|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
วิถีชีวิต ความเป็นมา กะเหรี่ยง กาญจนบุรี |
Author |
ชนะพันธ์ รวีโชติภัคนันท์ |
Title |
วิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี |
Document Type |
อื่นๆ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
|
Total Pages |
121 |
Year |
2554 |
Source |
วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Abstract |
งานชิ้นนี้ศึกษาวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงที่อยู่ในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจากการศึกษาพบว่า กะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี เนื่องจากภัยสงครามในสมัยนั้น โดยบอกเล่าผ่านบทเพลงพื้นบ้านกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนที่รักความสงบ ดำรงชีพโดยการทำอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้าง กะเหรี่ยงมีความเชื่อถือผู้นำและยึดมั่นต่องานประเพณีและช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคม เพื่อนำผลการศึกษาไปปรับใช้กับแผนพัฒนาของเทศบาล เช่น ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนชาวกะเหรี่ยง อนุรักษ์ความเป็นอยู่ส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมและสนับสนุนด้านการเรียนรู้ชุมชนเช่นโครงการฝึกอบรมอาชีพด้านเกษตรกรรม ทอผ้า และส่งเสริมการแต่งกายพื้นบ้าน ตลอดจนสนับสนุนด้านความเป็นอยู่และสุขภาพเพื่อให้ชาวกะเหรี่ยงในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี |
|
Focus |
เพื่อศึกษารูปแบบวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีและเพื่อนำผลของการวิจัยไปกำหนดยุทธศาสตร์และกำหนดนโยบายของเทศบาลตำบลวังกะ อำเภอสังขละบุรี ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกะเหรี่ยง (หน้า 6) |
|
Ethnic Group in the Focus |
งานชิ้นนี้ศึกษาโพล่งและปกากะญอ ในอำเภอสังขละ จังหวัดกาญจนบุรี |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยง ผู้เขียนกล่าวว่าคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆในชีวิตประจำวันได้แก่ ออต๊ะ ซอหลอ = กินข้าวกับอะไร, อ่อเม =กินข้าว, ออที =กินน้ำ , หลู่ที =อาบน้ำ , ตะบรึ๊ =ขอบคุณ , ตะบรึ๊โด้มะ =ขอบคุณมากๆ (หน้า 34) |
|
Study Period (Data Collection) |
2554 (จากรูปภาพและข้อมูล หน้า 36) |
|
History of the Group and Community |
ในงานวิจัยระบุว่า กะเหรี่ยงอพยพเข้ามาอยู่ในเขตอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ในสมัยกรุงธนบุรี เนื่องจากใน พ.ศ. 2317 พม่าได้เข้าไปเกณฑ์คนมอญในเขตมอญมารุกรานไทย ดังนั้นคนมอญเป็นจำนวนมากจึงอพยพเข้ามาอยู่ในไทยโดยเดินทางมาทางด่านเจดีย์สามองค์ และด่านแม่ละเมา จังหวัดตาก ส่วนชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้สะท้อนเรื่องราวผ่านทางเนื้อเพลงที่ร้องต่อๆกันว่า ได้อพยพข้ามภูเขาสูงมาอย่างยากลำบาก และได้โยกย้ายที่อยู่มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ไล่โว่ ซึ่งหมายถึง “ผาแดง” ที่อยู่ในเขตพื้นที่ทุ่งใหญ่เซซาโว่ และอีกกลุ่มได้อพยพไปอยู่ที่ ไล่ผล้าอั่ว หมายถึง “ผาค่างคางขาว” ที่บ้านไล่ถ่องคู้ อันเป็นที่ตั้งของสำนักฤาษีกะเหรี่ยง ลัทธิตะละคง ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก (หน้า 43)
ชุมชนกะเหรี่ยงที่อยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีนั้นมีมาก่อนที่จะมีการตั้งกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง เมื่อ พ.ศ. 2325 กะเหรี่ยงที่อพยพมาจากหัวเมืองมอญได้แก่ กะเหรี่ยงที่อยู่เมืองศรีสวัสดิ์ และเมืองสังขละบุรี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พ.ศ. 2365 ขุนสุวรรณนำกะเหรี่ยงเมืองสังขละบุรี ขับไล่กองกำลังทหารพม่าออกจากเขตแดนไทย และ พ.ศ. 2407 ผู้นำชาวกะเหรี่ยงเมืองสังขละบุรี และเมืองศรีสวัสดิ์ได้มีส่วนร่วมสำรวจและชี้แนวเขตแดนไทยพม่าด้วยการทำแนวคอนกรีตกับขุนนางชาวอังกฤษในสมัยนั้น (หน้า 43) เนื่องจาก ทะเจียงโปรย ผู้นำกะเหรี่ยงเมืองสังขละบุรีได้มีความซื่อสัตย์และจงรักภัคดีต่อทางการไทย ดังนั้น จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองสังขละบุรี และได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาศรีสุวรรณคีรี” รวมทั้งได้รับพระราชทานลูกประคำคอทองคำในสมัยรัชกาลที่ 3และมีกรรมการรองอีก 52คน โดยมีตำแหน่งเป็นนายกองเพื่อดูแลชาวกะเหรี่ยงและได้รับเบี้ยหวัดรายปีในสมัยนั้นคนละ 6-40 บาท ต่อปี (หน้า 44)
สันนิษฐานว่ากะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่ในไทยนั้น แต่เดิมตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ในเขตเมืองเมาะตะมะ (หรือ เมาะละแหม่ง) ส่วนกะเหรี่ยงตำบลไล่โว่ นั้นก็อพยพมาจากบ้านเมกะวะ เมืองเมาะตะมะเช่นกัน กลุ่มนี้คาดว่าในอดีตคงไม่ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่อำเภอสังขละบุรี ในทุกวันนี้ หรือบริเวณลำน้ำซองกาเลีย บริเวณที่ไปด่านเจดีย์สามองค์ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางเดินทัพของพม่า สันนิษฐานว่าชาวกะเหรี่ยงอาจตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างออกไปจากจุดนี้ เนื่องจากบ้านของพระศรีสุวรรณคีรี(ทะเจียงโปรย) เจ้าเมืองคนสุดท้ายซึ่งก่อนย้ายมาอยู่ที่บ้านนิถะ อำเภอสังขละบุรีเดิมที่จมน้ำ พระศรีสุวรรณคีรีสร้างบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสะเนพ่อง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี (หน้า 43) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนกะเหรี่ยงในเทศบาลวังกะ อำเภอสังขละบุรี อยู่ใกล้แหล่งน้ำตามชายเขา เดิมอยู่กันอย่างกระจายต่อมาจึงรวมกันเป็นชุมชนใหญ่อยู่กับป่า การปลูกสร้างบ้านเรือนจะใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ หญ้าแฝก มุงหลังคาด้วยใบจาก จากการศึกษาพบว่า กะเหรี่ยงจะสร้างบ้านเรือนแบบดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไม่มากนับจากอดีต โดยจะใช้วัสดุจากธรรมชาติเป็นหลัก การสร้างบ้านเรือนชอบอยู่ตามป่าเขามีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม (หน้า 68) |
|
Demography |
ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
ประกอบด้วยกะเหรี่ยงในอำเภอสังขละบุรี 20 คน กลุ่มผู้นำท้องถิ่น เช่น นายกเทศมนตรีตำบลวังกะ รองนายกเทศมนตรี และคนอื่นๆ อีก 10 คน (หน้า 61-62) ส่วนประชากรในเขตเทศบาลตำบลวังกะ 3 หมู่บ้าน มีจำนวน 6,586 คน เป็นผู้ชาย 3,347 คน และผู้หญิง 3,239 คน จำนวนครัวเรือน 2,212 หลังคาเรือน ข้อมูล ปี 2554ระบุว่ามีผู้ที่ยังไม่ได้สัญชาติไทย 13,172 คน (หน้า 50) สำหรับประชากรในประเทศไทยมีกะเหรี่ยง 1,993 หมู่บ้าน 69,353 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 352,295 คน โดยตั้งบ้านเรือนอยู่ในจังหวัดต่างๆ อาทิ กาญจนบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ตาก ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี แพร่ น่าน เป็นต้น (หน้า 3) |
|
Economy |
เศรษฐกิจ
ประชากรในตำบลวังกะ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประมง ค้าขาย ธุรกิจท่องเที่ยว ขายสินค้าพื้นเมืองได้แก่เฟอร์นิเจอร์ไม้ ผ้าทอมือ และอื่นๆ (หน้า 50)จากการศึกษาพบว่า กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยังขาดคุณภาพชีวิต เช่นกะเหรี่ยงที่ไล่โว่ ที่อยู่ห่างไกลตัวเมืองและไม่มีโรงเรียน กะเหรี่ยงไล่โว่ส่วนใหญ่ทำไร่เพาะปลูก คนที่เป็นสามีจะออกไปทำงานที่ไร่ ส่วนภรรยาจะอยู่บ้านทำงานบ้านเลี้ยงลูก (หน้า 44)
ประชากรในเขตอำเภอสังขละบุรี ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น เพาะปลูก ทำประมง ค้าขายและประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว ในเขตอำเภอมีโรงแรม และรีสอร์ท 12แห่ง ปัญหาที่พบส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ดินทำกินเพราะเป็นที่ดินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ จัดสรรให้ จึงมีปัญหาเรื่องการซื้อขายสิทธิ์เพราะที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ ส่วนในด้านอุตสาหกรรม พบว่า ในเขตเทศบาลส่วนใหญ่จะทำหัตถกรรมสิ่งทอ และตัดเย็บเสื้อผ้า สำหรับการค้าขายสินค้าของกินของใช้ส่วนใหญ่ร้านค้าจะตั้งอยู่เป็นจำนวนมากอยู่ในเขตเทศบาลตำบลวังกะ (หน้า 49)
ชาวกะเหรี่ยงชอบอยู่ตามป่าเขามีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ส่วนใหญ่จะทำไร่ เก็บของป่าและหาปลาตามแหล่งน้ำดำรงชีพ การตั้งบ้านเรือนส่วนใหญ่จะสร้างด้วยวัสดุธรรมชาติอยู่รวมกันตามป่าเขา (หน้า 69) รายได้ส่วนใหญ่มาจากการเพาะปลูกพืช ทำไร่ ปลูกข้าวไร่ พริก อ้อย สับปะรด กล้วย และหาของป่า รายได้แม้จะไม่มากแต่ชาวกะเหรี่ยงก็อยู่แบบประหยัดการเพาะปลูกส่วนใหญ่จะปลูกพืชผักไว้กินในครัวเรือนและขาย นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการทอผ้า หาของป่าหาปลา เลี้ยงหมูและเลี้ยงไก่ เป็นต้น (หน้า 82)
ชาวกะเหรี่ยงนิยมลงแขกทำงาน ไม่ได้จ้าง มีการแลกเปลี่ยนแรงงานระหว่างคนในชุมชน จากการศึกษาพบว่าด้วยความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ไม่นิยมของแพง ดังนั้นกะเหรี่ยงจึงมีค่าใช้จ่ายน้อย สำหรับการจ้างแรงงานจะอยู่ที่ 120-150 บาทต่อวัน แต่ถ้าเป็นกะเหรี่ยงด้วยกันจะแลกเปลี่ยนด้วยการทำงานหรือสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ (หน้า 85) สำหรับสาเหตุที่มีการจ้างแรงงานด้วยค่าแรงที่ถูกนั้น จากการศึกษาพบว่า กะเหรี่ยงบางส่วนยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนและพูดไทยไม่ได้ ดังนั้นจึงถูกกดค่าแรง แต่ถ้าเป็นกะเหรี่ยงที่สามารถพูดภาษาไทยได้ก็จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มนายจ้าง สำหรับอัตราที่ต่ำนั้นไม่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่เนื่องจากชาวกะเหรี่ยงไม่มีหนี้สิน ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและไม่นิยมของแพง (หน้า 86) การใช้ชีวิตก็อยู่กันตามธรรมชาติ สำหรับในกลุ่มที่มีหนี้นั้นมาจากสาเหตุที่ส่งลูกเรียน และส่วนใหญ่แล้วคนกะเหรี่ยงจะไม่ค่อยเป็นหนี้เพราะจะใช้ชีวิตแบบพอเพียงจะซื้อแต่ของที่จำเป็นในครัวเรือน เช่น น้ำมันพืช เครื่องเทศ เครื่องแกง น้ำปลา เครื่องปรุงในครัวที่ใช้ประกอบอาหาร (หน้า 87) สำหรับค่าใช้จ่ายที่ทุกวันนี้มีสูงมากขึ้นและมากกว่ารายรับ จึงทำให้บางครอบครัวมีหนี้สินแต่ก็มีไม่มาก ในบางครอบครัวรายได้กับรายจ่ายมีความสมดุลกัน สำหรับกลุ่มที่มีหนี้สินเพราะอยากให้ลูกหลานเรียนสูงๆ เพื่อต้องการให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ต้องลำบากจากการทำงานในนาไร่ (หน้า88)
เนื่องจากรายได้ของกะเหรี่ยงส่วนใหญ่มาจากการเพาะปลูก ถึงแม้จะมีรายได้ไม่มากแต่ก็อยู่อย่างพอเพียง เพราะไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย (หน้า 104) ส่วนค่าจ้างแรงงานจะอยู่ที่ 120-150 บาทต่อวัน แต่โดยมากชาวกะเหรี่ยงจะลงแขกช่วยกันทำงานจึงไม่ต้องเสียค่าจ้างแรงงาน ส่วนภาวะหนี้สินไม่ค่อยมีเพราะกะเหรี่ยงไม่นิยมของแพง มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย (หน้า 105) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยงมีนิสัยรักความสงบ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมีน้ำใจช่วยเหลือพึ่งพากันทั้งในครอบครัวและกับเพื่อนบ้าน ไม่ทำลายป่าไม้และสิ่งแวดล้อมมีความเป็นอยู่แบบระบบเครือญาติ (หน้าบทคัดย่อ) เคารพนับถือบรรพบุรุษ และเชื่อผู้นำ เช่นผู้ใหญ่บ้าน เนื่องจากเหตุว่าเมื่อเจ้าหน้าที่จากภายนอกเข้ามาในหมู่บ้านก็ต้องมาติดต่อกับผู้ใหญ่บ้าน ลักษณะครอบครัวของกะเหรี่ยงมีความเป็นอยู่อย่างอบอุ่น ในแต่ละครอบครัวจะอยู่แบบ พ่อ แม่ ลูก หากลูกแต่งงานแล้วก็จะแยกไปสร้างครอบครัวใหม่ ชาวกะเหรี่ยงมีความเคร่งครัดด้านประเพณี รักครอบครัว การนอกใจคู่สมรสเป็นเรื่องร้ายแรงหากใครกระทำผิดจะถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน (หน้า 89)
ชาวกะเหรี่ยงรักความสงบสันโดษ ไม่ค่อยยอมรับสิ่งใหม่ๆ หากมีคนในเมืองนำความเจริญเข้ามา พวกเขาก็จะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ชาวกะเหรี่ยงชอบอยู่กับป่าเขา ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เก็บของป่า ปลูกผักกินเอง มีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย (หน้า 93)ชาวกะเหรี่ยงมีความสามัคคีในหมู่คณะ เช่น มีการร่วมกันลงแขกทำงานโดยไม่ต้องเสียค่าจ้าง มีความเป็นอยู่แบบพี่น้อง มีอะไรก็แบ่งปันกัน มีความเคารพนับถือบรรพบุรุษและเชื่อถือผู้นำเช่นผู้ใหญ่บ้าน เนื่องจากเป็นตัวแทนในการประชุม และทำกิจกรรมต่างๆ นอกหมู่บ้านแล้วกลับมาถ่ายทอดให้กับคนในหมู่บ้าน (หน้า 94) มีความเป็นอยู่แบบเครือญาติมีความสามัคคีและช่วยเหลือกันในคนที่อยู่ในชุมชน (หน้า 96) |
|
Political Organization |
การเมืองการปกครอง
อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มี 3 ตำบล 20 หมู่บ้าน ประกอบด้วย ตำบลหนองลู 10 หมู่บ้าน ตำบลปรังผล 4 หมู่บ้าน และตำบลไล่โว่ 6 หมู่บ้าน และมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 แห่ง ดังนี้ 1) เทศบาลตำบลวังกะ 2) องค์การบริหารส่วนตำบลหนองลู 3) องค์การบริหารส่วนตำบลปรังผล และ 4 ) องค์การบริหารส่วนตำบลไล่โว่ (หน้า 46)
การปกครองของกะเหรี่ยง
สังคมของกะเหรี่ยงมีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย กะเหรี่ยงมีการช่วยเหลือกันด้านการจัดงานประเพณีและอยู่กันแบบพี่น้อง (หน้า 98) การปกครองในหมู่บ้านกะเหรี่ยงจะให้ความเชื่อถือผู้นำ หากมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งจะให้ผู้นำหมู่บ้านตัดสิน และผู้หลักผู้ใหญ่จะอบรมลูกหลานที่อยู่ในชุมชนให้มีความสามัคคีกันเพื่อไม่ให้สังคมเกิดความแตกแยก (หน้า 99) ในชุมชนมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (หน้า 100) ส่วนความสัมพันธ์กับชุมชนภายนอกนั้น ชุมชนกะเหรี่ยงมักจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับชุมชนภายนอกมากนัก แต่ถ้าเป็นในชุมชนกะเหรี่ยงด้วยกันเองจะให้ความช่วยเหลือด้านประเพณีวัฒนธรรมเป็นอย่างดี (หน้า 110) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อ
กะเหรี่ยงส่วนมากนับถือศาสนาพุทธมีความเชื่อเรื่องฤาษี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติรอบตัว (หน้า 34) กะเหรี่ยง 95 % นับถือศาสนาพุทธ อีก 5 % นับถือศาสนาคริสต์ อิสลาม และอื่นๆ (หน้า 50)
ชุมชนกะเหรี่ยงในป่าลึกยังนับถือเจ้าป่าเจ้าเขา และมีการสืบทอดความรู้ด้านประเพณี วัฒนธรรมจากคนรุ่นบรรพบุรุษมาสู่ชั้นลูกหลาน โดยเฉพาะในชุมชนที่อยู่ในเขตป่าเขาการสืบทอดประเพณีต่างๆ นั้นจากการศึกษาพบว่าจะมีการสืบทอดและเรียนรู้มากกว่ากลุ่มที่อยู่ใกล้เขตเมือง เช่นประเพณี การไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา ไหว้ศาลเจ้าพ่อ การทำขวัญข้าว ฟาดข้าว ทำบุญกับฤาษีในเดือนเมษายน ปล่อยเรือลอยโคม ทำบุญสะเดาะเคราะห์ ก่อเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์ เป็นต้น (หน้า 75) ในการสืบทอดความรู้ประเพณีวัฒนธรรม ผู้นำชุมชนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมและเก็บข้อมูล และเป็นศูนย์รวมในการรักษาสืบทอดประเพณีต่างๆ เช่นรำตง แต่ทุกวันนี้ได้มีการสอนประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น รำตง ดนตรีพื้นบ้าน ภาษากะเหรี่ยง ในโรงเรียนให้กับเด็กๆ (หน้า 76) |
|
Education and Socialization |
การเรียนรู้
จากการศึกษาพบว่า ชาวกะเหรี่ยงได้สืบทอดวัฒนธรรม โดยได้จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรม เช่นในพื้นที่ตำบลไล่โว่ อบต.ได้ตั้งศูนย์วัฒนธรรมขึ้น เพื่อให้เยาวชนที่อยู่ในชุมชนได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีกะเหรี่ยงแก่คนในชุมชนและที่อยู่นอกชุมชน ซึ่งในปัจจุบันชุมชนกะเหรี่ยงได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในการถ่ายทอดวัฒนธรรม สำหรับในอดีตนั้น คนในชุมชนจะได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีจากคนในครอบครัว พ่อแม่พี่น้อง และจากที่วัด (หน้า 78) แต่ปัจจุบันเด็กชาวกะเหรี่ยงได้เรียนหนังสือประกอบกับ อบต.ได้เข้ามาส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีของกะเหรี่ยงและหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ได้เข้ามาสนับสนุน งานหัตกรรมพื้นบ้านของกะเหรี่ยง เช่น การทอผ้า และหาตลาดให้ซึ่งเป็นการสร้างเสริมรายได้ให้กะเหรี่ยงได้อีกทางหนึ่ง (หน้า 79) |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล
ในเขตเทศบาลมีโรงพยาบาลสังขละบุรี มีศูนย์บริการสาธารณสุขและหน่วยควบคุมโรคติดต่อแมลง อย่างละหนึ่งแห่ง สำหรับอาการเจ็บป่วยส่วนใหญ่จะเป็นโรคมาลาเรีย (หน้า 50) ด้วยความที่กะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีรายได้ไม่แน่นอน จึงต้องอาศัยสวัสดิการจากรัฐ เช่น ผู้สูงอายุได้รับเบี้ยเลี้ยงชีพ เบี้ยคนพิการ บัตรทอง 30บาท เพื่อรับการรักษาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (หน้า 83) นอกจากนี้ยังมีสาธารณสุขเพื่อไปรักษาโรคในหมู่บ้านและมี อสม.ในหมู่บ้าน (หน้า 84)
กะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีสุขภาพแข็งแรงเพราะอยู่กับธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมที่ดีดังนั้นจึงไม่ค่อยเจ็บป่วยมากนัก หากจะป่วยก็เป็นไข้เล็กๆ น้อยๆ โรคที่พบส่วนมากคือไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก เพราะกะเหรี่ยงมักไปนอนที่ไร่ และนอนไม่กางมุ้ง สำหรับโรควัณโรคต้นเหตุมาจากการสูบบุหรี่ แต่ทุกวันนี้มีโรงพยาบาลเคลื่อนที่เข้ามาในชุมชนกะเหรี่ยง เจ้าหน้าที่ได้แนะนำกะเหรี่ยงให้รู้จักวิธีป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพ ดังนั้นจึงทำโอกาสเกิดการเจ็บป่วยของกะเหรี่ยงลดจำนวนลง (หน้า 88) นอกจากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติและกินพืชผักที่ปลอดสารพิษแล้ว ชาวกะเหรี่ยงยังมีจิตใจและอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ดังนั้นจึงทำให้มีสุขภาพจิตดี (หน้า 89) และในหมู่บ้านต่างๆ มีสถานีอนามัย และในแต่ละเดือนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ อสม.จะออกตรวจสุขภาพ (หน้า 90)นอกจากนี้ในกลุ่มที่รู้จักพืชสมุนไพรหากไม่สบายก็จะรักษาด้วยการรักษาพื้นบ้าน (หน้า 91) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย การแต่งกายของกะเหรี่ยงจะแต่งกายมีสีสันต่างๆ ตามวัยเช่นเด็กๆ สวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาดเช่นสีแดง สีฟ้า วัยรุ่นหญิงที่ยังไม่แต่งงานสวมเสื้อสีขาว วัยผู้ใหญ่ วัยชรา สวมชุดสีดำ (หน้า 34) การทอผ้า(เรียกว่า “ถ่าทะ”) กะเหรี่ยงมีฝีมือเรื่องการทอผ้า โดยจะทอผ้าด้วยมือ เครื่องมือที่ใช้ทอเป็นกี่กระตุก (หน้า 81)
เครื่องจักสาน กะเหรี่ยงมีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายและมีความสามารถเรื่องการทำเครื่องจักสานเพื่อใช้ในครัวเรือน และทุกวันนี้มีปราชญ์ชาวบ้านมาช่วยสอนการทำเครื่องจักสาน และความรู้พื้นบ้านตลอดจนศิลปวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงในโรงเรียน (หน้า 81) เช่น สานตะกร้า กระด้ง ข้าวของเครื่องใช้จะเกี่ยวข้องกับการทำมาหากินเช่น การทำครกตำข้าว หรือกระเดื่องตำข้าวด้วยพลังน้ำ เป็นต้น (หน้า 82) |
|
Folklore |
บทเพลงกะเหรี่ยง
มีบทเพลงของกะเหรี่ยงที่เล่าถึงความทุกข์ยากลำบากที่ต้องอพยพข้ามภูเขามาตั้งบ้านเรือนอยู่ไล่โว่หรือผาแดง ในเขตทุ่งใหญ่เซซาโว่ และไล่ผล้าอั่ว หรือผาค่างคางขาว ในบ้านไล่ถ่องคู้ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ซึ่งบทเพลงนี้ได้ร้องสืบทอดกันมาเป็นคำบอกเล่าถึงการอพยพจากประเทศพม่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทยสมัยกรุงธนบุรี (หน้า 43) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงชอบความสงบ ชีวิตอาจมีการปรับเปลี่ยน แต่สำหรับกลุ่มที่อยู่ห่างไกลความเจริญถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงน้อย ชาวกะเหรี่ยงมีความนับถือบรรพบุรุษ เชื่อฟังคำสั่งสอน ของปู่ย่าตายาย และปฏิบัติตามประเพณี ชาวกะเหรี่ยงมีความนับถือข้าว เพราะว่าข้าวเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้มีอยู่มีกิน (หน้า 102) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของชาวกะเหรี่ยงเกิดจากที่ ชาวกะเหรี่ยงได้ส่งลูกหลานไปเรียนในเมือง โดยมุ่งหวังเพื่อให้กลับมาพัฒนาชุมชนให้มีความเจริญก้าวหน้า ทุกวันนี้ชาวกะเหรี่ยงได้ส่งลูกหลานไปเรียนในสาขาต่างๆ เพื่อกลับมาพัฒนาชุมชน (หน้า 101) เช่น เป็นครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข แล้วกลับมาทำงานในชุมชนมากกว่าในอดีต สำหรับความเป็นอยู่ของกะเหรี่ยงนั้น ในอดีตไม่ค่อยมีการพัฒนาชุมชนมากนัก การพัฒนาส่วนใหญ่มาจากหน่วยงานภาครัฐที่เข้าไปพัฒนา เช่น สร้างถนนหนทาง สร้างแผงไฟฟ้าโซล่าเซล และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ (หน้า 102) |
|
Map/Illustration |
ตาราง แสดงเพศ อายุ ของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (หน้า 65) การประกอบอาชีพ รายได้ของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (2516)(หน้า 66) ระดับการศึกษาของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (หน้า 67)ระยะเวลาที่อยู่ในชุมชนของชาวกะเหรี่ยง (หน้า 67)
แผนภาพ อำเภอสังขละบุรี (หน้า 2) กรอบแนวคิด(หน้า 8) ข้อห้ามต่างๆ ที่ได้จัดทำขึ้นในหมู่บ้าน (หน้า 34) ประเพณีฟาดข้าว(หน้า 35) ประเพณีการรำ (หน้า 36) การแต่งกาย (หน้า 36) เขตการปกครองของอำเภอสังขละบุรี (หน้า 46) |
|
|