|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ภูมิปัญญาท้องถิ่น การอนุรักษ์วัฒนธรรม ความเป็นมา ญ้อ ยโสธร |
Author |
สุพัชฌาย์ ปาปะชะ |
Title |
การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นชุมชนเผ่าญ้อขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร |
Document Type |
อื่นๆ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ญ้อ ไทญ้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
84 หน้า |
Year |
2556 |
Source |
รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาวิธีการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนเผ่าญ้อ 5 หมู่บ้านขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร จากการศึกษาพบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลมีแผนการดำเนินงานให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อรักษาและอนุรักษ์วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีการตั้งสภาวัฒนธรรมเพื่อขอความร่วมมือในการทำงานด้านอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการสืบทอดได้เลือกคนที่มีความรู้มาฝึกฝนและสืบทอดการอนุรักษ์วัฒนธรรม มีการเผยแพร่ผ่านผู้นำชุมชนและมีการจัดระบบข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ ทำวีดีทัศน์เกี่ยวกับประวัติของชุมชนญ้อและภูมิปัญญาที่ควรอนุรักษ์และเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต |
|
Focus |
เพื่อศึกษาวิธีการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นชุมชนญ้อ ขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธรและเพื่อศึกษาแนวทางการอนุรักษ์วัฒนธรรมญ้อ (หน้า 3) |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการศึกษา
ในการวิจัย ผู้วิจัยมีกรอบคิดในการศึกษาคือ แนวคิดเกี่ยวกับองค์การแห่งการเรียนรู้ ของเซนเก้ (Senge1990) แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้ และ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่เสนอว่าองค์การแห่งการเรียนรู้ คือ องค์การที่สมาชิกในองค์การเพิ่มขีดความสามารถและปรับปรุงตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่ต้องการ และเป็นองค์การที่ส่งเสริมและกระตุ้นการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (หน้า 8-9) ในอดีตสังคมต่างๆได้สร้างขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติ และทักษะของการหาเลี้ยงชีวิต และความเชื่อทางศาสนาเพื่อสอนเยาวชนให้สืบทอดวัฒนธรรมของสังคม กระบวนการเรียนรู้ของคนในสังคมในอดีตจึงแทรกซึมอยู่กับวิถีชีวิต (หน้า 25) สมาชิกในองค์การแห่งการเรียนรู้จึงควรทำการจัดการความรู้ คือ รวบรวม การจัดระบบ การจัดเก็บ ภูมิปัญญาท้องถิ่น (หน้า 10) เพื่อป้องกันความรู้ที่อาจสูญหาย
ผู้วิจัยเสนอแนะให้มีการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นชุมชนเผ่าญ้อ ขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในทุกระดับ ซึ่งจะนำไปสู่การสืบทอด การเผยแพร่ การจัดการข้อมูล ตามนโยบาย แผนและงบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบล (หน้า 43) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยญ้อ ที่อยู่ 5 หมู่บ้านในตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร (หน้า 44) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาญ้อ อยู่ในตระกูลภาษาไท- กะได ภาษากลุ่มคำ-ไท สาขาเบ-ไท สาขาย่อยไตแสก ใกล้เคียงกับภาษาไทยถิ่นอีสานกับภาษาลาวสำเนียงหลวงพระบาง ประกอบด้วยพยัญชนะ 19 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 3 เสียง วรรณยุกต์ 4 เสียง พยัญชนะควบกล้ำ 6 เสียง (หน้า 4)
ตัวอย่างภาษาญ้อ
ภาษาพูด |
คำอ่าน |
ความหมาย |
อิโผ่ะ |
อิ-โผ่ |
พ่อ |
อิเบ๊ะ |
อิ-เบ๊ะ |
แม่ |
กะโป๊ |
กะ โป๊ะ |
กะลา |
กะบวน |
กะ – บวน |
ดี, เข้าท่า |
กะปอม |
กะ - ปอม |
กิ้งก่า |
ฯลฯ (หน้า 48) |
|
Study Period (Data Collection) |
เมษายน – กันยายน 2555 (หน้า 4) |
|
History of the Group and Community |
ความเป็นมาของญ้อ
เมื่อก่อนไทยญ้อตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองหงสา แขวงไชยบุรี ประเทศลาว และบางส่วนได้อพยพมาอยู่ปากน้ำสงครามริมฝั่งแม่น้ำโขง หรือตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนมในทุกวันนี้เมื่อ พ.ศ.2351 ช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 ในภายหลังได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ.2369 กองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้กวาดต้อนไทยญ้อที่อยู่เมืองไชยบุรีให้ไปอยู่ที่เมืองปุงลิง ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง แขวงคำม่วน ประเทศลาว และในเวลาต่อมาได้อพยพมาอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตั้งเมืองท่าอุเทน เมื่อ พ.ศ.2373ได้แก่พื้นที่ท่าอุเทน จังหวัดนครพนม (หน้า 1)
ประวัติญ้อ ตำบลโคกสำราญ
ชุมชนญ้อที่ตำบลโคกสำราญมีความเป็นมาดังนี้ ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียให้กับพม่า เมื่อ พ.ศ. 2310 นั้น เมื่อก่อน คนเผ่าญ้อ เผ่าข่า เผ่าภูไท อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำโขง ขณะนั้นทางการไทยได้มีนโยบายอพยพผู้คนที่อยู่เมืองก้องแก้วมหาชัย ที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาพักที่บ้านดงหัวกอง ซึ่งทุกวันนี้อยู่ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ (หน้า 1) กระทั่งกรุงศรีอยุธยาได้เสียให้แก่พม่าล้าเมื่อ พ.ศ. 2310ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น คนเผ่าข่า เผ่าญ้อ และภูไท ต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ต่อมาสมเด็จไกรราช ซึ่งเป็นพระที่มีผู้คนศรัทธาเป็นจำนวนมาก จึงเข้ามาเจรจากับหัวหน้าทางการไทยที่ควบคุมคนเผ่าข่า เผ่าญ้อ เผ่าภูไท เพื่อเดินทางกลับบ้านเกิด เมื่อทางการไทย อนุญาตจึงออกเดินทางบ้านดงหัวกอง ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำนาจเจริญ โดยใช้เวลาเดินทางเดือนกว่า เมื่อมาถึงเผ่าข่าและภูไท จึงทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ดังนั้นพระสมเด็จไกรราชจึงให้เสี่ยงทายดอกบัว ถ้าดอกบัวของผู้ใดโผล่พ้นน้ำมากที่สุดจะได้เป็นพี่ใหญ่ หลังจากเสี่ยงทายผลปรากฏว่า เผ่าข่าได้เป็นพี่ใหญ่เพราะบัวพ้นน้ำมากที่สุด ที่สองเป็นญ้อ และที่สามเป็นภูไท หลังจากนั้นก็ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญและเฉลิมฉลองเพื่อความเป็นศิริมงคล (หน้า 2)
ต่อมาคนชาติพันธุ์ต่างๆ ได้แยกย้ายไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆ โดยเผ่าข่าได้ย้ายไปอยู่ที่ดงบักอี่ตอนใต้ เผ่าญ้อไปอยู่ที่คำบอนขอนขวาง ส่วนภูไทให้ไปอยู่ที่ลุบึ้งลุบภู ในกลุ่มญ้อที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านขอนขวางได้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นในหมู่บ้าน ต่อมาจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านโคกใต้โคกเหนือ หรือบ้านหินสิ่วในทุกวันนี้ กับบ้านกุดคอก่าน ซึ่งบริเวณที่ผู้คนอยู่ทำมาหากินนั้นเรียกว่ากุดก่าน พื้นที่นี้มีความอุดมสมบูรณ์ ในห้วยมีน้ำมาก (หน้า 2) เมื่อน้ำลดก็เกิดร่องรอยติดที่เปลือกต้นไม้ที่คนในพื้นที่เรียกว่า “ก่าน” จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านว่า “หมู่บ้านกุดคอก่าน” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (หน้า3) |
|
Demography |
ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ผู้ที่มีบทบาทในท้องถิ่น 15 คนประกอบด้วย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ, ปลัดองค์การบริหาร,ประธานสภาวัฒนธรรม,ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ,เจ้าอาวาสวัดกุดมงคลและปราชญ์ชุมชนญ้อจาก 5 หมู่บ้านอีก 10 คน (หน้า 44,4) ส่วนประชากรในพื้นที่ 5 หมู่บ้านประกอบด้วยบ้านกุดคอห่านหมู่ 3 บ้านโนนสวรรค์ หมู่ 7และหมู่ 15 บ้านหินสิ่ว หมู่ 6 มีจำนวน 742 ครัวเรือน มีประชากร 3,020 คน แบ่งเป็นชาย 1,524 คน และผู้หญิง 1,496 คน (หน้า 39, 47) |
|
Economy |
ผู้วิจัยไม่ได้ให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจของชุมชน แต่ระบุถึงงบประมาณในด้านการจัดการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นชุมชนญ้อ ว่าได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นโคกสำราญ ซึ่งได้ตั้งงบประมาณไว้จำนวนหนึ่งแสนบาท เพื่อสนับสนุนด้านการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น อีกทั้งยังขอความร่วมมือในการอนุรักษ์จากหน่วยงานราชการและประชาชน (หน้า 51) สำหรับแผนการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นชุมชนญ้อ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นโคกสำราญ ได้ร่วมมือกับคนในชุมชนโดยได้ทำการประชาคม เพื่อฟังความคิดเห็นต่างๆ เพื่อกำหนดแผนพัฒนาและกำหนดในข้อบัญญัติงบประมาณประจำปี ที่เริ่มให้การสนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นชุมชนญ้อ มาตั้งแต่ พศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน (หน้า 52) |
|
Social Organization |
สภาพสังคม
ไทยญ้อเป็นคนจิตใจใสซื่อรักความสงบสุข มีความสมัครสมานสามัคคี ช่วยเหลือกันเมื่อมีการจัดงานบุญประเพณี สร้างบ้านและมีการลงแขกช่วยกันทำนา เป็นต้น (หน้า 47) นอกจากนี้ในด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ชุมชนไทยญ้อได้มีการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมตำบลเพื่อร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และเครือข่ายวัฒนธรรม โดยร่วมมือกันระหว่างปราชญ์ชาวบ้าน และคนในชุมชน (หน้า 52) ทั้งองค์การบริหารส่วนตำบล ครู และผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 53) |
|
Political Organization |
การเมืองการปกครอง
ตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ได้รับการจัดตั้งเป็นตำบลเมื่อ พ.ศ. 2525 ประกอบด้วยหมู่บ้านต่างๆ ที่แยกหมู่บ้านจากตำบลบุ่งค้า คือ บ้านหนองยาง, บ้านห้วยสะแบก, บ้านดอนมะซ่อม, บ้านหินสิ่ว, บ้านกุดคอก่าน, บ้านโคกสำราญ กับที่แยกจากตำบลสวาท คือบ้านสมสะอาด และบ้านคำเกิ่ง โดยได้รับการจัดตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ (หรืออบต.โคกสำราญ) เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2540 และปรับเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลขนาดกลาง เพื่อ พ.ศ. 2552(หน้า 35)
ข้อมูลทั่วไปขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ
องค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญมีภารกิจหลักคือ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมคุณภาพชีวิต จัดระเบียบชุมชน รักษาความสงบเรียบร้อย อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาการเมืองและการบริหาร สนับสนุนการศึกษา ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภารกิจรองได้แก่ ฟื้นฟูวัฒนธรรมและส่งเสริมประเพณี สนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มอาชีพ ส่งเสริมการเกษตร ส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือน โครงสร้างการบริหารงาน ประกอบด้วยฝ่ายบริหาร คือนายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหาร 2 คน เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ฝ่ายสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ มีสมาชิกสภาองค์การ 30 คน (หน้า 36) ฝ่ายข้าราชการประจำและพนักงานจ้าง ได้แก่ พนักงานส่วนตำบล 23 คน พนักงานจ้างในสำนักงานอบต. 2 คน พนักงานจ้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อีก 19 คน (หน้า37)
|
|
Belief System |
ชุมชนยังมีความเชื่อเรื่องผีปู่ตา และสืบทอดประเพณีการเลี้ยงผีปู่ตา |
|
Education and Socialization |
กิจกรรมในการสืบทอดเผยแพร่ประเพณีวัฒนธรรม
การจัดกิจกรรม ปราชญ์ท้องถิ่น ผู้นำชุมชนได้ร่วมกันประชุมประชาคมหมู่บ้านทุกเดือน เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมและเป็นการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป โดยทางองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญได้มีนโยบายสนับสนุนทั้งในด้านวัสดุอุปกรณ์รวมทั้งประสานกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาญ้อ และประเพณีวัฒนธรรม เพื่อเผยแพร่ให้กับคนรุ่นลูกหลาน (หน้า 58)รวมทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างๆ เช่น เรื่องสมุนไพร (หน้า 60) ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การอนุรักษ์ควรประกอบด้วยการสนับสนุนในด้านต่างๆ เช่น ในด้านนโยบายและแผน งบประมาณ ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน การสืบทอด การเผยแพร่ และการจัดการระบบข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ยั่งยืนสืบไป (หน้า 66) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายในการรำ
ผู้ชาย สวมเสื้อคอพวงมาลัยสีเขียว แล้วนำสไบไหมสีน้ำเงินนำมาพับครึ่งพาดไหล่ทั้งซ้าย ขวา และจะปล่อยชายผ้าไปทางด้านหลังให้ชายผ้าเสมอกัน และนุ่งผ้าโจงกระเบนสีน้ำเงิน แล้วนำสไบไหมสีแดงคาดเอว ปล่อยชายด้านซ้ายทางด้านหน้า สวมสร้อยเงิน ทัดใบหูด้วยดอกไม้ ผู้หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีชมพู เสื้อทรงคอกลมขลิบดำหรือน้ำเงิน นุ่งผ้าถุงไหมสีน้ำเงินมีเชิง(ตีนจก) คาดเข็มขัด พาดไหล่ด้วยสไบไหมสีน้ำเงิน ทางไหล่ซ้ายปล่อยชายผ้าให้เท่ากัน สวมสร้อย ต่างหู สร้อยข้อมือเครื่องเงิน เกล้าผมประดับด้วยดอกไม้ (หน้า 47-48) |
|
Folklore |
เรื่องเล่าพื้นบ้าน
แต่เดิมเผ่าข่า เผ่าญ้อ และเผ่าผู้ไทเคยอยู่ในลาว ต่อมาด้วยเหตุผลทางการเมืองในสมัยนั้นจึงอพยพมาอยู่บริเวณชายแดนไทย-ลาว ต่อมาจึงย้ายมาอยู่ที่ดงหัวกองในพื้นที่อำนาจเจริญ ต่อมาทั้งสามเผ่าได้ทะเลาะกันพระผู้นำกลุ่มจึงทำการเสี่ยงทายดอกบัว เพื่อให้เกิดความปรองดองกัน ผลการเสี่ยงทายเผ่าข่าบัวโผล่พ้นน้ำมากที่สุดจึงได้เป็นพี่คนโต เผ่าญ้อได้เป็นพี่คนกลางและผู้ไทเป็นน้องคนเล็ก จากนั้นได้บายศรีสู่ขวัญให้มีความร่มเย็นเป็นสุขไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้งกันถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ขอให้มีอันเป็นไป (หน้า 2) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อบต.ได้ทำการประชาคม และสอบถามคนในชุมชนถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นชุมชนญ้อ ที่ควรอนุรักษ์ (หน้า 51) โดยส่งเสริมให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาด้านวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อสามารถให้เป็นที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ส่งเสริมให้ประชาชนมีการเรียนรู้ เรื่องศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น (หน้า 55) เพื่อให้เกิดความหวงแหนในวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ให้สูญหายไปจากชุมชนและสืบทอดไปยังลูกหลานรุ่นต่อไป รวมทั้งสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน (หน้า 60) |
|
Map/Illustration |
ความสัมพันธ์ของสารสนเทศและความรู้ (หน้า 20) การพัฒนาการจัดการความรู้ในองค์กร (หน้า 22) องค์ประกอบของการจัดการความรู้ (หน้า 23) กรอบแนวคิดในการศึกษา (หน้า 42) |
|
|