|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไตหย่า,ศาสนาคริสต์,เชียงราย,ชาวไตน้ำ,ชาวไตลาย, มณฑลยูนนานประเทศจีน,ภูมิหลัง,วัฒนธรรมประเพณี,การแต่งกาย,การแต่งงานของชาวไตหย่า,หมอสอนศาสนา, การอพยพเข้าสู่ประเทศไทย |
Author |
รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์, ราญ ฤนาท |
Title |
อิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่มีต่อชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงราย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไตหย่า ไทหย่า ไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
62 |
Year |
2532 |
Source |
รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และ ดร.ราญ ฤนาท (2532) อิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่มีต่อชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงราย. รายงานการวิจัย , สถาบันวิจัยและพัฒนา , มหาวิทยาลัยพายัพ |
Abstract |
รายงานการวิจัยชิ้นนี้ศึกษาชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ชีวิตความเป็นอยู่ในประเทศจีน สาเหตุของการอพยพ และอิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่มีต่อชีวิตของไตหย่าในเชียงราย ซึ่งผู้ศึกษาได้ข้อมูลจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์ และศึกษาจากเอกสารอ้างอิง และพบว่า ชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงรายอพยพเข้ามาตามการนำของหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันและไทย เมื่ออพยพมานั้นมีความเชื่อและยึดคำมั่นคำสั่งสอทางคริสตศาสนานอย่างจริงจังและนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตในการประอาชีพและทำงานร่วมกันผู้อื่น มีอาชีพและรายได้มั่นคง (หน้า ข-ค) จนในปัจจุบันรุ่นลูกรุ่นหลานเชื่อศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่นับถือมาตั้งแต่ดั้งเดิมโดยไม่รู้มาก่อนว่านับถือผีบรรพบุรุษมาก่อน (หน้า57) |
|
Focus |
เน้นการศึกษาถึงอิทธิพลของชาวไตหย่าจากมณฑลยูนนานจนอพยพเข้าสู่ประเทศไทย โดยศึกษาทั้งในเรื่องของความเป็นอยู่ ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสังคม และการประกอบอาชีพของชาวไตหย่า |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาวไตหย่า เป็นชาวไตหย่าที่แต่เดิมอาศัยอยู่ที่เมืองหย่า หรือ เมืองสินผิงอยู่ทางเหนือของเวียดนามหรือทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจีน(หน้า1)และอพยพมาที่เชียงราย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของชาวไตหย่านั้น เป็นภาษาตระกูลไตที่จัดอยู่ในกลุ่มสายตะวันตกเฉียงใต้ กลุ่ม ph ซึ่งลักษณะภาษาเป็นคำโดด และระบบเสียงในภาษาไตหย่ามี 3 ระบบแต่มีระบบเสียงเป็นของตนเอง เป็นเสียงเช่นเดียวกับตระกูลไตทุกภาษามีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียนของตัวเอง แต่ใช้อักษรจีนเขียน(หน้า 37) |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงเวลาของการลงพื้นที่ใช้เวลาสัมภาษณ์เป็นเวลา 4 เดือนที่หมู่บ้านตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 (หน้า 4) |
|
History of the Group and Community |
เป็นงานศึกษาในลักษณะด้านประวัติศาสตร์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาวไตหย่าที่ดั้งเดิมถิ่นฐานตั้งอยู่ที่มณฑลยูนนานและศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมาของการนับถือศาสนาคริสต์ในประเทศไทยและในจังหวัดเชียงรายจนถึงอิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่เข้ามามีผลกระทบต่อชีวิตของคนไตหย่าในจังหวัดเชียงราย (หน้า 3) เริ่มจากการนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่โดยกลุ่มคนในประเทศยุโรปที่เข้ามาในประเทศ ซึ่งนอกจากจะเข้ามาเผยแพร่ศาสนาและยังเข้ามาในประเทศเพื่อค้าขายหลังจากปฏิวัติอุตสาหกรรม จึงทำให้ศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยตั้งแต่นั้นมา โดยเริ่มเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่กรุงศรีอยุธยาในช่วงปี พ.ศ. 2054 จนเกิดการสร้างโบสถ์และไม้กางเขนหรือตรงกับช่วงของสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นโชคดีที่พระสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้เปิดโอกาสและเสรีภาพแก่คณะมิชชันนารีและได้พระราชทานที่ดินริมแม่น้ำเพื่อสร้างโบสถ์และโรงเรียนหรือเรียกอีกอย่างว่า ค่ายนักบุญโยเซฟ (หน้า 7) ที่ศาสนาคริสต์เข้ามาเพราะเพื่อใช้ศาสนาเป็นตัวนำที่จะได้ให้ประเทศไทยไปเป็นอาณานิคมแต่เนื่องจากไม่ได้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ ประเทศไทยจึงแค่เสียดินแดนบางส่วนให้กับอังกฤษและฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2436 (หน้า 8)
การเผยแพร่ศาสนานิกายโปรเตสแตนด์ที่แพร่หลายเข้ามาในทางภาคเหนือของไทยนั้นเนื่องจากการทำสงครามที่ทำให้มิชชันนารีสนใจกลุ่มไตหย่ามากขึ้น โดยเฉพาะวิลเลี่ยมคริฟตัน ดอดด์ หรือเรียกว่า หมอดอดด์ ซึ่งเป็นมิชชันนารีที่จังหวัดเชียงรายได้เดินทางไปเชียงตุง ในปี พ.ศ. 2447 ได้มีการก่อตั้งสถานีประกาศศาสนาขึ้นที่เมืองเชียงตุง แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากมีปัญหาด้านทุนทรัพย์ของผู้สอนศาสนาและประกอบกับมีคณะหมอสอนศาสนานิกายแบบติสต์ตั้งอยู่ที่เชียงตุงแล้ว จึงทำให้ความพยายามของหมอดอดด์ไม่ประสบผลสำเร็จ ศูนย์จึงถูกปิดในปี พ.ศ. 2451 แต่ความตั้งใจของหมอดอดด์นั้นก็กลับมีมากขึ้นที่จะสอนศาสนาในชนกลุ่มไตหย่าให้ได้มากที่สุดจึงเดินทางไปประเทศจีนได้ไปเยี่ยมบริเวณต่างๆที่มีคนไตอาศัยอยู่เมื่อเข้าใกล้เมืองหยวนเกียงซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีชาวคริสเตียนอยู่เลยทำให้คณะที่เดินทางไปพร้อมกับหมอดอดด์มีความมั่นใจว่าจะไม่ประสบปัญหาใดอีก เมื่อได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลจีนในปี พ.ศ. 2456 จึงได้มีการตั้งศูนย์ประกาศศาสนาขึ้นที่เมืองเชียงรุ้ง ซึ่งในสองปีแรกนั้นบริเวณที่ก่อสร้างนั้นชาวเมืองเชียงรุ้งเชื่อว่ามีผีร้ายแต่เมื่อหมอศาสนาเข้ามาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงทำให้ชาวไตเกิดความเชื่อถือและให้ความเคารพนับถือศาสนาคริสต์เพิ่มมากขึ้นและศูนย์ได้พัฒนาและเจริญมากขึ้นในปี พ.ศ. 2484 แต่เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในเวลานั้น ชาวอเมริกันที่อยู่ในประเทศจีนต้องกลับประเทศสหรัฐอเมริกาและในปีพ.ศ. 2489 กองทัพของจีนได้เดินทางเข้ามาและยึดเอาศูนย์ประกาศศาสนาเป็นที่ตั้งประจำการจนสงครามเลิกจึงทำให้ต้องล้มเลิกความคิดเพราะเกิดการปฎิวัติของจีน (หน้า 27 - 29) นอกจากจะมีมิชชันนารีแล้วก็ยังมีคนไทยไปด้วย คือ หนานสุข น้อยจันตา และผป.แก้ว ใจมา เมื่อพ.ศ. 2464 ได้เข้ามาประกาศคำสอนศาสนาคริสต์ให้กับชาวไตหย่า โดยใช้ภาษาไทยและอักษรล้านนาในการสอน นับได้ว่าคนไทยก็ได้เข้าไปมีบทบาทให้ชาวไตหย่าสนใจและนับถือศาสนาคริสต์เพิ่มขึ้น (หน้า 41)
เมื่อชาวไตหย่าได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์จึงทำให้ฝ่ายปกครองไม่พอใจเพราะจากรายงานของหมอสอนศาสนานั้นพบว่ามีครอบครัวชาวไตหย่าได้ถูกบังคับให้จ่ายภาษีโบสถ์ซึ่งเป็นการละเมิดสัญญาที่ตกลงกันไว้ และนอกจากนี้ชาวไตหย่าได้ถูกบีบคั้นจากรัฐบาลก็ยังถูกเอารัดเอาเปรียบจากพวกฮั่นเรื่องของค่าเช่าที่ดินและหรือบางครั้งก็เข้าปล้นสะดมภ์ชาวไตหย่า จึงทำให้ชาวไตหย่าหวาดกลัวดังนั้นจึงต้องคอยดูแลและระวังบ้านเรือนของตนเองในเวลากลางคืน ชาวไตหย่าที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์จึงตัดสินใจอพยพเข้าสู่ประเทศไทย ตามการชักนำของหมอศาสนา (หน้า 44)
การอพยพของชาวไตหย่าที่เข้ามาในไทยนั้นเดินเท้าจากเมืองหย่า เมืองจุ้ง มาทางเมืองซือเหมา สิบสองปันนา เมืองยอง และแม่สายและพักที่หมู่บ้านหนองกลมใช้เวลาเดินทางสองเดือนและได้ไปปักหลักอยู่สองหมู่บ้านคือหมู่บ้านป่าสักขวางกับหมู่บ้านน้ำบ่อขาว ซึ่งสองหมู่บ้านนี้อยู่ไม่ไกลกันมากนักเป็นการอพยพเข้ามาเป็นครั้งแรกและได้มีการประกอบอาชีพรับจ้างทำนา เลี้ยงปลา ปลูกต้นกก และทอเสื่อกก ส่วนการอพยพครั้งที่สองคือในปี พ.ศ. 2470 Backteal ผป.แก้ว ใจมา และเพื่อนร่วมทีมอีกสองสามคนได้เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาที่เมืองหย่า มีอีกสิบครอบครัวที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์และหลังจากนั้น 2 ปี คนที่เปลี่ยนมาถือคริสต์ได้เดินทางอพยพมาที่เชียงราย ผู้ที่อพยพเข้ามานั้นจะมีอายุประมาณ 14 - 35 ปี (หน้า 47) และเมื่อทำมาหากินในหมู่บ้านป่าสักขวางได้ไม่นานก็มีที่ดินเป็นของตนเองและก็ได้เดินทางกลับบ้านที่เมืองหย่าอีกครั้งเพื่อพาชาวไตหย่าและญาติพี่น้องเดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง และยังมีชายหนุ่มที่หลบหนีจากการถูกเกณฑ์เป็นทหารอพยพเข้ามาด้วย หลังจากนั้นก็มีการอพยพแบบประปรายจนกระทั่งจีนเปลี่ยนแปลงการปกครอง (หน้า 47)
เมื่ออพยพเข้ามาในตอนแรกนั้น ไตหย่าทุกคนมีใบต่างด้าว ต่อมาปี พ.ศ.2480 มีการสำรวจชายไทยเพื่อเป็นทหารรบกับฝรั่งเศส เมื่อสำรวจและสัมภาษณ์ชาวไตหย่า พบว่าภาษาพูดคล้ายภาษาไทย สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้ จึงยกเลิกใบต่างด้าวคนจีน และให้สัญชาติไทยตั้งแต่บัดนั้น และชายไตหย่าทั้งหมดถูกเกณฑ์ไปแนวหน้า อย่างไรก็ตาม ต่อมา มีปัญหาชาวไตหย่าที่บ้านน้ำบ่อขาว อ.แม่สาย ถูกถอนสัญชาติ โดยเจ้าหน้าที่อำเภอแม่สายใช้ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 เพราะเข้าใจผิดว่า ชาวไตหย่าเป็นจีนฮ่อ ไทใหญ่ หรือพม่า ส่วนไตหย่าที่เขตอื่นๆ ยังคงได้สัญชาติไทย (หน้า 48)
|
|
Settlement Pattern |
ประเด็นเรื่องของการดำรงชีวิตอยู่ของชาวไตหย่าทั้งในแบบดั้งเดิมและในปัจจุบันโดยจากถิ่นฐานดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีนหรือทางเหนือตอนบนของประเทศเวียดนาม ซึ่งหนึ่งในสี่ของชาวไตนี้เป็นชาวไตลื้อในสิบสองปันนา ชาวไตบางส่วนก็อาศัยอยู่ในบริเวณอำเภอโมซ่า เมืองหย่า นอกจากนี้ภูมิประเทศของชาวไตหย่ามักเป็นแบบเอียงจากภูเขาลงสู่แม่น้ำและมีภูเขาหัวโล้นเป็นหย่อมๆ ในบริเวณที่เป็นที่ราบเอียงนั้นจะมีการทำนาแบบขั้นบันได้ด้วย (หน้า 22) ขณะอาศัยในยูนนาน ชาวไตหย่าส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในที่โล่ง ลมแรง และมีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว ซึ่งการสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยของชาวไตหย่านั้นส่วนใหญ่เป็นทรงลักษณะสี่เหลี่ยม เตี้ย เป็นชั้นเดียว ใต้ถุนไม่สูง ตัวบ้านนั้นสร้างมาจากก้อนดินที่ทำขึ้นเอง ซึ่งก้อนดินนั้นเป็นการนำดินผสมหญ้าผม และใยลินินและปั้นให้เป็นก้อนสี่เหลี่ยมๆ และนำไปตากให้แห้ง และเมื่อนำมาก่อให้เป็นบ้าน โดยเชื่อมก้อนดินด้วยกันจากการนำโคลนมาเป็นตัวเชื่อมแล้วใช้โคลนฉาบผนัง เพดาน และพื้นให้เรียบ ส่วนหลังคาบ้านนั้นจะมีลักษณะเป็นหลังคาหน้าตัดและเรียบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า และจะมีบันไดที่อยู่ในบ้านพาดกับหลังคา ซึ่งไว้สำหรับการตากอาหาร หรือเป็นที่ไว้สำหรับให้ผู้ชายไว้เฝ้าระวังข้าศึกที่จะมาโจมตีหรือโจรที่จะมาปล้นบ้านลักษณะบ้านที่พักอาศัยนั้นจะคล้ายๆกับการสร้างบ้านดิน เพราะทำมาจากดินและฉาบด้วยโคลน(หน้า 24) |
|
Demography |
ประชากรของชาวไตหย่าที่อาศัยอยู่ในมณฑลยูนนานมีประมาณ 2,000,000 คนในปี พ.ศ. 2481ช่วงบริเวณเมืองสินผิง (Xinping) เมืองโม่ซ่า (Mosha) เมืองหยวนเกียง (Yuanking) หรือ (Yuanjiang) ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน (หน้า 22) ในเชียงรายมีคริสตจักรไทยสมัครที่หมู่บ้านป่าสักขวาง อ.แม่จัน มีสมาชิก เป็นไตหย่าประมาณ 20 ครอบครัว คริสตจักรนทีธรรมในหมู่บ้านน้ำบ่อขาว มีสมาชิกเป็นไตหย่าประมาณ 210 คน และคริสตจักรถาวรธรรมในหมู่บ้านหนองบึ๋ง มีสมาชิกเป็นไตหย่า 7 ครอบครัว (หน้า 51) |
|
Economy |
งานศึกษาระบุว่าอาชีพหลักของชาวไตหย่าที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนคือการปลูกต้นกก การทำนา และเลี้ยงปลา ในการทำนาจะได้ 3 ครั้งต่อหนึ่งปีเพราะเป็นที่ราบลุ่มอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแดงจึงสามารถทำนาได้ดี ผลผลิตนั้นแบ่งให้เจ้าของที่นาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการเลี้ยงปลานั้นมีวิธีอยู่ 2 วิธี คือขุดบ่อเลี้ยงหรือจะเลี้ยงปลาให้มารวมกับน้ำที่อยู่ในที่นา เมื่อน้ำแห้งปลาก็จะไหลเข้าสู่บ่อที่มีน้ำโดยขุดบ่อปลาไว้ในนาทุกแปลง (หน้า 29) นอกจากนี้ก็ยังมีวัฒนธรรมประเพณีของชาวไตหย่าที่รับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก มีการทานข้าวจ้าวบ้างแต่ไม่มากนัก และยังมีการทำข้าวต้มด้วย โดยมีสองวิธี คือ การนำข้าวเหนียวปรุงกับหมูแล้วนำไปมัดติดกันเหมือนการทำข้าวต้มมัดแล้วจึงนำไปนึ่ง ชาวไตหย่าเรียกว่า ข้าวต้มก๊บ หรือ ข้าวจ๋า และอีกวิธีคือนำข้าวสารเหนียวไปคลุกกับถั่วลิสงและหญ้าหอม มัดเป็นแท่งๆและห่อด้วยใบตองแล้วจึงนำไปต้ม เป็นอาหารที่ทำในประเพณีไหว้ผีบรรพบุรุษ และผีประจำหมู่บ้าน (หน้า 30-31) |
|
Social Organization |
เรื่องการแต่งงานของชาวไตหย่านั้น การที่จะมีคู่ครองนั้นส่วนใหญ่พ่อแม่จะเป็นคนหาให้ ซึ่งอาจจะมีการหมั้นหมายไว้ตั้งแต่ตอนเด็กโดยเจ้าตัวอาจจะยังไม่รู้ แต่พอเวลาเปลี่ยนไปก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปโดยหนุ่มสาวก็จะมีโอกาสเกี้ยวพาราสีกัน เมื่อฝ่ายชายชอบสาวคนไหน ก็จะให้พ่อแม่ทำพิธีไปสู่ขอสาวคนนั้นให้โดยต้องนำ ไก่ 1 ตัว เป็ด 1 ตัว ข้าว 1 ห่อ เหล้า 2 ขวด น้ำตาล 2 ชั่ง ไปให้กับพ่อแม่ของฝ่ายสาว ถ้าพ่อแม่ฝ่ายผู้หญิงพอใจก็จะรับของทั้งหมดและยกลูกสาวให้แต่ถ้าไม่พอใจก็ไม่รับของอะไรไว้ถือว่าเป็นการปฎิเสธ โดยปกติผู้ชายชาวไตหย่านั้นจะมีภรรยา ได้คนเดียว แต่ถ้าภรรยาไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ก็สามารถมีภรรยาใหม่ได้ (หน้า 35)
ชาวไตหย่าในสมัยบรรพบุรุษที่อพยพเข้ามารุ่นแรกและมีลูกรุ่นแรกส่วนใหญ่จะหาเลี้ยงชีพโดยการทำนา ปลูกยาสูบ ปลูกต้นกก เป็นการเริ่มต้นของนายจายที่นำต้นกกเข้ามาปลูก และต่อมาได้มีรุ่นลูกรุ่นหลานตามมาได้มีการพัฒนาด้านการศึกษาในระดับอุคมศึกษาก็จะสนใจอาชีพหลากหลายด้านเช่น พยาบาล ครู ตำรวจ ทหาร เป็นต้น สำหรับผู้ที่ศึกษาในระดับประถมศึกษาหรือมัธยมก็จะประกอบอาชีพเพาะปลูกและทอเสื่อกก เพื่อเป็นการหารายได้เลี้ยงบิดามารดาให้มีชีวิตดำรงอยู่จนทุกวันนี้ (หน้า 50)
บุคคลที่มีบทบาทต่อสังคมคริสเตียนนั้นก็คือ สตรีคริสเตียนมีทั้งประธานและรองประธานที่เป็นสตรีคริสเตียนในคริสตจักรทำหน้าที่คอยประสานงานระหว่างสมาชิกคริสตจักรที่เป็นสมาชิก มีการจัดการส่งเสริมกิจกรรมต่างๆสำหรับสตรีทุกระดับเพื่อพัฒนาตนเองและครอบครัวให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ และยังมีอีกแผนกที่มีบทบาทในคริสตจักรคือ แผนกชูชีพชนบทเป็นแผนกที่ทำให้สมาชิกของคริสตจักรมีความสามัคคี มีการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ เป็นแผนกที่ขึ้นตรงกับสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทยและยังมีหน้าที่เป็นผู้ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่คริสตจักรให้ปฎิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและฝึกผู้นำชนบท ได้มีการส่งเสริมการพัฒนาแหล่งน้ำ การเลี้ยงสัตว์ การเพิ่มผลผลิต การส่งเสริมนั้นเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมเอง จัดหาวิทยากรมาให้ความรู้ และร่วมมือกับสตรีหรือคณะอนุชน ซึ่งองค์กรนี้ได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรที่เป็น คริสเตียนเป็นหลักจึงทำให้คนเหล่านี้ได้มีโอกาสได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพมากกว่าเกษตรกรอื่นๆทั่วไป (น.55- 56)
|
|
Political Organization |
ความเป็นผู้นำของชาวไตหย่านั้นก็จะมี ผป. หรือ ผู้ปกครอง เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกมาจากสมาชิกของคริสตจักร โดยจะต้องมีความเป็นผู้นำได้ เป็นผู้ที่มีครอบครัวสมบูรณ์ มีความประพฤติดีและสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับครอบครัวอื่นๆได้ โดยผู้ปกครองจะต้องมีหน้าที่คอยดูแลและเอาใจใส่สมาชิกของคริสตจักรที่มีประพฤติไม่เหมาะสม ไม่ดีงาม และคอยให้กำลังใจเมื่อสมาชิกมีปัญหา ส่วนมัคนายกจะเป็นผู้ที่คอยออกไปเยี่ยมคนยากคนจนหรือผู้ที่เจ็บป่วย (หน้า 54) |
|
Belief System |
ประเพณีที่สำคัญของชาวไตหย่านั้นส่วนใหญ่เป็นสิ่งสำคัญที่ให้ชาวไตหย่ามาอยู่รวมกันชาวไตหย่านั้นจะมีประเพณีที่สำคัญคือ ประเพณีตรุษสารท จะมีทุกวันที่ 5 ของเดือน 5 คล้ายเป็นการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่และถือว่าเป็นแรกของการเก็บเกี่ยวข้าวครั้งแรกของปี โดยในช่วงเช้าของวันนั้นจะมีการตั้งเครื่องเซ่นเพื่อไหวผีบรรพบุรุษโดยเครื่องเซ่นประกอบด้วย อาหารคาว หวาน ข้าว น้ำชา เหล้า ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น จากนั้นก็นำข้าวที่เก็บเกี่ยวไปโม่เพื่อให้เปลี่ยนรูปเป็นแป้งแล้วนำไปปั้นเป็นก้อนกลมๆต้มให้สุดแล้วจึงนำไปแปติดเครื่องมือ เครื่องใช้การเกษตร เขา ขา ของสัตว์ที่ใช้งาน ประตูบ้าน หน้าต่างบ้าน จากนั้นจึงนำไปเซ่นไหว้ผีประจำหมู่บ้าน เมื่อเซ่นไหว้ทุกอย่างหมดแล้วทุกครอบครัวนั้นก็จะมีการจัดงานเลี้ยงฉลอง โดยอาหารที่ไม่ควรขาดหายไป คือ ข้าวต้ม ข้าวก๊บ หรือข้าวจ๋า ปลาและหมู ที่ไว้ต้อนรับญาติพี่น้องที่เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยผู้อาวุโสที่สุดในบ้านจะต้องเป็นคนรินน้ำชา เพื่อต้อนรับแขกและแขกก็ต้องอวยพรให้กับเจ้าของบ้านและร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน แล้วจึงลากลับเพื่อไปเยี่ยมบ้านอื่นต่อไป ซึ่งในงานชาวไตหย่านั้นจะต้องใส่ชุดประจำเผ่าแล้วไปเกี้ยวพาราสีกันและงานเลี้ยงฉลองนั้นก็จะมีตลอดทั้งวันตลอดทั้งคืน ซึ่งประเพณีนี้ครอบครัวนั้นต้องมีการประพิธีกรรมเซ่นไหว้และจัดงานเลี้ยง เพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จมีความสุขความเจริญ แต่ถ้าไม่ประกอบพิธีเซ่นไหว้อาจจะประสบโชคร้ายหรือได้รับอันตรายได้ (หน้า 31 - 32)
ประเพณีงานศพ ในการจัดพิธีศพ จะมีการคำนวนว่าจะตั้งศพไว้ที่บ้านกี่วันนั้นจากอายุและปีเกิดของผู้ตาย รวมถึงเวลาในการนำศพไปฝังหรือเผา มีการทำพิธีเซ่นไหว้วิญญาณด้วยการฆ่าวัวควายจำนวนมาก บางครั้งมีถึง 20 ตัว นอกจากนี้ ญาติผู้ตายที่เป็นผู้หญิงจะมีผูกหยังไว้ที่เอวโดยผูกกลับหัวกลับหางเพื่อแสดงให้เห็นว่าที่บ้านมีผู้ตาย ถ้าผู้ตายตายแบบปกติจะนำไปฝัง แต่ถ้าตายแบบอุบัติเหตุหรืออัตวิบากกรรมจะนำศพไปเผา ขบวนที่จะเอาศพไปฝังหรือเผาจะมีญาติผู้ชายถือมีดดาบนำหน้า ตามด้วยผู้ถือโคมไฟ ลูกชายต้องสวมเสื้อฮีสีขาว ญาติพี่น้องและผู้ไปร่วมงานทุกคนต้องใส่เสื้องหลวงสีขาว โพกหัวด้วยผ้าขาว (หน้า 36-37)
|
|
Education and Socialization |
ชาวไตหย่าส่วนใหญ่จะได้รับการศึกษาในระดับของอุดมศึกษาก็คือรุ่นหลาน ซึ่งอาจจะเกิดจากการพัฒนาและความก้าวหน้าของชุมชนที่ส่งในรุ่นหลานได้รับการศึกษาที่ดี ส่วนใหญ่ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษานั้นจะประกอบอาชีพ พยาบาล ทหาร ครู ตำรวจ เป็นต้น ส่วนผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับประถม ก็จะประกอบอาชีพที่บิดามารดาเคยประกอบอาชีพมาก่อน (หน้า 50) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของกลุ่มชาวไตหย่านั้นทั้งชายและหญิงจะใช้ผ้าขาวที่มีสีดำ โดยจะมีเครื่องประดับที่มีลักษณะเป็นเงิน เป็นแผ่นวงกลม โดยดุนแผ่นเงินด้วยเหล็กปลายบนให้ออกมามีลักษณะเป็นลูกบอลผ่าครึ่งและเจาะรูเล็กๆทั้งสองข้างเพื่อเว้นไว้ให้เย็บติดกับผ้า ซึ่งคนไตหย่านั้นเรียกเครื่องประดับนี้ว่า มะลาว ซึ่งคนไตหย่านั้นจะสวมเสื้อที่มีแขนกระบอกที่มีสีดำด้านหน้า และประดับด้วยมะลาวตามขอบเสื้อส่วนเรื่องของกางเกงนั้นก็เป็นผ้าสีดำด้วยเช่นกันไม่มีการตกแต่งด้วยเครื่องประดับหรือตกแต่งใดๆ ซึ่งกางเกงจะมีลักษณะเป็นกางเกงหลวมๆเหมือนกางเกงสะดอของภาคเหนือ (หน้า 32)
ส่วนการแต่งกายของหญิงไตหย่านั้น สวมเสื้อและผ้านุ่ง มีเอกลักษณ์คือ สวมเสื้อ 2 ตัว คือ เสื้อน้อย ไม่มีแขน คอตั้ง ตัวยาว ด้านหน้าประดับด้วย มะลาว จากนั้นสวมทับด้วยเสื้อผ่าหน้า เอวลอย ขอบเสื้อประดับด้วยลวดลายสีต่างๆ นุ่งผ้านุ่งแบบหยักรั้ง เชิงผ้าสูงข้างต่ำข้าง มีผ้าคาดเอว หญิงที่แต่งงานแล้วโพกศรีษะด้วยผ้าพื้นสีดำ แต่สาวที่ยังไม่แต่งงานจะโพกผ้าดำที่ประดับด้วยมะลาว (หน้า 33)
|
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวไตหย่านั้นเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ที่มณฑลยูนนานของจีนและได้เมื่อได้รับการเผยแพร่ศาสนาคริสต์จากมิชชันนารีและผู้เผยแพร่ชาวไทย จึงได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยโดยเริ่มเดินทางผ่านประเทศพม่าก่อน ก่อนที่จะได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยทั้งในจังหวัดเชียงราย และได้กระจายไปยังจังหวัดอื่นๆในภาคเหนือ (หน้า 1) เมื่อก่อนชาวไตหย่าได้มีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่อย่างชาวจีนเพราะอยู่ในเขตจีนจึงทำให้คนชาวไตหย่านี้ถูกเรียกชื่อได้หลายชื่อจากกลุ่มคนจีน เช่น ไตน้ำ ไตลาย เป็นต้น (หน้า 22) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวไตหย่าก็มีประเพณีวัฒนธรรมที่มีตั้งแต่ดั้งเดิมจนปัจจุบัน ทั้งการแต่งงาน งานศพ การบริโภค ตลอดจนถึงการปรับสินไหม คือถ้าสามีภรรยาไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้แล้วก็ต้องเลิกกัน ถ้าฝ่ายหญิงต้องการแต่งงานใหม่ คือสามีใหม่ต้องเป็นคนเสียค่าปรับให้กับสามีเก่าแล้วแต่ที่จะตกลงกัน (หน้า 35) ส่วนการเปลี่ยนศาสนานั้นก็มีอิทธิพลต่อประเพณีวัฒนธรรม ชาวไตหย่าเปลี่ยนจากการนับถือผีมานับถือศาสนาคริสต์ และได้ย้ายจากถิ่นกำเนิดเดิมอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย การบริโภคอาหารนั้นก็เปลี่ยนไปจากเดิม เปลี่ยนมารับประทานข้าวจ้าวมากกว่าข้าวเหนียว เพราะในประเทศไทยมีการปลูกข้าวจ้าวมากกว่าจึงทำให้ข้าวมีบทบาทในกลุ่มชาวไตหย่ามากขึ้น ชาวไตหย่านั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงด้านการประกอบชีพด้วย ตั้งแต่อยู่ยูนนานจนอพยพเข้ามาในประเทศไทยก็หันมาสนใจการศึกษาเพื่อนำความรู้ที่ได้รับจากการศึกษามาประกอบอาชีพสุจริตเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพให้ครอบครัว จากที่เมื่อก่อนปลูกกก ปลูกยาสูบ ทำไร่ทำนา ก็พัฒนามาประกอบอาชีพ ทหาร พยาบาล ครู เพื่อให้ครอบครัวมีรายได้เพิ่มมากขึ้น (หน้า 49) |
|
Map/Illustration |
หน้าที่ 5 รูปแผนที่ที่ชาวไตหย่าอพยพเข้ามา
หน้าที่ 6 รูปชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงราย
หน้าที่ 21 รูปแผนที่
หน้าที่ 25 รูปบ้านชาวไตหย่าที่หมู่บ้านใหม่ ในหยวนเกียง พ.ศ. 2533
หน้าที่ 25 รูปบ้านชาวไตหย่าที่หมู่บ้านน้ำบ่อขาว พ.ศ. 2532
หน้าที่ 25 บ้านชาวไตหย่าที่หมู่บ้านป่าสักขวาง พ.ศ. 2532
หน้าที่ 45 ทางเข้าหมู่บ้านบ่อน้ำขาว ถิ่นที่อยู่ของชาวไตหย่า
หน้าที่ 45 ส่วนหนึ่งของชาวไจหย่าที่หมู่บ้านน้ำบ่อขาว ถ่ายหน้าคริสตจักรนทีธรรม
|
|
Text Analyst |
พิสชา ศรีวิจิตรปภรณ์ |
Date of Report |
24 ก.ย. 2567 |
TAG |
ไตหย่า, ศาสนาคริสต์, เชียงราย, ชาวไตน้ำ, ชาวไตลาย, มณฑลยูนนานประเทศจีน, ภูมิหลัง, วัฒนธรรมประเพณี, การแต่งกาย, การแต่งงานของชาวไตหย่า, หมอสอนศาสนา, การอพยพเข้าสู่ประเทศไทย, |
Translator |
- |
|