|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน ไทยพวน ไทพวน,วิถีชีวิต,การส่งเสริมจิต,พุทธพิสัย,การใช้ภาษา,วรรณกรรมท้องถิ่น,นครนายก |
Author |
ดวงเดือน ศาสตราภัทร, สุวคนธ์ จงตระกูล, จินดา จำเริญ, ดวงเด่น บุญปก, ภาณุพงศ์ อุดมศิลป์, ไพทยา มีสัตย์, รุ่งฤดี ดวงดาว |
Title |
ไทพวน : การศึกษาเชิงวิเคราะห์วิถีชีวิต พฤติกรรมการส่งเสริมจิต - พุทธพิสัย และปัญหาการใช้ภาษา |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
165 |
Year |
2542 |
Source |
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ |
Abstract |
ไทพวนในอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก นับถือพุทธศาสนา และมีประเพณี พิธีกรรม และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ได้แก่ การสู่ขวัญ การผูกเสี่ยว งันเฮือนดี การอยู่กรรม การเกี้ยวพาราสี และความเชื่อด้านต่าง ๆ ประเพณีพิธีกรรมบางอย่างของไทพวนที่ยังคงอนุรักษ์อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ การทำบุญสร้างกุศลในโอกาสต่าง ๆ เช่น บุญกฐิน และการละเล่น เช่น โขนและหนัง เป็นต้น ส่วนประเพณีที่ไทพวนเลิกปฏิบัติแล้วแต่ยังปรากฏอยู่ในวรรณกรรมของไทพวน คือ พิธีอยู่กรรม การเกี้ยวพาราสี ประเพณีลงข่วง ประเพณีการสู่ขวัญควาย พิธีแห่นางแมว เป็นต้น นอกจากนี้งานวิจัยยังกล่าวถึง การฝึกจิต - พุทธพิสัยให้แก่เด็กนักเรียนอนุบาลชั้นปีที่ 1 และ 2 โดยใช้นิทานพื้นบ้านเป็นสื่อเชื่อมโยงให้เกิดพฤติกรรมแบบจิต - พุทธพิสัย และใช้คะแนนสอบของจิต - พุทธพิสัยก่อนทดลองเป็นตัวแปรร่วม และงานวิจัยยังกล่าวถึง การฝึกการออกเสียงภาษาไทยมาตรฐานให้แก่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 ด้วย |
|
Focus |
วิเคราะห์วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม จากวรรณกรรมท้องถิ่นของไทพวน และตรวจสอบการใช้ภาษาของเด็กไทพวน ในตำบลเกาะหวาย และตำบลหนองแสง อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก (หน้า 2) |
|
Theoretical Issues |
เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยมีแบบแผนการทดลองเป็นแบบ Generalized Randomized Block Design โดยใช้การสุ่มและสอบก่อน ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา มี 3 ชุด ได้แก่ แบบทดสอบจิตพิสัย, แบบทดสอบพุทธพิสัย, และแบบฝึกจิต - พุทธพิสัย (หน้า 80) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า 1) ในเรื่องของปฏิสัมพันธ์กับตัวแปรกลุ่มจิตพิสัย พบตัวแปรการบริโภคด้วยปัญญาในวิถีชีวิตไทย เพียงตัวเดียวที่พบปฏิสัมพันธ์มีนัยสำคัญ ตัวแปรอื่นที่ไม่พบผลของปฏิสัมพันธ์ ได้แก่ ตัวแปรจิตพิสัย ความคิดสร้างสรรค์ ความมีน้ำใจ ความเป็นไทย และความมีวินัย (หน้า 109) 2) ในเรื่องของปฏิสัมพันธ์กับตัวแปรกลุ่มพุทธพิสัย พบตัวแปรที่ปฏิสัมพันธ์มีนัยสำคัญดังนี้ พุทธพิสัย การจัดไม่เข้าพวก และการสรุปความ ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน ข้อ 4, 4.1 และ 4.2 ส่วนตัวแปรอุปมาอุปมัยและจำนวนนับไม่พบปฏิสัมพันธ์ระหว่างการฝึกพุทธพิสัยและระดับชั้นเรียน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานข้อ 4.3 และ 4.4 (หน้า 109) ผลในข้อ 1 และข้อ 2 ตัวแปรที่ไม่พบผลของปฏิสัมพันธ์ อาจเนื่องมาจากตัวแปรบางตัว เช่น จำนวนนับ เป็นต้น ค่อนข้างยากเกินไป ไม่เหมาะที่จะนำมาฝึกกับเด็กระดับอนุบาล (หน้า 110) 3) ในเรื่องตัวแปรหลัก ตัวแปรแรก คือ การฝึกจิต - พุทธพิสัย พบว่าทุกตัวแปรพบตรงกันว่าการฝึกจิต - พุทธพิสัยทำให้คะแนนจิตพิสัย ความมีน้ำใจ ความเป็นไทย ความมีวินัย การบริโภคด้วยปัญญาในวิถีชีวิตไทย พุทธพิสัย การจัดไม่เข้าพวก การสรุปความ อุปมาอุปมัยและจำนวนนับ สูงขึ้นกว่าการที่ไม่ได้รับการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สอดคล้องกับสมมติฐาน ยกเว้นตัวแปรความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่พบอิทธิพลของการฝึก คือผลจากการฝึกไม่สูงขึ้น (หน้า 109) ทั้งนี้เป็นเพราะ ในการฝึก จิต-พุทธพิสัย จะเน้นระเบียบวินัย กฏเกณฑ์ แบบแผนต่าง ๆ ทำให้ผลของตัวแปรความคิดสร้างสรรค์ไม่พัฒนาขึ้น เนื่องจากความคิดสร้างสรรค์ไปไม่ได้กับการรักษาวินัย วินัยเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่วางกรอบให้เด็กปฏิบัติตาม และกรอบกฏเกณฑ์ระเบียบแบบแผนจะทำลายความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก (Ellinger.1964 : 6308) (หน้า 111) 4) ในเรื่องตัวแปรหลัก ตัวแปรที่สองคือ ระดับชั้นเรียน พบว่า ยกเว้นตัวแปรจำนวนนับแล้ว ทุกตัวแปรได้ผลตรงกัน คือ ระดับชั้นเรียนที่สูงขึ้นทำให้คะแนนจิตพิสัย ความคิดสร้างสรรค์ ความมีน้ำใจ ความเป็นไทย ความมีวินัย การบริโภคด้วยปัญญาในวิถีชีวิตไทย พุทธพิสัย การจัดไม่เข้าพวก การสรุปความ และอุปมาอุปมัย สูงขึ้นกว่าระดับขั้นเรียนที่ต่ำกว่า (หน้า 109) ผลที่ได้นี้สอดคล้องกับสมมติฐานและทฤษฎีของเพียเจท์ที่พูดถึงโครงสร้างการทำงานของสมองที่พัฒนาขึ้นตามอายุจนเข้าสู่วัยรุ่น (หน้า 12) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เป็นไปได้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับ "ภาษา" ของไทพวน ในปัจจุบันไทพวนใช้ภาษาไทยเป็นภาษาเขียนและสื่อสารอยู่ในชีวิตประจำวัน (หน้า 22) นอกจากนี้ ในหน้า 148 ระบุว่า ประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มศึกษา คือ นักเรียนชายหญิงจากโรงเรียนเนินหินแร่และโรงเรียนชุมชนเกาะหวาย อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ระดับประถมศึกษาปีที่ 1- 3 ที่มีอยู่ทั้งหมด 116 คน ทั้งสองโรงเรียนใช้ภาษาไทพวนเป็นภาษาแรกและใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด (หน้า 148) |
|
Study Period (Data Collection) |
ในหน้า 19 งานวิจัยระบุว่ามีการสัมภาษณ์ชาวบ้านในชุมชนเมื่อปี 2536 - 2537 ต่อมาในหน้า 48 งานวิจัยระบุว่า ใช้ระยะเวลาในการฝึกจิต - พุทธพิสัย ตั้งแต่ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2542 ซึ่งเป็นปีเดียวกับปีที่พิมพ์งานวิจัยชิ้นนี้พอดี ดังนั้น จึงสรุปว่า งานวิจัยชิ้นนี้มีช่วงเวลาในการศึกษาอยู่ระหว่างปี 2536 - 2542. |
|
History of the Group and Community |
ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ยังดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ยกทัพไปตีเวียงจันทน์และหัวเมืองอื่น ๆ ได้กวาดต้อนไพร่พลกลุ่มหนึ่งลงมาตั้งถิ่นฐานตามหัวเมืองชั้นใน ได้แก่ เมืองลพบุรี, นครนายก, สระบุรี, และฉะเชิงเทรา และไทพวนในหมู่บ้านท่าแดง คือ ส่วนหนึ่งของไพร่พลที่ถูกกวาดต้อนมาด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2322 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ยกทัพไปปราบหัวเมืองล้านช้างอีก และให้กองทัพเมืองหลวงพระบางไปตีเมืองทัณฑ์ ได้อพยพครอบครัวลาวทรงดำ ลาวเวียง และ ลาวหัวเมืองฟากโขงตะวันออกให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมือง สระบุรี, และราชบุรี ส่วน ไทพวน ให้ไปรวมอยู่กับกลุ่มแรกที่หมู่บ้านท่าแดง (หน้า 18) ในปี พ.ศ. 2335 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงยกทัพไปปราบเมืองพวน และได้กวาดต้อนครอบครัวลาวทรงดำและลาวพวนส่งลงมากรุงเทพฯ ลาวทรงดำถูกส่งไปที่เมืองเพชรบุรีส่วนลาวพวนถูกส่งมาไว้ที่กรุงเทพฯและตามหัวเมืองชั้นใน เช่น เมืองนครนายก ไทพวนในหมู่บ้านเกาะหวาย อพยพมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เข้ามาทางจังหวัดปราจีนบุรี บางส่วนตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี และบางส่วนตั้งบ้านเรือนอยู่ที่หู่บ้านเกาะหวาย จังหวัดนครนายก ต่อมาในปี พ.ศ. 2341 มีพวนอพยพจากเวียงจันทน์อีกกลุ่ม บางส่วนมาตั้งเป็นหมู่บ้านอยู่ที่บ้านเกาะหวาย บางส่วนไปรวมกับไทพวนที่บ้านท่าแดง ต่อมาเมื่อมีการขยายครอบครัวมากขึ้น ไทพวนทั้ง 2 หมู่บ้าน จึงขยายออกไปตั้งหมู่บ้านใหม่ในบริเวณใกล้ ๆ เช่น หมู่บ้านคลองตะเคียน หมู่บ้านใหม่ฝั่งคลอง เป็นต้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2370 สมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าพระยาราชสุภาวดีได้ยกกองทัพไปปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ ที่เมืองเวียงจันทน์ ได้มีการอพยพกลุ่มชนไทพวนลงมายังกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก และกลุ่มชนไทพวนบางส่วนถูกส่งให้อยู่ที่เมืองพนัสนิคม และต่อมาบางส่วนได้แยกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่หมู่บ้านหนองหัวลิง ตำบลหนองแสง อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก (หน้า 19) |
|
Belief System |
ความเชื่อ ไทพวนแม้จะนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผีด้วย เช่น ผีปู่ตา ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษ เชื่อว่าเป็นผู้คอยช่วยเหลือคุ้มครองให้ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ และอันตรายต่างๆ ทุกหมู่บ้านจะต้องมีศาลผีปู่ตาประจำหมู่บ้านและจะมีการเซ่นไหว้กันในเดือน 6 หรือ เดือน 7 ของทุกปี นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าพ่อต่างๆ เช่น ศาลเจ้าพ่อสุนันทา ในหมู่บ้านท่าแดง, ศาลเจ้าพ่อกาละเกดและศาลเจ้าแม่มะลีจันทร์ ในหมู่บ้านกลางโสภา เป็นต้น (หน้า 22) นอกจากนี้ไทพวนยังมีความเชื่อเรื่อง แถน ด้วย คือเชื่อว่า แต่เดิม "แถน" เป็นมนุษย์มาก่อน ต่อมาได้ไปเกิดบนสวรรค์เนื่องจากทำความดี บนสวรรค์แถนมีหน้าที่ดูแลความทุกข์สุขของประชาชน บันดาลให้เกิดฝนตกเพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่โลกมนุษย์ ความเชื่อเรื่องแถนทำให้เกิดประเพณีฮิตสิบสองประการ เช่น การเอาบุญบั้งไฟเพื่อขอฝนจากแถนในเดือนหก เป็นต้น(หน้า 35 - 36) ประเพณีและพิธีกรรม ไทพวนมีประเพณีและพิธีกรรมตามความเชื่อในศาสนาพุทธ และในความเชื่อเรื่องผีอยู่มากมายที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีตและปัจจุบันก็ยังปฏิบัติกันอยู่ ได้แก่ การทำบุญข้าวหลาม, การทำบุญข้าวจี่, การทำบุญข้าวเกรียบ, พิธีกำผี, พิธีสู่ขวัญข้าว, พิธีสูดเสื้อสูดผ้า, พิธีอาบน้ำก่อนกา, พิธีเลี้ยงผีปูตา, ประเพณีบายศรีสู่ขวัญ, พิธีสงกระทง, และ การทำบุญข้าวเม่า อย่างไรก็ตาม มีประเพณีอีกมากมายที่ปัจจุบันไทพวนได้เลิกปฏิบัติกันแล้ว ได้แก่ พิธีสู่ขวัญควาย, พิธีสวดคาถาปลาช่อน, และพิธีแห่นางแมว เป็นต้น นอกจากนี้ ไทพวนยังมีประเพณีอื่นๆ ที่ปฏิบัติเหมือนคนทั่วไป เช่น สลากภัต, สารท, แต่งงาน, บวชนาค, สู่ขวัญ เป็นต้น (หน้า 23 - 24) อย่างไรก็ตาม ยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีกรรมอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งปรากฏอยู่ในวรรณกรรมของไทพวน ได้แก่ ประเพณีแต่งงาน, ประเพณีสู่ขวัญ, ประเพณีการผูกเสี่ยว, ประเพณีงันเฮือนดี, ประเพณีการทำบุญ - กรวดน้ำ, ประเพณีบุญกฐิน, และพิธีอยู่กรรม, เป็นต้น (หน้า 27 - 32) |
|
Education and Socialization |
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของไทพวนทั้งหมด มีเพียงข้อมูลเกี่ยวกับประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มศึกษา คือ นักเรียนชายหญิงจากโรงเรียนเนินหินแร่และโรงเรียนชุมชนเกาะหวาย อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ระดับประถมศึกษาปีที่ 1- 3 ที่มีอยู่ทั้งหมด 116 คน ทั้งสองเป็นโรงเรียนที่ใช้ภาษาไทพวนเป็นภาษาแรกและใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด (หน้า 148) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
การละเล่นและเพลงพื้นบ้าน : การละเล่นของไทพวนส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประเพณีพิธีกรรมและความเชื่อ เช่น ผีนางดัง, ผีนางสาก, ผีกะลา, และผีลิงลม เป็นต้น ปัจจุบันยังมีการละเล่นอยู่บ้างในวันสงกรานต์ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนอดีต เพลงพื้นบ้านของไทพวนที่ยังพอได้ยินอยู่บ้าง ได้แก่ 1.เพลงลำพวน ซึ่งเป็นเพลงเกี้ยวพาราสีกันระหว่างชายหญิง 2. ลำพื้น ซึ่งมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับสภาพสังคมและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของไทพวน และ เพลงกล่อมเด็ก ซึ่งเป็นเพลงที่ใช้ขับกล่อมเด็กในสังคมเกษตรกรรมสมัยโบราณของไทพวน (หน้า 24) การละเล่นของไทพวน : ในปัจจุบันไทพวนมีการละเล่นบางอย่างที่คล้ายคลึงกับการละเล่นที่กล่าวไว้ในวรรณกรรม เช่น การเล่นผีลิงลม ผีควาย ผีไก่ ผีนางดัง ผีนางสาก และผีสุ่ม เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของไทพวนทั้งสิ้น (หน้า 34) วรรณกรรมและนิทานของไทพวน : วรรณกรรมของไทพวนอาจจะมีมาก แต่ที่ถูกนำมาศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้มีทั้งหมด 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องกาละเกด ท้าวแบ้ และจันทปัดโชติ แต่ในงานวิจัยไม่ได้ระบุเนื้อหาทั้งหมดของแต่ละเรื่อง เพียงแต่กล่าวถึงเฉพาะส่วนเกี่ยวกับ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปรากฏอยู่ในเนื้อหาบางตอนเท่านั้น เช่น - กาละเกด : กล่าวถึงหลายตอน ได้แก่ ตอนนางมะลีจันทร์กล่าวถึงประเพณีการแต่งงานของคู่บ่าวสาวที่ใช้เป็นข้อต่อรองกับยักษ์กุมพนไม่ให้ถูกเนื้อต้องตัวตน ตอนพญาครุฑกับฤาษีช่วยชีวิตของท้าวการะเกดให้ฟื้นคืนมาได้อีกครั้ง หลังจากที่ถูกหอกยนต์ของท้าวแสนเมืองตาย และได้จัดพิธีสู่ขวัญให้กับท้าวกาละเกดตามประเพณี ตอนท้าวท้าวสุริวงศ์ผูกเสี่ยวกับพญาครุฑ ตอนท้าวมะลีจันทร์จัดงานศพให้กับท้าวกาละเกดซึ่งถูกหอกยนต์ของท้าวแสนเมืองตาย เป็นต้น (หน้า 28-30) - ท้าวแบ้ : กล่าวถึงตอนท้าวแบ้หลงรักนางทำมาผู้เป็นธิดาของพระเจ้ากงจีน ก็รบเร้าให้นายสำเภาไปสู่ขอนางทำมาจากพระเจ้ากงจีน พระเจ้ากงจีนก็ถามความสมัครใจของลูกสาวทุกคน ปรากฏว่านางทำมายินยอมและสมัครใจที่จะแต่งงานกับท้าวแบ้ พระเจ้ากงจีนจึงเรียกสินสอดเป็นเงินแสนตาชั่ง ช้างร้อยตัว ม้าร้อยตัว สร้างสะพานเงิน สะพานทองจากท่าน้ำจนถึงเมือง และปลูกต้นกล้วยเครือเงินเครือทองตลอดทางมาจนถึงเมือง เมื่อท้าวแบ้ นายสำเภาและย่าจำสวนยกขบวนขันหมากไปในวันแต่งงาน ทางฝ่ายเจ้าสาวมีการกั้นประตูเงินประตูทองและทำพิธีบายศรีสู่ขวัญคู่บ่าวสาวตามประเพณี (หน้า 27-28), - จันทปัดโชติ : กล่าวถึงเพียงตอนเดียว คือ ตอนที่เกี่ยวกับประเพณีการทำบุญกรวดน้ำ ที่ว่า เมื่อพระยาเมคะวะราชกับนางรัตนคับพาพลัดพรากจากกันเพราะน้ำท่วมบ้านเมือง พระยาเมคะวะราชไม่ทราบข่าวนางรัตนคับพาว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ (หน้า 31) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เอกลักษณ์ของไทพวน งานวิจัยมิได้ระบุเป็นหัวข้อเฉพาะ แต่พอสรุปได้ว่า เอกลักษณ์ของไทพวน ได้แก่ 1. ความเชื่อ ไทพวนแม้จะนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผีด้วย เช่น ผีปู่ตา และความเชื่อเรื่อง แถน เป็นต้น 2. ประเพณีและพิธีกรรม ไทพวนมีประเพณีและพิธีกรรมตามความเชื่อในศาสนาพุทธและในความเชื่อเรื่องผีอยู่มากมายทีปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีตและปัจจุบันก็ยังปฏิบัติกันอยู่ ได้แก่ การทำบุญข้าวหลาม การทำบุญข้าวจี่ การทำบุญข้าวเกรียบ พิธีกำผี พิธีสู่ขวัญข้าว พิธีสูดเสื้อสูดผ้า พิธีอาบน้ำก่อนกา พิธีเลี้ยงผีปูตา ประเพณีบายศรีสู่ขวัญ พิธีสงกระทง และ การทำบุญข้าวเม่า และ ประเพณีอื่น ๆ ที่ปฏิบัติเหมือนคนทั่วไป เช่น สลากภัต สารท แต่งงาน บวชนาค สู่ขวัญ เป็นต้น 3. เพลงพื้นบ้าน ได้แก่ เพลงลำพวน ลำพื้น และเพลงกล่อมเด็ก 4. การละเล่นของไทพวนที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประเพณีพิธีกรรมและความเชื่อ เช่น ผีนางดัง ผีนางสาก ผีกะลา และผีลิงลม เป็นต้น 5. วรรณกรรมและนิทานของไทพวนทั้ง 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องกาละเกด ท้าวแบ้ และจันทปัดโชติ เป็นต้น รวมถึงการพูดภาษาไทพวนที่ยังหลงเหลืออยู่ด้วย |
|
Social Cultural and Identity Change |
สังคมและอัตลักษณ์ของไทพวนเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองของไทยในแต่ละยุคสมัย - ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการแบ่งชนกลุ่มน้อยให้อยู่ต่างหากเป็นกลุ่ม ๆ ตามเชื้อสาย ต่อมาไทพวนได้ขยายตัวออกไปตั้งหมู่บ้านต่าง ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกัน - ต่อมาเมื่อมีการเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทพวนได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในต่างเมืองมากขึ้น และในสมัยเดียวกันไทพวนเริ่มมีบทบาททางสังคมการเมืองมากขึ้นด้วย เช่น ได้รับแต่งตั้งให้เป็น "นายกองลาว" มีหน้าที่คุมกำลังชาวลาว นอกจากนี้ เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงจัดให้มีการศึกษาสมัยใหม่ โดยจัดให้มีโรงเรียนวัดตามมณฑลต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ชาวพวนก็เริ่มสนับสนุนและพยายามส่งลูกหลานของตนไปเรียนหนังสือกันมากขึ้น - ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อมีการประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 พวนก็ยิ่งสนับสนุนและพยายามส่งลูกหลานของตนไปเรียนหนังสือกันมากขึ้น และต่อมาก็มีไทพวนเข้ารับราชการกันมากขึ้นด้วย ไทพวนในอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก เป็นมณฑลหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรี และอยู่ใกล้กับกรุงเทพมหานคร สภาพสังคมจึงค่อนข้างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไทพวนมีการติดต่อสื่อสารกับคนต่างถิ่นมากขึ้น ประเพณีวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันอยู่หลายอย่างก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมไทยมากขึ้นด้วย(หน้า 42 - 44) |
|
Other Issues |
การฝึกจิต - พุทธพิสัย คือ การใช้นิทานพื้นบ้านนำมาเล่าประกอบการปลูกฝังและพัฒนาส่งเสริมจิต - พุทธพิสัย จากนิทานได้มีการขยายความเพื่อให้คลอบคลุมในตัวแปรที่ต้องการฝึก การฝึกจะดำเนินตามกิจกรรมและสื่อตามที่คณะผู้วิจัยจัดสร้างขึ้น ซึ่งจะประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นเตรียม 2) ขั้นเล่านิทาน 3) ขั้นขยายความ 4) ขั้นสรุปและการนำไปใช้ สำหรับขั้นขยายความ จะมีการประเมินความจำในการฟังนิทานของเด็กไว้ด้วย โดยมีการซักถามเรื่องราวโดยตลอด นอกจากนั้น ยังขยายไปสู่สิ่งที่ต้องการปลูกฝังตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์ (หน้า 50) ส่วนผลการฝึกให้ดูที่หัวข้อ (Theoretical Issue) การออกเสียงภาษาไทยมาตรฐาน โดยทั่วไปไทพวนมีปัญหาในการออกเสียงภาษาไทยมาตรฐาน ทั้งทางด้านเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยวและควบกล้ำ พยัญชนะสะกด สระและวรรณยุกต์ ในการศึกษาการออกเสียงมาตรฐานของนักเรียนในชุมชนไทพวน พบว่า หลังจากการฝึกแก้ไขการออกเสียงจากแบบฝึกที่ผู้วิจัยทำขึ้นแล้ว ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบหาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนทั้งสองกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์หลังนั้น ผู้วิจัยได้เลือกใช้เครื่องมือแบบเดิมกับที่วัดครั้งแรก และผลจากการเปรียบเทียบค่าผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังทั้ง 6 ขั้นตอน พบว่า มีพัฒนาการในการออกเสียงภาษาไทยมาตรฐานที่ดีขึ้น (หน้า 146 - 165) |
|
|