|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กลุ่มชาติพันธุ์ไตหย่า ไตเอวลาย การธำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ เชียงราย ประเทศไทย |
Author |
จุไรรัตน์ วรรณศิริ, เลหล้า ตรีเอกานุกูล |
Title |
การดำรงอยู่ของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ไตหย่าในประเทศไทย : กรณีศึกษาจังหวัดเชียงราย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไตหย่า ไทหย่า ไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
150 |
Year |
2552 |
Source |
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ใช้วิธีการเก็บข้อมูลภาคสนามโดยเลือกเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ(การสร้างแบบสอบถาม และนำมาวิเคราะห์ผ่านกระบวนการทางสถิติ) และเชิงคุณภาพ(ใช้วิธีการด้านชาติพันธุ์วรรณา การสัมภาษณ์) ผ่านกลุ่มตัวอย่างที่มีเชื้อสายไตหย่า 139 คน
ภาพรวมของงานศึกษาวิจัย และผลการศึกษา พบว่าชาวไตหย่า หรือไตเอวลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่อพยพมาจากบ้านหย่า ตำบลโมซาเจียง อำเภอซินผิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน สู่ประเทศไทยด้วยเหตุผลทางด้านการเมือง และความเชื่อเป็นหลัก ชาวไตหย่ามีภาษาพูดเป็นของกลุ่มตนเอง อยู่ในตระกูลภาษาไท แต่ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง มีอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่ชัดเจนซึ่งสะท้อนออกมาผ่านวัฒนธรรมด้านต่างๆ ทั้ง อาหาร ที่อยู่อาศัย การรักษาโรค การจักรสาน และการแต่งกาย นอกจากนี้จากข้อมูลเชิงปริมาณพบกว่าชาวไตหย่าส่วนใหญ่ต้องการให้เกิดกระบวนการที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมไตหย่าไว้เพื่อลูกหลานมีความภาคภูมิใจในเชื้อสายไตหย่า กระทั่งเกิดชมรมไตหย่าขึ้นเพื่อสืบสานอัตลักษณ์ไตหย่าเอาไว้(หน้า 111-113) |
|
Focus |
ศึกษาลักษณะอัตลักษณ์ของชาวไตหย่า และการอนุรักษ์วัฒนธรรมไตหย่าเมื่อเกิดการผสมกลมกลืนของวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมไตหย่า และวัฒนธรรมไทยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย (หน้า 3) |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดทางมานุษยวิทยาที่สามารถเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ในงานวิจัยได้อย่างชัดเจน คือแนวคิดเกี่ยวกับ การปรับตัวทางวัฒนธรรม และการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม รวมไปถึงแนวคิดเรื่องการรวมกลุ่ม
สำหรับแนวคิดด้านการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม และการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการที่สิ่งแวดล้อมส่งผลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ และเป็นปัจจัยหนึ่งในการกำหนดวัฒนธรรมมนุษย์ ซึ่งสามารถสะท้อนได้ผ่านปรากฏการณ์การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย ชาวไตหย่าจำเป็นต้องละทิ้งอัตลักษณ์ไตหย่าบางอย่างเมื่อออกมานอกบ้าน และมีปฏิสัมพันธ์กับคนไทยภาคเหนือ เช่น แต่งชุดทั่วไป พูดภาษาไทยพื้นถิ่น และไม่รับประทานสุนัข รวมไปถึงการแต่งงานข้ามวัฒนธรรมซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน
แนวคิดเรื่องการรวมกลุ่ม สะท้อนผ่านความสัมพันธ์เชิงเครือญาติของชาวไตหย่าที่อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวขยาย และกลายเป็นชุมชนซึ่งสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับการดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของชาวไตหย่า
(หน้า 114-116) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ไตหย่า ชาวจีนเรียกกลุ่มนี้ว่า ฮวาเย่าไต (Hvayaodai) แปลว่า ไตเอวลาย (Flowery Belted) (หน้า 2, 31) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไตหย่า มีเพียงภาษาพูด และไม่มีภาษาเขียน จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาตระกูลไท คำในระบบภาษาส่วนใหญ่เป็นคำโดด หรือคำพยางค์เดียว (monosyllabic language) มีระบบเสียงทั้งหมด 41 หน่วยเสียง แบ่งเป็นเสียงพยัญชนะ 18 เสียง เสียงสระ 18 เสียง และเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง มีคำสรรพนามเพียง 7 คำ ได้แก่ เฮา เกา สำหรับบุรุษที่ 1 เมอ สู สำหรับบุรุษที่ 2 และ มัน เขา เปิ้น เป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 และมักใช้คำเรียกเครือญาติแทนคำสรรพนาม (หน้า 33-34)
ส่วนภาษาเขียน มีการใช้ตัวอักษรจีนเขียนตามภาษาพูดของชาวไตหย่าแทน (หน้า35) |
|
Study Period (Data Collection) |
งานชิ้นนี้ทำการวิจัยในช่วงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 – 30กันยายน 2552 รวม 10 เดือน โดยมีการออกภาคสนามเพื่อเก็บข้อมูลในพื้นที่การวิจัย คือ มกราคม – เมษายน 2552 รวม 4 เดือน (หน้า 26, 28-29) |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์ไตหย่ามีถิ่นฐานเดิมอยู่ในประเทศจีน ตำบลโมซาเจียง อำเภอซินผิง จังหวัดยี่ซี มณฑลยูนนานทางตอนใต้ของแม่น้ำแดง ปัจจุบันมีการอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังภูมิภาคอื่นของประเทศจีน และประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถบสิบสองปันนา(ตอนใต้ของประเทศจีน) พม่า และไทย ชาวไตหย่าเริ่มอพยพเข้ามายังดินแดนประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2470 เพื่อติดตามมิชชันนารีที่จะเดินทางเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทย โดยใช้เส้นทางเดินเท้าจากเมืองหย่า ผ่านเมืองซือเหมา สิบสองปันนา ยอง และเข้าดินแดนประเทศไทยทางอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย เมื่อมาถึงประเทศไทยก็มีการตั้งครอบครัว และชุมชนผสมกลมกลืนกับคนไทยพื้นถิ่นที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย และครั้งที่ 2 ในปี พ. ศ. 2476 ซึ่งเป็นการอพยพครั้งใหญ่ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ชาวไตหย่าต้องอพยพจากประเทศจีน มาสู่ประเทศอื่นๆ ได้แก่ ปัญหาด้านความเชื่อ และศาสนา ในอดีตชาวไตหย่านับถือความเชื่อท้องถิ่น หรือการนับถือผีบรรพบุรุษ แต่เมื่อมีมิชชันนารีเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ให้กับชาวไตหย่าคนส่วนใหญ่จึงหันไปนับถือศาสนาคริสต์ซึ่งขัดกับความต้องการของรัฐบาลจีนขณะนั้นที่ต้องการรักษาความเป็นชาตินิยมในหมู่คนจีนไว้ จึงมีการกีดกัน และควบคุมการนับถือศาสนา นอกจากนี้ชาวไตหย่ายังถูกจำกัดเรื่องสิทธิที่ดินทำกิน ทำให้ชาวไตหย่าบางส่วนตัดสินใจที่จะอพยพย้ายถิ่นฐานตามมิชชันนารีมายังประเทศไทย เพราะได้ยินข่าวเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนาของประเทศไทย (หน้า 2, 31-32) |
|
Settlement Pattern |
ชาวไตหย่ามีรูปแบบการสร้างบ้านเรือนที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่ม และสามารถเป็นภาพแทนแสดงถึงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไตหย่าได้ คือการนำดินมาปั้นเป็นก้อนรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณ 7x10 นิ้ว นำมาตากแห้งแล้วก่อเป็นโครงสร้างบ้านโดยไม่มีการเผา ใช้น้ำโคลน หรือดินเปียกเป็นตัวเชื่อมระหว่างก้อนดินให้ติดประสานกัน ลักษณะของบ้านเป็นบ้าน 2 ชั้น และแบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นส่วนๆ ได้แก่ ชั้นล่างประกอบไปด้วยห้องครัว โถงรับประทานอาหาร หรือทำกิจกรรมต่างๆ ชั้นบนเป็นห้องนอน ส่วนหลังคาบ้านจะถูกปรับเป็นดาดฟ้าเรียบๆ เพื่อใช้ตากข้าว หรือพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ชาวไตหย่าไม่นิยมสร้างหน้าต่างบริเวณตัวบ้านจึงทำให้บ้านค่อนข้างมีความมืด และอับ โดยมีขนาดหน้าต่างประมาณ 30 เซนติเมตร และมีเพียง 1- 2บานเท่านั้น บริเวณรอบๆ บ้านอาจจะมีคอกสัตว์ซึ่งสร้างด้วยดินปั้นเช่นเดียวกับตัวบ้าน แต่เมื่อชาวไตหย่าอพยพเข้ามายังประเทศไทยการสร้างบ้านด้วยดินก็ค่อยๆ ถูกลดความสำคัญลงเนื่องมาจากดินที่ประเทศไทย และที่ประเทศจีนมีความแตกต่างกันเนื่องมาจากดินที่ประเทศไทยเมื่อถูกน้ำฝนจะถูกชะออกมาได้ง่ายกว่าที่จีน รวมไปถึงในอดีตมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานบ่อยการสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่จึงได้รับความนิยมมากกว่า ในปัจจุบันชาวไตหย่าในเชียงนิยมสร้างบ้านที่ทันสมัย และคงทนถาวรมากขึ้น โดยตัวบ้านทำจากไม้เนื้อแข็ง หรือก่ออิฐถือปูน มุงหลังคาด้วยกระเบื้องเป็นหลัก
(หน้า 35,79-80) |
|
Demography |
ประเทศไทยมีชาวไตหย่าประมาณ 1,000 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่จังหวัดเชียงราย ขณะที่ประเทศจีนมีประชากรชาวไตหย่าประมาณ 40,000 คน ชาวไตหย่ามีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่ประเทศจีน เริ่มอพยพย้ายถิ่นฐานเข้าประเทศไทยครั้งแรกในปีพ.ศ. 2470 และพ.ศ. 2476 หลังจากนั้นเมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็มีการอพยพย้ายเพื่อหาที่ดินทำกิน และทรัพยากร คือ ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านหนองกลม อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย (พ.ศ.2472) เป็นที่แรก ก่อนที่ชาวไตหย่าบางส่วนจะอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังอำเภอต่างๆ ของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ บ้านป่าสักขวาง อำเภอแม่จัน (พ.ศ.2475) บ้านน้ำบ่อขาว อำเภอแม่สาย (พ.ศ.2484) บ้านหนองปึ๋ง อำเภอเมือง (พ.ศ.2490) บ้านป่าม่วง อำเภอเมือง (พ.ศ.2491) บ้านฟักฟื้น และประตูเชียงใหม่ อำเภอเมือง (พ.ศ.2493) บ้านน้ำลัด อำเภอเมือง (พ.ศ.2506) บ้านวังดิน อำเภอเมือง (พ.ศ.2508) บ้านท่าทราย อำเภอเมือง (พ.ศ.2510) กระทั่งปัจจุบันมีการตั้งถิ่นฐานถาวรของชาวไตหย่ากระจายอยู่ทั่วจังหวัดเชียงราย (หน้า 2, 54-63) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจพื้นฐานของชาวไตหย่าอยู่ในรูปแบบวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม เพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง รายได้หลักมาจากงานหัตถกรรมเครื่องจักสาน และผลผลิตจากการเกษตร ใช้แรงงานคน และสัตว์เป็นตัวขับเคลื่อนระบบ ใช้ระบบแลกเปลี่ยนเงินตราตามปกติเพื่อใช้ซื้อของ โดยชาวไตหย่ามีการแบ่งทรัพย์สินเป็นส่วนรวม(ระบบกงสี) และส่วนตัว อาชีพที่ชาวไตหย่าประกอบส่วนใหญ่ คือ ชาวนา ชาวไร่ ทอเสื่อ และรับราชการ
ลักษณะอาหารการกินของชาวไตหย่า มีอาหารหลักคือ ข้าวเหนียว และทานผักที่มีตามท้องถิ่น รวมถึงมีวัฒนธรรมในการถนอมอาหารด้วยการหมักดองโดยนำไปใส่ใน ต่อม หรืออ่อม มีลักษณะเหมือนไห แต่มีฝาปิด นอกจากนี้อาหารที่แสดงความเป็นชาวไตหย่าคือ การรับประทานเนื้อสุนัขผัดกับใบกุ้ยช่าย ซึ่งถือเป็นอาหารปกติสำหรับชาวไตหย่า และมีอาหารพิเศษที่จะปรุงขึ้นเฉพาะงานเท่านั้น คือ ข้าวแกงท่าง คือข้าวเหนียวต้มใส่น้ำอ้อย โดยนิยมปรุงเพื่อใช้ในงานศพ
(หน้า 35,40,72-73) |
|
Social Organization |
ลักษณะความสัมพันธ์ทางเครือญาติของชาวไตหย่า มีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย โดยจะอยู่รวมกันในบ้านเดียวกัน โดยลูกชายคนโตของครอบครัวจะต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่ และแต่งสะใภ้เข้าบ้าน โดยสะใภ้คนโตจะต้องทำงานทั้งในบ้าน(ปรนนิบัติครอบครัวสามี) และทำงานนอกบ้าน(เป็นเกษตรกร) การนับญาติของชาวไตหย่าจะแบ่งเป็น 2 ระบบคือ กลุ่มชั้นต้น หรือกลุ่มสายตรง คือคนภายในครอบครัวของตนเอง และกลุ่มสายรอง หรือสายอ้อม คือกลุ่มญาติ หรือครอบครัวของเขย หรือสะใภ้ซึ่งจะนับว่าเป็นญาติกันหมด มีการสืบสายตระกูลทางบิดา และมีระบบนับญาติระดับสูงจากตนเองขึ้นไป 5 รุ่น ได้แก่ รุ่นทวด รุ่นปู่ย่า–ตายาย รุ่นป้า น้า อา ลุง รุ่นพ่อ – แม่ รุ่นพี่ และญาติระดับต่ำกว่ามี 5 รุ่น คือ รุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลน รุ่นหล่อน(หน้า 37-38)
สำหรับผู้นำในครอบครัวจะมีสามีเป็นผู้นำครอบครัว และลูกชายคนโตของบ้านก็ต้องสืบทอดตำแหน่งนี้ต่อ การตั้งชื่อของบุตรชาวไตหย่าจะมีชื่อที่เรียงลำดับจากลูกคนโตไปจนถึงลูกคนสุดท้ายโดยมีการแบ่งเป็นชื่อเพศหญิง อาทิ อาเย่ อาอี อาหย่าม และชื่อเพศชาย เช่น อาหย่าย อายี่ อาสาม โดยที่ชื่อของเด็กที่เกิดใหม่ห้ามซ้ำกับชื่อของญาติผู้ใหญ่ ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ และแม่ หากซ้ำจะต้องตั้งชื่อใหม่ สำหรับสังคมในระดับหมู่บ้านจะให้ความสำคัญตามลำดับอาวุโส ทั้งด้วยวัย ฐานะเศรษฐกิจ และตามที่สมาชิกหมู่บ้านเห็นว่าเหมาะสม วางใจให้เป็นผู้นำชุมชน (หน้า39)
ชาวไตหย่าในไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ มีการตั้งโบสถ์ และร่วมกิจกรรมทางศาสนาคริสต์ที่จัดขึ้นทั้งในระดับเขต ภาค และประเทศ กับคนพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 105)
มีการจัดตั้งชมรมไตหย่าขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2535 กลุ่มผู้นำไตหย่าประมาณ 35 คนได้หารือกันที่บ้านป่ าสักขวาง เรื่องการรวมกลุ่มกันฟื้นฟูวัฒนธรรม ริเริ่มตั้งเป็นกลุ่ม มีคณะกรรมการบริหารงานชั่วคราว ในงันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2536
มีการประชุมใหญ่ชาวไตหย่าครั้งแรกที่คริสตจักรนทีธรรม และมีมติให้ตั้งเป็นชมรม มีการเลือกกรรมการชมรม ที่มีประธาน เลขานุการ และเหรัญญิก เพื่อบริหารงานชมรม และนัดหมายวันประชุมใหญ่ปีละครั้ง โดยจะเปลี่ยนประธานและคณะกรรมการ ทุก ๆ 2 ปี เมื่อตั้งชมรมแล้วได้มีการจัดกิจกรรมให้กับเยาวชนที่มีเชื้อสายไตหย่าเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในเชื้อสายตนเอง โดยจัดการเรียนการสอนภาษาไตหย่า และจัดค่ายไตหย่าเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่ชาวไตหย่า และกระชับความสัมพันธ์ การนำลูกหลานกลับไปเยี่ยมญาติที่เมืองหย่า ประเทศจีน (หน้า 107) |
|
Political Organization |
ในช่วงแรกที่อพยพมาไทยชาวไตหย่าไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับคนในท้องถิ่นมากนัก เนื่องจากชาวไตหย่ามีความแตกต่างกับคนไทยในภาคเหนืออย่างเด่นชัดทั้งด้านการแต่งกาย ภาษา และค่านิยม จึงถูกจำแนกว่าเป็นชาวเขา ถูกมองด้วยทัศนคติในทางลบว่าเป็นคนสกปรก เกียจคร้าน โง่และกินเนื้อสุนัข ดังนั้นในช่วงระยะเริ่มก่อตั้งชุมชน จึงได้รับการกีดกันจากสังคมของคนกลุ่มใหญ่ (หน้า 40) ทำให้ชาวไตหย่าเลือกที่จะปรับตัวเรื่องการใช้ชีวิตให้เข้ากับคนไทยพื้นถิ่น
ชาวไตหย่าเมื่อเข้าสู่รัฐไทย ก็ปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐไทย และมีผู้นำส่วนองค์กรท้องถิ่นตามระบบราชการของไทย นอกจากคณะกรรมการปกครองหมู่บ้าน ยังมีกลุ่มผู้นำทางศาสนา มีตำแหน่งเรียกว่า ผู้ปกครอง และ มัคนายก ที่สมาชิกชาวไตหย่าจะช่วยกันคัดเลือกตามความเหมาะสม ช่วยกันดูแลสมาชิกของโบสถ์ อีกทั้งมีการแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยอีก3 กลุ่ม คือ กลุ่มบุรุษ กลุ่มสตรี และกลุ่มอนุชน (หน้า 40) |
|
Belief System |
แต่เดิมชาวไตหย่านั้นนับถือผีบรรพบุรุษ มีการเซ่นไหว้บูชาผีบรรพบุรุษ เพื่อให้ท่านคุ้มครองลูกหลาน ก่อนที่จะมีการเลี้ยงฉลองในประเพณีต่าง ๆ จะต้องมีการบอกและเลี้ยงผีบรรพบุรุษก่อน เพราะเชื่อว่าหากทำ ให้ผีบรรพบุรุษ ไม่พอใจ ผีจะลงโทษด้วยการบันดาลให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่ามีผีสิงสถิตอยู่กับสิ่งต่างๆ เช่น ผีนา ผีบ้าน ผีป่า ผีวัว ผีควาย ผีแดดไหม้ ผีฟ้า ผีน้า ผีภูเขา เป็นต้น และมีการบูชาเซ่นไหว้ผีเหล่านี้ด้วย
ต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2463 ชาวไตหย่าส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ตามการเผยแผ่ศาสนาของมิชชันนารี ในปัจจุบันชาวไตหย่าส่วนใหญ่ (ร้อยละ 89.7) ในเชียงรายนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งการนับถือผีนั้นขัดต่อหลักศาสนาคริสต์ที่ชาวไตหย่านับถืออยู่ จึงไม่มีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ชาวไตหย่าที่เป็นคริสเตียนจึงถูกเรียกว่า คนหลั่งผี หรือคนไล่ผี เพราะเดินทางมาถึงไทยโดยไม่ได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าเลย (หน้า 105)
นอกจากนี้ ยังมีไตหย่าบางส่วนไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของชาวพุทธ แต่งงาน มีครอบครัวกับชาวพุทธ จึงได้เปลี่ยนการนับถือจากศาสนาคริสต์ไปเป็นศาสนาพุทธ คิดเป็นร้อยละ 36.0และ ไตหย่าส่วนหนึ่งที่ไปอาศัยในชุมชนมุสลิมหรือแต่งงานกับชาวมุสลิม จึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม คิดเป็นร้อยละ 22.1(หน้า 96) มีเพียงร้อยละ 14.7 ที่ยังนับถือผี/บรรพบุรุษอยู่ และยังคงมีพิธีเซ่นไหว้ผี โดยมีย่ามดหรือปู่มด เป็นคนทำพิธีให้ เช่นพิธีการไหว้ผีประจำปีของย่ามดที่เสื้อบ้าน เรียกว่า “กางหวาน” ซึ่งจะทำทุก 3 ปี (หน้า 37)
ในอดีต ชาวไตหย่ามีประเพณีหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร อยู่ 3 ประเพณี ได้แก่
ประเพณีโกย่างเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไตหย่า ลูกหลานจะมารวมตัวกันเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษ จัดขึ้นใน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3
ประเพณีหวูเย่หรือประเพณีทานข้าวใหม่ เป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการทำการเกษตรเพื่อขอบคุณบรรพบุรุษที่คุ้มครองชีวิต และเรียกขวัญวัว ควาย ที่ช่วยกันทำการเกษตร จัดขึ้นช่วงหลังเก็บเกี่ยวในวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5
ประเพณีป๋าเย๋เป็นประเพณีวันไหว้พระจันทร์ เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษโดยจะมีการรวมกลุ่มกันของญาติพี่น้องเพื่อทำขนม และเล่นดนตรีกัน เป็นงานรื่นเริง โดยมีย่ามด หรือปู่มดเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม (หน้า 36) |
|
Education and Socialization |
สำหรับชาวไตหย่าซึ่งส่วนใหญ่มีความให้ชิดกับครอบครัว เนื่องจากมีระบบสังคมอยู่กันแบบระบบเครือญาติ ผู้ที่ทำหน้าที่ขัดเกลา และทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับสำนึกทางชาติพันธุ์ส่วนใหญ่นั้นมาจากครอบครัว โดยผู้รู้ หรือผู้ที่ประกอบอาชีพต่างๆ ในชุมชนจะเป็นผู้อบรมสั่งสอนลูกหลานชาวไตหย่า โดยวิธีการสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง และเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับการปฏิบัติจริง ดังเช่นการจักสาน การทอเสื่อ จะสอนและให้ลูกฝึกหัด และช่วยทำ เช่น การเอากาบเสื่อออก การช่วยพับปลายเสื่อขณะทอ และฝึกทอ จนสามารถทำเป็นอาชีพได้เมื่อเติบโตขึ้น (หน้า 41)
นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้งชมรมไตหย่าเพื่อถ่ายถอดความรู้ และอัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ไตหย่าให้กับเยาวชนอีกด้วย (หน้า 107) |
|
Health and Medicine |
ชาวไตหย่ามีภูมิปัญญาในเรื่องการดูแลสุขภาพเป็นของกลุ่มตนเอง โดยผู้ที่กระทำการรักษาโรคจะต้องเป็นบุคคลที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน ภูมิปัญญาด้านการรักษาโรคของชาวไตหย่า ได้แก่
การนวดท้องโดยจะต้องทำช่วงเวลาเช้าก่อนรับประทานอาหาร ผู้ที่จะรักษาจะนอนราบ และผู้ที่ทำการรักษาจะนวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ เพื่อช่วยในการขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
โจ่แล้ง,ก่าแล้ง หรือการขูดหลังชาวไตหย่าเชื่อว่าการขูดหลังจะช่วยขับไล่ความเจ็บป่วยออกไปจากร่างกายได้ โดยจะนำน้ำมันหมู หรือน้ำมันพืช มาทาตัวบริเวณแผ่นหลัง แขน ขา และหน้าอก หลังจากนั้นใช้กระป๋องทรงกลมบริเวณก้นกระป๋องที่ไม่มีความคมขูดไล่จากบนบริเวณต้นคอ ลงมาด้านล่าง เมื่อขูดหลังเสร็จจะใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำมันออก และงดอาบน้ำ 1 วัน ชาวไตหย่าเชื่อว่าหากเกิดรอยแดงช้ำจากการขูดหลังชัดเจนเท่าใด แสดงว่าอาการป่วยได้ถูกทำให้ปรากฏ และรักษาได้มากเท่านั้น
การกอกหัวใช้รักษาอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยใช้เขาสัตว์ มี 2 วิธีในการรักษา คือการกอกแห้ง และการกอกเอาเลือด สำหรับการกอกแห้งมีวิธีการทำ คือ นำเขาสัตว์มาเจาะรูบริเวณด้านที่เป็นปลายแหลม เวลาทำการรักษาให้นำเขาสัตว์ไปครอบบริเวณที่ปวด แล้วใช้ปากดูดอากาศบริเวณที่เจาะรูเพื่อให้เกิดภาวะสูญญากาศบริเวณช่องว่างในเขาสัตว์ ทิ้งช่วงไว้ 3-5 นาที วิธีนี้เมื่อรักษาเสร็จจะทิ้งรอยแดงช้ำบริเวณที่ทำการรักษาไว้หลายวัน ขณะที่การกอกเอาเลือด คือการนำมีดมากรีดบริเวณผิวหนังที่จะทำการรักษาให้เป็นรอยเล็กๆ ก่อนที่จะนำเขาสัตว์มาครอบ และดูดอากาศออกวิธีนี้จะไม่ทิ้งรอยแดงช้ำไว้ที่ผิวหนัง แต่เลือดจะออกมาตามแรงดูดแทนซึ่งชาวไตหย่าเชื่อว่าเป็นการนำเลือดที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ซึ่งปัจจุบันวิธีการกอกเอาเลือดไม่มีใครทำแล้ว เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงปัจจุบันมีการประดิษฐ์อุปกรณ์การกอกหัวที่ไม่ต้องใช้ปากดูดแทนการใช้เขาสัตว์เพื่อความถูกต้องตามสุขอนามัยที่ดี
การสับเสือฮามเป็นการรักษาอาการปวดเมื่อเรื้อรั้ง จะต้องทำในช่วงเช้าระหว่างพระอาทิตย์กำลังขึ้นเท่านั้น เพราะเชื่อว่าผู้ที่ทำการรักษาจะมองเห็นร่องรอยที่ทำให้เกิดอาการปวด หลังจากนั้นจะในมีดกรีดผิวหนังเป็นแผลเล็กๆ ไปตามร่องรอยของอาการป่วยที่ผู้ทำการรักษามองเห็น เมื่อกรีดเสร็จจะใช้ขิงทุบ หรือเกลือป่นมาทาบริเวณแผลที่กรีดไว้ ผู้ที่มารับการรักษาจะงดอาบน้ำ 1 วัน
การแตงป่างเป็นการรักษาอาการท้องอืด และจุกเสียด โดยใช้เข็มแทงลงไปบริเวณท้องแต่ไม่ลึกมากนัก และไม่มีเลือดออกทิ้งเพียงรอยแดงตามจุดที่ใช้เข็มแทง ปัจจุบันในจังหวัดเชียงรายเหลือเฉพาะการขูดหลัง ที่ยังคงได้รับความนิยมใช้ประกอบการรักษาอยู่ในทุกๆ ช่วงวัยของชาวไตหย่า
(หน้า 51-53 ,97-99) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะสถาปัตยกรรมของชาวไตหย่า คือการสร้างบ้านจากดินดิบโดยนำมาสร้างเป็นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วเรียงซ้อนต่อกัน ซึ่งเป็นการแสดงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกลุ่มชาติพันธุ์นี้
ลักษณะการแต่งกายของชาวไตหย่า ชุดแต่งกายของสตรีจะประกอบไปด้วย ผ้าซิ่น 2 ผืนซ้อนกันโดยใช้ผ้าผืนเป็นผ้าสีดำ ชายซิ่นประดับด้วยผ้าสีต่างๆ นำมาเย็บต่อกันเป็นแถบ เวลาสวมใส่จะปล่อยให้ชายผ้าซิ่นด้านขวายาวลงมาต่ำกว่าชายผ้าด้านซ้าย ตกแต่งผ้าซิ่นด้วยการเย็บแผ่นเงินติดลงไปบนผ้า เสื้อของสตรีมี 2 ตัวเช่นเดียวกันโดยใส่ซ้อนกัน ใส่เสื้อน้อยไว้ข้างใน มีเสื้อที่ไม่มีแขน คอตั้งชายเสื้อยาวลงมาถึงเอว และเสื้อหลวง ใช้ใส่คลุมทับด้านนอก มีลักษณะคล้ายเสื้อกั๊ก แต่มีแขนยาว และเป็นเสื้อเอวลอย มีการใช้เครื่องเงิน และผ้าแพรสีต่างๆ ในการประดับตกแต่งเสื้อ ขณะที่ชุดแต่งกายของบุรุษ สวมกางเกงขายาวสีดำ หรือสีคราม ลักษณะของกางเกงคล้ายกับกางเกงสะดอ สวมเสื้อสีดำแขนยาว ลักษณะคอเสื้อเป็นแบบเสื้อคอจีน เรียกเสื้อฮี้
ชาวไตหย่ามีรูปแบบการเต้นรำเป็นของกลุ่มตนเอง แต่ไม่ปรากฏความรู้เกี่ยวกับการเต้นรำที่เมืองไทย พบว่าชาวไตหย่าในขอบเขตพื้นที่ศึกษาเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมการเต้นรำจากแผ่นซีดีที่ญาติทางจีนส่งมาให้
ลักษณะทางศิลปกรรมของชาวไตหย่าได้สะท้อนออกมาในรูปแบบของการทำเครื่องจักสาน ได้แก่ ขอนกูล่าน เป็นภาชนะเอนกประสงค์ของชาวไตหย่า ในบรรจุสิ่งของ และสามารถหาบไปยังท้องนา เพื่อใส่อุปกรณ์ทางการเกษตรได้ นอกจากนี้ยังมีการทอเสื่อ โดยใช้ต้นกก การทอเสื่อเป็นอาชีพสำคัญของชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงราย เรียกเสื่อที่ชาวไตหย่าเป็นผู้ทอว่า สาดไตหย่า มีการประดิษฐ์ฟืมลายสอง หรือแท่นที่เอาไว้ช่วยทอเสื่อ เพื่อที่จะสามารถสร้างเสื่อที่มีขนาดหลากหลายได้ตามความต้องการ
ดนตรีของชาวไตหย่า ส่วนใหญ่บทเพลงของชาวไตหย่าจะใช้เพื่อเกี้ยวหญิงสาว หรือฮ่อนสาว มีเครื่องดนตรีประกอบ คือ ติ่งเซ มีลักษณะคล้ายซอด้วง และติ้งต่อง มีลักษณะคล้ายซึง แต่มีขนาดเล็กกว่า การร้องเพลงของชาวไตหย่าเรียนว่า ฮ้องกำ (หน้า35-36,41,49-51,94) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชาวไตหย่าเกิดขึ้น 2 ช่วง คือช่วงแรกที่อพยพมายังประเทศไทย และต้องปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตให้เข้ากับคนไทยพื้นถิ่น และช่วงที่สองคือการเปลี่ยนแปลงเพื่อดำรงอัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ไตหย่าท่ามกลางพลวัตของโลกยุคปัจจุบัน
ด้านศาสนา ชาวไตหย่าเปลี่ยนจากการนับถือธรรมชาติ มาสู่การนับถือศาสนาคริสต์ตั้งแต่อยู่ที่ประเทศจีน และการนับถือศาสนาคริสต์ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวไตหย่าอพยพมายังประเทศไทย
ด้านอาหาร การรับประทานเนื้อสุนัขของชาวไตหย่าไม่ได้รับการยอมรับจากคนไทยในพื้นที่ ชาวไตหย่าจึงต้องปรับเปลี่ยนการกินอาหารแทน โดยจะทานเนื้อสุนัขก็ต่อเมื่ออยู่ภายในบ้านของตัวเองเท่านั้น รวมไปถึงอาหารบางอย่างที่ไม่มีในท้องถิ่นประเทศไทยก็สูญหายไปจากเมนูอาหารประจำบ้านของชาวไตหย่า เหลือเพียงคำบอกเล่าจากรุ่นปู่ ย่า และรุ่นพ่อ แม่ เท่านั้น
ด้านภาษา เนื่องจากภาษาไตหย่ามีเพียงภาษาพูดเท่านั้น การอพยพย้ายถิ่นฐาน และการปรับตัวเข้าสู่สังคมเมืองแบบพื้นถิ่นภาคเหนือจึงส่งผลโดยตรงต่อ โดยชาวไตหย่าจะหลีกเลี่ยงการพูดภาษาถิ่นของตัวเองเพราะจะโดนดูถูก และเหมารวมว่าเป็นชาวเขา รวมไปถึงลูกๆ ของชาวไตหย่าเองก็จะถูกเพื่อนล้อเลียนเพราะไม่พูดภาษาเมือง จึงเลิกพูดภาษาไตหย่า และหันมาฝึกภาษาพื้นถิ่นภาคเหนือแทน รวมไปถึงการแต่งงานข้ามกลุ่มวัฒนธรรม(ชาวไตหย่าแต่งงานกับคนไทยภาคเหนือ) ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการกลืนกลายของภาษาไตหย่า ปัจจุบันกลุ่มคนที่ยังพูดภาษาไตหย่าอยู่คือ ผู้สูงอายุ ภายในชุมชน ส่วนเยาวชนรุ่นใหม่สามารถฟังได้ แต่ไม่สามารถพูดได้
ด้านการรักษาโรค ในอดีตช่วงแรกของการย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การแพทย์พื้นบ้านแบบไตหย่ายังคงได้รับความนิยมอยู่ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปเด็กรุ่นใหม่ได้รับการศึกษามากขึ้นก็ปฏิเสธที่จะรับการรักษาโรคแบบพื้นบ้าน แต่เชื่อถือการแพทย์แผนปัจจุบันมากกว่า นอกจากนี้การรักษาโรคบางอย่างของชาวไตหย่าก็เสี่ยงในการติดเชื้อทั้งผู้รักษา และผู้ที่เข้ารับการรักษาเอง
ด้านกายแต่งกาย เนื่องจากชุดประจำชาติพันธุ์ไตหย่ามีความยุ่งยากในการสวมใส่ และดูแลรักษา ประกอบกับไม่เหมาะต่อสภาพอากาศในประเทศไทย (อากาศร้อนกว่าประเทศจีน) และการดำรงชีวิตซึ่งต้องอาศัยความคล่องตัวในการทำการเกษตร ชาวไตหย่าจึงหันมาใส่เสื้อผ้าทั่วไปตามแบบคนพื้นถิ่นในภาคเหนือ เพื่อสะดวกต่อการทำงาน และการเข้าสังคม แต่ถ้าหากมีการรวมญาติกันชาวไตหย่าก็จะนำชุดประจำชาติพันธุ์มาใส่ (หน้า 64-
หลังจากที่วัฒนธรรมของชาวไตหย่าเริ่มกลืนไปกับสังคมเมืองของไทยพื้นถิ่นในภาคเหนือก็มีการจัดตั้งชมรมไตหย่าขึ้นเพื่อรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ไตหย่าเอาไว้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 บริษัทพาโนรามา ได้ติดต่อตัวแทนไตหย่าในหมู่บ้าน 2 คนเพื่อร่วมในการถ่ายทำสารคดีเรื่องโลกสีน้ำเงิน ตอนไตหย่า ทไการย้อนรอยจากไตหย่ารุ่นแรกที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยไปจนถึงเมืองหย่า ตำบลโมซาเจียง ประเทศจีน และฉายออกอากาศหลายครั้ง ทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 ทำให้คนไทยได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไตหย่าและชาวไตหย่าได้พบญาติของแต่ละคนมากขึ้น (หน้า 106) การกลับไปเยี่ยมญาติที่เมืองหย่า ประเทศจีนนับเป็นปัจจัยหนึ่งในการกระตุ้นกระบวนการส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมไตหย่า โดยญาติทางประเทศจีนได้นำเครื่องแต่งกาย หรือ การละเล่นต่างๆ ที่สูญหายไปแล้วในประเทศไทยมาให้ชาวไตหย่าในไทยได้เรียนรู้มากขึ้น อาทิ บ้านดิน เครื่องแต่งกาย กูบ และการเต้นรำ จนปัจจุบัน ครอบครัวไตหย่าส่วนใหญ่จะมีชุดไตหย่า 1 ชุดไว้สวมใส่ในงานต่างๆ
ปัจจุบัน ชมรมมีกิจกรรมสอนภาษาไตหย่าให้แก่เด็กรุ่นใหม่ ค่ายเยาวชนไตหย่า การนำลูกหลานกลับไปเยี่ยมญาติที่เมืองหย่า ประเทศจีน เพื่อให้เด็ก ๆ เหล่านี้สืบสานวัฒนธรรมของชาวไตหย่าต่อไป (หน้า 107-108)และชมรมไตหย่าได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ 13 ชาติพันธุ์ ในเชียงราย ทำให้ชาวไตหย่าเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น กลุ่มชาติพันธุ์ไตหย่าเริ่มมีบทบาท และมีพื้นที่ในการแสดงตัวตนมากขึ้น เช่น งานพ่อขุนเม็งรายมหาราช งามมหกรรมชาติพันธุ์สัมพันธ์ในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง
ต่อมา สาวไตหย่าได้ไปประกวดธิดาดอย และชุดไตหย่าได้รับรางวัลรองชนะเลิศ อีกทั้งในปี พ.ศ. 2549 ชมรมไตหย่าได้ส่งประกวดชุดแต่งกายชนเผ่าในงานดอกไม้งามที่เทศบาลจังหวัดเชียงรายจัด และได้รับรางวัลชนะเลิศเครื่องแต่งกายสวยงาม จึงทำให้ชาวไตหย่าทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนเกิดความภูมิใจในการสวมใส่ชุดไตหย่าและเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น (หน้า 108) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมโดยรวมของขอบเขตพื้นที่ในการศึกษาวิจัย พบว่าส่วนใหญ่เป็นพื้นที่รกร้าง และเพิ่งได้รับการบุกเบิกใหม่ๆ ช่วงที่ชาวไตหย่าอพยพเข้ามายังประเทศไทย ในพื้นที่ประกอบไปด้วยชาวไทยพื้นถิ่น (คนเหนือ) และกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม และการปรับตัวเข้าหากัน ซึ่งส่วนใหญ่นั้นวัฒนธรรมกระแสหลักบริเวณเขตพื้นที่การวิจัยจะเป็นวัฒนธรรมไทยท้องถิ่นของภาคเหนือ มีศาสนสถานเนื่องในศาสนาคริสต์ตั้งกระจายอยู่ เนื่องจากมีมิชชันนารีเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ (หน้า 54-62) |
|
Other Issues |
ข้อเสนอแนะของงานวิจัยเรื่องนี้ ได้แก่ การสนับสนุนชมรมไตหย่าให้จัดกิจกรรมเกี่ยวกับชาวไตหย่าให้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันชมรมไตหย่าเปรียบเสมือนศูนย์กลางของการรวบรวมชาวไตหย่าในประเทศไทย การศึกษาเปรียบเทียบอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์ไตหย่าด้วยกันเอง แต่ศึกษาในพื้นที่ที่แตกต่างกันเพื่อนำมาพัฒนาถึงวิธีการดำรงอยู่ของวัฒนธรรมดั้งเดิมแห่งชาติพันธ์ (หน้า 116-117) |
|
Map/Illustration |
ตารางที่2 การตั้งชื่อบุตรของชาวไตหย่า (หน้า 39)
ภาพที่1 และภาพที่2 ภาพอาหารของชาวไตหย่า และต่อม ที่ใช้ดองอาหาร (หน้า48)
ภาพที่3 เครื่องแต่งกายชาวไตหย่า (หน้า49)
ภาพที่6 ภาพการทอเสื่อ และฟืม (หน้า 51)
ภาพที่7 และภาพที่8 ภาพการรักษาโรคด้วยภูมิปัญญาไตหย่า (หน้า52-53)
แผนภูมิที่2 แผนผังแสดงการย้ายถิ่นฐานของชาวไตหย่าในจังหวัดเชียงราย (หน้า63)
ภาพที่21 ภาพบ้านดินของชาวไตหย่า (หน้า79) |
|
|