|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ต้นกำเนิด,หลักเมือง,ศิวลึงค์,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
Author |
Mori Mikio |
Title |
Taikeisyuzokuno “Kuninihashira” Shisaiwo Megustute-Taikeibunkarikaino-Shikaku (3) |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาญี่ปุ่น |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
10 |
Year |
2535 |
Source |
Journal of Asian and African Studies, No.41 |
Abstract |
กล่าวถึงต้นกำเนิดของหลักเมืองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับศิวลึงค์หรือไม่ มีการยกเหตุผลทั้งที่สนับสนุนว่าหลักเมืองมาจากศิวลึงค์และเหตุผลโต้แย้ง |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Belief System |
ในสังคมไทดำให้ความสนใจต่อความคงทนของเสาหลักเมืองมาก เนื่องจากหลักเมืองเป็นเสาที่ค้ำให้สวรรค์และโลกไม่สั่นคลอน และยังเป็นสิ่งเชื่อมต่อกับโลกใต้ดินในจินตนาการอีกด้วย ความคงทนแข็งแรงของเสาหลักเมืองเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและยั่งยืนของเมืองรวมทั้งตัวเจ้าเมืองด้วย หลักเมืองที่ไม่คงทนและเอนเอียงอาจหมายถึงความล้าหลังของเมือง ความอ่อนแอของเจ้าเมือง ดังนั้นเจ้าเมืองมักจะสร้างหลักเมืองในบริเวณที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันการลอบทำความเสียหายจากผู้ที่ไม่ประสงค์ดี (หน้า 132) ความเชื่อเกี่ยวกับโลกทั้งสามของคนไทนั้น ประกอบด้วยโลก สวรรค์และโลกใต้ดิน ทั้งสามโลกจะสอดคล้องเชื่อมโยงกันด้วย เจ้าเมือง แถนหลวงและผีเมือง โครงสร้างนี้สามารถเชื่อมอำนาจของโลกใต้ดินและสวรรค์ได้ เหตุนี้ทำให้เจ้าเมืองมีความชอบธรรมในการถือครองที่ดินและปกครองเมืองของตน (หน้า 133) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานของชาติพันธุ์ไทดำในเรื่องความเป็นเมือง กล่าวถึงตำนานการเกิดโลกว่า พื้นโลกนั้นมีลักษณะเหมือนน้ำเต้าขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือน้ำ หลังจากสวรรค์กับโลกถูกแยกออกจากกันจากความพิโรธของแถนหลวง ก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นซึ่งพื้นโลกก็ได้ขนมนุษย์และสัตว์เอาไว้ หลังจากหายนะสิ้นสุด แถนหลวงก็ได้ส่งกษัตริย์สององค์มายังพื้นโลกเพื่อสร้างเมือง และมอบสิ่งจำเป็นในการสร้างเมืองมาให้ คือ เสาค้ำฟ้า (sao kham fa) ซึ่งเป็นเสาที่ทำหน้าที่ค้ำสวรรค์และโลกมั่นคง (หน้า 130-132) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในปัจจุบันลักษณะและพิธีกรรมเกี่ยวกับหลักเมืองมีความซับซ้อนหลากหลายมากขึ้น นอกจากได้รับอิทธิพลฮินดูแล้ว หลักเมืองยังได้รับอิทธิพลจากศาสนาอื่นๆ เช่น Ch'eng Huang ซึ่งเป็นศาสนาพื้นเมืองศาสนาหนึ่งที่คนจีนที่อพยพเข้ามานำมา (หน้า 129) |
|
Other Issues |
รูปทรงของหลักเมืองถูกตีความว่ามีรูปร่างใกล้เคียงกับอวัยวะเพศชายหรือศิวลึงค์ เนื่องจากหลักเมืองมีลักษณะเป็นเสากลม นอกจากรูปทรงภายนอกแล้ว หน้าที่ของเสาหลักเมืองและศิวลึงค์ก็ใกล้เคียงกัน คือมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมืองของกษัตริย์ (หน้า 125-126) ซึ่งมีการนำข้อมูลเรื่องความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาฮินดูในยุคสุโขทัยมาเป็นหลักฐานอ้างอิงความเกี่ยวข้องดังกล่าว แต่มีการศึกษาและโต้แย้งความคิดดังกล่าวโดยมีข้อโต้แย้งดังนี้ 1.การรับศาสนาฮินดูของไทยคือในชนชั้นกษัตริย์นั้น เทพที่ได้รับการนับถือคือพระวิษณุ (รวมถึงพระรามซึ่งเป็นภาคหนึ่งของพระวิษณุ) ส่วนพระศิวะไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว ศาสนาฮินดูก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับมโนคติของอำนาจกษัตริย์ 2.ช่วงเวลาการเข้ามาของศิวลึงค์ในไทยอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 7-11 หลังจากนั้นไทยก็อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรขอมในช่วงศตวรรษที่ 13 ซึ่งหลักเมืองเกิดขึ้นหลังจากนั้น 3. วัสดุของหลักเมืองทำมาจากไม้แต่วัสดุที่ใช้ทำศิวลึงค์ในสมัยก่อนทำมาจากหินแล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นไม้ (หน้า 127-128) แม้กระนั้นก็มีหลักฐานที่ระบุถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ชาวบ้านนับถือศิวลึงค์ โดยในช่วงนั้นสัญลักษณ์อวัยวะเพศชายที่ทำจากไม้มีความรุ่งเรืองมาก ข้อสรุปและเหตุผลที่ถูกนำมาใช้อ้างว่าหลักเมืองไม่ได้มาจากศิวลึงค์ 1. หลักเมืองมีปรากฏเฉพาะในสังคมชาติพันธุ์ไท แต่เขตที่ได้รับอิทธิพลเขมรไม่ใช่อยู่แค่เขตที่ชาติพันธุ์ไทอาศัยอยู่เท่านั้น 2. การแพร่ขยายของอิทธิพลเขมรนั้นไม่ได้ครอบคลุมเขตที่ชาติพันธุ์ไทอาศัยอยู่ทุกกลุ่ม แต่ก็พบความเชื่อเรื่องหลักเมืองในเขตชาติพันธุ์ไทที่ไม่ได้รับอิทธิพลเขมรด้วย 3. ในประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์ไทที่ได้รับอิทธิพลเขมรกับกลุ่มไทที่ไม่ได้รับไม่มีการติดต่อกัน (หน้า 129) |
|
|