัวเขาจีนได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานพัฒนาชุมชน  และได้รับการคัดเลือกจากกรมการพัฒนาชุมชน จาก 77จังหวัด  ให้หมู่บ้านหัวเขาจีนเป็นหนึ่งในสิบ หมู่บ้าน OTOP Village  Champion หรือ OVC  นอกจากนี้สภาวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี  องค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี  องค์การบริหารส่วนตำบลราชบุรี ยังให้การส่งเสริมหมู่บ้านหัวเขาจีนให้เป็นหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน  (หน้า 160)
          3) ปัจจัยที่ทำให้บ้านหัวเขาจีนเป็นหมู่บ้าน OTOP  เพื่อการท่องเที่ยวต้นแบบ       (หน้า 161) ประกอบด้วย  
               3.1) บุคลากรชุมชนเข้มแข็ง และมีความสามัคคี คนในชุมชนมีจิตใจมุ่งมั่นในการทำงานให้แก่ศูนย์วัฒนธรรมไทยโซ่ง มีกลุ่มสตรีทอผ้า 25คนที่มาทำงานที่ศูนย์ทอผ้าไทยทรงดำ  นอกจากนี้ยังมีปราชญ์ชาวบ้านที่คอยให้คำปรึกษา (หน้า 161) เช่น ด้านการ  จักสาน  การทอผ้า  การแต่งกาย การปั้นเกล้า และอื่นๆ  (หน้า 162)
               3.2) ลักษณะทางกายภาพของชุมชนเขาจีนมีความเหมาะสม  หมู่บ้านมีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม คนในชุมชนส่วนใหญ่ยังมีอาชีพทำสวนทำไร่  เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และเชิงชาติพันธุ์ มีถานที่รองรับนักท่องเที่ยว มีป้ายบอกทางไปยังศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำ ที่อยู่ภายในเขตโรงเรียนบ้านหัวเขาจีน (หน้า 162)
               3.3) บ้านเขาจีนมีแหล่งข้อมูล และแหล่งเรียนรู้หลายรูปแบบ  เช่น แหล่งเรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน  ได้แก่ การเรียนรู้การทอผ้า จากกลุ่มสตรีทอผ้าไทยทรงดำที่ศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำ, แหล่งเรียนรู้จากห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ที่ศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำ ,แหล่งเรียนรู้จากสถานที่จริง แบ่งเป็น 5คุ้มด้วยกัน (หน้า 162)
               3.4) แผนการดำเนินงานการท่องเที่ยวชัดเจน เช่นแต่ละจุดของการท่องเที่ยวมีผู้ให้ความรู้และแนะนำข้อมูล ส่วนเรื่องรายได้มีการจัดสรรที่เหมาะสม (หน้า 162) เช่นการพักโฮมสเตย์ เจ้าของบ้านจะมีรายได้เรื่องการจัดสถานที่เพื่อเป็นที่พักให้กับนักท่องเที่ยว, การจัดโปรแกรมการท่องเที่ยว เช่นการท่องเที่ยวแบบครึ่งวัน การท่องเที่ยวภายในหนึ่งวัน  การท่องเที่ยวแบบหนึ่งวันกับหนึ่งคืน เป็นต้น  (หน้า 163)
               3.5) เครือข่ายภายในและภายนอกชุมชนเข้มแข็งภายในการบริหารงานที่เข้มแข็งของผู้นำชุมชน และคณะกรรมการดำเนินการหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว       (หน้า 163) การดำเนินการท่องเที่ยวบริหารจัดการทั้งเครือข่ายภายใน กับเครือข่ายภายนอกชุมชน ได้แก่  (หน้า 164)
              เครือข่ายภายในชุมชนคือ    บ้านและโรงเรียนบ้านเขาหัวจีน มีการช่วยเหลือด้านการท่องเที่ยวเช่น สมาชิกในแต่ละบ้าน  แต่งตัว  ไว้ผมแบบปั้นเกล้าตามแบบของไทยทรงดำ คนแต่ละช่วงวัยทั้งเด็ก หนุ่มสาว ผู้ใหญ่ และวัยชรามีการช่วยเหลือกันเพื่อสืบสาน  อัตลักษณ์ไทยทรงดำ ส่วนโรงเรียนก็ส่งเสริมให้นักเรียนมาเข้าร่วมกิจกรรม เช่นการแสดงรำแคน ให้นักท่องเที่ยวชมในช่วงรับประทานอาหารกลางวัน และอื่นๆ (หน้า 164)
              เครือข่ายภายนอกคือ    การสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว และการส่งเสริมอาชีพ เช่น กรมการพัฒนาชุมชน  พัฒนาการจังหวัด  สภาวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เป็นต้น (หน้า 164) 
               3.6) ชุมชนบ้านหัวเขาจีนมีจุดขายทั้งนามธรรมและรูปธรรมที่น่าสนใจ  เช่น จุดขายที่เป็นนามธรรม ได้แก่ อัตลักษณ์ไทยทรงดำ ความเป็นอยู่ เช่นการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์  (หน้า 164) ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และมีประเพณีวัฒนธรรมงดงาม เช่น การแต่งกาย และการปั้นเกล้า  (หน้า 165)  ส่วนจุดขายที่เป็นรูปธรรม เช่น ผ้าพื้นเมืองไทยทรงดำ เครื่องจักสาน  และอาหารคาวหวานตามแบบฉบับไทยทรงดำ เป็นต้น (หน้า 165)
               3.7) การประชาสัมพันธ์ที่ดี  ชุมชนเขาหัวจีน มีการประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อโทรทัศน์ เฟซบุ๊ค  แผ่นพับโปรแกรมการท่องเที่ยวเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทยดำ  (หน้า 165)
           บ้านต้นตาล  ตำบลบ้านต้นตาล  อำเภอเสาไห้  จังหวัดสระบุรี  มีผู้ร่วมเดินทางมาศึกษาดูงานทั้งหมด 46คน ประกอบด้วยผู้นำไทยโซ่ง  ไทยโซ่งในชุมชน และคณะผู้วิจัย  (หน้า 165)
          1) ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี   “ตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล”  เปิดตลาดครั้งแรกเมื่อ วันที่ 19 กรกฎาคม 2550 ซึ่งทางจังหวัดสระบุรีให้การสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว โดยให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณ จำนวน171,600 บาท ในโครงการภายใต้แผนยุทธศาสตร์อยู่ดี มีสุข ระดับจังหวัด ประจำปี 2551 ตลาดเปิดทำการครั้งแรกเปิดเฉพาะวันอาทิตย์แรกของเดือน (หน้า 166)กระทั่งตลาดเป็นที่รู้จักของคนจำนวนมาก จึงเปิดตลาดทุกวันอาทิตย์ ตลาดมีนโยบายเพื่อร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมของไทยวนเช่น พูดไทยยวน แต่งกายแบบไทยยวน, อาหารพื้นบ้านและประเพณีวัฒนธรรม เช่น การเล่นดนตรี            การฟ้อนรำ  การทอผ้า  (หน้า 167)
          2) การบริหารจัดการตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล ตลาดน้ำเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (หน้า 167) (หน้า 168)
          3) ปัจจัยที่ทำให้ตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล เป็นหมู่บ้าน OTOP ต้นแบบเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (หน้า 168) ปัจจัยที่ทำให้เป็นหมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยว       (หน้า 168)
               3.1)  ผู้นำชุมชนมีภาวะผู้นำที่ชัดเจน (หน้า 168)
               3.2)  คนไทยยวนในชุมชนเข้มแข็ง และมีความสามัคคี (หน้า 168)
               3.3)  ลักษณะทางกายภาพของชุมชนบ้านต้นตาลเป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับการพักผ่อนในวันอาทิตย์ (หน้า 168)(หน้า 169)
               3.4) แผนการดำเนินงานชัดเจนและมีการจัดการรายได้อย่างเป็นธรรม (หน้า 169)
               3.5)  เครือข่ายภายในและภายนอกชุมชนเข้มแข็งภายใต้การบริหารงานที่เข้มแข็งของผู้นำชุมชน และคณะกรรมการบริหารตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล (หน้า 169)
               3.6)  ชุมชนบ้านต้นตาลมีจุดขายทั้งนามธรรมและรูปธรรมที่น่าสนใจ (หน้า 170)
               3.7) บ้านต้นตาลมีแหล่งท่องเที่ยวภายในชุมชน และบริเวณใกล้เคียงหลายจุด ที่นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้ (หน้า 170)
               3.8) บ้านต้นตาลระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกบริการนักท่องเที่ยว เช่น ป้ายบอกทาง ลานจอดรถ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแล  ห้องน้ำและอื่นๆ      (หน้า 170)
 
ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาดูงาน 
          ผลสืบเนื่องจากการเข้าร่วมกิจกรรมของการศึกษาดูงาน  ที่ชุมชนนำมาประยุกต์ใช้มีดังต่อไปนี้ (หน้า 170-173)
          1) ชุมชนได้เข้าสู่กระบวนการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อการพัฒนาศักยภาพชุมชน โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ (หน้า 173)
          2) เปิดโอกาสผู้นำชุมชน และไทยโซ่งในชุมชน ได้รู้จักและเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยว ที่มีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการที่ใกล้เคียงกับต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ชุมชนมี (หน้า 173)
          3) ทำให้ผู้นำชุมชนและไทยโซ่งในชุมชน มีกำลังใจและรู้ถึงข้อดี ข้อเสียของปัญหา รวมทั้งขั้นตอนการดำเนินการจัดการการท่องเที่ยว โดยผ่านเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับแหล่งท่องเที่ยว ที่ชุมชนมีส่วนร่วมและดำเนินการบริหาร  (หน้า 173)
          4) ทำให้เกิดการนำองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาดูงาน ในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับชุมชนที่อยู่ (หน้า 173)
          5) ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างคณะผู้วิจัยกับชุมชนไทยโซ่งในการร่วมกันพัฒนาและสร้างชุมชนการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ (หน้า 173)
 
การประชาสัมพันธ์ “หมู่บ้านท่องเที่ยวไทดำ ไผ่หูช้าง”
          ประสานงานกับหน่วยงานประชาสัมพันธ์ (หน้า 242) ทำป้าย และเอกสารสิ่งพิมพ์เพื่อประชาสัมพันธ์ (หน้า 242)  สื่อมวลชน (หน้า 243)
          การประชาสัมพันธ์ผ่านการใช้สื่อแบบใหม่  ได้แก่สื่อทางอินเทอร์เนท ที่มีความสะดวกรวดเร็ว และประหยัดในยุคปัจจุบัน สำหรับการประชาสัมพันธ์ที่ไทยโซ่งนำมาใช้เพื่อการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมของตนเองได้ใช้สื่อต่างๆ เช่น (หน้า 243)
          4.1) ผ่านระบบ social  network  (หน้า 243- 248)
          4.2) ผ่านหน้าเว็บไซต์ (หน้า 248-249)
          4.3) ระบบช่องทีวีอินเทอร์เน็ต ผ่านเว็บไซต์ ยูทูป (หน้า 250-252)
 
สรุปและอภิปรายผล
          ในการพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ไทยโซ่งนั้น คณะผู้วิจัยได้ร่วมกับชุมชนไทยโซ่ง 5แห่ง เพื่อดำเนินการวิจัยและจัดเวทีเสวนาร่วมกัน ระหว่างคณะผู้วิจัย กลุ่มผู้นำ ปราชญ์ชาวบ้าน ไทยโซ่งในชุมชน  เนื่องจากกลุ่มไทยโซ่งเป็นกลุ่มที่มีความเข้มแข็งทางด้านภาษาและวัฒนธรรม ถึงแม้ว่าคนรุ่นใหม่อาจลืมเลือนไปบ้าน แต่เมื่อมีการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวก็เป็นการสร้างความภาคภูมิใจ และเป็นการฟื้นฟู และค้นหาของดีในชุมชน ภูมิปัญญาไทยโซ่ง ในการทำการวิจัยได้ส่งเสริมให้คนในชุมชนมีส่วนร่วม ซึ่งพบว่า ชุมชนไทยโซ่งทั้ง 5แห่งนั้นมีความเข้มแข็งทางภาษาและวัฒนธรรม มีประเพณีทางความเชื่อที่ยังสืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคปู่ย่าตาย หากโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ไทยโซ่งประสบความสำเร็จ ต่อไปในอนาคตก็อาจมีการส่งเสริมและพัฒนาด้านการท่องเที่ยวร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่มีความหลากหลายในจังหวัดนครปฐมและพื้นที่อื่นๆ เพื่อเป็นเครือข่ายความร่วมมือด้านการทำงานวิจัยด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ต่อไป  (หน้า 253-268)

Map/Illustration

ตาราง
          เขตการปกครองจังหวัดนครปฐม (หน้า 68) กิจกรรมพัฒนาศักยภาพชุมชนในการบริหารจัดการการท่องเที่ยว และกลุ่มที่เข้าร่วมกิจกรรม (หน้า 152) กลยุทธ์การพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวไทยโซ่ง (หน้า 267)  
 
 ภาพ
          การกำหนดยุทธศาสตร์ (SWOT) (หน้า 60) แสดงที่ตั้งและอาณาเขตจังหวัดนครปฐม (หน้า 67) บริเวณที่มีการใช้ภาษาไทยโซ่งในจังหวัดนครปฐม (หน้า 74)  บริเวณในภูมิภาคตะวันตกที่มีการใช้ภาษาไทยโซ่ง (หน้า 87) บ้านหลังคาทรงกระดองเต่าจำลอง ยอดบนหลังคามีขอกุด ใช้เป็นศูนย์วัฒนธรรมไทยโซ่งที่หมู่บ้านหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา  อำเภอดอนตูม  จังหวัดนครปฐม (หน้า 94)  นายคำ ทองคงหาญ ในชุดกางเกง และเสื้อก้อม ที่หมู่บ้านไผ่หูช้าง  อำเภอบางเลน  จังหวัดนครปฐม (หน้า 96) เสื้อแขนจิ๊ด ใช้ผ้าเปี่ยวพาดไหล่ และผ่าซิ่นลายแตงโม ที่หมู่บ้านไผ่หูช้าง  อำเภอบางเลน (หน้า 96) แม่เฒ่าใส่เสื้อแขนจิ๊ด และผ้าซิ่นลายแตงโมในชีวิตประจำวัน ที่หมู่บ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง  จังหวัดนครปฐม  (หน้า 97) เสื้อก้อม และซิ่นลายแตงโม  ตำบลดอนมะเกลือ  อำเภออู่ทอง  จังหวัดสุพรรณบุรี (หน้า 97)
          ชาวไทยโซ่งทอผ้าลายแตงโมที่หมู่บ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง  จังหวัดนครปฐม (หน้า 98) ทรงผมปั้นเกล้าซอย  ที่หมู่บ้านหัวเขาจีน  อำเภอปากท่อ  จังหวัดราชบุรี   (หน้า 100) ทรงผมปั้นเกล้า  ที่หมู่บ้านหัวเขาจีน  อำเภอปากท่อ (หน้า 100) ปานเผือน และผู้จักสานในชุดส้วงก้อม และเสื้อชอน ที่หมู่บ้านไผ่หูช้าง  ตำบลบางเลน  จังหวัดนครปฐม (หน้า 103)  นายกอง  จอมบุญ หมอเสนบ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง  จังหวัดนครปฐม กำลังนำอาหารเซ่นไหว้ผีเรือน    (หน้า 104)  ชาวบ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมืองนครปฐมสวมใส่เสื้อฮีเข้าร่วมพิธีเสนเรือน (หน้า 104)   อาจารย์สุรีย์  ทองคงหาญ  อาจารย์สอนภาษาไทยโซ่ง (หน้า 107)   ดร.สุมิตรา   สุรรัตน์เดชา  และ ดร.ปัทมา  พัฒน์พงษ์ เยี่ยมชมกลุ่มทอผ้าที่บ้านไผ่หูช้าง  ตำบลไผ่หูช้าง  อำเภอบางเลน  จังหวัดนครปฐม (หน้า 107)
          ชุมชนไผ่หูช้าง ผู้ชายในชุมชนมีความสามารถด้านการทอผ้า (หน้า 108)  อาจารย์ปิยวรรณ  สุขเกษม  รณรงค์ให้เยาวชนแต่งกายด้วยชุดไทยโซ่ง (หน้า 108) นายวิทยา  มียอด, นายสะอาด  มีดี, ศาสตราจารย์ ดร.สมทรง  บุรุษพัฒน์, นางสาวถนอมศรี  เปลี่ยนสมัย ที่ศูนย์วัฒนธรรมไตโซ่งดำ  หมู่ 9  บ้านสะแกราย  ตำบลดอนยายหอม  อำเภอเมือง  จังหวัดนครปฐม (หน้า 110)  นายเมือง  รักจ้อย  นายกองค์การบริหารส่วนตำบลดอนพุทรา (หน้า 111)  นายประสงค์  เตี๊ยะตราช้าง  ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตไทยทรงดำบ้านหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา  อำเภอดอนตูม (หน้า 112)  งานวันสงกรานต์ของชุมชนวัดหัวถนน  ตำบลดอนพุทรา   อำเภอดอนตูม  จังหวัดนครปฐม (หน้า 113)     นายชาติชาย  สิบแอง รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลดอนข่อย  ผู้นำชุมชนไทยโซ่ง ที่บ้านดอนทอง  ตำบลดอนข่อย   อำเภอกำแพงแสน  จังหวัดนครปฐม (หน้า 114)   
          ผู้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมมัคคุเทศก์น้อย (หน้า 182) นายกฤษณ์  จินตะเวช  นายอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม  กล่าวต้อนรับนักข่าวและผู้ที่มาร่วมงาน (หน้า 209) ศาสตราจารย์ ดร.สวัสดิ์  ตันตระรัตน์  ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้กล่าวเปิดงานแถลงข่าว (หน้า 109)  ศาสตราจารย์ ดร.สมทรง  บุรุษพัฒน์  และอาจารย์ปิยวรรณ  สุขเกษม  กล่าวเปิดงาน (หน้า 210) คณะผู้วิจัย และอาจารย์ ปิยวรรณ  สุขเกษม  ตอบคำถามผู้สื่อข่าว (หน้า 212) สื่อมวลชนและชาวไทยโซ่ง     (หน้า 212) การผูกข้อมูลรับขวัญผู้มาเยือน (หน้า 213)  ปฏิทินไทยโซ่ง (หน้า 213)   เยี่ยมชมกลุ่มทอผ้า (หน้า 214) การถ่ายทำสารคดีโทรทัศน์ (หน้า 214) ฟ้อนไทยโซ่งที่ลานวัฒนธรรม (หน้า 215) เฮือนซำบายดี (หน้า 215) ไทยทรงดำ ไผ่หูช้าง ข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เมื่อวันที่ 25มีนาคม 2555(หน้า 216)
          ไทยทรงดำ ไผ่หูช้าง  ข่าวออนไลน์ เมื่อ 25มีนาคม 2525 (หน้า 217) ข่าวจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 25มีนาคม 2555 หน้า 10 (หน้า 218) ) ข่าวจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 28มีนาคม 2555หน้า 21(หน้า 218) หน้าแฟนเพจของหมู่บ้านท่องเที่ยวไทดำ ไผ่หูช้าง (หน้า 244) ข้อมูลช่วงวันที่ 10กุมภาพันธ์ ถึง 9มีนาคม 2556(หน้า 245,246)ภาพแนวโน้มการเข้าเยี่ยมชมแฟนเพจของหมู่บ้านท่องเที่ยวไทดำ ไผ่หูช้าง (หน้า 246) แหล่งที่มาของผู้เข้าเยี่ยมชมเป็นแฟนเพจหมู่บ้านท่องเที่ยวไทดำ ไผ่หูช้าง (หน้า 247) หน้าเว็บไซต์หมู่บ้านท่องเที่ยวไทดำ ไผ่หูช้าง (หน้า 249) ช่องทีอินเทอร์เน็ตของหมู่บ้านท่องเที่ยวไทดำ ไผ่หูช้าง (หน้า 250) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน ภายนอก ของการจัดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ (หน้า 264) 

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 03 ต.ค. 2567
TAG การท่องเที่ยว, การอนุรักษ์, วัฒนธรรม, ไทยโซ่ง, นครปฐม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง