|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวครั่ง,ระบบการผลิต,การปรับเปลี่ยนพันธุ์พืชเศรษฐกิจ,สุพรรณบุรี |
Author |
วรณัย พงศาชลากร |
Title |
พืชเศรษฐกิจกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในชุมชนลาวครั่ง : ศึกษากรณีบ้านโคก ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาวครั่ง ลาวขี้คั่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
346 |
Year |
2538 |
Source |
หลักสูตรปริญญาสังคมวิทยามหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
เมื่อระบบการผลิตเศรษฐกิจดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไปจากระบบการยังชีพมาเป็นระบบการค้า พืชเศรษฐกิจในฐานะที่มีบทบาทในส่วนของปัจจัยการผลิตอย่างหนึ่งจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นมิได้เกิดขึ้นกับเฉพาะระบบเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมด้วย
การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิต ก่อให้เกิดการตัดสินใจเปลี่ยนพันธุ์พืชของชาวนา เศรษฐกิจข้าวที่เคยมีระบบการผลิตแต่เดิมเปลี่ยนแปลงเป็นเพื่อการค้า และชาวนาเลือกผลิตพันธุ์พืชเศรษฐกิจชนิดอื่นประกอบด้วย ซึ่งสิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพืชเศรษฐกิจของชุมชนลาวครั่งบ้านโคก คือ เศรษฐกิจการค้าแบบทุนนิยม การรับนวัตกรรมทางวัตถุใหม่ ๆ จากตะวันตก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การเป็นเมืองของชุมชนใกล้เคียง อุตสาหกรรมในบริเวณใกล้เคียง
การพัฒนาโดยหน่วยงานรัฐและเอกชน การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมด้วยระบบชลประทาน สภาพแวดล้อมทางกายภาพของดิน สภาพแวดล้อมประเภทน้ำ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพันธุ์พืชของลาวครั่ง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในชุมชนลาวครั่งด้วยก็คือ การผสมผสานทางวัฒนธรรม การติดต่อทางวัฒนธรรม การเป็นชุมชนชาวนา การเพิ่มประชากร ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การเร่งรัดพัฒนาชนบท การเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ความทันสมัย การศึกษา สื่อสารมวลชน
ปัจจัยสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเปลี่ยนแปลงในช่วงของการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยที่เด่นชัด คือ การสร้างสาธารณูปโภคในโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา คือการเกิดขึ้นของถนนมาลัยแมนสายสุพรรณบุรี-อู่ทอง และอู่ทอง-นครปฐม รวมทั้ง การขยายตัวเป็นเมืองเนื่องจากความทันสมัยของบ้านท่าพระกลายเป็นตลาดอู่ทอง และการเปลี่ยนแปลงในระบบชลประทาน มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมของชุมชนลาวครั่งบ้านโคกและปัจจัยสำคัญในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพืชเศรษฐกิจของบ้านโคกอีกด้วย |
|
Focus |
การเปลี่ยนแปลงพืชเศรษฐกิจในบริบทของการเปลี่ยนแปลงระบบผลิตจากแบบดั้งเดิมไปสู่แบบทันสมัยของลาวครั่งบ้านโคกตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนระบุหลายแนวคิด เช่น แนวคิดการศึกษาสังคมชาวนา แนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง แนวคิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมต่าง ๆ แนวคิดนิเวศวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพของสังคม แต่แนวคิดหลักที่ใช้คือ แนวคิดการพัฒนาไปสู่ความทันสมัย หมายถึง กระบวนการที่สังคมกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาเคลื่อนตัวเข้าสู่ทิศทางของการนำเอาระบบเทคโนโลยีและระบบวัฒนธรรมที่มีลักษณะของสังคมอุตสาหกรรมมาใช้
แนวคิดนี้ได้อธิบายให้เห็นว่า เมื่อชาวนาลาวครั่งที่บ้านโคก สุพรรณบุรี มีการติดต่อกับภายนอกก็มีการนำเอาสิ่ง ใหม่ ๆ ของใช้ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน เกิดความเคลื่อนไหวทางค่านิยม รสนิยม ความรู้สึกนึกคิดที่กว้างไกลออกไปจากสภาพความเป็นจริง เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคมหรือทางเศรษฐกิจ เช่น การสร้างสาธารณูปโภคในโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา นั่นคือการเกิดขึ้นของถนนมาลัยแมนสายสุพรรณบุรี-อู่ทอง และอู่ทอง-นครปฐม รวมทั้งการขยายตัวเป็นเมืองอันเนื่องมาจากความทันสมัยของบ้านท่าพระ กลายมาเป็นตลาดอู่ทอง
การเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมทางกายภาพ คือ ระบบชลประทานที่มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมของชุมชนลาวครั่ง บ้านโคก และเป็นปัจจัยสำคัญในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพืชเศรษฐกิจของบ้านโคกอีกด้วย (หน้า 264-286)
ในส่วนของแนวคิดการศึกษาสังคมชาวนานั้น เนื่องจากเป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงในระบบการผลิต เศรษฐกิจและสังคมในชนบทไทย ซึ่งเป็นสังคมชาวนาเช่นเดียวกับชุมชนลาวครั่ง แนวคิดนี้จึงจำเป็นที่จะใช้ในการศึกษาเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งสังคมชาวไร่ชาวนาในชนบท มีโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ซับซ้อน คือ ความสัมพันธ์ในระบบการผลิตและการทำมาหากิน
ความสัมพันธ์ในระบบการอยู่ร่วมสัมพันธ์กันกับครอบครัว เครือญาติ ชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน ระบบความเชื่อ คุณค่า ศาสนา และพิธีกรรม โครงสร้างดังกล่าวมีอิทธิพลและส่งผลซึ่งกันและกันโดยตลอด เมื่อเกิดมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของระบบใดก็จะส่งผลต่อระบบอื่น ๆ และโครงสร้างทางวัฒนธรรมโดยรวม และโครงสร้างทางวัฒนธรรมเหล่านี้เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่เสมอ การปะทะสังสรรค์กับวัฒนธรรมอื่น ๆ ในระดับต่าง ๆ ก็จะทำให้เกิดการปรับตัวเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของสังคมนั้นแตกต่างกันไป (หน้า 17-21) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดของกลุ่มลาวครั่งจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลไทหรือไต เป็นกลุ่มภาษาใหญ่ของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือที่เวียดนาม ลาว พม่า และไทย
ตัวอย่างภาษาพูดของลาวครั่งกับภาษาไทยภาคกลาง เช่น คำเกี่ยวกับผลไม้ ภาษาไทยภาคกลางคือ น้อยหน่า ภาษาของลาวครั่งคือ "บักเขียบ"
สำหรับภาษาเขียนของลาวครั่งนั้น มีปรากฏในหนังสือใบลานและสมุดไทยขาวที่ทำมาจากกระดาษสา เรื่องราวที่เขียนในหนังสือผูกหรือสมุดเหล่านี้ มีทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับตำนาน คาถา ยันต์ ตำรายา วิธีการรักษาโรค และการดูฤกษ์ยามและโชคชะตาและนิทานพื้นบ้าน
อักษรที่ใช้ในการบันทึกของลาวครั่งนั้นมีทั้งตัวไทยน้อยที่มักใช้กันในภูมิภาคอีสาน นอกจากนี้แล้วยังมีอักษรธรรมบาลี อักษรขอมแทรกปะปนอยู่
ลักษณะการเขียนแบบเก่าโดยเขียนใต้เส้นบรรทัดโดยรวมแล้วลักษณะการเขียนและตัวอักษรที่พบ กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (หน้า 84-85) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างปี พ.ศ.2536-2538 ซึ่งได้แบ่งการศึกษาชุมชนในภาคสนามเป็นระยะเวลา 2 ปี ดังนี้
1. เก็บข้อมูลในระยะสั้น เฉพาะช่วงปรากฏการณ์ทางสังคม ประมาณ 3-5 วัน ในช่วงปี พ.ศ.2536-2538
2. เก็บข้อมูลในระยะยาว ศึกษาในทุก ๆ ส่วนของวัฒนธรรมชุมชน ใช้เวลา 5 เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2537- มกราคม 2538 (หน้า 9) |
|
History of the Group and Community |
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านโคกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งซึ่งเข้ามาในดินแดนไทย ดังนี้
1. เป็นการอพยพเข้ามาลี้ภัยตั้งเป็นบ้านเป็นเมือง ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2. ถูกกวาดต้อนเข้ามา ส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคกลาง ซึ่งสังคมของชนกลุ่มนี้อยู่ในระดับเผ่า เศรษฐกิจการทำมาหากินจะอยู่ในรูปแบบของการล่าสัตว์ หาของป่า และทำไร่เลื่อนลอย ชนกลุ่มนี้ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ มาอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่น สระบุรี ลพบุรี พนัสนิคม นครชัยศรี สุพรรณบุรี (หน้า 83-84)
เริ่มปรากฏการตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานถาวรของลาวครั่งในเขตอำเภอจรเข้สามพัน มาตั้งหลักแหล่งที่กลุ่มบ้านหนองตาสาม โดยปี 2440 นายกองแดง ได้นำกลุ่มญาติพี่น้องมาร่วมกันตั้งหลักแหล่งที่นี่ จนขยายเป็นหมู่บ้านที่เรียกว่าบ้านใหญ่ มีกลุ่มลาวครั่งบางส่วนได้ข้ามคลองหนองตาสามมาทางทิศตะวันตกที่เป็นโคกป่าละเมาะ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย โดยเฉพาะกระต่าย จึงนิยมเรียกโคกขี้กระต่าย นานวันเข้าหลาย ๆ ครัวเรือนก็เริ่มอพยพย้ายถิ่นมาอยู่ที่โคกขี้กระต่ายนี้ กลายเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัย กลายเป็นหมู่บ้านโคกขี้กระต่ายและกลายมาเป็นบ้านโคก (หน้า 90-91) |
|
Settlement Pattern |
ผังบ้านเรือนของชาวบ้านโคกจะปลูกติดต่อกัน ไม่มีรั้วรอบขอบชิดเป็นกระจุกตัวอยู่เนื่องจากว่าในสมัยก่อนมีการสร้างบ้านในเกาะบ้านของแต่ละครัวเรือน รูปแบบของบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของลาวครั่งบ้านโคกมี 5 แบบ คือ
1. บ้านเก่าแก่ดูแลรักษาดี
2. บ้านเก่าแก่สภาพทรุดโทรม
3. บ้านเก่าซ่อมแซมหรือสร้างต่อเติมใต้ถุน
4. บ้านใหม่คอนกรีตชั้นเดียวขนาดเล็ก
5. บ้านใหม่ 2 ชั้นทันสมัย
บ้านเก่าจะเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง สร้างด้วยไม้เนื้อแข็งใต้ถุนสูงโปร่ง เนื่องจากสมัยก่อนมักจะมีน้ำท่วม บ้านเก่าที่รักษารูปแบบของลาวครั่ง คือ ที่เป็นเรือนไม้ไผ่ขัดสาน (ขัดแตะ) เป็นผนัง ซึ่งส่วนมากก็จะชำรุดทรุดโทรมมากแล้ว และแบบเรือนไทยสมัยก่อนเป็นแบบที่มีมากที่สุดในบ้านโคก คือจะใช้ไม้เป็นวัสดุหลักมากกว่าไม้ไผ่ มีเสาไม้เนื้อแข็ง มีใต้ถุนบ้านที่ไม่สูงมากนัก (หน้า 72-74) |
|
Demography |
ประชากรส่วนใหญ่ของอำเภออู่ทอง เป็นคนไทย ลาวพวน ลาวเวียง ลาวโซ่งและลาวครั่ง ที่บ้านโคกจะเป็นที่อยู่ของลาวครั่งทั้งหมด จำนวนประชากรทั้งหมดของหมู่ 3 คือบ้านโคกและบ้านดงเย็น มี 2,144 คน มีครัวเรือนทั้งหมด 374 ครัวเรือน
สำหรับบ้านโคกมีครัวเรือนทั้งสิ้น 256 ครัวเรือน จำนวนประชากรแยกตามเพศและวัยนั้น รวมประชากรชาย 1,057 คน ประชากรหญิง 1,087 คน (ที่มา:ศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน,แบบ กชช. 2 ค บ้านหมู่ 3 : พฤศจิกายน 2537) พบจำนวนประชากรที่มากที่สุดคือ ประชากรช่วงวัยแรงงาน อายุ 15-49 ปี จำนวน 1,170 คน คิดเป็น 54.57% ของจำนวนประชากรทั้งหมด อัตราการเกิดของจำนวนประชากรในบ้านโคก คิดเป็นปีละ 20 คน (เดือนตุลาคม 2536-กันยายน 2537) ในขณะที่อัตราการตายในรอบปีนี้เท่ากับ 7 คน ซึ่งชี้ให้เห็นการเพิ่มขึ้นของประชากรในบ้านโคกได้เป็นอย่างดี (หน้า 70-72) |
|
Economy |
ระบบการผลิตของบ้านโคกในอดีตจนถึงราวทศวรรษที่ 2500 มีลักษณะที่ชาวบ้านจะทำการผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือน ลักษณะเศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพอย่างชัดเจน ผลผลิตที่เหลือจากการผลิตนั้น ก็กลายมาเป็นสินค้าเพื่อการแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนกับของที่ในชุมชนบ้านโคกไม่สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ เช่น เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องเหล็ก เป็นต้น เทคโนโลยีการผลิตตามขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว จนถึงการแปรรูปผลผลิตนั้น ก็มาจากแรงงานคนและสัตว์เป็นสำคัญ ข้าวที่ใช้ปลูกก็มักจะเป็นพันธุ์พื้นเมือง ประเภทพันธุ์ข้าวเบาที่ให้ผลผลิตภายใน 3 เดือน ได้แก่ หัวระแหง อีดำน้อย ศรีเมฆ เขาแจง เป็นต้น ส่วนพันธุ์ข้าวหนัก ได้แก่ เจ็ดรวง จุดทอง จุดมอญ เล็บมือนาง กอเดียว เป็นต้น
การบริโภคของลาวครั่งนั้นนอกจากการปลูกข้าวและหาของป่าแล้วยังมีการเลี้ยงสัตว์เล็ก ๆ เช่น เป็ด ไก่ ไว้บริโภคเป็นอาหารภายในครัวเรือน อาหารประเภทโปรตีนที่สำคัญชองลาวครั่งคือ ปลา นอกจากนั้นแล้วชาวบ้านยังมีวิธีการถนอมอาหารในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจัดเป็นรูปแบบหนึ่งของเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง เช่น การทำปลาแห้ง ปลาร้า ปลาส้ม ปลาเค็ม กะปิ นอกจากข้าวและอาหารประเภทเนื้อแล้ว ก็จะมีผักนานาชนิดให้เก็บกินได้ทั้งในป่าและในทุ่ง ต่อมาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางระบบเศรษฐกิจการผลิตตลาดอู่ทองก็กลายมาเป็นตลาดหลักในการแลกเปลี่ยนซื้อขายของชุมชน (หน้า 156-160 และ 166-169) |
|
Social Organization |
ครอบครัวและเครือญาติเป็นสถาบันทางสังคมที่มีความสำคัญต่อชาวนาผู้เป็นสมาชิกของชุมชนลาวครั่ง เพราะนอกจากจะเป็นหน่วยทางสังคมแรกในการต้อนรับและการอบรมเบื้องต้นต่อสมาชิกใหม่แล้ว ยังเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกัน
ลักษณะครอบครัวของลาวครั่งบ้านโคกมีทั้งระบบครอบครัวเดี่ยวแบบขยายและครอบครัวขยาย ชาวบ้านโคกให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับเครือญาติของตนอย่างแน่นแฟ้น เมื่อถึงเวลาในการประกอบกิจกรรมทางประเพณีพิธีกรรมในธรรมเนียมใดๆ ก็ตาม ก็จะพบว่าชาวบ้านโคกและเครือญาติต่างกลับมาชุมชนเพื่อช่วยเหลือกันอย่างไม่ได้ขาด ด้วยความเป็นเครือญาติของชาวบ้านในชุมชนนั้นสืบเนื่องจากการเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษที่สืบเชื้อสายมาจากต้นตระกูลเดียวกันภายในกลุ่มชาติพันธุ์
ความสัมพันธ์ทางเครือญาติก็จะมีหลายลักษณะ คือ เครือญาติโดยสายโลหิต เครือญาติโดยการแต่งงาน และเครือญาติร่วมชุมชนเดียวกัน ในการสืบทอดมรดกนั้นจะกระทำในครอบครัวที่ประกอบด้วย พ่อแม่ บุตรชาย บุตรสาวและบุตรบุญธรรม มรดกที่สำคัญของครัวเรือนคือ ที่ดิน บ้านเรือน สัตว์เลี้ยง เงินทอง และทรัพย์มีค่าอื่น ๆ การสืบทอดมรดกนั้นจะกระทำกันตั้งแต่ที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่มากกว่า
ในการจัดระเบียบทางสังคมเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมของลาวครั่ง ได้จัดบุคคลเป็นชั้นต่าง ๆ คือ เด็กน้อย บ่าว (หนุ่มสาว) ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ส่วนในเรื่องของการแบ่งชนชั้นทางสังคมในหมู่บ้านลาวครั่งนั้น ถึงแม้ว่าจะมีพื้นฐานของความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติและความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันก็ตาม ความแตกต่างในเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจ การถือครองที่ดิน การศึกษาและอาชีพล้วนแต่เป็นตัวแบ่งแยกชนชั้นทงสังคม (หน้า 96-131) |
|
Political Organization |
เดิมบ้านโคกมีการจัดการปกครองแบบการแบ่งคุ้มบ้านเป็นกลุ่มๆ โดยผู้ใหญ่เก่ามีหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำป้ายเลขที่บ้านติดไว้ทั้งบริเวณเส้นทางเข้าหมู่บ้านและตัวบ้านเอง โดยแต่ละกลุ่มมีหัวหน้ากลุ่มคอยดูแลอยู่ หน้าที่หลักของหัวหน้ากลุ่มบ้านนี้คือ การรับนโยบายและการพัฒนาลงสู่บ้านเรือนได้อย่างทั่วถึงและเป็นผู้ดูแลการส่งข้อมูลจากกลุ่มบ้านไปสู่ผู้ใหญ่บ้านเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ แต่หลังจากผู้ใหญ่บ้านใหม่เข้ามา การปกครองโดยการแบ่งกลุ่มก็เลิกไป แต่กลุ่ม หมู่เหนือ กลาง ใต้ ยังคงอยู่ในปัจจุบัน
หมู่บ้านโคกและบ้านดงเย็นมีผู้ใหญ่บ้านที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2527 มีคณะกรรมการบริหารตำบลที่เรียกว่าสภาตำบล ทำหน้าที่บริหารและผ่านนโยบายจากทางอำเภอ รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาในแต่ละหมู่บ้านในเขตตำบลตามที่หมู่บ้านได้จัดทำโครงการเสนอขึ้นมา ผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งให้บริหารหมู่บ้าน มี 10 คน โดยมีตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย 2 คน และกรรมการหมู่บ้าน 7 คน นอกจากนี้ ภายในหมู่บ้านผู้ใหญ่บ้านได้จัดระเบียบการควบคุมและข่ายการปกครอง โดยแบ่งกลุ่มบ้านภายในบ้านโคกออกเป็น 2 หมู่ โดยหมู่บ้านโคกนั้นแบ่งบ้านตามธรรมชาติและความรู้สึกของชาวบ้านเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มบ้านหมู่เหนือ บ้านหมู่กลาง บ้านหมู่ใต้ แต่ละกลุ่มบ้านก็จะมีหัวหน้ากลุ่มมาโดยตลอด
ส่วนการควบคุมทางสังคมและการจัดระเบียบทางการเมืองนั้น ในบ้านโคกแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ กลุ่มทางการ จัดการเมืองการปกครองตามระบอบของประเทศ ได้แก่ การเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน และกลุ่มไม่เป็นทางการ เป็นการรวมตัวกันเพื่อประโยชน์และจุดประสงค์ร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่เพื่อจุดประสงค์ทางเศรษฐกิจ มักจะเป็นนายทุนหรือผู้ให้กู้ภายในหมู่บ้าน (หน้า 92-95) |
|
Belief System |
ระบบความเชื่อของลาวครั่งบ้านโคกมี 2 แบบ คือ
1. ความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีวัดหนองตาสามเป็นวัดของชุมชนลาวครั่ง ชาวบ้านโคกจะมีความเชื่อความศรัทธาในลักษณะผสมกับความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และความเชื่อในเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ ภูติ ผี ปีศาจ
2. ความเชื่อในเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ การนับถือผีของชาวบ้านโคกมีรูปลักษณะของการถือผีตามบรรพบุรุษ 2 ฝ่าย คือ ผีเจ้านายและผีเทวดา รวมทั้งความเชื่อในอำนาจลึกลับ ไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา ความเชื่อในเรื่องร่างทรง ซึ่งบ้านโคกมีศาลร่างทรงของเจ้าพ่อเจ้าแม่จำนวน 2 ศาล คือศาลเจ้าแม่คานทองและศาลเจ้าพ่อทองแดง
ลาวครั่งมีพิธีกรรมที่สำคัญ ๆ คือ พิธีเลี้ยงผีเจ้านายและผีเทวดา ที่เรียกว่า พิธีแปลงบ้านแปลงเรือน โดยจะมีตำแหน่งสำหรับผู้ประกอบพิธีกรรม ผู้ประกอบพิธีกรรมให้ผีเทวดาเรียกว่า คนต้น ผีเจ้านายเรียกว่า กวน ซึ่งงานเลี้ยงผีเจ้านายจะมีขึ้นในช่วงอาทิตย์ที่สองของเดือนมิถุนายน ซึ่งจะจัดก่อนงานเลี้ยงผีเทวดา ทางด้านประเพณีพิธีกรรมนั้นจะแบ่งเป็น 2 ประการ คือ
1. ประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับวงจรชีวิต ประกอบด้วยประเพณีการเกิด การตาย การบวช การแต่งงาน
2. ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการทำมาหากิน เช่น เดือนเมษายน มีบุญตรุษสงกรานต์ เดือนมิถุนายน มีบุญเลี้ยงผีเจ้านาย ผีเทวดา (หน้า 132-151) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ลาวครั่งบ้านโคกจะได้รับการดูแลจากสาธารณสุขระดับหมู่บ้าน โดยมีการตั้งกองทุนยาภายในหมู่บ้านและอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน และมีศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน เพื่อการให้ความรู้และแนะนำในเรื่องสาธารณสุขแก่หมู่บ้าน ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องโรคแม่และเด็ก ยาเสพติด โรคเอดส์ ในเรื่องของการรักษาพยาบาลชาวบ้านนิยมออกมาหาหมอที่โรงพยาบาลเมืองอู่ทอง
ในการรักษาโรคนี้ ลาวครั่งยังมีความเชื่อในเรื่องของการรักษาโรคแบบพื้นบ้าน หรือที่เรียกว่า หมอยากลางบ้าน และการรักษาด้วยอำนาจเวทมนต์ รักษาแบบการพ่น ส่วนมากการรักษาแบบนี้จะมาหลังจากที่ชาวบ้านไปรักษาโรคที่อนามัยหรือโรงพยาบาลแล้วไม่หาย ก็จะมีการบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจึงมารับการรักษาจากหมอพ่นหรือหมอยากลางบ้าน
ตัวอย่างภูมิปัญญาของการรักษาสมัยโบราณของลาวครั่ง เช่น เมื่อถูกสุนัขกัดก็จะรักษาด้วยการเหยียบและท่องคาถา บางตำราให้นำก้านกล้วยลนไฟตีลงไปบนแผล อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ หมอตำแยจะเป็นบุคคลที่มีบทบาทในเรื่องการเกิดของชาวบ้านโคกเป็นอย่างมาก โดยหมอตำแยจะใช้ผิวไม้ไผ่ตัดคมตัดรกของเด็กออกจากตัวแม่ โดยมีหัวขมิ้นไพร ก้อนดินหรือถ่านหุงต้มเป็นเขียงรองรับ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมการเกิดด้วย (หน้า 81, 135-139, 152) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในการแสดงความรักและความทะนุถนอมต่อเด็กนั้น ในบ้านโคกจะมีเพลงกล่อมเด็กในทำนอง "ทิงนอย" ซ้ำไปมาเป็นจังหวะ นอกจากนั้นแล้ว ก็จะมีของเล่นที่เกี่ยวกับงานหัตถกรรม คือ ไม้หมุนหรือกระแตเวียน ไม้แคะหรือไอ้หึ่ม อีโผล๊ะ หรืออีโป๊ะ กังหันใบตาล ม้าก้านกล้วย โกกเกก จิ๊งหนอง หน้าไม้ ลูกดอก ดาบไม้ ของเล่นต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะทำมาจากวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ ทางมะพร้าว กาบกล้วย ต้นโสน ต้นอ้อ ปอกระเจาและดินเหนียว (หน้า 137) |
|
Folklore |
ในหนังสือใบลานและสมุดไทยขาวที่ทำจากกระดาษสา ของลาวครั่งนั้น เรื่องราวที่เขียนในหนังสือผูกหรือสมุดเหล่านี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานและนิทานพื้นบ้านอยู่ด้วย เช่น จำปาสี่ต้น การะเกด นางแตงอ่อน ไก่แก้วและเซียงเมี่ยง (ศรีธนญชัย) ซึ่งระหว่างที่มีการจัดงานพิธีกรรมต่าง ๆ อันเนื่องด้วยชีวิต โดยเฉพาะงานศพผู้มีอายุก็จะนำนิทานเหล่านี้มาอ่านให้ฟังในเวลากลางคืนที่ต้องอยู่เป็นเพื่อนเจ้าภาพ (หน้า 87) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลาวครั่งเป็นผู้สืบเชื้อสายของชาวลาวที่อาศัยอยู่แถบ "ภูคัง" ประเทศลาว ซึ่งถูกเรียกว่า "ลาวภูคัง" ต่อมาก็เพี้ยนไปตามภาษาถิ่นต่าง ๆ กลายเป็น ลาวขี้ครั่ง "ลาวครั่ง" หรือบางทีก็ถูกเรียกว่า ลาวเต่าเหลือง เพราะนิสัยชาวลาวพวกนี้ชอบอยู่อิสระตามป่าเขา เสมือนเต่าภูเขาที่มีกระดองสีเหลือง ซึ่งมีความอดทนต่อสภาพอากาศและภูมิประเทศเป็นอย่างมาก (หน้า 84)
ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างบ้านโคกและชุมชนใกล้เคียงในท้องถิ่นเดียวกันได้แก่ ชุมชนลาวครั่งบ้านท่าม้า บ้านหนองตาสาม เป็นชุมชนบ้านพี่เมืองน้องที่มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนฉันเครือญาติกันอย่างเหนียวแน่น ผู้คนระหว่างชุมชนมักจะพบปะกันเป็นประจำในช่วงเทศกาลที่วัดหนองตาสาม จากวัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นอันเดียวกันนี้ การเดินทางระหว่างชุมชนลาวครั่งนั้น ดูจะเป็นเส้นทางสำคัญก่อนการเดินทางไปชุมชนอื่น ๆ การแลกเปลี่ยนสินค้าก็กระทำในลักษณะของญาติพี่น้องเป็นสำคัญ ส่วนความสัมพันธ์ในพื้นที่รอบ ๆ หมู่บ้านที่มีการผลิตข้าวเช่นเดียวกัน ชาวบ้านในหมู่บ้านอื่น ๆ จะเป็นพวก "คนไทย" ในสายตาของชาวบ้านโคก การปลูกข้าวในพื้นที่ลุ่มนั้น ทำให้บ้านโคกมีลักษณะความสัมพันธ์กับกลุ่มบ้านอื่น ๆ ที่เป็นสังคมชาวไร่ชาวนาเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ความสัมพันธ์กับหมู่บ้านที่ห่างไกลออกไปจนถึงตลาดบางลี่ที่เป็นตลาดค้าข้าวนั้นมีลักษณะที่เป็นอิสระ (หน้า 170) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในชุมชนลาวครั่งนี้ ก็คล้าย ๆ กับการจัดรูปแบบของความสัมพันธ์ที่มีต่อกันใหม่ให้เป็นไปตามบรรทัดฐานความเป็นอยู่ที่ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมนี้เกิดขึ้นเมื่อลาวครั่งมีปฏิสัมพันธ์กันกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ โดยรอบที่เข้ามาติดต่อกัน แต่ละฝ่ายอาจจะหยิบยืมลักษณะทางวัฒนธรรมของกันและกันมาปรับใช้เพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ
จากสาเหตุของระบบเศรษฐกิจการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้สังคมลาวครั่งบ้านโคกเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิถีชีวิตของชาวบ้านโคก มีการปรับเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจ คือ ข้าวและการเปลี่ยนแปลงทางสัมพันธ์ในการผลิต ได้มีผลกระทบไปทุก ๆ ส่วนของวัฒนธรรมลาวครั่ง คือ เริ่มตั้งแต่พิธีกรรมต่าง ๆ ที่จำนวนและความถี่ของชาวบ้านที่เข้าร่วมเริ่มลดลง เกิดแรงงานในรูปแบบเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่ผลักดันให้แรงงานรุ่นใหม่ แยกออกจากภาคเกษตรกรรม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะการเลียนรูปแบบวิถีชีวิตของคนเมืองเข้ามามากกว่าการกลายเป็นคนเมือง ซึ่งจะเด่นในรูปธรรม เห็นได้จากเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ในการประกอบอาชีพ รวมทั้งรูปแบบบ้าน
นอกจากนั้นลาวครั่งยังได้หยิบยืมวัฒนธรรมทางด้านเศรษฐกิจ การทำมาหากิน การประกอบการค้าและอุดมการณ์ทุนนิยมมาจากคนจีน ส่วนคนไทยนั้น ชาวบ้านโคกจะรับขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ทั้งการบวช การแต่งงาน ค่านิยมเกี่ยวกับการสร้างวัดไปปฏิบัติ แม้ในทุกวันนี้ระดับการดำรงชีวิตของชาวบ้านโคกเริ่มที่จะเปลี่ยนไปแต่กระนั้นการปฏิบัติตามจิตสำนึก อุดมการณ์ คติ ความเชื่อ ค่านิยม และข้อห้ามต่างๆ ที่เกี่ยวกับวัฏจักรชีวิต รวมทั้งแบบแผนการปฏิบัติในพิธีกรรมเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ ก็ยังคงสืบทอดในสังคมลาวครั่งต่อไปตราบเมื่อวัฒนธรรมนั้น ๆ ยังตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของผู้คนในสังคมได้อยู่ (หน้า 268-282) |
|
|