|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ระบบเครือญาติ,โครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม,ระบบตลาด,ผลกระทบ,เชียงใหม่ |
Author |
James W. Hamilton |
Title |
Effects of the Thai Market on Karen Life |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
7 |
Year |
2506 |
Source |
Practical Anthropology, 10: 5 (Sept-Oct.1963), p.209-215 [Tarrytown, N.Y.] |
Abstract |
งานชิ้นนี้ศึกษาผลกระทบของตลาดที่มีต่อชุมชนกะเหรี่ยง และชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนเทคโนโลยี การจัดองค์กรทางสังคม และอุดมการณ์ของชุมชนกะเหรี่ยงบ้าน Hong จ.เชียงใหม่นั้นเป็นผลมาจากการเกี่ยวข้องกับตลาดและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่ระบบเศรษฐกิจภายใน ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความร่วมมือ แลกเปลี่ยนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสายตระกูลมารดามีความสำคัญกว่า กลายมาเป็นเศรษฐกิจภายนอก คือ การติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนกับผู้ที่ไม่ใช่เครือญาติ ไม่ใช่กะเหรี่ยงเริ่มมีบทบาทสำคัญมาก |
|
Focus |
ผลกระทบของตลาดที่มีต่อวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงโปว์ในจังหวัดเชียงใหม่ |
|
Theoretical Issues |
ระบบเศรษฐกิจของหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่ศึกษาเป็นแบบทวิภาค มีลักษณะการจัดระเบียบที่แตกต่างกันแยกเป็น 2 ระบบ คือ 1) ระบบเศรษฐกิจภายใน มีพื้นฐานจากเศรษฐกิจแบบยังชีพที่อาศัยความร่วมมือ การตอบแทน และช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในตระกูลซึ่งสืบสายเลือดข้างผู้หญิง 2) ระบบเศรษฐกิจภายนอกซึ่งจัดระเบียบอีกแบบหนึ่ง คือทำให้กะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่กะเหรี่ยงบนหลักการที่ถือผลประโยชน์เป็นหลัก โดยอิงกับอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของ "ตลาด" ที่มี 2 ระดับ คือ "market proper" ที่เป็นอุปสงค์และอุปทานในเรื่องปัจจัยการผลิต กับ "bazaar" ที่เป็นอุปสงค์และอุปทานต่อผลผลิต ในทัศนะของผู้วิจัย วัฒนธรรมกะเหรี่ยงจะเกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบจาก "market proper" เพราะมีแนวโน้มที่จะหันไปผูกกับระบบเศรษฐกิจภายนอกซึ่งเป็นเศรษฐกิจการตลาด ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (น.211) เงื่อนไขสำคัญก็คือ การเปลี่ยนแปลงเรื่องการใช้ทรัพยากรสำคัญ คือ ที่ดิน เมื่อกะเหรี่ยงต้องมาอยู่ภายใต้โครงสร้างรัฐไทย ซึ่งจำกัดการเคลื่อนย้าย ซึ่งทำให้เกิดภาวะกดดันทางประชากรและผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจดั้งเดิมของกะเหรี่ยง คือต้องเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูกจากการทำไร่หมุนเวียนไปทำนา ซึ่งนำกะเหรี่ยงเข้าสู่ระบบตลาด และจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับคนนอกกลุ่ม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะนำความคิดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา เช่น คันไถ ซึ่งส่งผลการเปลี่ยนแปลงไปจนถึงแบบแผนกรรมสิทธิ์ที่ดินและการตั้งถิ่นฐานหลังการแต่งงาน ที่มีการย้ายไปตั้งบ้านเรือนบริเวณบ้านฝ่ายหญิงลดน้อยลง รวมทั้งความเชื่อที่หันไปนับถือพุทธศาสนามากขึ้น ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงคือการสูญเสียความเป็นอิสระทางวัฒนธรรม โดยกะเหรี่ยงได้โน้มเอียงไปพึ่งวัฒนธรรมภายนอกมากขึ้น |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงโปว์ในจังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
เดิมจะตั้งบ้านเรือนอยู่ร่วมกันในกลุ่มสายตระกูลมารดา เมื่อลูกสาวออกเรือนสามีจะย้ายเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่ เพื่อพึ่งพิงกันในการลงแรงทำนา (น.209) Marshall (1922) รายงานว่ากะเหรี่ยงที่อยู่บนเขาในพม่านั้นอาศัยอยู่ในบ้านทรงยาว (longhouse) ขณะที่พวกที่อาศัยอยู่ในที่ราบอยู่เป็นบ้านหลังเดี่ยว ๆ ผู้เขียนไม่พบเห็นว่ามีการอาศัยรวมกันของครอบครัวเดี่ยวหลาย ๆ ครอบครัวในบ้านทรงยาวในประเทศไทย มีแต่การตั้งบ้านรวมกลุ่มเรียงติด ๆ กัน (น.214) |
|
Demography |
ชุมชนกะเหรี่ยงที่บ้าน Hong มี 35 หลังคาเรือน ส่วนบ้านวังลุงมี 300 หลังคาเรือน และประมาณจำนวนประชากรกะเหรี่ยงที่อยู่ทางภาคเหนือของไทยว่ามี 71,500 คน และอย่างต่ำสุดจำนวน 26,500 คนนั้นอพยพมาจากพม่า (น. 209) |
|
Economy |
ชุมชนกะเหรี่ยงทำนาเป็นหลักทั้งนาดำ และนาหว่าน มีการล่าสัตว์ เก็บของป่า ตกปลา ปลูกผักผลไม้บ้าง ผู้หญิงเลี้ยงหมู ไก่ วัวควาย บ้างก็ค้าปศุสัตว์ ผลิตภัณท์ที่ขายเพื่อให้ได้เงินก็คือ ผ้าทอ พืชผัก เชือก ตะกร้า (น.209) เศรษฐกิจของชุมชนมี 2 ระบบ คือ เศรษฐกิจภายใน มีพื้นฐานอยู่บนความร่วมมือ แลกเปลี่ยนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสายตระกูลมารดา ผู้ชายเข้าไปอยู่ในสายตระกูลมารดาของหญิงที่เขาแต่งงานด้วย ช่วยทำงานตกปลา เพาะปลูก เก็บเกี่ยว และล่าสัตว์ร่วมกัน แม้จะไม่ได้รับส่วนแบ่งเท่ากันแต่หากครอบครัวใดมีความจำเป็น ก็หยิบยืมจากครอบครัวอื่น ๆ ในสายตระกูลเดียวกันได้ เป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพที่มีพื้นฐานอยู่ที่การปลูกข้าวไร่ จึงจำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์สายตระกูลและเครือญาติ (น.210) ส่วนเศรษฐกิจภายนอกนั้น คือ การติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนกับผู้ที่ไม่ใช่เครือญาติ ไม่ใช่กะเหรี่ยง มีจุดหมายที่จะ "หาให้ได้มากที่สุดและจ่ายน้อยที่สุด" เป็นความสัมพันธ์แบบอุปสงค์ (supply) อุปทาน (demand) โดยคำนึงถึงแรงงาน ทรัพยากร และทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้น ๆ (commodities) ซึ่งในอดีตเศรษฐกิจภายนอกจะมีความสำคัญน้อยกว่าเศรษฐกิจภายใน แต่เมื่อการเผาถางป่ากลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ต้องแอบลักลอบทำ การปลูกข้าวไร่ต้องใช้เวลานานขึ้นและให้ผลผลิตต่ำลง กะเหรี่ยงจำนวนมากจึงเปลี่ยนไปปลูกข้าวนาดำ (wet-rice) ที่ดินกลายเป็นสินค้าที่ถูกซื้อ-ขาย และครอบครอง ต้องขึ้นทะเบียนและเสียภาษี การเพาะปลูกด้วยเทคนิคใหม่นี้ทำให้เจ้าของนาจำเป็นต้องหาเงิน ถูกผูกเข้ากับตลาด พืชเศรษฐกิจเริ่มมีความสำคัญ สิ่งของที่มีอยู่ก็ถูกนำไปขายและเปลี่ยนในตลาดและบาซาร์ ของหลายสิ่งกลายเป็นสินค้า เงินเริ่มเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น ทุกบ้านผลิตข้าวไม่พอกินถึงฤดูหน้า จำต้องซื้อข้าว ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ภายในสายตระกูล เพราะต้องการเงินมาจับจ่ายของที่จำเป็น เศรษฐกิจภายนอกจึงมีบทบาทนำ (น.212) ตัวแปรหลักที่ทำให้ผูกติดกับตลาดมากขึ้น ได้แก่ ระบบจ้างงานและคนกลางระหว่างชุมชนกับตลาด ได้แก่ - ผู้ทำการค้า (trader) มีมานานแล้วในสังคมกะเหรี่ยง คือคนหนุ่มจำนวนหนึ่งที่เดินทางไปตามภูเขา 2-3 เดือนเพื่อทำการค้าขายทอง วัว ฝิ่น ลูกปัด มีด ฯลฯ ขณะที่วิจัย กลุ่มนี้ทำกำไรด้วยการกู้เงินคนไทย (เสียดอกเบี้ย) ไปซื้อวัวในพม่าและนำกลับมาขายในไทย - คนขายของ (salesman) เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่พัฒนามาจากการค้าทางไกล มีคนหนุ่ม 3-4 คนในหมู่บ้านที่รับผ้าทอและเชือกถักที่ชาวบ้านทำไปขายเอากำไร - นายงาน (labor boss) เป็นบทบาทใหม่ที่ยังไม่แพร่หลายนัก ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการที่ดินของตนเอง ของกะเหรี่ยงคนอื่น ตลอดจนนายทุนไทยด้วย เขาจะจ้างคนงานมาเตรียมดิน เพาะปลูก เก็บเกี่ยว นวดข้าว บางทีก็จ่ายค่าแรงด้วยเงิน บางทีก็จ่ายด้วยข้าว กะเหรี่ยงบางรายสามารถเพาะปลูกทั้งแบบเผาถางป่า (Swidden field) และทำนาดำ (paddy field) ได้ โดยจ้างนายงานมาดูแลนาให้ คน ๆ นี้เป็นตัวกลางระหว่างเจ้าของที่ดินกับแรงงาน แม่ของเขาเป็นคนไทยคนเดียวในหมู่บ้าน (น.213) - การเป็นแรงงาน เนื่องจากชายส่วนใหญ่ในหมูบ้านไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน (มี 8 ครอบครัวเท่านั้นเป็นเจ้าของที่) 25 ครอบครัวต้องหารายได้พิเศษด้วยการขายผ้าทอ เชือกถัก ปลา และผัก ดังนั้น สามี รวมถึงภรรยาและลูกที่ยังไม่แต่งงานจะไปรับจ้างทำงานที่หมู่บ้านคนไทย หรือรับจ้างนายงานเป็นครั้งคราวเพื่อหาเงิน แต่เมื่อมีพอแล้วก็จะไม่รับจ้าง บทบาทของคนกลางและแรงงานนั้นทำให้เกิดความคิด พฤติกรรม ความเชื่อใหม่ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (น.213) |
|
Social Organization |
ครอบครัวเดี่ยวเป็นหน่วยทางสังคมที่เล็กที่สุด บางครั้งอาจมีญาติผู้ใหญ่หรือเด็กมาอยู่ร่วมในครัวเรือนด้วย ผู้หญิงจะเป็นเจ้าของบ้านและโดยทั่วไปจะตั้งอยู่ใกล้บ้านแม่ หน่วยทางสังคมที่ใหญ่ขึ้นคือ สายตระกูลฝ่ายมารดา ซึ่งอาศัยในละแวกเดียวกัน มักเป็นพี่น้องกัน ลูกสาวที่ออกเรือนแล้ว และเด็กที่ยังไม่แต่งงาน กลุ่มสายตระกูลนี้จะมีผู้หญิงที่อาวุโสสุดเป็นผู้ควบคุมทำพิธีกรรมให้เมื่อเกิดเจ็บป่วย โดยจะห้ามผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในสายตระกูลเข้าร่วมพิธี หมู่บ้านที่มีประมาณ 35 หลังคาเรือนนี้ ควบคุมโดยหัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นชาย ซึ่งทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญของชุมชนปีละ 1-2 ครั้ง ดูแลตัดสินข้อพิพาท และทำพิธีขอขมาผีเมื่อเกิดการทำผิดผีหรือวิกฤตต่าง ๆ (น.210) |
|
Political Organization |
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในชุมชนได้แก่ หัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าสายตระกูลที่เป็นผู้หญิง หมอตำแย หมอผีชาย ผู้มีเวทมนต์คาถา หมอทำนายชะตา เซลส์แมน พ่อค้า นายงาน และผู้สูงอายุที่รอบรู้ธรรมเนียมประเพณี นิทานปรัมปราของกะเหรี่ยง และทำพิธีกรรมต่าง ๆ คณะผู้อาวุโสเหล่านี้จะอยู่ใต้การควบคุมของหัวหน้าหมู่บ้าน ทำหน้าที่ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ด้วย เป็นตัวแทนทางการเมืองที่ติดต่อกับโลกภายนอกผ่านคนกลางที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งรัฐไทยแต่งตั้ง (น.210) การที่มีคนที่มีบทบาทพิเศษในการติดต่อการค้ากับตลาดมากขึ้นส่งผลให้กะเหรี่ยงสูญเสียการปกครองตนเอง เริ่มต้องพึ่งพิงไทยมากขึ้น องค์กรทางการเมืองแบบกะเหรี่ยงยังคงอยู่เพื่อจัดการปัญหาภายใน แต่ก็ต้องมีหัวหน้าที่ได้รับแต่งตั้งจากไทยด้วย ซึ่งหัวหน้าทางการนี้อาจดูแลหลายหมู่บ้าน ทำรายงาน รับคำสั่งและแจ้งข่าวจากราชการไทยให้ชาวบ้านทราบ มีหลายครั้งที่เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้นำทางการกับผู้นำตามประเพณี (น.215) |
|
Belief System |
แต่เดิมนั้น คนในชุมชนกะเหรี่ยงนับถือผีเป็นหลัก ต่อมามีการเปลี่ยนอุดมการณ์จากนับถือผีมานับถือพุทธ ซึ่งสัมพันธ์กับการเกี่ยวข้องกับตลาด กะเหรี่ยงที่มีที่นาจะไปวัดและเข้าร่วมในพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ผู้นำกะเหรี่ยงกล่าวว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจและศาสนา หากการเปลี่ยนศาสนานั้นช่วยให้มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ดังกรณีที่ชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ เป็นผู้จ้างแรงงานและขายข้าวจำนวนมากให้แก่ตลาด มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ เมื่อเขาจัดงานศพมารดาเขาจัดพิธีแบบพุทธก่อน มีพระสงฆ์มาสวด จากนั้นจึงค่อยทำพิธีแบบกะเหรี่ยง เขาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยในส่วนของพิธีแบบพุทธ (น.214) เมื่อเริ่มนับถือพุทธมากขึ้น จริยธรรมแบบเดิมเริ่มเปลี่ยน มีความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นหนึ่งกับอีกรุ่น มีการเชิญคนทรงของไทยและพระสงฆ์มาช่วยแก้ปัญหา ซึ่งระบบความเชื่อแบบผีดั้งเดิมของกะเหรี่ยงไม่สามารถจัดการได้อีกต่อไป (215) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เดิมมีหมอตำแย หมอผีชายที่ทำการรักษาโดยใช้คาถา ผู้ทำนายดวง และผู้ที่มีเวทมนต์ดำ (น.209) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม แต่มิใช่ว่ากะเหรี่ยงจะกลายเป็นไทยอย่างสมบูรณ์ พวกเขายังคงรักษาความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เอาไว้ กลายเป็นวัฒนธรรมย่อย (sub-culture) ของรัฐไทย ซึ่งต้องทำการศึกษาต่อไปว่า อะไรคือแรงบีบให้กะเหรี่ยงพยายามธำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์เอาไว้ แม้นจะสูญเสียอิสระทางวัฒนธรรม (cultural autonomy) ไปแล้ว (น.215) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในยุคก่อนตลาดนั้น กะเหรี่ยงใช้เทคโนโลยีง่าย ๆ ของส่วนใหญ่ผลิตจากไม้ หญ้า ใบไม้ เปลือกไม้ ทำเชือก ปลูกฝ้ายและทอผ้าใช้เอง การเพาะปลูกก็ใช้ไม้ขุดและเผาถางที่ จึงมีการใช้วัสดุภายนอกเพียงอย่างเดียว คือ มีดโลหะ แต่เมื่อเปลี่ยนมาทำนาดำ เจ้าของที่ต้องมีเครื่องมือโละ เช่น ไถ คราด ล้อหมุนน้ำ อุปกรณ์เทียมควาย ซึ่งต้องซื้อหามาทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่ได้ผลิตเพื่อบริโภคเท่านั้นต้องเพื่อขายด้วย เมื่อต้องเกี่ยวข้องกับตลาดมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจภายในลดความสำคัญลงแบบแผนการอยู่อาศัยหลังแต่งงานก็เปลี่ยนไปด้วย 9 รายจากจำนวน 40 รายไม่ทำตามแบบแผนการสืบสายตระกูลมารดา ผู้ชาย 6 คนแต่งงานเข้าในตระกูลที่มีที่นามากที่สุด รายที่ 7, 8 นั้นคู่แต่งงานอาศัยอยู่กับพ่อแม่ภรรยาชั่วคราว แล้วก็ย้ายไปอยู่หมู่บ้านสามีเพราะใกล้ที่นาของพ่อ ส่วนรายที่ 9 นั้นย้ายมาบ้านหงส์ด้วยความช่วยเหลือของญาติๆ และเพราะภรรยาต้องการอยู่ใกล้ตลาดเพื่อขายสินค้าผ้าทอ แต่เธอก็เล่าว่า มีแผนที่จะกลับไปยังหมู่บ้านของเธอเอง การสืบทอดมรดกที่นาทำกิน ซึ่งเคลื่อนย้ายไม่ได้ ทำให้เจ้าของต้องอยู่ในหมู่บ้านเดิม ไม่ได้ย้ายออกไป และภรรยาต้องย้ายเข้ามาแทน นับเป็นการทลายกฎสายตระกูลแบบเดิม เพราะเดิมนั้นไม่มีการสืบทอดที่ดินสู่ทายาท ที่ดินเป็นทรัพยากรที่ "ไม่มีมูลค่า" ของหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม กรณีที่ไม่มีที่นาในสายตระกูลเลย ผู้หญิงก็จะย้ายกลับไปหมู่บ้านของตนพร้อมสามี แม้ว่าเศรษฐกิจ 2 ระบบยังคงมีอยู่ในช่วงที่ทำการศึกษา แต่เศรษฐกิจภายนอกเริ่มมีบทบาทนำ ดังนั้นจึงมีความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างบุคคลด้วย เพราะต้องพึ่งพิงไทยมากขึ้นเพื่อเงินและสินค้า มีการเปลี่ยนมานับถือพุทธ และทำตามผู้นำที่ราชการแต่งตั้ง (น.215) |
|
|