|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ยวน คนเมือง ไทยวน,ผ้าจก,วิถีชีวิต,ราชบุรี |
Author |
วรรณา วุฒฑะกุล |
Title |
ผ้าจกกับวิถีชีวิตชาวไทยวน : ศึกษาเฉพาะกรณีตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยวน ยวน ยวนสีคิ้ว คนเมือง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
หอสมุดกลาง สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Total Pages |
44 |
Year |
2538 |
Source |
กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
การทอผ้าจก เป็นมรดกทางศิลปหัตถกรรมที่ไทยวน ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี สืบทอดมาจากบรรพบุรุษชาวเมืองเชียงแสน อาณาจักรล้านนาไทย ซึ่งกรรมวิธีการทอผ้าด้วยจกต้องอาศัยความประณีต ละเอียดอ่อน และความอุตสาหะของผู้ทอ อันก่อให้เกิดลวดลายต่างๆ ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ฯลฯ ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวนได้เป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันเนื่องจากความเจริญทางวัตถุ ได้ทำให้กรรมวิธีและเทคนิคการทอผ้าจกกำลังจะสูญหายไป ดังนั้นลูกหลานของไทยวนที่เห็นความสำคัญของการทอผ้าจกจึงได้ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมการทอผ้าจกไว้ให้คงอยู่สืบไป |
|
Focus |
ศึกษาความสัมพันธ์และความสำคัญของการทอผ้าจกที่มีต่อชีวิตประจำวันทั้งในอดีต ปัจจุบันของไทยวน และบริบททางสังคมที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และศิลปะการทอผ้าจกของไทยวน กรณีตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี (หน้า 5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างปี 2537 - 2538 (หน้า 19 เชิงอรรถที่ 7 ผู้เขียนลงภาคสนามปี 2537 - และงานวิจัยชิ้นนี้เสร็จลงในปี พ.ศ. 2538) |
|
History of the Group and Community |
ไทยวนที่อาศัยอยู่ในตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ปัจจุบันสืบเชื้อสายมาจากชาวเมืองเชียงแสน แห่งอาณาจักรล้านนา ซึ่งกวาดต้อนเข้ามาในภาคกลางของตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปี พ.ศ. 2347 ต่อมาพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำชาวเชียงแสนเหล่านี้ลงมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองราชบุรี ครั้งแรกตั้งครัวเรือนที่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองฝั่งขวาทางทิศตะวันออกของตัวเมือง ปัจจุบันชื่อ หมู่บ้านไร่นที ต่อมาได้ย้ายขยายกันไปตั้งถิ่นฐานใกล้ ๆ กับอำเภอเมืองและอำเภออื่น ๆ ในจังหวัดราชบุรี ส่วนผู้นำไทยวนที่พาผู้คนอพยพมาจากบ้านไร่นที มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ตำบลคูบัวในปัจจุบัน คือ หนานฟ้าและหนานขัน ซึ่งเป็นพี่น้องกัน หนานฟ้าตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกกันว่า "บ้านปู่ฟ้า" ส่วนหนานขัน ตั้งในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกกันว่า "บ้านปู่ขัน" ต่อมาเมื่อมีผู้คนมากขึ้นจึงขยายจากบ้านปู่ฟ้าและบ้านปู่ขันไปอยู่บริเวณแคทรายและหนามพุงคอ (หน้า 7 - 8) |
|
Demography |
ในปัจจุบันนี้(ปี 2538) ชาวราชบุรีเชื้อสายไทยวนในเขตอำเภอเมือง มีประมาณ 10,400 คน จะตั้งบ้านอยู่ที่ตำบลคูบัว ตำบลตะโก ตำบลอ่างทอง ตำบลเจดีย์หัก ตำบลหินกอง ตำบลดอนแร่ (หน้า 8) ส่วนไทยวนตำบลคูบัวในปัจจุบันเป็นกลุ่มชนรุ่นที่ 5 ที่สืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษเชื้อสายไทยวน มีประชากรทั้งสิ้น 6,865 คน เป็นชาย 3,253 คน เป็นหญิง 3,612 คน ประมาณ 1,265 ครัวเรือน ประกอบด้วย 15 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านตากแดด, หมู่ 2 บ้านระหนอง, หมู่ 3 บ้านหนองขันธ์, หมู่ 4 บ้านใต้, หมู่ 5 บ้านตะโก, หมู่ 6 บ้านสระโบสถ์, หมู่ 7 บ้านใหม่, หมู่ 8 บ้านหนองยายแก้ว, หมู่ 9 บ้าน บ้านปากห้วย, หมู่ 10 บ้านท่าช้าง, หมู่ 11 บ้านโพธิ์, หมู่ 12 บ้านหัวนา, หมู่ 13 บ้านต้มแหน, หมู่ 14 บ้านหนามพุงดอ, หมู่ 15 บ้านไร่ต้นมะม่วง (หน้า 23 - 24) |
|
Economy |
ไม่มีรายละเอียด แต่ระบุเพียงว่า ปัจจุบันผ้าซิ่นตีนจกเป็นผลงานศิลปาชีพอีกแขนงหนึ่ง ที่สร้างรายได้ให้ราษฎรควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมของไทยวน ผ้าซิ่นตีนจกมีราคาประมาณผืนละ 2,000 - 3,000 บาท (หน้า 32) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในปัจจุบันไทยวน ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ยังคงสืบทอดศิลปะการทอซิ่นตีนจกมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งในอดีตผ้าซิ่นตีนจกเป็นเครื่องนุ่งห่มที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญในชีวิตประจำวันของสตรีไทยวนทุกคน เพราะต้องใช้สวมใส่ในงานบุญหรืองานพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นประจำ ดังนั้น จึงมักจะมีการเลือกผ้าซิ่นตีนจกลายใหม่ ๆ มาใส่อวดกันอยู่เสมอ ทำให้ลวดลายผ้าซิ่นตีนจกของไทยวนในสมัยโบราณมีลักษณะที่หลากลายและยากต่อการสืบหาผู้เป็นเจ้าของลายที่แท้จริงได้ (หน้า 12) อย่างไรก็ตาม ผ้าซิ่นตีนจกที่ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีในปัจจุบันมีลักษณะลวดลายและเทคนิคการทอที่คล้ายผ้าซิ่นของอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ และอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย คือตัวซิ่นมีการทอที่เรียกว่า "ยกมุก" ซึ่งบางครั้งมีการทอแบบมัดหมี่ผสมเป็นลายขวาง ฝีมือในการทอซิ่นตีนจกของไทยวน ตำบลคูบัว จะมีนิยมลวดลายทั้งเก่าและใหม่และลายผสม สีที่มักจกมักใช้สีแดงเพราะเป็นสีแห่งพลังและความสดใสตามความเชื่อของไทยวน ลวดลายผ้าจกของไทยวนมี 3 ประเภท คือ 1.ลายหลัก ได้แก่ ลายกาบ, ลายหน้าหมอน, ลายโก้งเก้ง, ลายโก้งเก้งซ้อนเชีย, ลายดอกเชีย, ลายกาบช้อนหัก, ลายหักนกคู่, ลายดอกแก้ว 2.ลายผสม เกิดจากการนำลายหลัก 2 ลายมาผสมกันเป็นลวดลายใหม่ , และ 3.ลายประกอบเชิง ได้แก่ ลายมะลิเลื้อย, ลายกูดซ้อน, ลายขอปะแจ, ลายดอกข้าวตอก, ลายนกคู่กินน้ำร่วมต้น, และลายชะเปา (หน้า 20 - 21 และดูภาพประกอบใน ภาคผนวก ก หน้า 47 - 54) องค์ประกอบของซิ่นตีนจก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1. หัวซิ่น (ส่วนเอว) จะทอด้วยผ้าฝ้ายสีขาวและแดง 2. ตัวซิ่น (ส่วนกลาง) ซึ่งจะทอด้วยผ้าฝ้ายหรือไหมขึ้นอยู่กับฐานะของผู้สวมใส่ หรือโอกาสที่จะใส่ เป็นการทอต่างหากจากหัวซิ่นไม่ได้ทอติดต่อกัน แต่จะทอเป็นผ้าผืนธรรมดา 3. ตีนซิ่น (ส่วนล่าง) เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเอกลักษณ์ของซิ่นตีนจก ส่วนใหญ่จะทอด้วยผ้าสีดำ แดง ส่วนจกจะใช้สีแดง หรือเหลืองแซมบ้าง นานครั้งจะพบสีเขียวแซมหรือม่วงแซม สำหรับสีที่เป็นเอกลักษณ์ของผ้าจกที่คูบัว คือ สีแดงและสีเหลือง (หน้า 22 - 23) ในปัจจุบันไทยวนทอผ้าซิ่นตีนจกเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ทอเป็นผ้าขาวม้า, เป็นย่าม, หรือ ทอเป็นผ้าเช็ดหน้า, ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น เป็นผ้าคลุมศรีษะนาค, เป็นย่ามพระ ผ้าห่อคัมภีร์, ประดับศาลาหรือธรรมมาสน์ เป็นต้น, และทอใช้ประดับตกแต่งสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ (หน้า 11), (ส่วนการแต่งกายของไทยวนดูจากภาพประกอบใน ภาคผนวก ค หน้า 58 - 60) (และดูลักษณะของผ้าจกประเภทต่างๆ ใน ภาคผนวก ง หน้า 62 - 66) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในงานวิจัยระบุข้อมูลอันเดียวที่สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของไทยวน ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี นั่นคือ การทอและการสวมใส่ผ้าซิ่นตีนจก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าจกสีแดง ดำ และเหลือง และตีนซิ่นที่เป็น ผ้าฝ้ายสีดำแดง (หน้า 17) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้ไทยวนตำบลคูบัวได้ทอดทิ้งวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนชาติตนเอง เห็นว่าสิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างสมและทำมาเป็นสิ่งที่เสียเวลา สู้การซื้อจากตลาดไม่ได้ ควรเอาเวลาและแรงงานไปประกอบอาชีพที่สามารถทำรายได้ที่ได้มากกว่า ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี และการศึกษา ทำให้ช่างคูบัวคำนึงถึงความก้าวหน้าของบุตรหลาน ไม่อยากให้ต้องมานั่งทอผ้าอย่างตน จึงพยายามส่งเสียลูกหลานไปเรียนสูง ๆ และเมื่อเด็กรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาแล้วก็มักจะไม่กลับมาทอผ้าจกเหมือนกับบรรพบุรุษของตน ประกอบกับการทอผ้าจกไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐเท่าที่ควร ชาวบ้านที่ทอผ้าจกต้องช่วยเหลือตนเองมาโดยตลอด เมื่อคนรุ่นเก่าหมดไปคนรุ่นใหม่ก็ไม่ให้ความสนใจที่จะสืบทอดศิลปะนี้ พร้อมทั้งไม่ได้รับความสำคัญจากภาคเอกชนโดยทั่วไป จึงทำให้การทอผ้าจกซบเซาลง และหดหายไปในที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม, ในปัจจุบันการทอผ้าจกได้รับการสนับสนุนให้มีการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปการทอจกไม่ให้สูญหายไปแล้ว โดยลูกหลานของไทยวนแล้ว เช่น มีการก่อตั้งศูนย์ศิลปะสืบทอดการทอจกวัดแคทราย ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี (หน้า 43) |
|
Map/Illustration |
รูปภาพ : ลวดลายผ้าจก (ในภาคผนวก ก หน้า 47 - 54), สภาพชุมชนไทยวน ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี (ดูในภาคผนวก ข หน้า 36), การแต่งกายของไทยวน (ดูในภาคผนวก ค หน้า 58 - 60), ผ้าจกประเภทต่างๆ (ดูใน ภาคผนวก ง หน้า 62 - 66.), และ การสืบทอดการทอผ้าจกของไทยวน ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี (ดู ภาคผนวก จ หน้า 68 - 69) |
|
|