สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject สังคม ความเป็นอยู่ ไทยทรงดำ ไทดำ ลาวโซ่ง พิธีกรรม เครื่องแต่งกาย สุพรรณบุรี
Author ธงชัย ลุมเพชร
Title วิถีชีวิตชาวไทยทรงดำ ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
Document Type ร่างรายงานผลการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยขอนแก่น  ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 97 Year 2554
Source วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Abstract

         กล่าวโดยสรุป เนื้อหาของงานวิจัยนั้นศึกษาถึงวิถีชีวิตชาวไทยทรงดำ ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทองจึงหวัดสุพรรณบุรี ในด้านการดำเนินชีวิตประจำวัน พฤติกรรม วัฒนธรรมต่างๆ และพบว่า  ในชีวิตประจำวันนั้นชาวไทยทรงดำยังอยู่กันแบบเป็นครอบครัวใหญ่ ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม สภาพสังคมยังอยู่กันแบบพี่น้องมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีการจัดงานประจำปี ด้วยความเป็นอยู่ดังกล่าวจึงทำให้ชาวไทยทรงดำเกิดความสมัครสมานสามัคคีในกลุ่มของพวกเขา ส่วนด้านวัฒนธรรมพบว่า    ชาวไทยทรงดำ ยังสืบทอดประเพณีดั้งเดิมของตนเช่นพิธีเสนเรือน ขึ้นบ้านใหม่ งานศพ การแต่งกาย การไว้ทรงผมปั้นเกล้า และมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง

Focus

         เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวไทยทรงดำ และเพื่อนำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยไปเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายการอนุรักษ์วิถีชีวิตของชาวไทยทรงดำให้อยู่คู่กับชุมชนตำบลบ้านดอน  อำเภออู่ทอง  จังหวัดสุพรรณบุรี (หน้า 4)

Theoretical Issues

 แนวคิดเกี่ยวกับวิถีชีวิต
          การศึกษาเรือง วิถีชีวิตไทยทรงดำ ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ผู้วิจัยมีคำถามหลักในการวิจัยคือ ชาวไทยทรงดำ ตำบลบ้านดอน มีวิถีชีวิตอย่างไร มีการสืบทอดศิลปวัฒนธรรมประเพณีของตนเหมือนสมัยบรรพบุรุษหรือไม่ ในการศึกษานี้ ผู้วิจัยได้นำแนวคิดเกี่ยวกับวิถีชีวิต มาใช้ในการศึกษา โดยมีกรอบแนวคิดในการวิจัย โดยศึกษาภูมิหลังความเป็นมาของไทยทรงดำ ตำบลบ้านดอน วิถีชีวิตชาวไทยทรงดำ โดยศึกษาจากการดำเนินชีวิตประจำวัน พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันและด้านวัฒนธรรมของไทยทรงดำ (หน้า 5) ในการศึกษาได้นำแนวคิดเกี่ยวกับวิถีชีวิตมาเป็นกรอบคิด  ซึ่งสาระสำคัญของแนวคิดนี้เชื่อว่า คนเรามีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลากระทั่งเป็นกระบวนการในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมกระทั่งเกิดความต่อเนื่องกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน
         โดยสรุปแล้ว  วิถีชีวิตเป็นแบบแผนในการดำเนินชีวิต มนุษย์เกิดในสังคมใดก็จะเรียนรู้และซึมซับตามสังคมวัฒนธรรมที่ของตนเองอยู่ในสังคมนั้น ดังนั้นวิถีชีวิตของคนแต่ละสังคมจึงไม่เหมือนกัน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะเป็นวิถีทางของตนเอง ถึงทุกวันนี้จะมีปัจจัยภายนอกมาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตดั้งเดิม แต่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ยังคงสอดคล้องกับวิถีชีวิตที่มีอยู่แต่ก่อนแล้ว (หน้า 11)
          ผู้วิจัยนำแนวคิดนี้มาใช้เป็นกรอบแนวทางในการศึกษาและพบว่า ในด้านการดำเนินชีวิตนั้นไทยทรงดำมีการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย คนส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา มีความสามัคคีและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในด้านพฤติกรรมพบว่าชาวไทยทรงดำมีการละเล่นในการจัดงานประจำปี มีกิจกรรมในสังคมก็ช่วยเหลือกันอย่างเต็มใจ ในด้านวัฒนธรรม พบว่า ชาวไทยทรงดำมีการสืบทอดวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ประเพณีที่สำคัญได้แก่ ประเพณีเสนเรือน การแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ การแต่งงกายยังมีการไว้ผมทรงปั้นเกล้า มีภาษาพูดและภาษาเขียนอันเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ของตน  ซึ่งผลจากการศึกษานี้ผู้วิจัยจะนำไปเป็นแนวทางในการอนุรักษ์วิถีชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของชาวไทยทรงดำให้คงอยู่คู่กับชุมชนตำบลบ้านดอนอันเป็นพื้นที่ศึกษา (หน้าบทคัดย่อ)
 

Ethnic Group in the Focus

ไทยทรงดำ กลุ่มชาติพันธุ์นี้มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ไทดำ  ไตดำ  ลาวโซ่ง (หน้า 5)
 

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาของไทยทรงดำ 
          ภาษาของไทยทรงดำจัดอยู่ในตระกูลภาษาไทย สาขาตะวันตกเฉียงใต้(หน้า 20) 
ทุกวันนี้ มีคนพูดภาษาไทยทรงดำได้เฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนเด็กรุ่นใหม่ ไม่สามารถพูดภาษาไทยทรงดำได้แล้ว บางคนฟังรู้เรื่องแต่พูดไม่ได้ ภาษาพูดของไทยทรงดำ มีเสียงสั้นและเสียงค่อนข้างต่ำ ถ้าเปรียบเทียบกับภาษาไทย   (หน้า 82) ใกล้เคียงกับภาษาอีสาน กับภาษาเหนือ (หน้า 83) ภาษาไทยทรงดำมีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ทุกวันนี้มีเฉพาะคนสูงอายุที่เขียนภาษาไทยทรงดำได้  สำหรับตัวหนังสือนั้นเหมือนกับตัวหนังสือของชาวไทดำที่อยู่ในประเทศเวียดนาม  ตัวเขียนมีสองสายคือ สายอ่าวตังเกี๋ย ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิม  และสายอเมริกา หมายถึงกลุ่มไทดำจากเวียดนามที่อพยพไปอยู่อเมริกาแล้วพัฒนาขึ้น (หน้า 66)
 

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุเวลาการเก็บข้อมูลสัมภาษณ์ที่ชัดเจน แต่มีการค้นเอกสารในปี 2554  

History of the Group and Community

ความเป็นมาของชาวไทยทรงดำบ้านดอน
          บรรพบุรุษของชาวไทยทรงดำบ้านดอน เมื่อก่อนนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่แคว้นสิบสองจุไท ประเทศเวียดนาม และได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยที่จังหวัดเพชรบุรีในสมัยกรุงธนบุรี และต้นสมัยรัตนโกสินทร์ (หน้า 13)  กระทั่งต้นสมัยรัชกาลที่ 5 ระหว่าง พ.ศ. 2400-2420 ทางการไทยได้กำหนดการเกณฑ์ทหาร รวมทั้งยกเลิกระบบไพร่ ในช่วงนี้ชาวไทยทรงดำเป็นจำนวนมากจึงเริ่มย้ายไปอยู่ตามจังหวัดต่างๆ เช่น ราชบุรี  นครปฐม สุพรรณบุรี และพิจิตร (หน้า 14)  ชาวไทยทรงดำที่ย้ายครัวเรือนจากจังหวัดเพชรบุรี มาอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี  ในช่วง พ.ศ. 2400 ไทยทรงดำรุ่นบุกเบิกได้มาอยู่ที่บ้านดอน  อำเภอจรเข้สามพัน หรือทุกวันนี้คือตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง  และในเวลาต่อมาได้อพยพไปอยู่เข้ามาอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี ไปอยู่ในอำเภอต่างๆ อีกหลายครั้งด้วยกัน (หน้า 14)
         ลาวทรงดำ เป็นชื่อทางการในสมัยก่อน เพราะชาวสยามเห็นว่าอพยพมาจากลาวส่วนคำว่า โซ่ง หรือ ทรง มีที่มาจากที่กลุ่มชาติพันธุ์นี้สวม “ส้วงก้อม” ซึ่งเป็นกางเกงขายาวสีดำ ต่อมาด้วยเหตุผลทางการปกครอง จึงเรียกว่า “ไทยโซ่ง” “ไทยซ่วงดำ” หรือ “ไทยทรงดำ” และเจ้าของวัฒนธรรมพอใจให้เรียกว่าไทยทรงดำมากกว่า (หน้า 1)   มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองแถน ซึ่งทุกวันนี้คือเมืองเดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนาม  แต่ในเวลาต่อมาได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ที่จังหวัดเพชรบุรี แล้วย้ายถิ่นฐานมาตั้งที่อยู่อาศัยอยู่ที่ ตำบลบ้านดอน  อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ในภายหลัง (หน้า 5)  ชาวไทยทรงดำอพยพเข้ามาไทยหลายครั้ง โดยถูกกวาดต้อนครั้งแรกในสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. 2322 โดยในครั้งแรกได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เพชรบุรี เนื่องจากสภาพภูมิประเทศใกล้เคียงกับถิ่นฐานที่อยู่เดิม ชาวไทยทรงดำอพยพจากจังหวัดเพชรบุรี มาอยู่จังหวัดตำบลบ้านดอน  อำเภออู่ทอง  สุพรรณบุรี เมื่อประมาณ พ.ศ. 2400 (หน้า 3)
 
ประวัติไทยทรงดำในไทย
          ความเป็นมาของไทยทรงดำในไทยนั้น แต่เดิม ไทยทรงดำ หรือผู้ไทยดำ หรือ ลาวทรงดำ  สำหรับคำว่า ลาวโซ่ง หรือไทยโซ่ง  คือคำเรียกของคนไทยภาคกลาง ที่เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ย้ายที่อยู่มาจากเขตสิบสองจุไท ในภาคเหนือของเวียดนาม ส่วนที่มาของคำว่าลาวนั้น คนไทยในอดีตจะใช้เรียกกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทยกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ทางเหนือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่หมายถึงแต่กลุ่มที่มาจากประเทศลาวเหมือนทุกวันนี้ สำหรับคำว่า “ผู้ไทย” คือกลุ่มชาติพันธุ์ ที่อาศัยอยู่ในเขตสิบสองจุไท ในประเทศเวียดนาม กับเขตหัวพันของประเทศลาว และเป็นคำที่พวกเขาใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ของตนมาตั้งแต่อดีต (หน้า 12)
         คนไทยในอดีตเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า ลาวโซ่ง หรือ ลาวทรงดำ เนื่องจากพวกเขาเดินทางมาจากประเทศลาว จึงเข้าใจว่าเป็นคนลาวอีกกลุ่มหนึ่ง นอกจากนี้คำว่า  โซ่ง  หรือ ทรง มาจากคำว่า “ส้วงก้อม” หรือ กางเกงขายาวสีดำที่ผู้ชายสวมใส่ และเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่เหมือนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่ในประเทศไทย เนื่องจากคนในกลุ่มนี้แต่งตัวด้วยชุดสีดำ ส่วนผู้หญิงไว้ทรงผมปั้นเกล้า ในภายหลังด้วยการปกครองคนหลากหลายชาติพันธุ์ดั้งนั้นทางการไทยจึงเรียกชนกลุ่มนี้ว่า “ไทยโซ่ง”  “ไทยซ่วงดำ” หรือ “ไทยทรงดำ”  ส่วนคนในกลุ่มชาติพันธุ์นี้ก็มีความเต็มใจให้คนโดยทั่วไปเรียกพวกเขาว่า “ไทยโซ่ง” หรือ “ไทยทรงดำ” เนื่องจากรู้สึกว่ามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกลุ่มคนอื่นๆ ที่ตั้งรกรากอยู่ในไทย และการเรียกเช่นนั้นก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ไม่ใช่คนแปลกหน้าในดินแดนที่พวกเขาอยู่ (หน้า 12) 
          แต่เดิมนั้นไทยทรงดำ ตั้งถิ่นที่อยู่ในแคว้นสิบสองจุไท ใกล้กับแม่น้ำดำ และแม่น้ำแดง ในประเทศเวียดนาม ใกล้กับภาคเหนือของประเทศลาว และภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งทุกวันนี้บริเวณที่ไทยทรงดำเคยอยู่นั้นเป็นเขตแดนของเวียดนาม ในอดีตนั้นแคว้นสิบสองจุไทเป็นรัฐอิสระ กระทั่งพุทธศตวรรษที่ 19-20 ก็อยู่ในความคุ้มครองของเมืองหลวงพระบาง งานเขียนระบุว่า ในการปกครองนั้นแคว้นสิบสองจุไทแบ่งเป็นสองหัวเมืองสำคัญ และมีอิสระในการปกครองตนเอง  หัวเมืองต่างๆเป็นเมืองของผู้ไทยขาว จำนวน 4 เมือง คือ  เมืองไล  เมืองเจียน  เมืองมุน  เมืองบาง กับแปดเมืองของผู้ไทยดำ ประกอบด้วย  เมืองแถง  เมืองควาย  เมืองถุง เมืองม่วย  เมืองลา เมืองโมะ  เมืองหวัด(หรือ ว้าด) และเมืองซาง (หน้า 12)
          ไทยทรงดำอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2322 ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อกองทัพไทยเดินทางไปทำสงครามกับเมืองเวียงจันทน์และเมืองอื่นๆ ของอาณาจักรล้านช้าง  และมอบหมายให้กองทัพหลวงพระบางไปรบกับเมืองทันต์ หรือที่เวียดนามเรียกว่า “ซือหงี่” กับเมืองม่วย ซึ่งทั้งสองเมืองมีชาวเมืองเป็นไทยทรงดำ หลังจากรบชนะทางการไทยได้อพยพไทยทรงดำมาอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้มากมายมีความอุดมสมบูรณ์เหมือนกับบ้านเมืองของไทยทรงดำที่เคยอยู่ (หน้า 13) ในสมัยต่อมาก็ได้มีการอพยพชาวไทยทรงดำมาอยู่ในประเทศไทยหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2335 กองทัพของกรุงเวียงจันทน์ได้ยกกองกำลังไปรบกับเมืองพวนกับเมืองแถง และได้อพยพชาวไทยทรงดำจากเมืองแถง ประเทศเวียดนาม โดยทางการไทยได้จัดให้ชาวไทยทรงดำกลุ่มนี้อยู่ที่เพชรบุรีรวมกับกลุ่มที่เคยมาอยู่ก่อน และใน พ.ศ. 2377 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่กองทัพไทยได้ปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ของกรุงเวียงจันทน์ หลังจากปราบปรามได้สำเร็จ กองทัพไทยกับกองทัพหลวงพระบางจึงเดินทัพไปทำสงครามกับเมืองต่างๆ บริเวณที่ราบสูงทรานนินท์ และผลักดันชาวญวนออกจากเมืองพวน และยกกองกำลังเข้าตีเมืองแถง ในแคว้นสิบสองจุไทและได้อพยพชาวไทยทรงดำจากเมืองแถงเอามาไว้ที่กรุงเทพฯ (หน้า 13)
          ใน พ.ศ. 2379  กองทัพของหลวงพระบางได้ยกกองทัพไปตีเมืองทึม  เมืองคอย  เมืองควรแล้วอพยพชาวไทยทรงดำมาไว้ที่กรุงเทพฯ และ พ.ศ. 2381 ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างหลวงพระบางและกรุงเวียงจันทน์ ดังนั้นเจ้านายฝ่ายหลวงพระบางจึงได้เดินทางมาอยู่ที่กรุงเทพฯและได้นำชาวไทยทรงดำมาด้วย ดังนั้นทางการไทยจึงให้มาอยู่ที่ตำบลท่าแร้ง  อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี  (หน้า 13)
 

Demography

ประชากร
          จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2553 ประชากรในเขตเทศบาลตำบลบ้านดอน มี 7,686 คน เป็นผู้ชาย  3,718 คน และเพศหญิง 3,968 คน มีจำนวนครัวเรือน 1,749 ครัวเรือน  (หน้า 26) ในการศึกษามีผู้ให้ข้อมูล 30 คน ได้แก่  กำนัน ผู้ใหญ่  ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชาวไทยทรงดำ สิบคน  ที่ปรึกษานายกเทศมนตรี หนึ่งคน ปราชญ์ชาวบ้าน ห้าคน ผู้นำทางจิตวิญญาณ ห้าคน ตัวแทนกลุ่มอาชีพ อีก เก้าคน  (หน้า 33)
 

Economy

 เศรษฐกิจ           
          ในเขตเทศบาลตำบลบ้านดอน คนกว่า 90 % ปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์ เช่น วัวเนื้อ  วัวนม ควาย เป็ด ไก่  ไว้จำหน่าย (หน้า 24) บางส่วนก็ทำอุตสาหกรรมขนาดเล็กเช่น โรงสีข้าว มีรายได้เฉลี่ย 2 หมื่นต่อคน 5 หมื่น ต่อครัวเรือน ต่อปี  (หน้า 25)จากการศึกษาพบว่า ชาวไทยทรงดำมีอาชีพทำนาแต่ทุกวันนี้มีค่าใช้จ่ายมากกว่าในอดีตเนื่องจากการทำนาต้องเสียเงินซื้อ ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงจำนวนมากประกอบกับมีต้นทุนการผลิตที่สูง ส่วนการดำรงชีพนั้น ชาวไทยทรงดำจะแบ่งหน้าที่กันทำงานในครอบครัว เช่นผู้ชายทำงานจักสาน ทำเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวัน ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ทอผ้า และเย็บผ้า ซ่อมแซมเสื้อผ้า  (หน้า 51) 
          ในการศึกษาพบว่า ทุกวันนี้ ชาวไทยทรงดำนิยมใช้เครื่องใช้ไม้สอยในครัวเรือนที่ทำด้วยพลาสติกมากกว่าเครื่องจักสานที่ทำด้วยไม้ไผ่หรือไม้ เนื่องจากให้เหตุผลว่า เครื่องใช้พลาสติกมีความคงทนกว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้หรือไม้ไผ่ เพราะสิ่งของที่ทำจากไม้ผุพังไวกว่าพลาสติก (หน้า 52) ส่วนเครื่องมือเครื่องใช้ด้านการเกษตรนั้น ในอดีตชาวไทยทรงดำจะประดิษฐ์เครื่องใช้ในการทำนาเอง เช่นทำระหัดวิดน้ำจากไม้ แต่ปัจจุบันได้ใช้เครื่องจักรทำนา และใช้เครื่องสูบน้ำแทนระหัดวิดน้ำ ใช้รถไถนาแทนควาย  (หน้า 52) และใช้รถอีแต๋น รถกะบะแทนเกวียน เป็นต้น (หน้า 53)
          สำหรับสภาพเศรษฐกิจนั้นชาวไทยทรงดำมีสภาพความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย ถ้อยทีถ้อยอาศัย เช่นช่วยกันเอาแรงทำงาน แบ่งปันข้าวปลาอาหารแก่กันและช่วยเหลือกันเมื่อมีงานบุญและกิจกรรมทางสังคม (หน้า 53)ในอดีตคนในหมู่บ้านมีการช่วยเหลือกันทำงานเช่น ลงแขกเกี่ยวข้าว ในปัจจุบันเนื่องจากชาวไทยทรงดำมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น เช่นค่าน้ำค่าไฟ ค่ากับข้าว ดังนั้นในบางครอบครัวในช่วงที่ว่างเว้นจากการทำนา ในหน้าแล้งก็จะไปทำงานรับจ้าง เช่นรับจ้างตัดอ้อย (หน้า 54)  ดายหญ้า ถากหญ้าในไร่อ้อยในไร่ละแวกหมู่บ้านของตน (หน้า 55) 
 

Social Organization

สังคม 
          ชุมชนไทยทรงดำจะประกอบด้วยครอบครัวที่เป็นเครือญาติกัน (หน้า 71)แต่เดิมจะอยู่แบบครัวครัวขนาดใหญ่ (หน้า 43)  ถ้าลูกหลานแต่งงานมีครอบครัวก็จะสร้างบ้าน อยู่ใกล้กับบ้านหลังเดิมที่พ่อ แม่อยู่อาศัย  ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปจึงกลายเป็นกลุ่มใหญ่ ในบางพื้นที่จะใช้นามสกุลเดียวกัน (หน้า 44)
          ครอบครัวของชาวไทยทรงดำ ในอดีตเป็นแบบครอบครัวขยาย ประกอบด้วย ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่  ลูกเขย ลูกสะใภ้ และลูกหลาน  แต่ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนเป็นครอบครัวขนาดเล็ก มี พ่อ แม่ ลูก (หน้า 40) ที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากในอดีตแต่ละครอบครัวต้องการใช้แรงงานในไร่นา สวน  แต่ทุกวันนี้ได้มีการไปทำงานในต่างจังหวัดหรือในกรุงเทพ ดังนั้นครอบครัวของชาวไทยดำจึงไม่มีลูกมากเหมือนเช่นในอดีต (หน้า 41)
           ชาวไทยทรงดำมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เนื่องจากชาวไทยทรงดำจะอยู่แบบครอบครัวใหญ่หากลูกแต่งงาน ก็จะสร้างบ้านเรือนอยู่ใกล้กับบ้านพ่อแม่ โดยจะสร้างในพื้นที่ใกล้เคียงกัน   ชาวไทยทรงดำบางส่วนที่อยู่บ้านใกล้เคียงกันบางส่วนจะใช้นามสกุลเดียวกัน ดังนั้นคนในชุมชนจึงมีความสนิทสนมกลมเกลียวกัน มีความรู้สึกเป็นญาติพี่น้องดังนั้นในยามที่มีงานบุญ งานประเพณีชาวไทยทรงดำจึงช่วยเหลืองานกิจกรรมในชุมชนเป็นอย่างดี  นอกจากนี้ยังมีการใช้แรง  เอาแรง และการมีคนมาช่วยกันในพิธีต่างๆ เนื่องจากคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกันจะนับถือผีเรือนเหมือนกัน ดังนั้นเวลาทำพิธีเสนเรือนจึงต้องช่วยเหลือกัน  ครอบครัวของไทยทรงดำลักษณะครอบครัวเป็นแบบครอบครัวใหญ่ ประกอบด้วย ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ลูกเขยลูกสะใภ้และหลาน ดังนั้นจึงมีวิถีชีวิตแบบพึ่งพาซึ่งกันและกัน (หน้า 70) และช่วยเหลือกันเวลามีงานบุญ งานตามประเพณีเช่น งานบวช งานแต่งงาน งานศพ งานประเพณีเสนเรือน เป็นต้น  (หน้า 71) ดังนั้นจึงทำให้ชุมชนชาวไทยทรงดำเกิดความสามัคคี เห็นใจกัน  (หน้า 44) 
 
การแต่งงาน 
          หากชายหญิงตกลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ฝ่ายชายก็จะให้ญาติผู้ใหญ่ไปสู่ขอกับพ่อแม่ และญาติของฝ่ายหญิง  หากตกลงสำเร็จก็จะกำหนดวันแต่งงาน การทำพิธีหากฝ่ายชาย เป็นคนไทย หรือคนจีน แต่ถ้าหากมาแต่งงานกับหญิงไทยทรงดำ ก็ต้องจัดพิธีแบบไทยทรงดำ สำหรับสิ่งของที่ใช้จะประกอบด้วยห่อหมาก ห่อพลู ใส่ภาชนะที่เรียกว่า  “กระเหล็บ”  (หน้า 62)  โดยมอบหมายให้คนทำพิธีที่เรียกว่า “ล่าม” เตรียมข้าวของในการทำพิธีกรรม และบอกกล่าวกับผีเรือน หรือผี บรรพบุรุษ ว่าลูกหลานจะแต่งงาน ล่ามจะมีทั้งสองฝ่าย สำหรับล่ามฝ่ายเจ้าบ่าวเมื่อยกขันหมากมาก็จะกล่าวเป็นกลอนตอบโต้กับกล่าวฝ่ายหญิง  สำหรับชุดแต่งงานนั้นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะใส่ “เสื้อฮี” เป็นเสื้อแขนยาวสีดำ  เมื่อเดินขึ้นมาบนบ้านก็จะทำพิธีไหว้ผีเรือนที่ “กะล้อห่อง” เพื่อบอกกล่าวผีบรรพบุรุษว่าจะจัดพิธีแต่งงาน (หน้า 63,80) 
 

Political Organization

การแบ่งชนชั้นในสังคมของไทยดำ 
          ในสังคมของชาวไทยทรงดำได้มีการแบ่งชนชั้นออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มผู้ท้าวหรือชนชั้นสูงซึ่งเป็นกลุ่มสายสกุลหรือสืบการนับถือผีมาจากเจ้านายในอดีต ซึ่งเป็นฝ่ายผู้นำในแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งเป็นที่อยู่เดิมของไทยทรงดำ  อีกกลุ่มเรียกว่า ผู้น้อย หมายถึงคนที่สืบสกุลการนับถือผีจากคนโดยทั่วไปเมื่อในอดีต แต่หลังจากที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว ความแตกต่างทางชนชั้นทางสังคมของไทยทรงดำก็เลือนหายไปด้วย แต่ความแต่ต่างทางสังคมในอดีตบางส่วนยังอยู่ในข้อปฏิบัติทางประเพณีโดยสังเกตจากความเชื่อเรื่องการนับถือผี (หน้า 15) 
          สภาพสังคมของไทยทรงดำเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากอิทธิพลของวัฒนธรรมไทยและตะวันตกดังนั้นจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของไทยทรงดำ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาแบบไทย ดังนั้นในปัจจุบันความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างไทยทรงดำกับคนไทยจึงไม่ค่อยต่างกันมากนัก (หน้า 15) 
 
การควบคุมทางสังคม
          สังคมของไทยทรงดำมีการจัดระเบียบในระดับครอบครัวด้วยระบบเครือญาติ เนื่องจากมีความเชื่อเรื่องผีเหมือนกัน การจัดลำดับเครือญาติจะถือลำดับฝ่ายพ่อ เครือข่ายทางสังคมเป็นแบบระบบเครือญาติ ได้แก่ญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกันและญาติพี่น้องที่มาจากการแต่งงาน เช่น พี่สะใภ้  น้องสะใภ้  ลูกสะใภ้  หลานสะใภ้ เป็นต้น ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งในชุมชนไทยทรงดำคือจะมีการจัดชนชั้นทางสังคมด้วยการดูที่วงษ์ตระกูลหรือครอบครัว (หน้า 27)คือชนชั้น ผู้ท้าว กับชนชั้นผู้น้อย แต่ชนชั้นทั้งสองสามารถที่จะแต่งงานมีครอบครัวกันได้แต่ให้ถือที่ฝ่ายสามี (หน้า 28)
          เรื่องการนับถือผีบรรพบุรุษทำให้สังคมไทยทรงดำมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เนื่องจากการนับถือผีบรรพบุรุษหรือผีเรือน ทำให้ไทยทรงดำมีความรู้สึกว่าเป็นคนในชุมชนเดียวกันดังนั้นจึงอยู่ในกรอบจารีตประเพณีที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติสืบทอดกันมา เช่นการทำพิธีเสนเรือน ที่ชาวไทยทรงดำจะต้องทำพิธีทุกครัวเรือน หากปฏิบัติไม่ถูกต้อง ทำไม่ถูกวิธีก็อาจส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วยได้(หน้า 68) ส่วนการปกครองในปัจจุบัน ชาวไทยทรงดำมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ และคอยดูแลคนในชุมชน ป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความไม่สงบในชุมชนเช่นการลักเล็ก ขโมยน้อย เป็นต้น  (หน้า 69)
          นอกจากนี้ไทยทรงดำยังนำวัฒนธรรมความเชื่อมาใช้ในการควบคุมดูแลคนในชุมชนเช่น เมื่อคนในครอบครัวเสียชีวิต คนที่เป็นญาติพี่น้องก็จะหยุดงานมาช่วยงานศพ เช่น อาบน้ำศพ เปลี่ยนชุดใหม่ให้ผู้เสียชีวิต ส่วนญาติๆก็จะสวมเสื้อฮีมาร่วมพิธี ดังนั้นคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน และไหว้ผีเรือนเดียวกันจึงต้องมาช่วยงานศพจนกว่าจะแล้วเสร็จและในระหว่างจัดงานศพห้ามจัดงานมงคลสมรส หรือจัดงานเสนเรือน  จนว่าพิธีเอาผีขึ้นเรือนจะทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  (หน้า 69)
          ส่วนคนในครัวเรือนก็ให้เคารพผีเรือน เพราะหากทำการเซ่นไหว้อย่างถูกต้องก็จะทำให้มีความสุข เจริญในหน้าที่การงานแต่ถ้าหากบ้านไหน ไม่ให้ความเคารพหรือดูหมิ่นผีเรือน ก็จะทำให้ได้รับความเดือดร้อน หรือเจ็บป่วยไม่สบาย  (หน้า 69) นอกจากนี้ไทยทรงดำยังมีความเชื่อว่า คนในหมู่บ้านจะมีผีประจำหมู่บ้านหรือผีเจ้าพ่อให้ความดูแล ป้องกันภัยร้ายไม่ให้มากล้ำกราย จึงสร้างศาลเจ้าพ่อประจำหมู่บ้านไว้เคารพบูชา ด้วยเชื่อว่าเจ้าพ่อจะคุ้มครองคนในหมู่บ้านและสัตว์เลี้ยงและพืชผักต่างๆที่ปลูก ให้อยู่ดีมีสุขทุกคนและให้ความคุ้มครองสัตว์เลี้ยงและผลิตผลด้านการเกษตรของไทยทรงดำในชุมชน (หน้า 69)
 

Belief System

ความเชื่อ และศาสนา 
          ประชาชนในพื้นที่นับถือศาสนาพุทธ และนับถือผี โดยมีวัด สี่แห่ง ได้แก่ วัดกลางบ้านดอน, วัดยางสว่างอารมณ์, วัดยางไทยเจริญผล, วัดดอนไฟไหม้ และสำนักสงฆ์บ้านหัวทำนบ และมีศาลเจ้าอีกหกแห่ง (หน้า 27 )จากการศึกษาระบุว่า พิธีกรรมของไทยทรงดำแบ่งเป็นสองคือ พิธีกรรมทางศาสนาพุทธ กับพิธีกรรมตามความเชื่อเดิมของไทยทรงดำ เช่นการเซ่นไหว้ผี การไหว้บรรพบุรุษ นอกจากนี้ในบางประเพณียังมีความใกล้เคียงกับประเพณีของจีน ผู้เขียนบอกว่าการปฏิบัติตามประเพณีของชาวไทยทรงดำส่วนหนึ่งได้แสดงถึงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ปู่ย่าตายายที่ล่วงลับ ดังนั้นจึงทำให้เกิดความสามัคคีในสังคมไทยทรงดำ เนื่องจากการจัดระเบียบทางสังคมระดับครอบครัวใช้ระบบเครือญาติ โดยผ่านสัญลักษณ์ร่วมคือการนับถือผี นอกจากนี้ยังใช้ความเชื่อเรื่องผีเป็นสิ่งควบคุมการประพฤติปฏิบัติของสังคมไทยทรงดำให้อยู่อย่างสงบสุข (หน้า 28) 
          นอกจากนี้ชาวไทยทรงดำยังนำความเชื่อตามหลักศาสนาพุทธมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการทำบุญตักบาตร เนื่องจากในอดีตไทยทรงดำจะนับถือผีเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนโดยทำพิธีทางศาสนาพุทธด้วย เช่นการนิมนต์พระมาสวดเพื่อความเป็นศิริมงคลในพิธีแต่งงาน (หน้า 67) มีการบวชพระในกลุ่มชาวไทยทรงดำ ซึ่งแต่ก่อนไม่มี (หน้า 68)ความเชื่อและการปฏิบัติทางความเชื่อจะมีความข้องเกี่ยวกับการดำรงชีวิต เช่น หากมีคนในครอบครัวเสียชีวิต ไทยทรงดำในหมู่บ้านจะหยุดงานมาช่วยงานศพ รวมทั้งคนที่นับถือผีเรือนและคนในตระกูลเดียวกัน นามสกุลเดียวกันก็จะมาช่วยงาน นอกจากนี้จะไม่ให้จัดงานแต่งงานหรือพิธีเสนเรือน หากพิธีเอาผีขึ้นเรือนยังไม่เสร็จลุล่วง (หน้า 69)
           นอกจากนี้ไทยทรงดำยังเชื่อว่าการเคารพผีเรือนและผีเจ้าพ่อประจำหมู่บ้านจะช่วยให้คนในหมู่บ้านมีความร่มเย็นเป็นสุข ทำมาค้าขายเจริญก้าวหน้า เลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกให้ผลผลิตดี ดังนั้นไทยทรงดำจึงให้ความเคร่งครัดในการทำพิธีไหว้ผีเรือนและสร้างศาลเจ้าพ่อประจำหมู่บ้านเพื่อเคารพบูชา  คนไทยทรงดำมีความสนิทสนมในกลุ่มเครือญาติพี่น้องในตระกูลเดียวกัน ตัวอย่างที่เห็นได้เช่น คนที่อยู่บ้านใกล้เคียงกันจะใช้นามสกุลเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อมีงานพิธีเสนเรือนคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกันหรือนับถือผีเดียวกันจึงต้องเดินทางมาเข้าร่วมพิธี (หน้า 70) ด้วยความเป็นอยู่ที่นับถือผีเหมือนกัน มีตระกูลเหมือนกัน จึงทำให้ไทยทรงดำช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทั้งในชีวิตประจำวันและเมื่อมีงานประเพณีสำคัญ เช่น งานบวช แต่งงาน งานศพ และพิธีเสนเรือน เป็นต้น (หน้า 71)
          ชาวไทยทรงดำเชื่อว่ากลุ่มชาติพันธุ์ของตนสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ สองตระกูล ได้แก่ ตระกูลผีผู้ท้าว ซึ่งเป็นเชื้อสายชั้นเจ้านาย ทำหน้าที่เป็นชนชั้นปกครอง กับผีผู้น้อยซึ่งเป็นเชื้อสายของชนชั้นสามัญ การเซ่นไหว้ผีจะทำ “กะล้อห่อง” ไว้ในบ้าน เพื่อเป็นที่เซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ และในการประกอบพิธีไทยทรงดำนั้นเชื่อว่า ผีผู้ท้าวมีศักดิ์สูงกว่าผีผู้น้อย แต่ในชีวิตประจำวันทั้งสองตระกูลสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างเท่าเทียมกัน (หน้า 20,61)   ส่วนผีอื่นๆ ที่นับถือได้แก่ ผีฟ้า หรือผีแถน ซึ่งเป็นเทวดาที่อยู่บนฟ้า ทำหน้าที่ดูแล ผีบ้าน ผีเรือน ผีประจำหมู่บ้าน เพื่อดูแลเมือง หรือหมู่บ้านให้เกิดความสันติสุข ส่วนผีป่า ผีเจ้าเขาก็ให้ทำหน้าที่ดูแลป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติ (หน้า 21) ส่วนความเชื่ออื่นๆของไทยทรงดำมีดังนี้
          ผีเรือน หรือผีเฮือนคือผีปู่ ย่า และพ่อแม่ที่ตายไปแล้วรวมทั้งดวงวิญญาณของญาติพี่น้องในครอบครัว เมื่อเสียชีวิตไปแล้วลูกหลานจะทำพิธีเพื่อเชิญดวงวิญญาณให้มาอยู่ที่กะล้อห่อง  ซึ่งไทยทรงดำเชื่อกันว่าคนนั้นตายเพียงร่างกายแต่ขวัญของคนจะยังอยู่ตลอดไป เมื่อพ่อแม่เสียชีวิตลูกหลานจะทำพิธีเพื่อเชิญดวงวิญญาณมาปกปักรักษาลูกหลานในครอบครัวให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข  ส่วนการทำพิธีเซ่นไหว้ผีเรือนนั้นจะทำทุกๆ สามปี (หน้า 60) 
          การเสนเรือน คือพิธีที่ไทยทรงดำจัดเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ดังนั้นจึงทำพิธีเสนเรือนเพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณของ ปู่ ย่า ตา ยายให้ขึ้นมาอยู่บนเรือน ที่ไทยทรงดำ สร้างให้อยู่เรียกว่า “กะล้อห่อง”  ซึ่งในห้องดังกล่าวจะปราศจากเถ้ากระดูกที่สื่อว่าเป็นผีตนใด จะมีเพียงแก้วกับถ้วยชามที่ใส่อาหารโยจะเซ่นไหว้ในทุก 10 วัน  และตรงฝาบ้านเรือนจะทำเป็นช่องขนาดเท่ากับไข่เป็ด เพื่อเป็นช่องให้หมอเสนทิ้งเศษอาหารที่เซ่นไหว้ผีเรือนเรียบร้อยแล้วลงใต้ถุน  (หน้า 61) การทำพิธีจะทำเป็นประจำหรือจะทำสองถึงสามปีจะทำพิธีก็ไม่เป็นไร การทำพิธีจะทำเดือนใดก็ได้ ยกเว้นเดือนห้า เพราะถือว่าเป็นเดือนที่มีความแห้งแล้งขาดความอุดมสมบูรณ์ กับเดือนเก้าถึงเดือนสิบเชื่อว่าเป็นช่วงที่ผีเรือนไปเฝ้าเทวดา  การทำพิธีเสนเรือนเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำหากลูกหลานไม่ใส่ใจหรือสนใจในการทำพิธีก็จะทำให้คนในครอบครัวและตระกูลนั้นได้รับความเดือดร้อนต่างๆ นานา  (หน้า 61) 
          ส่วนคนที่มีตระกูลหรือนามสกุลเหมือนกัน ไทยทรงดำเรียกว่า “สิ่ง” หมายถึงนามสกุลของตระกูลดังกล่าว ส่วนการเสนเรือนจะเป็นสองอย่างได้แก่ พิธีเสนเรือนผู้น้อยหรือคนที่อยู่ในตระกูลโดยทั่วไปกับพิธีเสนเรือนผู้ท้าว หรือคนที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อสายเจ้าในอดีต (หน้า 61) สำหรับการเสนเรือนนั้นจะมีผู้นำการทำพิธีเรียกว่า “หมอเสน” ซึ่งจะเป็นผู้นำในการทำพิธีเสนเรือน ซึ่งการทำพิธีนี้คนไทยทรงดำให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะคิดว่าผีเรือนซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษ ผีปู่ย่า ตายาย พ่อแม่จะทอดทิ้งไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดก็ต้องเดินทางกลับมาร่วมพิธี ซึ่งไทยทรงดำให้ความสำคัญกับผีบรรพบุรุษ สังเกตจากแต่ละบ้านจะสร้างกะล้อห่อง ไว้เป็นที่อยู่ของผีเรือนที่เป็นผีบรรพบุรุษที่สามารถให้คุณให้โทษกับพวกเขาที่อยู่ในตระกูลนั้นๆ(หน้า 62)
         ผีประจำหมู่บ้าน  คือผีที่ทำหน้าที่ดูแลคนในหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข โดยหมู่บ้านของไทยทรงดำจะทำศาลที่อยู่ให้ผีประจำหมู่บ้าน หรือศาลเจ้าพ่อประจำหมู่บ้าน มีการทำพิธีเซ่นไหว้จะทำปีละครั้ง ช่วงเดือนแปด เดือนเก้า โดยจะมอบหมายให้ตัวแทนผู้ทำพิธีซึ่งเรียกว่า “เจ้าจ้ำ”  (หน้า 60) นำการเซ่นไหว้เจ้าพ่อ เพื่อบอกกล่าวดวงวิญญาณเจ้าพ่อหรือผีประจำหมู่บ้าน ให้มาคุ้มครองดูแลคนในหมู่บ้านให้มีความเป็นอยู่ที่ดีไม่เดือดร้อนเจ็บไข้ได้ป่วย (หน้า 61)  
          ขวัญ ไทยทรงดำเชื่อว่าเมื่อทุกคนเกิดมาจะมีขวัญติดตัวมาด้วย ถ้าหากขวัญออกจากร่างกายก็จะทำให้เจ็บป่วยหรือตาย  หากไม่สบายก็จะทำพิธีเรียกขวัญ หรือเสนขวัญ เพื่อให้ขวัญกลับมาเข้าร่างกายหายจากการเจ็บป่วย (หน้า 21) สำหรับการเรียกขวัญไทยทรงดำเรียกว่า พิธีแปลงขวัญ โดยจะให้หมอแปลง เป็นผู้ทำพิธีเรียกขวัญกลับเข้าสู่ร่างกายหากคนๆ นั้นเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยๆ (หน้า 62) นอกจากนี้ไทยทรงดำยังเชื่อว่า เมื่อมีคนเสียชีวิต วิญญาณของบุคลนั้นจะไปเฝ้าแถนที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ สำหรับความเชื่อเรื่องขวัญแบ่งเป็นสามกลุ่มดังนี้  หลังจากเสียชีวิตขวัญส่วนที่หนึ่งซึ่งเรียกว่า “ขวัญกก”จะเดินทางไปสวรรค์เพื่อเฝ้าแถนกับญาติพี่น้องที่เสียชีวิตก่อนแล้ว ส่วนที่สองคือ “ขวัญหัว”จะเป็นผีเรือนคอยดูแลลูกหลานให้มีความสุข และกลุ่มที่สามเรียกว่า “ปลายขวัญ หรือ   “เงา” ขวัญกลุ่มนี้จะไปอยู่ป่าช้าหรือกระจัดกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ (หน้า 64)
          ส่วนพิธีกรรมอื่นๆ ของไทยทรงดำมีดังต่อไปนี้
          พิธีขึ้นบ้านใหม่ เมื่อไทยทรงดำสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย ก่อนขึ้นไปอยู่ต้องทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ โดยต้องดูฤกษ์ยามตามความเหมาะสม หมอที่ทำพิธีจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวมใส่ในชีวิตประจำวันแต่สะพายดาบ ถือย่ามแดงใส่เครื่องมือเช่น สิ่ว ค้อน ที่ใช้ตอกเสาห้อง “กะล้อห่อง” พิธีส่วนใหญ่เริ่มเวลาประมาณ 17.00 น. เป็นต้นไป (หน้า 63) 
          พิธีเสนแก้เคราะห์บ้าน  พิธีนี้จะทำเมื่อมีคนในบ้านเสียชีวิต โดยจะมอบหมายให้แม่มดทำพิธีเสนกวัดกว้าย เพื่อความเป็นศิริมงคล การทำพิธีไม่นิยมทำหลังจากที่มีคนในบ้านเสียชีวิต ไม่ถึงสามปี เพราะเชื่อว่าจะทำให้คนที่อยู่อาศัยในบ้าดังกล่าวอายุสั้นนั่นเอง (หน้า 64) 
 

Education and Socialization

การศึกษา         
          เขตเทศบาล มีโรงเรียน สี่แห่ง ได้แก่ โรงเรียนวัดกลางบ้านดอน เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3, โรงเรียนวัดยางสว่างอารมณ์  เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3, โรงเรียนบ้านหัวทำนบอารมณ์ สอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6, โรงเรียนวัดศรีสร้อยเพชรอารมณ์  เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านดอน (หน้า 27)
 

Health and Medicine

         การรักษาพยาบาล ในเขตเทศบาลมีโรงพยาบาล หนึ่งแห่งคือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านดอน  (หน้า 27) 
 
พิธีแปลงขวัญ
         พิธีนี้จัดเพื่อเรียกผีขวัญที่ออกจากเนื้อจากตัวให้กลับคืนสู่ร่างกายเพื่อให้ร่างกายและสุขภาพดีเหมือนก่อนที่ขวัญจะออกไป การทำพิธีแปลงขวัญไม่ว่าเพศหญิง เพศชาย หรืออยู่ในช่วงวัยใดจะทำพิธีก็ได้ หากผู้ที่ต้องการทำพิธีมีอาการเจ็บป่วยไม่สบายบ่อยครั้ง หรือเบื่ออาหารการกิน กินอาหารไม่อร่อย การทำพิธีจะมีหมอแปลงขวัญ(มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง)เป็นผู้นำการทำพิธี คนที่เป็นหมอแปลงขวัญจะต้องมีความรู้เรื่องบทแปลงขวัญที่จะใช้ในการรักษาคนที่เป็นไข้ไม่สบาย (หน้า 62 ) 
 

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของชาวไทยทรงดำ 
          การแต่งกายด้วยชุดไทยทรงดำแบบเดิมมีเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยแบ่งการแต่งกายออกเป็นชุดที่ใส่ในชีวิตประจำวันและชุดที่สวมใส่เมื่อมีงานพิธีกรรม (หน้า 16) 
          เครื่องแต่งกายผู้ชายไทยทรงดำ        ถ้าหากเดินทาง หรือทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันผู้ชายจะสวม   ”เสื้อไท้” หรือ ”เสื้อซอน” มีแขนยาวสีดำ ผ่าหน้าอกเสื้อแล้วติดกระดุมเงิน 10 ถึง 15 เม็ด คอตั้งแบบเสื้อชาวจีน ส่วนด้านข้างทั้งสองผ่าตรงปลาย ด้านล่างแหวกตรงชายเสื้อ สวมกางเกงขาสั้นสามส่วน เรียกว่า “ส้วงขาเต้น” บางครั้งก็เรียกว่า “ส้วงก้อม” คล้ายกางเกงขาก๊วยสีดำ หรือสีคราม เอวกว้าง บางโอกาสก็สวมกางเกงขายาว ซึ่งยาวถึงข้อเท้าที่เรียกว่า “ส้วงฮี” (หน้า 16)            
          เมื่อมีงานเทศกาลผู้ชายจะสวม “เสื้อฮี”  มีสีดำสวมใส่ได้ทั้งสองด้าน อีกด้านประดับด้วยเศษผ้าสีสันต่างๆ เช่น เขียว แดง ส้ม บริเวณสาบชายเสื้อ ใต้บริเวณรักแร้กับปลายแขนเสื้อ กับเหนือรอยผ่าทั้งสองด้านที่อยู่ด้านข้างยาวจรดเข่า เป็นเสื้อคอกลมป้ายทับมาทางซ้ายของเสื้อ ผ่าด้านหน้ายาวติดกระดุม หนึ่งเม็ด และกุ้นคอเสื้อด้วยผ้าไหมแดงและสีอื่นๆ  ติดกระดุมที่บริเวณอกและเอวของเสื้อ แขนทรงกระบอก ประดับผ้าหลากสีสัน   การสวมเสื้อฮีนั้น หากเป็นงานบุญหรืองานมงคล ได้แก่ งานแต่งงาน พิธีเสนบ้านและอื่นๆ การสวมใส่เสื้อจะเอาด้านที่ประดับด้ายหลากสีสันไว้ด้านใน  กรณีที่เป็นงานไม่เป็นมงคลจะกลับเสื้อลายสวยงามไว้ทางด้านนอกคือการนำมาคลุมร่างผู้เสียชีวิต
           ก่อนสวมเสื้อฮีจะสวมเสื้อเชิ้ตไว้ทางด้านในแล้วทับด้วยเสื้อฮีไว้ทางด้านนอกเหมือนกับสวมเสื้อสูท การใช้เสื้อฮีของชาวไทยทรงดำจะไม่ซักทำความสะอาดเพียงแต่จะผึ่งแดดเพื่อเป็นการถนอมสีเสื้อไม่ให้ตกจากการซักล้างทำความสะอาด (หน้า 16) 
          การแต่งกายอีกอย่างของชาวไทยทรงดำคือจะสวมกระเป๋าคาดเอว ซึ่งแต่เดิมจะใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ทุกวันนี้จะใช้ในงานเทศกาลที่สำคัญ โดยจะนำมาคาดที่เอว กระเป๋าตัดเย็บด้วยผ้าสีดำ กับสีเหลืองและสีแดง บริเวณปลายสายมีลักษณะกลมเรียวขนาดเล็ก ประดับด้วยด้ายหลากสีสันทั้งสองข้าง และตรงกลางทำกระเป๋าและทำฝาสำหรับปิดเปิดเก็บเงินและสิ่งของใช้ส่วนตัว อาทิ บุหรี่  ไม้ขีดไฟ หมากพลู  (หน้า 17)
          เวลาเดินทาง หรือไปร่วมงานพิธีกรรม ชาวไทยทรงดำจะพกมีดปลายแหลม ไว้ที่เอวหรือสะพายไว้ที่ไหล่  โดยจะเก็บมีดไว้ในฝักที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง มีดนี้ชาวไทยทรงดำใช้เป็นอาวุธ กับใช้สอยตัดไม้ไผ่ที่นำมาใช้ในพิธีกรรมทางความเชื่อ (หน้า 17)
          เครื่องแต่งกายผู้หญิง          คือ “เสื้อก้อม” ตัดด้วยผ้าฝ้ายสีดำ หรือสีคราม ลักษณะคอตั้งแบบเสื้อคนจีน แขนยาวทรงกระบอก ผ่าเสื้อทางด้านหน้าใส่กระดุม 10 ถึง 15 เมตร  เป็นเสื้อแบบเอวสั้น ออกแบบเข้ารูปกับผู้สวมใส่  (หน้า 17) 
          สวมผ้าซิ่นสีดำหรือสีคราม ที่เรียกว่า “ผ้าลายแตงโม” พื้นผ้ามีลายเส้นตั้งตรงสีขาวขนาดเล็กแล้วทอด้วยด้ายสีดำสลับขาว หรือสีฟ้า บริเวณเชิงซิ่นติดตีนซิ่นลายขวาง กว้าง สองนิ้ว ด้านบนของซิ่นสีดำสนิทกว้างสองนิ้วเช่นกัน แล้วนำมาเย็บติดตัวซิ่นลายแตงโม  ลายขนาดใหญ่สองเส้นขนานกัน หมายถึง คนไทยกับคนลาวนั้นคือพี่กับน้อง และลายเส้นขนาดเล็กกับเส้นใหญ่อีกเส้น สื่อนัยยะถึง การพลัดพรากจากกันไกล การสวมซิ่นของไทยทรงดำจะพับปลายซิ่นด้านบนสองข้างเข้าหากัน ให้ทับที่กลางเอว แล้วรัดเข็มขัด ให้ทางหน้าซิ่นสูงกว่าทางด้านหลัง แล้วพับชายผ้าปิดเข็มขัด เพื่อความคล่องแคล่วเมื่อก้าวเดินนั่นเอง (หน้า 17 )  ในกลุ่มผู้อายุชอบใช้ผ้าคาดอกที่เรียกว่า “ผ้าเปียว”แทนการใส่เสื้อ เป็นผ้าแพรดำกว้าง 20 ถึง 30 เซนติเมตร ยาวหนึ่งเมตร บริเวณชายผ้าทั้งสองข้าง ปักด้ายแดง ส้ม เขียง ลายใบไม้ม้วน บางครั้งก็ลายก้นหอย ชาวไทยทรงดำจะใช้ผ้าเปียวในชีวิตประจำวันได้แก่ คาดหน้าอก คลุมหัวไหล่ ห่มกันแดด ห่มเป็นผ้าสไบ แทนการใส่เสื้อ บางครั้งก็ห่มทับเสื้อก้อม เมื่อมีงานเทศกาลที่สำคัญ (หน้า 17)
          เมื่อมีงานเทศกาลสำคัญหญิงไทยทรงดำจะสวมเสื้อฮีแบบของผู้หญิงตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายสีดำคลุมยาวถึงหัวเข่ารูปทรงสี่เหลี่ยมลักษณะคอตั้ง ด้านหน้าคอวี (หน้า 17) สวมด้านหัว ไม่มีกระดุมเสื้อ  แขนสามส่วนสวมได้ทั้งสองด้าน ตะเข็บเสื้อทั้งด้านนอกและด้านใน ประดับด้วยผ้าหลากสีสัน บริเวณอก จะหันยอดแหลมไปทางบ่า หากกลับด้านในของเสื้อ เลยขอบปลายแขนขึ้นมาสองนิ้ว ที่สาบหน้าปลายแขน ตะเข็บกับชายเสื้อ ตกแต่งด้วยผ้าสามเหลี่ยมหลายสีจากคอถึงชายเสื้อ (หน้า 18) 
          เครื่องแต่งกายเด็ก  ในอดีตการแต่งกายของเด็กชาวไทยทรงดำจะสวม “ตับปิ้ง” ลักษณะเป็นผ้าปิดหน้าอกกับท้อง ทำสายผูกโยงทางด้านหลัง  สวมหมวกสีดำเหมือนถุง เรียกว่า “มู” ประดับผ้าไหมหลายสี แล้วใช้สายสะพาน เรียกว่า “พลา” พันตัวเด็ก นำมาคล้องที่ไหล่แม่เพื่อให้ง่ายในการอุ้มลูก สำหรับสายสะพายเรียกว่า “หม้นงอ” โดยจะทำเป็นลวดลายพญานาคห้าตัวหันทางด้านหัวลงมา ซึ่งตามความเชื่อของไทยทรงดำเชื่อว่าจะเป็นการคุ้มครองไม่ให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายมากร้ำกรายเด็ก และติดกับลวดลายพญานาคจะทำกระเป๋าขนาดเล็กเอาไว้ใส่เงินรับขวัญจากผู้ใหญ่  (หน้า 18) 
          สาเหตุที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ เนื่องจากปู่ย่าตายาย ไม่ต้องการให้ลูกหลานใช้ชีวิตประมาท ให้ทำความดีและยึดมั่นตามประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่อดีต (หน้า 64) 
 
ลักษณะบ้านของไทยทรงดำ
          ในอดีตบ้านของไทยทรงดำสร้างเป็นบ้านสองชั้น เสาบ้านเป็นเสาไม้ที่นำมาทั้งต้นโดยเลือกต้นที่เป็นง่าม เพื่อใช้วางคาน พื้นบ้านปูด้วยฟากไม้ไผ่หรือไม้กระดาน ส่วนหลังคาและปีกนกหัวท้ายบ้าน จะเสมอกันกับชายคาบ้าน ลักษณะโค้งแบบกระโจม มุงด้วยแฝกยาวมาถึงพื้นเรือน ผนังบ้านกั้นด้วยฟากไม้ไผ่ บริเวณที่ยอดจั่วจะประดับด้วยไม้สลักที่แกะสลักคล้ายเขากวาง เรียกว่า “ขอกุด” ส่วนใต้ถุนบ้านยกสูง มีบันไดบ้านทางด้านหน้าและหลังบ้าน  บ้านของไทยทรงดำจะมีลักษณะพิเศษโดยกั้นไว้หนึ่งห้อง เรียกว่า “กะล้อห่อง” โดยจะอยู่มุมของเสาบ้านเป็นที่อยู่ของผีเรือนที่เป็นผี ปู่ ย่า ตายายที่ล่วงลับไปแล้ว  (หน้า 44)
          ปัจจุบันบ้านของไทยดำได้เปลี่ยนมาใช้วัสดุที่คงทนเช่น ปูน หิน ทราย ลักษณะชั้นล่างก่อด้วยอิฐ ชั้นบนเป็นไม้มุงสังกะสีหรือกระเบื้อง บางครอบครัวจะสร้างด้วยปูนทั้งหลัง มีทั้งชั้นเดียวและบ้านสองชั้น  แต่บ้านของชาวไทยทรงดำจะยังคงสร้าง “กะล้อห่อง” ไว้สำหรับเป็นที่อยู่ของดวงวิญญาณบรรพบุรุษเช่นเดิม (หน้า 45) 
 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

         อัตลักษณ์สำคัญของชุมชนชาวไทดำ นอกจากนี้ ทรงผม “ปั้นเกล้า” ยังเป็นเอกลักษณ์ที่ผู้สูงอายุยังคงไว้อยู่ในอดีตการไว้ทรงผมทรงนี้จะเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัย  โดยจะเริ่มแต่ละช่วงอายุดังต่อไปนี้ (หน้า 19)
         1. ช่วงอายุ 13 ถึง 14 ปี จะไว้ผมยาวถึงไหล่ โดยมีชื่อเรียกว่า “เอื้อมไร” หรือ “เอื้อมไหล่”  (หน้า 19) 
         2. ในช่วงอายุ 14 ถึง 15 ปี  ไว้ผมยาวทรงสับปิ่น โดยพันปลายผมม้วนก่อนที่จะสับหวีที่บริเวณท้ายทอย
         3. และอายุ14 ถึง 15 ปี เหมือนกัน จะไว้ผมเปียทางด้านหลังและทางด้านหน้ายกสูงเป็นกระบัง โดยเรียกว่า “จุกผม”  
         4. เมื่อเข้าสู่วัย 16 ถึง 17 ปี ไว้ผมทรง “ขอดกระตอก”  โดยจะรวบผมที่ยาวไว้ทางด้านหลัง ผูกเป็นปมก่อนที่จะตลบผมมาทางด้านหน้า (หน้า 19)
         5. อายุ 17 ถึง 18 ปี ไว้ผมทรง “ขอดซอย” โดยไว้ผมยาวผูกโบว์ทั้งสองข้างจากนั้นก็ปัดผมไว้ทางซ้ายของศีรษะ
         6. พอย่างเข้าสู่อายุ 19 ถึง 20 ปี ไว้ผมทรง “ปั้นเกล้าซอย” โดยผูกผมคล้ายเน็คไทหูกระต่ายจากนั้นก็ให้ปลายผมโผล่มาทางด้านขวามือ (หน้า 19)
         7. เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไปถือว่าบรรลุนิติภาวะสามารถออกเรือนแต่งงานได้ คนวัยนี้จะไว้ผมยาวม้วนผมเป็นลอนขนาดใหญ่ ไว้ทางด้านหน้า ส่วนทางด้านหลังม้วนไว้กลางศีรษะแล้วสอดผมไว้ทางด้านในขัดด้วยไม้ขัดเกล้า ที่ทำด้วยเงิน หรือ นาค  ทรงผมแบบนี้เรียกว่า  “ปั้นเกล้า” บางครั้งเรียกว่า “ปั้นเก้าถ้วน”   
         8. สำหรับผู้หญิงที่สามีตาย ก็จะไว้ทุกข์โดยไว้ผมทรงปั้นเกล้าตก  รวบผมไว้ที่ท้ายทอยโดยไม่มีเครื่องประดับ ผมทรงนี้จะไว้ช่วงไว้ทุกข์จนกว่าจะเผาตามประเพณี จากนั้นจึงจะไว้ผมทรงปั้นเกล้าได้ใหม่อีกครั้ง โดยจะให้ผู้หญิงที่แต่งงานมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าในชีวิตสมรสเป็นผู้เกล้าผมให้ (หน้า 19) โดยมีญาติผู้ใหญ่กล่าวคำอวยพรเพื่อความเป็นศิริมงคล เมื่อผ่านพิธีเกล้าผมใหม่ ก็สามารถเริ่มต้นชีวิตคู่แต่งงานใหม่ได้อีกครั้ง (หน้า 20)  
        นอกจากนี้การที่คนในตระกูลเดียวกัน นับถือ “สิ่ง” (หน้า 61) หรือผีของตระกูลเดียวกัน ต้องมาร่วมพิธีเซ่นไหว้ผีเรือนด้วยกันเป็นจุดรวมในการรักษาความสัมพันธ์ และสำนึกร่วมกันของไทยทรงดำ (หน้า 68)
 

Social Cultural and Identity Change

          ไทยทรงดำในกลุ่มคนหนุ่มสาวทุกวันนี้ได้เปลี่ยนมาแต่งกายตามสมัยนิยม การแต่งกายด้วยชุดไทยทรงดำแบบเดิมมีเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น (หน้า 16)
          การผสมผสานประเพณีกับพิธีทางพุทธ (หน้า 67)
          การผสมผสานด้านวัฒนธรรมระหว่างไทยทรงดำกับคนไทยโดยทั่วไป พบว่ามาจากการติดต่อกันในสังคม การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งพบว่า การผสมผสานด้านวัฒนธรรมนั้นจะอยู่ในกลุ่มที่อายุน้อยที่ได้เรียนหนังสือตามระบบของรัฐไทย มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เดินทางไปไหนหรือเดินทางเข้าเมืองหรือนานๆจะเดินทางไปต่างจังหวัดสักครั้งหนึ่ง (หน้า 28)
 

Other Issues

ทรงผมของชาวไทยทรงดำ
          ชาวไทยทรงดำในอดีตไว้ทรงผมเป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์ของตน แต่ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาไว้ทรงผมตามสมัยนิยม ในอดีตชายไทยทรงดำไว้ผมสั้นทรงดอกกระทุ่ม ส่วนในกลุ่มผู้หญิงจะไว้ผมทรงปั้นเกล้า (หน้า 18) 
 

Map/Illustration

ตาราง  แสดงเพศของผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ (หน้า 37) อายุของผู้ให้ข้อมูล (หน้า 37) แสดงสถานภาพของผู้ให้ข้อมูล (หน้า 38) อาชีพของผู้ให้ข้อมูล (หน้า 38) แสดงระดับการศึกษาของผู้ให้ข้อมูล (หน้า 39) แสดงรายได้ของผู้ให้ข้อมูล (หน้า 39) ระยะเวลาที่อยู่ในชุมชนของผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ (หน้า 40)
 
ภาพ  กรอบแนวคิดการวิจัย (หน้า 5)
 

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 28 มิ.ย 2560
TAG สังคม, ความเป็นอยู่, ไทยทรงดำ, ไทดำ, ลาวโซ่ง, พิธีกรรม, เครื่องแต่งกาย, สุพรรณบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง