สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject สังคม วัฒนธรรม มุสลิมและชาติพันธุ์ต่างๆ สุรินทร์
Author จีรศักดิ์ โสะสัน
Title กระบวนการสร้างชุมชนมุสลิมในพหุสังคมอีสาน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), ห้องสมุดมหาวิทยาลัยขอนแก่น
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 305 Year 2550
Source มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Abstract

          เนื้อหางานเขียนศึกษากระบวนการสร้างชุมชนมุสลิมในพหุสังคมอีสาน ในเขตเทศบาลตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ เช่นคนเขมร คนลาว คนจีน มุสลิมชาติพันธุ์ต่างๆ การศึกษาพบว่า ชุมชนมุสลิมถูกสร้างขึ้นผ่านการสร้างคุณค่าและศรัทธาร่วมกัน โดยผ่านคำสอนทางศาสนาอิสลาม และบทบาทของมัสยิด ได้แก่การเรียนการสอนจากครูสอนศาสนาที่มัสยิด ค่ายอบรมเยาวชน  การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและบทบาทของสุสานมุสลิม หรือกุบูร อันนำไปสู่การมีศรัทธาร่วมกัน และการสร้างอัตลักษณ์ของความเป็นมุสลิม เช่นการแต่งกายตามหลักศาสนา การตั้งชื่อมุสลิม การติดต่อกันระดับชุมชนเช่น มัสยิด กุบูร กับร้านอาหารอิสลามและการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชนชนวัฒนธรรมอื่น เช่น กลุ่มชาติพันธุ์เขมร ลาว กูย คนจีน คนญวน ที่อยู่ในชุมชน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ศาสนาและวัฒนธรรม 

Focus

           เพื่อศึกษากระบวนการสร้างชุมชนของชาวไทยมุสลิมอีสาน ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม และศึกษาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยมุสลิมอีสานกับกลุ่มชุมชนวัฒนธรรมอื่นๆ ในภาคอีสาน (หน้า 5)  

Theoretical Issues

          แนวคิดทฤษฎีที่ผู้วิจัยนำมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษา กระบวนการสร้างชุมชนมุสลิมในพหุวัฒนธรรม ประกอบด้วยแนวคิดดังนี้
          แนวคิดพหุนิยม   ผู้วิจัยนำแนวคิดนี้มาศึกษาชุมชนในเทศบาลระแงง ซึ่งมีความหลายหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม สำหรับแนวคิดนี้ระบุว่า มโนภาพ ถือว่าในความเป็นจริงนั้นมีหลักการ ทฤษฎี แบบอย่างพฤติกรรม แบบความแท้จริง และอื่นๆ อยู่หลายอย่าง มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร ได้แก่คุณค่าที่ถือว่ามีอยู่จริง  มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม  เราไม่อาจลดความสำคัญของคุณค่า ซึ่งถือว่าคุณค่าเป็นเรื่องของความต้องการ พฤติกรรมของมนุษย์อาจจะเนื่องมาจากพฤติกรรมของคุณค่า หรือมาจากความต้องการ ซึ่งทั้งสองเป็นความจริงแท้เป็นคนละเรื่องไม่อาจนำมารวมกัน เช่นเดียวกับบ่อเกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่อาจมาจากสาเหตุทางเศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และอื่นๆ   (หน้า 8) พหุนิยม คือการทำให้ความหลากหลายเข้ามาอยู่ด้วยกันได้ด้วยความเข้าใจต่อกัน นอกจากความหลากหลายแล้วยังต้องมีความยุติธรรมในชีวิตมนุษย์ (หน้า 8) และแนวคิดต่อมาคือ แนวคิดชุมชนในจินตนาการ แนวคิดนี้ผู้เขียนนำมาใช้ศึกษาชุมชนมุสลิมอีสานและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่อยู่ในเทศบาลระแงง แนวคิดนี้เชื่อว่าชาติเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา และทำให้คนที่อยู่ในชุมชนเดียวกันมีความรู้สึกว่าเป็นคนชาติเดียวกัน หรืออยู่ในชุมชนเดียวกัน
          แนวคิดชุมชนในจินตนาการ  หมายถึงชุมชนที่ถูกผลิต สร้าง เรียงร้อยด้วยจินตนาการร่วมของผู้คนผ่านการจินตนาการ มโนทัศน์และความรู้สึกร่วมในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือต่างพื้นที่ด้วยความเป็นเจ้าของจินตนาการร่วม แล้วนำจินตนาการร่วมดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความเป็นชุมชน  ชุมชนในจินตนาการถูกออกแบบจากความเชื่อร่วมกันที่มีรากจากอดีต การรู้สึกถึงการมีสังกัดขอบเขตในเชิงพื้นที่ ทั้งพื้นที่กายภาพและความเชื่อ ที่แบ่งความต่างระหว่าง ความเป็นชุมชนเขา ชุมชนเรา ที่มีฐานมาจากสิ่งที่เราเชื่อเช่น ศาสนา ประวัติศาสตร์  ชุมชนความเป็นชาติไม่เกิดด้วยความเป็นธรรมชาติ เป็นชุมชนแห่งการผลิตที่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่ ของความชุมชนที่มีผลมาจากอดีต  ชุมชนแบบนี้มีจินตนาการผ่านมรดกที่ได้รับการถ่ายทอดจากอดีต (หน้า 59) กับ
          แนวคิดกระบวนการสร้างชุมชนมุสลิม แนวคิดนี้อธิบายการสร้างชุมชนของมุสลิม ที่มาจากที่ต่างๆก่อนที่จะมาตั้งชุมชนมุสลิมในเขตเทศบาลระแงง ผู้วิจัยชี้ว่า การสร้างชุมชนประกอบด้วยหลายหลายแต่หลักสำคัญคือการนับถือศาสนาอิสลาม การให้ความเคารพผู้อาวุโส แนวคิดนี้ชี้ว่า ชุมชนที่มีมุสลิมอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางบริหารชุมชน ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งหลักการศาสนาอิสลาม โดยมีอิหม่ามประจำมัสยิด และกรรมการมัสยิดเป็นตัวแทนบริหารชุมชน และมีสมาชิกประจำมัสยิดเรียกว่า “สัปปุรุษ” เป็นสมาชิกของชุมชน เช่นชุมชนหมู่บ้าน ชุมชนมุสลิมอาจมีพี่น้องต่างความเชื่อ ต่างวัฒนธรรมอาศัยอยู่ในชุมชนฐานะสมาชิกชุมชน แต่คนเหล่านั้นมีสิทธิที่ได้รับในการนับถือศาสนาและการคุ้มครองจากผู้นำชุมชนที่เป็นมุสลิม (หน้า 68)
          และแนวคิดสำนึกทางชาติพันธุ์  ที่ระบุว่า การสร้างสำนึกทางชาติพันธุ์เป็นกระบวนการสำคัญของการสร้างชาติ และการสืบทอด อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ของชนชาติที่ไร้รัฐ หรืออาณาเขตปกครองตนเอง เพราะชนชาติดังกล่าวมักอาศัยอยู่กระจัดกระจาย และอยู่ภายใต้ระบบปกครองของชนชาติที่มีอำนาจมากกว่า การสร้างสำนึกทางชาติพันธุ์ ไม่แน่นอนตายตัว แตกต่างกันไปตามบริบทแวดล้อม เช่น สภาพภูมิศาสตร์ สถานการณ์การเมือง การปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพื้นที่  แต่ก็ไม่ได้สร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ที่แยกจากกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันที่อยู่ในพื้นที่อื่นๆ  หากยังคงสร้างจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์บางส่วน ที่สามารถอ้างอิงกับกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันในพื้นที่อื่นได้ด้วย (หน้า 74)
          แนวคิดที่กล่าวมาในข้างต้นผู้วิจัยนำมาศึกษาดังมีกรอบแนวคิดดังนี้  กระบวนการสร้างชุมชนมุสลิมในพหุสังคมอีสาน  ประกอบด้วยกลไกต่างๆ คือ อย่างที่หนึ่งคือการสร้างคุณค่าและศรัทธาด้วยคำสอนศาสนาอิสลาม ผ่านบทบาทของมัสยิด การทำละหมาดในวันศุกร์ บทบาทของสุสานหรือกุบูร โดยนำกลไกนี้มาใช้รวมกลุ่มของชุมชนมุสลิม และส่วนที่สองการสร้างอัตลักษณ์ของมุสลิม โดยแบ่งเป็น  ระดับบุคคลเช่นการแต่งกาย ตามหลักศาสนาได้แก่ ฮิญาบ  ระดับครอบครัวเช่นการตั้งชื่อมุสลิม ประดับพระนามพระเจ้าและอักษรอาหรับ สื่อภาษาของชาติพันธุ์ของกลุ่มตนเอง ในระดับชุมชน เช่นการสร้างมัสยิด กุบูร ร้านขายอาหารอิสลาม  และการธำรงรักษาและสร้างชุมชนมุสลิม มาจากการการสร้างและพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่  การเคารพผู้นำ การศึกษาด้านศาสนา การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของมุสลิม ให้ความเคารพต่อความหลากหลายในกลุ่มมุสลิม เข้าร่วมกิจกรรมชุมชน ติดตามข้อมูลข่าวสารอิสลาม การเปิดรับสมาชิกใหม่เข้าสู่ชุมชน ได้แก่การแต่งงาน การทำงานอาชีพต่างๆ  
          โดยมีกลไกในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนมุสลิมและวัฒนธรรมอื่น ได้แก่ การประนีประนอม ยอมรับความหลากหลาย พูดภาษาไทยภาคกลางและภาษาศรีขรภูมิ สื่อสาร การแต่งกายให้เหมือนคนทั่วไปยกเว้นเวลาประกอบพิธีของศาสนาอิสลาม การปฏิสัมพันธ์ กับกลุ่มวัฒนธรรมอื่นๆ ได้แก่ การจ้างงานการค้าการลงทุน  ด้านการเมืองจากการเลือกตั้ง ด้านสังคม และศาสนาเช่นการแต่งงาน การไปร่วมงานประเพณีความเชื่อของคนในชุมชน  สิ่งเหล่านี้เป็นบริบทของชุมชน ที่มา และโครงสร้างของสังคมพหุวัฒนธรรม (หน้า 91)

Ethnic Group in the Focus

ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ
          กลุ่มที่หนึ่งคือ  ผู้นำกลุ่มมุสลิม  ผู้นำกลุ่มวัฒนธรรมอื่น  ผู้ทรงความรู้ในชุมชน นักการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ  (หน้า 94)
          กลุ่มที่สอง  มุสลิมในเขตเทศบาลตำบลระแงง  ได้แก่ หัวหน้าครัวเรือน  และชาวมุสลิมชายและหญิง ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และคนที่อายุไม่ถึง 40 ปี
          กลุ่มที่สาม ได้แก่ชาติพันธุ์เขมร  คนจีนรุ่นเก่า ทั้งชายและหญิง อายุ 40 ปีขึ้นไป และคนที่อายุไม่ถึง 40 ปี (หน้า 94) 

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาที่ใช้สื่อสารในกลุ่มมุสลิมชุมชนมัสยิดนูรุ้ลอีมาน
          ในชุมชนมีการใช้ภาษาที่หลากหลาย เช่น  มุสลิมสายพม่าที่มาจากเมืองต่างๆ เช่นเมืองอารากันจะพูดภาษา “เบงกาลี” มุสลิมที่มาจากเมืองย่างกุ้ง กับเหมาะละแหม่ง พูดภาษาพม่า กรณีที่มาจากเมืองอื่นๆ ถ้าหากพบกันก็จะพูดภาษาพม่าเป็นภาษากลางภายในกลุ่ม บางครั้งก็พูดภาษาไทย กลุ่มคนพม่ามีความพยายามอย่างมากที่จะเรียนรู้ภาษาไทย บางรายที่มาอยู่เมืองไทยได้ไม่นานก็สามารถพูดภาษาไทย อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ บางคนสามารถพูดอ่านเขียนภาษาไทยภาคกลางและภาษาอีสาน ขณะที่คนไทยที่อยู่ในชุมชนไม่สนใจที่จะเรียนรู้ภาษาพม่าเพราะเห็นว่าเป็นภาษาของคนอื่นและตนเองเป็นเจ้าของประเทศจึงไม่มีความจำเป็นที่จะเรียนรู้ภาษาของกลุ่มมุสลิมที่มาจากพม่า ขณะที่มุสลิมเชื้อสายมลายูบางครอบครัวจะพูดภาษาท้องถิ่นใต้ บางครอบครัวก็พูดภาษาไทยภาคกลางกับลูกหลาน  (หน้า 141)
          กลุ่มมุสลิมปาทานมีการใช้ภาษาอันหลากหลายในครอบครัว ในบางครอบครัวจะพูดภาษาอีสานถ้าหากมีสายแม่เป็นคนอีสาน แต่ในครอบครัวสายปาทานหากเรียกพ่อจะใช้ภาษา”โป๊คตุน” ได้แก่คำว่า “ด่าดา” หรือ “บะบา” เรียก “พ่อ” แต่หากเรียกแม่ว่า “แม่” แต่ในบางครอบครัวจะพูดภาษาเขมรถิ่น หรือภาษาลาวศีขรภูมิ (หน้า 142)
เปรียบเทียบภาษาต่างๆ ในชุมชนมุสลิมเทศบาลตำบลระแงง  อำเภอศีขรภูมิ (หน้า 143)
 
          ภาษาไทย     ภาษากูย      ภาษาเบงกาลี      ภาษาโป๊คตุน          ภาษาเขมรถิ่น
            ปู่                   โน๊ถูด              ดาดา                  บะบา                           ตาตู๊ด
            ย่า                  แม๊ะถูด            ดาดี                    อาบัย                           ย่าตู๊ด
            ตา                 โน๊ะเฒ่า           นานา                  บ่าบา                            ตาตู๊ด
            ยาย                แม๊ะเฒ่า          นานี                    อาบัย                            ย่าตู๊ด
            ลูกชาย           โทน               มารัสฟูวา             เซว/ซามัน                     โกนกะเลาะ
            ลูกสาว            กะไป             ไมยาฟูวา             ลูร/ลูน่า                         โกนกะมม
            พ่อ                 โน๊ะ                บ๊า                      ด่าดา (หรือ ปลาร์)           เอา
            แม่                  แม๊ะ                ม้า                      โมรี (ทับศัพท์ว่า แม่)        แม่
          และคำอื่นๆ (หน้า 143) 

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน

History of the Group and Community

ความเป็นมาของเทศบาลระแงง
          เทศบาลตำบลระแงง ตั้งอยู่บนที่ดอน เมื่อก่อนนี้มีต้นติ้วกับต้นพยอมเติบโตอยู่เป็นจำนวนมาก คำว่า “ระแงง” คือภาษากูย หมายถึง “ต้นติ้ว” บริเวณนี้มีชาวกูยอยู่ในหลายหมู่บ้านเช่นบ้านยางเตี้ย  บ้านตรมไพร และบ้านตรึม ในเวลาเมื่อกลุ่มคนลาวเข้ามาอยู่ในพื้นที่จึงเรียกว่า “ระแงง” ตามชาวกูย เนื่องจากมีต้นติ้วเป็นจำนวนมากจนถึงบ้านปราสาท ที่มีปราสาทระแงง หรือปราสาทศีขรภูมิตั้งอยู่ ระแงงถูกยกเป็นสุขาภิบาลเมื่อ พ.ศ. 2495(หน้า99 )และเป็นเทศบาลเมื่อ พ.ศ. 2542(หน้า 100)
 
ประวัติของชุมชนมุสลิมในตำบลเทศบาลระแงง        
          กระบวนการสร้างชุมชนมุสลิมเกิดจากการสร้างคุณค่าและความศรัทธาในหลักคำสอนตามหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งมีส่วนครอบคลุมในด้านต่างๆของการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว กับชุมชน  นอกจากนี้ มัสยิดนูรุ้ลอีมาน ก็เป็นเพียงมิสยิดเพียงที่เดียวในจังหวัดสุรินทร์ ดังนั้น นอกจากมุสลิมในท้องถิ่นที่อยู่ในตำบลระแงงแล้ว ยังเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของมุสลิมที่อยู่ในอำเภอต่างๆในจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียงและพื้นที่อื่นๆ อีกด้วย นอกจากนี้มัสยิดแห่งนี้ยังมีสัปปุรุษหรือสมาชิกประจำมัสยิด ถึง 170คน (หน้า 121)  สำหรับนิยามในการสร้างความหมายเพื่อให้เกิดคุณค่าและศรัทธาร่วมกันของคนในชุมชน เกิดจากการสร้างศรัทธาในด้านต่างๆและการทำกิจกรรมร่วมกันของคนในชุมชน โดยการให้ความหมายแก่มัสยิดว่า เป็นศาลาประชาคมของหมู่บ้านไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสถานที่ที่มีเกียรติน่าเคารพ และคนที่มาก็มีเกียรติน่าเคารพอีกด้วย  (หน้า 118) มัสยิดเปิดทุกเวลาและเป็นที่ปรึกษาหารือทุกสุขของคนที่อยู่ในพื้นที่  มุสลิมเป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษาเท่านั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของเพราะ เจ้าของมัสยิดที่แท้จริงคืออัลลอฮ์ ดังนั้นการสร้างคุณค่าของชุมชนมุสลิมที่ผู้เขียนระบุถึงก็คือ มัสยิดไม่ใช่แต่เป็นเพียงสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้นต้องเป็นสถานที่ในการพัฒนามุสลิมในท้องถิ่นในด้านอื่นๆ ด้วย หน้า 119)  นอกจากมุสลิมแล้ว ในตำบลระแงง ยังประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ ที่อยู่ร่วมกันในชุมชน ได้แก่

          1) กลุ่มชาวกูย  บางครั้งก็เรียก “กูย” ว่า “กวย”หรือ “ส่วย”  ในประเทศลาวเรียกว่า “ข่า”  ความเป็นมา กูยที่อยู่บริเวณทุ่งกุดไผท หรือในจังหวัดสุรินทร์ แต่เดิมกูย ตั้งที่อยู่อาศัยอยู่แขวงอัตตะปือ  แขวงจำปาศักดิ์ และสาระวัน  ประเทศลาว โดยได้อพยพเข้ามาอยู่พื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ช่วง พ.ศ. 2199 -2231 (หน้า 102) สำหรับคนกลุ่มนี้ทางการไทยเรียกว่า “เขมรป่าดง  ในงานเขียนของจิตร ภูมิศักดิ์ (2524 : 437-438)  ระบุว่า ชาวกูยมีแต่ภาษาพูดไม่มีภาษาเขียนเหมือนกับชาวลาว ชาวเขมร ดั้งนั้นจึงมีผลกระทบกับชาวกูยเนื่องจากไม่มีสัญลักษณ์การบังคับออกเสียง  ดังนั้นเมื่อชาวกูยอยู่ใกล้ชิดกับกลุ่มชาติพันธุ์ใดก็จะปะปนกับชาติพันธุ์นั้น เช่น กูยที่อยู่ในอำเภอเมืองศรีสะเกษ ได้เปลี่ยนมาพูดภาษาลาว จึงถูกเรียกว่า “ส่วยลาว” ส่วนกูยที่อยู่เมืองสุรินทร์ พออยู่รวมกลุ่มกับชาวเขมรก็พูดภาษาเขมรจึงถูกเรียกว่า “ส่วยเขมร”   (หน้า 103) 
 
          2) กลุ่มชาวเขมร  หมายถึงกลุ่มคนที่อยู่ในอีสานใต้ ซึ่งบริเวณนี้ได้รับอิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมจากเขมร โดยเฉพาะในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (พ.ศ.1545-1593) ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1656-1693) และสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1761) ในเวลานั้นชาวเขมรมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณอีสานตอนล่าง และกษัตริย์เขมรได้ระดมชาวเขมรจากประเทศเขมรและชาวกูย มาสร้างปราสาทต่างๆ เช่น ปราสาทบ้านระแงง  ปราสาทบ้านอนันต์  ปราสาทบ้านช่างปี่ รวมทั้งสร้างเมือง ตัดถนนสู่เมืองและตัดถนนไปปราสาท ในสมัยนั้น  ต่อมาวัฒนธรรมเขมรได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในสมัยกรุงธนบุรี และต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ที่เข้าไปมีอำนาจด้านการปกครองในเขมรและมีการอพยพประชาชนจากเขมรเข้ามาอยู่ในไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอีสานใต้เช่นจังหวัดสุรินทร์ ดังนั้นวัฒนธรรมเขมรจึงเข้ามามีอิทธิพลครอบคลุมวัฒนธรรมอื่นๆ ตัวอย่างเช่นเมืองสุรินทร์ซึ่งแต่เดิมเคยพูดภาษากูยก็เปลี่ยนมาพูดภาษาเขมร คนกูยกลุ่มที่พูดภาษาเขมร กลุ่มนี้เรียกว่า “ส่วยเขมร”  นอกจากนี้กลุ่มผู้ปกครองบ้านเมืองทุ่งกุดไผท(สุรินทร์) ส่วนใหญ่มีเชื้อสายวัฒนธรรมเขมร ดั้งนั้นผู้ปกครองจึงให้ผู้อยู่ใต้ปกครองเรียนรู้วัฒนธรรมเขมร (หน้า 104) ส่วนชาวกูยนั้นปรับตัวให้เข้ากับชาวเขมร ชาวลาว ได้เก่ง สันนิษฐานว่าชาวกูยน่าจะพยายามรักษาความเป็นกูยเอาไว้ เพราะยังมีการใช้ภาษากูยพูดในกลุ่มของตน(หน้า 105)
 
          3) กลุ่มชาวลาว ชาวลาวในสุรินทร์ได้อพยพมาจากลาว เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 21 ซึ่งขณะนั้นมีศูนย์กลางอำนาจอยู่จำปาศักดิ์ แล้วได้มีการขยายอำนาจมาทางตอนกลางอีสาน ใน พ.ศ. 2261 และกษัตริย์ของลาวในสมัยนั้นได้ส่งชาวลาวประมาณสามพันคน เข้ามาตั้งบ้านเมืองในพื้นที่แม่น้ำมูลตอนล่างอีกด้วย  ต่อมาเมื่อชนชั้นปกครองของลาวเกิดความขัดแย้งกัน จึงทำให้ไทยเข้าไปมีอำนาจในประเทศลาวและภาคอีสาน ดังนั้นวัฒนธรรมลาวจึงได้รับการเผยแพร่ในภาคอีสานและจังหวัดสุรินทร์  เพราะชนชั้นนำของเมืองต่างๆ ในอีสานต่างเกี่ยวโยงกันฉันเครือญาติ ซึ่งในหลายหมู่บ้านที่พูดภาษาลาวเช่นกรณีในตำบลผักไหมซึ่งแยกตัวออกจากตำบลระแงง เมื่อ พ.ศ. 2536 มีประชาชนที่พูดภาษาลาวได้แก่ บ้านผักไหม  บ้านทุ่งบัว  บ้านดงยาง  บ้านหนองสองห้อง  บ้านหนองยาง  ส่วนหมู่บ้านที่พูดลาว กูย และเขมรได้แก่ บ้านหนองแวง  หมู่บ้านที่พูดภาษากูย กับภาษาเขมร ได้แก่ บ้านท่าโคราช และประชาชนพูดภาษากูยที่หมู่บ้านก้านเหลือง (หน้า 105) ส่วนในตำบลยาง มีประชาชนพูดภาษาลาวที่บ้านโนนแดง  บ้านสว่างใหญ่  บ้านทุ่งมนต์ ตลาดกะลัน (บางส่วนพูดภาษาไทยโคราช) หมู่บ้านที่พูดภาษาเขมรประกอบด้วย บ้านอนันต์  บ้านอาเสก  บ้านตาพรม  บ้านศรีตะวัน  บ้านจลง  บ้านกระชาย  บ้านกัน  บ้านอาเกียง  บ้านโคกพยอม ส่วนบ้านที่พูดภาษากูยเช่นบ้านหนองเหล็ก  บ้านดงน้อย  (หน้า 105) คนลาวเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในเขตเทศบาลระแงง อำเภอศีขรภูมิ กลุ่มนี้ติดต่อกับกลุ่มต่างๆ ด้วยภาษาลาวศีขรภูมิ (หน้า 106)
 
          4) กลุ่มชาวญวน (เวียดนาม) ทุกวันนี้ในเขตเทศบาลตำบลระแงง มีครอบครัวชาวญวน 4-5 หลังคาเรือน ทำอาชีพค้าขาย เปิดร้านอาหาร กลุ่มนี้แต่เดิมเมื่อมาอยู่ทุ่งกุดไผท (สุรินทร์) ทำอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ ซื้อวัว ควาย ต้อนมาขาย บางส่วนมาขายสีย้อมผ้าและรังไหม ซื้อสินค้าจากภาคอีสานแล้วไปขายในประเทศกัมพูชา ซึ่งในช่วงนั้นเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส แต่ภายหลังสงครามอินโดจีน และสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวญวนที่อยู่ในทุ่งกุดไผท ก็เริ่มเช่าที่อยู่เปิดร้านค้า  เช่น ร้านขายของชำ ร้านขายอาหาร ร้านเสริมสวย ร้านซ่อมจักรยาน และอื่นๆ  ในเวลาต่อมาทางการไทยมีนโยบายส่งคนญวนกลับประเทศเวียดนาม คงเหลือเฉพาะคนญวนที่เกิดในเมืองไทยและที่เต็มใจอยู่เท่านั้น กลุ่มนี้จึงทำการค้าและอาศัยอยู่ในจังหวัดสุรินทร์จนถึงทุกวันนี้ (หน้า 106)
 
          5) กลุ่มชาวจีน เป็นกลุ่มที่เข้ามาอยู่เทศบาลตำบลระแงง โดยเข้ามาค้าขายของเร่ เมื่อ พ.ศ. 2458 ก่อนที่จะมีการเปิดการเดินรถไฟสายอีสานในจังหวัดสุรินทร์ ใน พ.ศ. 2469 โดยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนได้เข้ามาเป็นพ่อค้าคนกลางเพื่อรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านส่งไปขายที่กรุงเทพฯ  คนจีนเป็นกลุ่มที่มีบทบาททางการค้าของเขตเทศบาลระแงง (หน้า 106) ส่วนมากอพยพมาจากมณฑลจิกเอี้ย  ซัวเถา  เตี่ยเอี้ย จากการศึกษาระบุว่า กลุ่มคนจีนไม่ได้เจตนาที่จะอยู่เมืองไทย เพียงแต่เดินทางมาทำการค้าเมื่อเก็บเงินทองได้ก็จะเดินทางกลับเมืองจีน แต่เมื่ออยู่ที่เมืองไทยทำมาหากินสะดวกก็อยู่เรื่อยมาเลยไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนที่ประเทศจีนมาตั้งแต่นั้น  ในเรื่องการติดต่อสื่อสาร ชาวจีนรุ่นพ่อแม่ ยังพูดภาษาจีน  ได้แก่ ภาษาจีนกวางตุ้ง  จีนแต้จิ๋ว  จีนแคระ จีนไหหลำ และอื่นๆ  ส่วนถึงรุ่นลูกหลานก็เปลี่ยนมาพูดภาษาไทย และฟังภาษาจีนได้บ้างบางส่วน (หน้า 107) บางครอบครัวก็พูดจีนปนกับภาษาไทย กรณีที่จัดงานใหญ่เมื่อมีการพบปะกันก็จะสื่อสารกันด้วยภาษาจีนทั้งครอบครัว ในเทศบาลตำบลระแงง มีกลุ่มคนจีน สามตระกูลใหญ่ กลุ่มคนจีนจะธำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนโดยผ่านการเรียนการสอนภาษาจีนที่โรงเรียนแงงกวง ที่มีเพียงแห่งเดียวในเขตเทศบาลระแงง (หน้า 108) 
 
          6) กลุ่มชาวมุสลิม มุสลิมกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่พื้นที่เทศบาลระแงง เป็นมุสลิมเชื้อสาย รุ่นพ่อของอดีตกำนันตำบลระแงงที่อพยพมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งติดปากีสถานกับอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่เป็นอิสระจากการปกครองของประเทศอังกฤษในช่วงเวลานั้น (หน้า 109)มุสลิมปาทานมาอยู่เขตอำเภอศีขรภูมิ ระหว่างที่มีการสร้างทางรถไฟสายอีสานใต้ เมื่อ พ.ศ. 2468  สำหรับสาเหตุการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยนั้นเนื่องจากประเทศบ้านเกิดมีความอดอยาก เศรษฐกิจตกต่ำเนื่องอยู่ในภาวะสงคราม บางรายก็เดินทางมาเพื่อตามหาญาติพี่น้องที่เดินทางมาก่อน สำหรับกลุ่มที่มาอยู่ที่เขตเทศบาลระแงง อำเภอศีขรภูมินั้น เดินทางมาจากประเทศบ้านเกิดทางเรือแล้วมาลงที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แล้วเดินทางมาที่อำเภอบางเลน   จังหวัดนครปฐม ก่อนที่จะเดินทางมากับคณะก่อสร้างทางรถไฟสายอีสานใต้  มุสลิมสายปาทานเมื่อมาถึงเขตอำเภอศีขรภูมิ เมื่อแรกก็ทำงานเป็นยามเฝ้าตลาด แล้วเปลี่ยนมาขายเนื้อโค กระทั่งแต่งงานกับคนในพื้นที่จนมีฐานะมั่นคง (หน้า 110)นอกจากนี้ยังมีมุสลิมเชื้อสายอื่นๆ เช่น มุสลิมเชื้อสายมลายูจากภาคใต้ ภาคกลาง  มุสลิมเชื้อสายเบงกาลีจากพม่า และมุสลิมมุอัลลัฟซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เขมร  กูย  คนลาว ที่เปลี่ยนมารับอิสลามจากการแต่งงานกับมุสลิม และบางส่วนก็เกิดจากความศรัทธาจึงหันมานับถือศาสนาอิสลาม  (หน้า 111)

Settlement Pattern

ไม่มี

Demography

 ประชากร
          จากการสำรวจเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2547ระบุว่า ตำบลระแงง มีประชากร 5,025คน  เป็นผู้ชาย 2,447คน และผู้หญิง 2,578คน  มีความหนาแน่นของประชากร 1,256 คน ต่อตารางกิโลเมตร ในตำบลที่ประกอบด้วย 5หมู่บ้าน คือ บ้านปราสาท หมู่ 1  หมู่บ้านตลาดระแงง หมู่ 2 หมู่บ้านระแงงเหนือ หมู่ 3หมู่บ้านระแงงใต้ หมู่ 10 หมู่บ้านตลาดระแงงเหนือ หมู่ 13 กับ 8 ชุมชนคือ 1)ชุมชนบ้านตะเคียน (หน้า 100)  2)ชุมชนบ้านปราสาท  3)ชุมชนบ้านตะวัน  4)ชุมชนระแงงเหนือ  5)ชุมชนระแงงใต้  6)ชุมชนวัดใหม่  7)ชุมชนตลาดเหนือ  8)ชุมชนตลาดใต้ (หน้า101)

Economy

 เศรษฐกิจ
          คนในเทศบาลกว่า 80เปอร์เซ็นต์ ทำอาชีพค้าขาย และมีตลาดเทศบาลหนึ่งแห่ง มีแม่ค้าในตลาดสด 326คน กับค้าขายที่อาคารพานิชย์อีก 339คน   ทุกวันนี้ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่นอกเขตเทศบาล นิยมซื้อข้าวกล่อง อาหารสำเร็จรูป และกับข้าวถุงเรียบร้อยแล้ว ไปบริโภคหรือจำหน่ายในหมู่บ้าน และ 3-4 ปีที่ผ่านมา ทุกต้นเดือนจะมีชาวบ้านมารับเงินที่ไปรษณีย์ศีขรภูมิ ซึ่งลูกหลานไปทำงานที่กรุงเทพฯ  พัทยา และที่อื่นๆ ส่งมาให้เดือนละประมาณ สองพันถึงสามพันบาท บางคนมีอาชีพทำนา ส่วนบางคนก็มารับเงินจากลูกหลานเท่านั้นไม่ทำงานอื่น บางรายมีอายุ 40-60 ปี (หน้า 101)
          พื้นที่เขตเทศบาลตำบลระแงง ใช้ที่ดินเพื่อทำการเกษตรจำนวน 16% ใช้ปลูกข้าว 9%  ปลูกพืชไร่ 7% (หน้า 111) ประชาชนที่ทำการเกษตรเช่น ชุมชนบ้านปราสาท หมู่ 1กับชุมชนบ้านระแงงเหนือ หมู่ 10  ชุมชนบ้านระแงงใต้ หมู่ 13 ในเขตเทศบาลระแงงมีประชาชน 7% ทำการผลิตอุตสาหกรรมในครัวเรือน     โรงผลิตกาละแม  โรงน้ำแข็ง  โรงสีข้าว  โรงผลิตอุปกรณ์ก่อสร้าง อู่ซ่อมเครื่องมือการเกษตรซ่อมรถยนต์  โรงงานทำขนมจีบ  โรงอบนึ่งปลาทู  (หน้า 112)  เขตเทศบาลมีสถานประกอบการที่ให้บริการประเภทต่างๆ เช่น สถานบันเทิง ร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม  ห้องพัก  กิจการขนส่ง สถานพยาบาล ร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่ง ปั้มน้ำมัน และอื่นๆ (หน้า 112)

Social Organization

สังคมตำบลระแงง
          ชุมชนมัสยิดนูรุ้ลอีมาน อยู่ในเขตเทศบาลตำบลระแงง  อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ เป็นชุมชนที่มีชาวมุสลิมอยู่มาเป็นเวลานาน ในชุมชนยังมีศาสนสถานที่อยู่ใกล้กันคือ  มัสยิด  วัด  ศาลเจ้าจีน  ศูนย์เผยแพร่ศาสนาคริสต์ หรือบ้านสันติสุข และปราสาทขอม  ในชุมชนประกอบด้วยมุสลิมหลายเชื้อสาย (หน้า 5)เช่นมุสลิมเชื้อสายปาทาน  มุสลิมเชื้อสายมลายู  มุสลิมเชื้อสายเบงกาลี(พม่า) มุสลิมพื้นเมืองเดิมซึ่งเป็นคนอีสานที่เข้ารับศาสนาใหม่ และมีคนจีนอาศัยอยู่ในชุมชน ดังนั้นจึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมีงานพิธีของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่งานงิ้ว งานประจำปีของคนจีน การทำบุญในแต่ละเทศกาลของชาวพุทธ งานพิธีของมุสลิม และคนที่อยู่ในชุมชนก็ได้มีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ (หน้า 6)
 
การสร้างอัตลักษณ์ของบุคคล ครอบครัว และชุมชน
          การสร้างอัตลักษณ์ของมุสลิม  ในพื้นที่ศึกษาแบ่งเป็นระดับต่างๆ ดังนี้
          ระดับบุคคล   เช่น การแต่งกาย ตามหลักศาสนาได้แก่ ฮิญาบ  (หน้า 89)เสื้อผ้าที่สวมต้องปกปิดร่างกายให้มิดชิดเว้นไว้เพียงใบหน้าและฝ่ามือเท่านั้น ผู้ชายมุสลิมต้องไม่สวมใส่ทองคำหรือเสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าไหมจะใส่ได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น (หน้า 131)สาเหตุที่ให้สตรีมุสลิมแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายที่มิดชิดก็เพื่อความปลอดภัย ไม่ให้เกิดความเย้ายวนต่อเพศตรงข้ามซึ่งเป็นอันตรายต่อความปลอดภัย (หน้า 132)สำหรับแต่งกายตามหลักศาสนาของสตรีในพื้นที่ศึกษานั้น ผู้เขียนบอกว่า ยังไม่ค่อยเห็นการแต่งฮิญาบมากนัก แต่จะเห็นเฉพาะในพิธีสำคัญทางศาสนา การแต่งฮิญาบนี้เป็นการแสดงอัตลักษณ์ของมุสลิม ซึ่งสตรีมุสลิมให้คุณค่าอย่างมาก มองว่าเป็นเรื่องที่ดีงามและเป็นภาพลักษณ์ของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม (หน้า 133)
 
          ระดับครอบครัว  เช่น การตั้งชื่อมุสลิมของคนในครอบครัว  มุสลิมในพื้นที่ศึกษานั้น บางคนก็ตั้งชื่อภาษาไทย แต่จะตั้งชื่อมุสลิมอีกชื่อหนึ่ง หรือบางคนก็ตั้งชื่อภาษาอาหรับเพียงชื่อเดียว การตั้งชื่อเช่นนี้นอกจากจะเป็นการแสดงอักลักษณ์ของศาสนาอิสลามเพื่อให้เห็นเด่นชัดจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นการให้มุสลิมย้ำเตือนจิตใจอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองเป็นมุสลิม (หน้า 133) ประดับพระนามพระเจ้า ศาสดาของศาสนาอิสลาม และตัวหนังสือภาษาอาหรับ ปฏิทินอิสลามดูเวลาละหมาดที่บ้านเรือนที่พักอาศัย ร้านอาหาร  ประดับตัวหนังสือภาษาอาหรับบนเครื่องใช้ เช่น พรม แก้ว สติ๊กเกอร์(หน้า 134) พูดจาติดต่อกันในชีวิตประจำวันด้วยภาษาของชาติพันธุ์ของกลุ่มตนเอง  อาทิเช่น มุสลิมเชื้อสายเบงกาลีที่อยู่ในพื้นที่ศึกษาจะรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนด้วยการพูดภาษาเบงกาลีเมื่อพบปะสังสันต์ในกิจกรรมชุมชน และในชีวิตประจำวัน (หน้า 89)
 
          ระดับชุมชน   เช่น การสร้างมัสยิด กุบูร(สุสานมุลิม) ร้านขายอาหารอิสลามที่มีเพียงร้านเดียวในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ของมุสลิมรายหนึ่ง ซึ่งมุสลิมในพื้นที่และชุมชนอื่นๆที่มาทำกิจกรรมทางศาสนาอิสลามก็จะถือโอกาสมาแวะทานอาหารที่ร้านแห่งนี้ ผู้เขียนบอกว่าร้านแห่งนี้มีส่วนส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมในระดับชุมชน เพราะทางร้านได้ประดับตัวอักษรภาษาอาหรับ คำสอนในคัมภีร์อัลกุรอ่าน นอกจากนี้ทางร้านยังห้ามนำเนื้อหมู เหล้าและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอร์ชนิดต่างๆเข้ามาในร้าน และในบางครั้งเจ้าของร้านยังสวมฮิญาบะ (หน้า 134) และการธำรงรักษาและสร้างชุมชนมุสลิม มาจากการการสร้างและพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ ได้แก่การสนับสนุนด้านการศาสนาแก่เยาวชนในชุมชน และส่งเสริมให้เยาวชนศึกษาศาสนาให้มากในระดับการเรียนที่สูงในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม (หน้า 89)  ในโรงเรียนสอนศาสนาในภาคใต้ เช่น โรงเรียนสอนศาสนาในจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดอื่นๆ  การเคารพผู้นำ การศึกษาด้านศาสนา การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของมุสลิม ให้ความเคารพต่อความหลากหลายในกลุ่มมุสลิม และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่ในชุมชนตำบลเทศบาลระแงง (หน้า 90) 

Political Organization

การเมืองการปกครอง
          เทศบาลตำบลระแงงเป็นเทศบาลขนาดกลาง  ประกอบด้วยสมาชิกสภาเทศบาล 12คน  โดยแบ่งเขตการเลือกตั้งออกเป็นเขตละ 2เขต จำนวนเขตละ 6เขต  ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2547(หน้า 114)มีผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 2,226คน จากจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมดจำนวน 3,843คน คิดเป็นจำนวน 57.93เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ (หน้า 115)
 
ผู้นำในชุมชนมุสลิม        
          แบบอย่างของผู้นำและผู้อาวุโสที่อยู่ในชุมชนมุสลิมนั้น เป็นตัวอย่างของบทบาทผู้นำแก่มุสลิมที่อยู่ในชุมชนมุสลิมนูรุ้ลอีมาน และทำให้ชุมชนนี้เกิดความเข้มแข็ง เนื่องจากในคำสอนของศาสนาอิสลามนั้นให้ความสำคัญกับระบบอาวุโส ผู้นำและความเป็นผู้นำ จากการศึกษาพบว่าในชุมชนมีผู้นำสองแบบคือ(หน้า 160)
          1) ผู้นำทางสังคม   หมายถึง บุคคลที่สังคมให้ความยอมรับว่าเป็นผู้สร้างชุมชนและมีส่วยช่วยเหลือชุมชนให้คนที่อยู่ในชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีความสามัคคีกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข (หน้า 160) ซึ่งตามคติความเชื่อของมุสลิมแล้วเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันนั้นต่างก็อยู่ในคำสอนของศาสนาอิสลาม ตัวอย่างบุคคลที่อยู่ในชุมชนระแงง ที่เป็นแบบอย่างแก่ชาวมุสลิมและคนที่อยู่ในชุมชนได้แก่ คนในตระกูลประธานที่มีบทบาทในชุมชนทั้งการเป็นผู้นำ และคอยช่วยเหลือคนในชุมชนกรณีเกิดความขัดแย้ง บทบาทของผู้นำมีทั้งเป็นผ็นำระดับชุมชน เช่นเป็นกำนัน อบต. กระทั่งเป็นผู้แทนราษฎร ซึ่งบุคคลเหล่านี้ต่างก็เป็นลูกหลานของมุสลิมรุ่นแรกที่เดินทางมาตั้งรกรากในตำบลระแงง (หน้า 161)
          2) ผู้นำทางจิตวิญญาณ ได้แก่ โต๊ะอิหม่าม เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม นำการทำพิธีละหมาดในวันศุกร์และให้ความรู้ทางศาสนากับมุสลิมในพื้นที่ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ตัดสินใจหากเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งทางศาสนา (หน้า 162)
          ผู้นำทั้งสองแบบนี้มีความสำคัญต่อการธำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมในพื้นที่ตำบลเทศบาล ระแงง  งานเขียนระบุว่าการให้ความสำคัญกับผู้นำและผู้อาวุโสนั้นมีความสำคัญต่อชุมชน นอกจากนี้คนในชุมชนยังมองหาลู่ทางเพื่อสืบทอดบทบาทความเป็นผู้นำให้คนรุ่นใหม่สืบทอดต่อไป (หน้า 163) ผู้เขียนบอกว่า การที่ผู้นำมุสลิมในเทศบาลตำบลระแงงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ เนื่องจากเป็นที่เคารพรักของคนในท้องถิ่น ประกอบกับการแต่งงานในกลุ่มผู้นำมุสลิมด้วยกันเอง ตั้งแต่รุ่นพ่อที่เป็นกำนันและแต่งงานกับกำนันหญิงมุสลิม (หน้า 163) จะเป็นได้ว่า กลุ่มผู้นำในท้องถิ่นที่ผู้เขียนกล่าวถึงนั้นรุ่นลูกหลานได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำคัญในจังหวัดและระดับชาตินอกจากนี้ยังมีการวางแผนให้คนรุ่นลูกหลานรุ่นใหม่ลงเล่นการเมืองอีกด้วย (หน้า 164)

Belief System

ศาสนาและความเชื่อ
          เขตเทศบาลตำบลระแงง จำแนกประชากรตามการนับถือศาสนาได้ดังต่อไปนี้ (หน้า 113)  ศาสนาพุทธ ประชาชนนับถือ 97เปอร์เซ็นต์ มีวัดสามแห่งได้แก่  วัดปราสาท หมู่ 1(วัดเจ้าคณะอำเภอศีขรภูมิ) วัดใหม่ศรีวิหารเจริญ หมู่ 2วัดระแงง หมู่ 3, 10, 13   (หน้า 114)  ศาสนาอิสลาม ประชาชนนับถือ 2.0  เปอร์เซ็นต์ ประกอบพิธีศาสนาที่มัสยิดนูรุ้ลอีมาน ถนนเทพนิมิตร หมู่ 2  ศาสนาคริสต์ ประชาชนนับถือ 0.3  เปอร์เซ็นต์ ประกอบพิธีศาสนาที่บ้านสันติสุข ถนนศรีปราสาท หมู่ 1 และศาสนาอื่นๆ มีจำนวน 0.7 เปอร์เซ็นต์ ประกอบพิธีที่ศาลเจ้าพ่อศีขรภูมิ ถนนเทพนิมิต หมู่ 2  (หน้า 114)  
 
มัสยิดนูรุ้ลอีมาน  
         เป็นศูนย์การในการทำพิธีทางศาสนาของมุสลิมที่อยู่ในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดสุรินทร์ (หน้า 118) ชื่อ “นูรุ้ลอีมาน” มาจากภาษาอาหรับ ได้แก่คำว่า “นูร” แปลว่า “รัศมี” กับคำว่า “อีมาน” แปลว่า “ศรัทธา” ฉะนั้นมัสยิดแห่งนี้จึงมีความหมายคือ “รัศมีแห่งพลังศรัทธา”  มัสยิดมีเนื้อที่ 1ไร่ 3ตารางวา บริจาคโดยมุสลิมคนแรกที่เข้ามาอยู่ในชุมชน ซึ่งเป็นพ่อของอดีตกำนันตำบลระแงง  มัสยิดตั้งอยู่บริเวณถนนเทพนิมิต หมู่ที่ 2 ตำบลระแงง ตั้งอยู่ใกล้กับศาลเจ้าพ่อศรีขรภูมิ หรือ “ศาลเจ้าจีน” และได้จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2527 นอกจากนี้ในที่ดินของมัสยิดยังมี “กุบูร” (สุสาน)ที่ใช้ฝังศพมุสลิมที่อยู่ในจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดอื่นๆ (หน้า 119)
         มัสยิดสร้างเมื่อ พ.ศ. 2524ผู้ก่อสร้างเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เขมร จุดเริ่มต้นของการก่อสร้างมัสยิดนี้ ผู้เขียนได้บันทึกคำบอกเล่าของกำนันตำบลเทศบาลระแงง ว่า “จุดเริ่มต้นมาจากความฝันในช่วงเดือนบวช (รอมฎอน พ.ศ.2524)ในฝันมีคนมาบอกว่า ให้ก่อสร้างมัสยิด โดยเร่งสร้างให้เสร็จเรียบร้อยทันวันอีดอัฏฮา คือช่วงเวลาที่ห่างจากเดือนรอมฎอน ราวสองเดือน สิบวัน โดยให้รับบริจาคค่าใช้จ่ายจากเครือญาติที่อยู่แต่เฉพาะในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 119)
         กำนันบอกว่า ในอดีตพ่อของเขายังไม่มีโครงการที่จะคิดสร้างมัสยิดในตอนแรก แต่ในเวลานั้นอยากจะสร้างกุบูร (สุสานมุสลิม) มากกว่า เนื่องจากในเวลานั้นมีครอบครัวมุสลิมเพียงครอบครัวเดียวเท่านั้นที่อยู่ในชุมชนแห่งนี้ โดยในเวลานั้นก็มีที่ทำพิธีละหมาดที่เรียกว่า “เดลา” จึงคิดว่ายังไม่มีความจำเป็นที่สร้างมัสยิดในเวลานั้น กำนันบอกผู้เขียนว่า เวลานั้นมีเพียงครอบครัวของพ่อ และมีเพื่อนมาเยี่ยมเยือนนานๆ ครั้งเท่านั้น แต่ถ้าสร้างกุบูร (สุสาน) จะมีความจำเป็นเร่งด่วนมากกว่า เพราะหากมุสลิมเสียชีวิตก็จะเป็นปัญหายุ่งยาก เนื่องจากญาตินำศพไปฝังที่จังหวัดอื่น เนื่องจากเวลานั้นเป็นระยะเริ่มแรกที่มุสลิมมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่ราบสูงอันกว้างใหญ่ไพศาล (หน้า 119) ดังนั้น  กุบูร(สุสานมุสลิม) จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นความจำเป็นเร่งด่วนต่อมุสลิมในพื้นที่แล้ว ยังจะเป็นประโยชน์กับมุสลิมที่อยู่ในชุมชนอื่นอีกด้วย  การที่พ่อของกำนัน เห็นว่า การสร้างมัสยิดยังไม่มีความจำเป็นในเวลานั้น เนื่องจากตอนนั้นมีมุสลิมอยู่เพียงสองคนกระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ เพราะหากสร้างมัสยิดก็ต้องมีคนดูแล กับต้องทำพิธีละหมาดวันละห้าครั้ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยุ่งยากที่พ่อของกำนันเห็นว่า ในเวลานั้นยังไม่มีต้องเร่งรีบสร้างมัสยิดก็ได้ (หน้า 120)
         กระทั่งถึงสมัยของกำนันคนปัจจุบัน มุสลิมในพื้นที่ศึกษาเพิ่มจำนวนประชากรมากขึ้น ดังนั้นมัสยิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องสร้าง หลังจากที่มุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนมากขึ้นกว่าในอดีต ประกอบกับกำนันได้มีโอกาสไปเห็นไปดูชุมชนมุสลิมที่อยู่กรุงเทพฯและจังหวัดหนึ่งในภาคกลาง จึงมองเห็นความสำคัญในการสร้างมัสยิด นอกจากนี้ผู้เขียนยังบอกว่า ความกังวลของมุสลิมคือเวลาจะเดินทางไปไหนมักจะกังวลว่า หากไปอยู่ที่ไหนที่ตรงนั้นจะมีที่ละหมาดหรือเปล่า และหากถึงวาระสุดท้ายของชีวิตจะมีกุบูร(สุสาน) ฝังศพหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ที่เป็นเหตุปัจจัยสำคัญในการมีมัสยิด ในชุมชนมุสลิม (หน้า 120) อย่างไรก็ตามหลังจากสร้างมัสยิดนูรุ้ลอีมานเรียบร้อยแล้วมัสยิดแห่งนี้ก็กลายเป็นศูนย์กลางการประกอบพิธีทางศาสนาของมุสลิมในชุมชน และในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และยังเคยเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาของมุสลิมในจังหวัดใกล้เคียงเช่น บุรีรัมย์  ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ก่อนที่จังหวัดเหล่านี้จะสร้างมัสยิดประจำจังหวัดอีกด้วย (หน้า 120)
         ปัจจุบันมีคณะกรรมการบริหารมัสยิดจำนวน 15ท่าน โดยได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการกลางอิสลามของประเทศ (หน้า 120) มัสยิดแห่งนี้มีความสำคัญเพราะเป็นสถานที่ประกอบพิธีละหมาดของมุสลิมในเทศบาลตำบลระแงง และจังหวัดใกล้เคียงในภาคอีสาน  (หน้า 121) นอกจากการทำพิธีละหมาด หรือเรียกว่า ‘ฟัรดู’ ในวันนี้ยังมีพิธีที่เรียกว่า ‘คุตบะฮ์วันศักร์’ หรือการตักเตือนตามหลักคำสอนทางศาสนาอิสลาม โดยอีหม่ามจะเป็นผู้ทำหน้าที่นี้ (หน้า 122) สำหรับเนื้อหาของคุตบะฮ์วันศุกร์ ประกอบด้วยเนื้อหาตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม หลักหารดำเนินชีวิตต่างๆเช่น การถือศีลอด การละหมาด  การจ่ายซะกาตหรือการบริจาคเงินช่วยเหลือด้านการศาสนา และอื่นๆประวัติของศาสนทูตมุฮัมมัด  การอยู่ร่วมกันระหว่างมุสลิมและคนที่นับถือศาสนาอื่นที่อยู่ร่วมชุมชน การช่วยเหลือเกื้อกูลกันของคนที่อยู่ในชุมชน การประพฤติปฏิบัติเช่นน้องพี่ของมุสลิมด้วยกัน และการตักเตือนนั้นยังได้นำสถานการณ์ปัจจุบันมาถ่ายทอดด้วย เช่นเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาในประทศตะวันออกกลาง สถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในปัจจุบัน และอื่นๆ นอกจากนี้แล้วผู้เขียนยังระบุว่า วันศุกร์ไม่ใช่แต่จะมีความสำคัญในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามเท่านั้นแต่เป็นวันที่ญาติพี่น้องจะได้พบปะเสวนาและกินข้าวร่วมกัน อันจะทำให้สังคม และครอบครัว และคนในชุมชนมีความสามัคคี เข้าอกเข้าใจกันและเป็นช่วงเวลาที่จะได้ปรึกษาหารือกันถามไถ่สภาพความเป็นอยู่ และอื่นๆ (หน้า 123)

Education and Socialization

การศึกษา
          ในเขตเทศบาลระแงงมีสถานศึกษาหลายแห่ง นอกจากคนในชุมนที่นิยมส่งลูกหลานเรียนหนังสือในสถานศึกษาในเขตเทศบาลแล้ว คนที่อยู่นอกเขตเทศบาลก็มักส่งลูกหลานมาเรียนในสถานศึกษาในเขตเทศบาลเช่นกัน  สำหรับโรงเรียนต่างๆ มีดังนี้   
          1) โรงเรียนบ้านระแงง อยู่ในสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ  เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล จนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  เมื่อ พ.ศ. 2546มีนักเรียนทั้งหมด 669 คน   
          2) โรงเรียนศีขรภูมิ  สังคมกรมสามัญศึกษา  สอนระดับชั้นมัธยมศึกษา 1-6  ข้อมูล พ.ศ. 2546 มีจำนวนนักเรียน 1,814คน
          3) วิทยาลัยการอาชีพศีขรภูมิ  สังกัดกรมอาชีวศึกษา สอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ถึงระดับชั้นประกาศวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) นอกจากนี้ยังเปิดสอนหลักสูตรระยะสั้น จากข้อมูล พ.ศ. 2546มีนักเรียน 989คน  (หน้า 113)
          4) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ดำเนินการโดยเทศบาลระแงง  รับเด็กนักเรียนอายุ 2-3 ปี มีนักเรียน 34คน  (หน้า 113)
          5) โรงเรียนแงงกวง (โรงเรียนเอกชน)  สอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6กับสอนภาษาจีน ข้อมูล พ.ศ. 2546มีนักเรียนทั้งหมด 295คน (หน้า 113)
 
มัสยิดนูรุ้ลอีมาน ในการส่งเสริมด้านการศึกษาแก่เยาวชนมุสลิมอีสาน
          ในด้านการศึกษาเล่าเรียนนั้น จากการศึกษาพบว่า มัสยิดนูรุ้ลอีมาน นอกจากจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม และเป็นที่พบปะของมุสลิมแล้ว ที่มัสยิดแห่งนี้ยังเป็นโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามให้กับเยาวชนมุสลิมในพื้นที่ชุมชนเทศบาลตำบลระแงง  โดยการเรียนศาสนามีขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2525  หลังจากสร้างมัสยิดเสร็จเรียบร้อย  การสอนในครั้งแรกนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นครูที่บุเบิกการสอนที่มัสยิด ปัจจุบันก็ทำหน้าที่เป็นอีหม่ามประจำมัสยิดอีกด้วย  สำหรับครูประจำมัสยิดนี้เรียกว่า ครูโครงการอบรมศาสนาระดับท้องถิ่นมุสลิมอีสาน(หรือ อศถ.) ซึ่งในช่วงที่มีการศึกษาวิจัยนั้น ผู้เขียนบอกว่า มัสยิดมีครูประจำมัสยิดจำนวน 4คน ซึ่งแต่ละคนเมื่อมาได้ทำงานนี้แล้วก็ไปทำหน้าที่อื่นที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในแวดวงศาสนาเช่นเดิม เช่นเป็นอีหม่ามหรือเป็นครูสอนศาสนาอิสลาม (หน้า 124)
          สำหรับการเรียนการสอนในช่วงปกตินั้น จะเปิดสอนในช่วงเย็นหลังจากโรงเรียนเลิกแล้ว เยาวชนมุสลิมก็จะมาเรียนศาสนาที่มัสยิด ส่วนในวันเสาร์ อาทิตย์ เด็กนักเรียนก็จะมาเรียนการอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน หลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ประวัติศาสตร์อิสลาม  กฎหมายอิสลาม  การละหมาด การถือศีลอด และอื่นๆ การเรียนการสอนจะมีครูที่เดินทางมาจากภาคใต้เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราช  สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ที่เปลี่ยนกันมาสอนศาสนาที่มัสยิด นอกจากนี้ที่มัสยิดยังมีครูมุสลิมชาวพม่าที่สอนประจำที่     มัสยิดนูรู้ลอีมาน (หน้า 124)  
          นอกจากนี้ยังเป็นที่จัดค่ายกิจกรรมเยาวชน เช่น ค่ายอบรมเยาวชนมุสลิมฤดูร้อน  เริ่มจาก พ.ศ. 2526ซึ่ง การจัดค่ายแต่ละครั้งมีนักเรียนมุสลิมจากภาคอีสานมาเข้าร่วมจัดค่ายปีละ 200 ถึง 300คน  ซึ่งการจัดค่ายดังกล่าวนั้นมีผลต่อการธำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมในพื้นที่และเยาวชนมุสลิมที่มาจากจังหวัดต่างๆในภาคอีสาน เพราะนอกจากเยาวชนจะได้รู้จักกันแล้ว เยาวชนเหล่านี้ยังเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือกิจกรรมทางศาสนาอิสลาม และเป็นเครือข่ายสำคัญในกิจกรรมทางศาสนา ซึ่งจากการศึกษาพบว่า เยาวชนในยุคแรกๆ ที่เคยเข้าค่ายอบรมเยาวชนมุสลิมภาคฤดูร้อนนั้น ต่อมาในภายหลัง บางคนได้เป็นนักการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศรวมทั้งมีผู้ที่ประกอบอาชีพอื่นๆ ที่เป็นแรงเสริมสำคัญในการส่งเสริมกิจกรรมด้านต่างๆของมัสยิดแห่งนี้ (หน้า 125)
          “มัสยิดนูรุ้ลอีมาน” แห่งนี้เป็นศูนย์รวมความความศรัทธาของมุสลิมในเขตเทศบาลตำบลระแงง และอำเภอต่างๆในจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน และมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของมุสลิมที่อยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลระแงงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  (หน้า 129) 

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย
          ปกติมุสลิมแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์จะแต่งกายตามสมัยนิยม เช่น สวมเสื้อเชิ้ต เสื้อยืด นุ่งกางเกงขายาว แต่จะสวมหมวกละหมาดหนึ่งใบช่วงเวลาละหมาด ซึ่งในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ก็จะมีหมวกละหมาดที่ไม่เหมือนกัน ส่วนเสื้อผ้าประจำวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เคยอยู่จะนำมาแต่งกายเมื่อมีงานพิธีสำคัญทางศาสนา ได้แก่ กลุ่มมลายูจะสวมชุดแต่งกายแบบวัฒนธรรมมาเลย์ ได้แก่ เสื้อกรุง  หมวกละหมาดขาว นุ่งโสร่ง  มุสลิมเบงกาลีสวมเสื้อยาวเหมือนชุดอาหรับ(โต๊บ) ที่เรียกว่าชุดปากีหลากสี นุ่งโสร่ง สวมหมวกละหมาดสีต่างๆ  มุสลิมเบงกาลีบางครั้งก็สวมโสร่งเหมือนชาวพม่า มุสลิมปาทานจะแต่งกายใกล้เคียงกับชาวเบงกาลี (หน้า 140)
          การแต่งกายของมุสลิมทุกกลุ่มวัฒนธรรมไม่ผิดต่อหลักการอิสลาม โดยกำหนดให้ชายมุสลิม สวมเสื้อผ้ามิชิดปกปิดร่างกายตั้งแต่เหนือสะดือกระทั่งเลยหัวเข่าและไม่แต่งกายแบบวาบหวิว ดังนั้นการแต่งกายตามวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ได้แก่ มลายู  เบงกาลี  ปาทาน จึงได้รับการยอมรับตามหลักการศาสนาอิสลาม แต่การแต่งกายของหญิงมุสลิมจะต้องมิดชิดปกปิดร่างกาย (หน้า 140) การแต่งกายของมุสลิมไม่ได้ยึดติดอยู่กับวัฒนธรรมใด แต่ต้องถูกหลักกรอบอิสลาม (หน้า 141)
 
ปราสาทศีขรภูมิ(ปราสาทหินบ้านระแงง)
          อยู่ด้านทิศตะวันออก อยู่ไกลจากที่ว่าการอำเภอศีขรภูมิ 800 เมตร ปราสาทระแงงสร้างในสมัยปาปวน หรือ ประมาณ พ.ศ. 1650รูปทรงปราสาทเป็นปรางค์ก่อด้วยอิฐ ยกจากพื้นสูง 5เมตร จำนวน 5องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง  ปรางค์องค์กลางเป็นประธานสูง 32 เมตร ประดับด้วยลวดลายสลักหิน มีปราสาทบริวารล้อมรอบทั้งสี่ทิศ รูปแบบศิลปะขอมปาปวน กับนครวัด สันนิษฐานว่าตอนนั้นประชาชนนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย แต่ในเวลาต่อมาได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมเพื่อเป็นพุทธสถานในภายหลัง  (หน้า 112)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนมุสลิมกับกลุ่มชุมชนวัฒนธรรมอื่น
          กลุ่มมุสลิมที่อยู่ในเขตเทศบาลตำบลระแงง ได้ปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มวัฒนธรรมอื่นๆที่อยู่ในชุมชนในด้านต่างๆ คือ ด้านเศรษฐกิจ มีการแลกเปลี่ยน ค้าขาย การค้าการลงทุน การจ้างงาน  ด้านการเมืองการปกครอง มีการแข่งขันในการเลือกตั้ง รวมทั้งการต่อรองทางการเมือง  ด้านสังคมศาสนาและวัฒนธรรม เช่นการแต่งงานข้ามวัฒนธรรม การเข้าร่วมงานพิธีกรรมต่างๆ เช่นไปร่วมพิธีจัดงานศพ ไป ร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งงาน และอื่นๆ (หน้า 226)
 
การสร้างอัตลักษณ์ของมุสลิม และสำนึกของมุสลิมหลายกลุ่ม
          1) อัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์และถิ่นฐานเดิมของบรรพบุรุษ  จากการศึกษาพบว่า อัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ของมุสลิมที่อยู่ในพื้นที่ศึกษานั้นมีความลื่นไหลขึ้นอยู่กับว่าติดต่อกับผู้ใด ซึ่งจากที่ผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตนั้นพบว่า มุสลิมรุ่นลูกหลานไม่มีความคิดที่จะเดินทางกลับไปถิ่นฐานเดิมที่บรรพบุรุษเดินทางมา เช่น ประเทศปากีสถาน ซึ่งในระยะแรกนั้นบรรพบุรุษรุ่นพ่อแม่ มีความคิดว่าจะทำงานแก็บเงินทางแล้วเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดแต่สุดท้ายรุ่นลูกหลานก็เปลี่ยนใจตั้งรกรากอยู่ที่เทศบาลตำบลระแงง อำเภอศรีขรภูมิ (หน้า 135)
นอกจากนี้ จากการศึกษาพบว่า สำนึกความเป็นชาติพันธุ์ของมุสลิมนั้นมีการปรับตัวตามสถานการณ์ เช่นในกลุ่มมุสลิมเชื้อสายเบงกาลี หรือที่รู้จักในชื่อมุสลิมกลุ่มโรฮีงยาส์ ในทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะไม่บอกว่าตนมาจากที่ไหน บางรายโกหกว่าเป็นกลุ่มปาทาน ซึ่งผู้เขียนระบุว่า เป็นกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและทางการเมืองดีที่สุดในพื้นที่ศึกษา นอกจากกลุ่มมุสลิมเชื้อสายเบงกาลี (โรฮิงยาส์)(หน้า 137) ในพื้นที่ศึกษายังมี
กลุ่มมุสลิมอัลลัฟ (มุสลิมใหม่) ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์ กูย  จีน  ลาว  เขมร กลุ่มนี้เป็นมุสลิมเนื่องจากการแต่งงานกับคู่สมรสที่เป็นมุสลิมปาทาน  มลายู  เบงกาลี (หน้า 139) กลุ่มนี้เป็นคนในพื้นที่แต่เดิมแต่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในภายหลัง (หน้า 140) สำนึกความเป็นชาติพันธุ์ยังแสดงออกในด้านอื่นเช่น
เครื่องแต่งกายตามวัฒนธรรมชาติพันธุ์ (หน้า 140 -141) ด้านภาษาตาม
วัฒนธรรมชาติพันธุ์ ซึ่งในกลุ่มจะพูดภาษาตามกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง ส่วนกลุ่มมุสลิมที่มาจากพม่า หากสนทนากันจะพูดด้วยภาษาพม่า แต่ถ้าหากสื่อสารในท้องถิ่นก็จะพูดภาษาไทยภาคกลาง หรือภาษาถิ่นศรีขรภูมิ (หน้า 141)
          การธำรงรักษาและสร้างความเข้มแข็งของชุมชนมุสลิมมัสยิดนูรู้ลอีมาน จากการศึกษาพบว่า (หน้า 144) คนในชุมชนมุสลิมแห่งนี้ ได้มีกระบวนการสร้างความเข้มแข็งต่างๆ เช่น  การปลูกฝังการเคารพความหลากหลายของกลุ่มชาวมุสลิม (หน้า 145) ทัศนคติต่อความหลากหลายในกลุ่มมุสลิมมัสยิดนูรู้ลอีมาน (หน้า 145) (หน้า 146) การยอมรับความหลากหลายในการปฏิบัติคำสอนของศาสนาอิสลาม (หน้า 146-148)  นอกจากนี้ในกลุ่มมุสลิม ยังมีการการแบ่งหน้าที่ทางสังคมภายในกลุ่มมุสลิมและยอมรับความหลากหลายและมีการช่วยเหลือกันทางกิจกรรมทางสังคมทั้งในกลุ่มมุสลิมและคนที่นับถือศาสนาอื่น  การส่งเสริมและการพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ในชุมชนมุสลิมมัสยิดนูรู้ลอีมาน การยอมรับความเป็นผู้นำและผู้อาวุโสในชุมชนที่มีส่วนช่วยเหลือชุมชนให้เกิดความเข้มแข็งและอยู่ร่วมกันอย่างสันติตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามและยอมรับความหลากหลายของคนที่นับถือศาสนาต่างๆที่อยู่ร่วมในสังคมเทศบาลตำบลระแงง  อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 155) 

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง
       ประชากรในเขตเทศบาลตำบลระแงง จำแนกตามศาสนา (หน้า 114) เปรียบเทียบภาษาที่ใช้ในชุมชนมุสลิมเทศบาลตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 143) รายชื่อนักการเมืองมุสลิมในเขตเทศบาลตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ (หน้า 165) ศึกษาเปรียบเทียบกลไกในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ภายในชุมชนมุสลิมมัสยิดนูรุ้ลอีมาน (หน้า 224)
 
ภาพ
        กรอบคิดในการวิจัย (หน้า 91) แผนที่เขตเทศบาลตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 117) ชุมชนมัสยิดนุร้ลอีมานในจินตนาการเครือข่ายทางศาสนา (อุมมะฮ์อิสลาม) (หน้า 183)   

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG สังคม, วัฒนธรรม, มุสลิมและชาติพันธุ์ต่างๆ, สุรินทร์, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง