|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ครอบครัว,การดูแลเด็ก,ปัตตานี |
Author |
Aree Jampaklay |
Title |
Care and Protection of Children among Thai Muslim Families |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Total Pages |
63 |
Year |
2542 |
Source |
Institute for Population and Social Research Mahidol University |
Abstract |
1. ศึกษาการดูแลและคุ้มครองเด็กในครอบครัวไทยมุสลิมในด้านโครงสร้างครอบครัว และการจัดการที่อยู่ของเด็ก 2. ศึกษาโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทยมุสลิม โดยเน้นด้านความแตกต่างทางเพศ สาเหตุที่ไม่ได้เรียน และการใช้ชีวิตหลังจากเรียนจบ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง
3. ประเมินว่าภูมิหลังทางครอบครัวมีอิทธิพลต่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กหรือไม่
4. สำรวจชีวิตของเด็กไทยมุสลิมหลังจากเรียนจบหรือออกจากโรงเรียน โดยเฉพาะด้านโอกาสทางอาชีพของทั้งเด็กชายและหญิง (หน้า 3) พบว่า เด็กส่วนใหญ่จะอยู่กับทั้งพ่อและแม่ แต่ในกรณีที่พ่อแม่แยกกันอยู่หรือหย่ากัน อำนาจการตัดสินใจว่าจะให้เด็กอยู่กับใครเป็นของพ่อแม่ (แม้ว่าเด็กอายุมากกว่า 7 ขวบจะสามารถตัดสินใจได้เอง) และส่วนใหญ่ผู้ที่เลี้ยงดูเด็กคือแม่ ด้านโอกาสทางการศึกษาพบว่าเด็กจำนวน 1 ใน 8 ไม่ได้เข้าโรงเรียน เด็กชนบทมีโอกาสเรียนน้อยกว่าเด็กในเมืองมาก และเด็กที่พ่อแม่แยกทางกันจะมีโอกาสเรียนหนังสือน้อยกว่าเด็กที่พ่อแม่อยู่ด้วยกัน ด้านโอกาสทางอาชีพ พบว่า เด็กชายมีโอกาสได้ทำงานมากกว่าเด็กหญิง เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อไม่ได้เรียนต่อชั้นมัธยมก็จะอยู่กับบ้านโดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในชนบท เด็กผู้หญิงในเมืองมีโอกาสหางานทำมากกว่า แต่งานที่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานที่เสี่ยงหรือเป็นงานที่ไม่อยากทำ (หน้า 57-58)
ผลการศึกษาชี้ว่าเด็กชนบทควรได้รับการเอาใจใส่มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านโอกาสทางการศึกษาและการจัดการเรื่องที่อยู่ ที่น่าสนใจก็คือไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเพศในด้านโอกาสทางการศึกษา นอกจากนี้ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่าครอบครัวมีผลในแง่บวกกับการศึกษาของเด็ก แต่รายจ่ายด้านการศึกษาและการสูญเสียรายได้จากการใช้เวลาไปเรียน รวมทั้งความเสี่ยงต่อการซึมซับวัฒนธรรม อาจจะเป็นปัจจัยที่จำกัดการศึกษาของเด็ก (หน้า II) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
พบว่าคนในชนบทอพยพมาทำงานในเมืองมากกว่าที่คนในเมืองอพยพออกไปชนบท และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พ่อแม่ของเด็กไม่ได้อยู่ด้วยกัน หรือหย่าร้างกัน ซึ่งก็ส่งผลกระทบให้เด็กไม่ได้อยู่กับพ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อทั้งแม่ |
|
Demography |
เก็บข้อมูลจากเด็กที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,479 คน จาก 500 ครัวเรือน แบ่งเป็นเขตเมือง (เขตเทศบาล) 100 ครัวเรือน และเขตชนบท 400 ครัวเรือน โดยวิธีการสุ่ม กลุ่มตัวอย่างอยู่ในช่วงอายุ 6-18 ปี (หน้า 10,12) |
|
Economy |
เมื่อไม่มีโอกาสเรียนต่อชั้นมัธยม เด็กชายส่วนใหญ่จะทำงานด้านบริการหรืออาชีพด้านเกษตรกรรมโดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในชนบท ส่วนเด็กหญิงจะทำงานบ้านอยู่กับบ้าน เด็กหญิงในเมืองมีโอกาสทำงานมากกว่า แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นงานที่ไม่ต้องการทักษะ ซึ่งทำให้มีความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างเด็กที่มีงานทำกับเด็กที่ไม่มีงานทำ (อยู่กับบ้าน) ค่อนข้างสูงรายได้ส่วนใหญ่ที่ได้มา ส่วนใหญ่เด็กจะเก็บไว้ใช้ส่วนตัว และจุนเจือครอบครัว (หน้า 50-56) |
|
Social Organization |
ครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยวที่พ่อแม่อยู่ด้วยกันซึ่งจะเห็นได้ในเขตเมืองมากกว่าชนบท และส่วนมากจะมีปู่ย่าหรือตายายอาศัยอยู่ด้วย (หน้า 14) ส่วนครอบครัวที่พ่อแม่แยกกันอยู่นั้นมีจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 5 คือพ่อแม่แต่งงานกันแต่แยกกันอยู่ร้อยละ 1.1 และหย่าร้างร้อยละ 3.8 โดยครอบครัวดังกล่าวเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ในเขตชนบท สาเหตุหลักที่ทำให้พ่อแม่ต้องแยกกันอยู่ก็เพราะพ่อต้องเข้ามาทำงานในเขตเมือง (เขตเทศบาล) นอกจากนี้ยังพบว่า ในกรณีที่พ่อแม่หย่าร้างกัน พบว่าฝ่ายพ่อจะแต่งงานใหม่ ส่วนแม่จะยังคงสภาพความเป็นหม้าย แสดงว่าพ่อหม้ายมีแนวโน้มจะแต่งงานใหม่มากกว่าแม่หม้าย และทั้งพ่อหม้ายและแม่หม้ายก็มักจะมีลูกกับคู่สมรสใหม่ ในกรณีของเด็กที่พ่อหรือแม่เสียชีวิต พบว่าเด็กเกือบทุกคนเสียพ่อหรือแม่ไปเมื่อยังเล็กมาก คืออายุยังไม่ถึง 4 ขวบ และพบว่าพ่อหรือแม่เด็กที่ยังมีชีวิตก็จะไม่แต่งงานใหม่ (หน้า 17-21) |
|
Political Organization |
ตามประเพณีไทย ถือว่าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดคือผู้นำของบ้าน จึงถือว่าปู่หรือตา (หรือย่าหรือยาย) เป็นผู้นำของครอบครัว แม้จะไม่มีบทบาทในบ้านมากนัก (หน้า 14) |
|
Education and Socialization |
ในด้านการจัดการที่อยู่ของเด็ก สามารถแบ่งออกเป็นประเด็นต่าง ๆ ได้ดังนี้ - ประสบการณ์ของเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปีที่เคยแยกกันอยู่กับแม่ พบว่า เด็กมุสลิมที่เป็นกลุ่มตัวอย่างประมาณร้อยละ 9 เคยแยกกันอยู่กับแม่อย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น้อยเมื่อเทียบกับร้อยละของการสำรวจผู้หญิงที่เคยแต่งงานในตัวเมือง กรุงเทพฯ ที่พบว่า เด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบเคยแยกกันอยู่กับแม่อย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงร้อยละ 16 ส่วนสาเหตุที่ทำให้ต้องอยู่ห่างกันนั้นก็เนื่องจากการที่แม่ต้องทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือแม่ที่อยู่ในชนบท และระยะเวลาที่ต้องอยู่ห่างกันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 2 ปีครึ่ง - ที่อยู่ในปัจจุบันของเด็ก ข้อมูลในส่วนนี้หมายถึงในกรณีที่เด็กไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้าน ซึ่งพบว่ามีเด็กเพียงจำนวนไม่กี่คนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้าน และเด็กในชนบทไม่ได้อาศัยมากกว่าเด็กในเขตเมือง (เทศบาล) ส่วนสาเหตุที่ทำให้ไม่ได้อยู่บ้านก็คือต้องมาทำงาน ต่างจากเด็กในเขตเทศบาลที่จากบ้านมาเพราะมาเรียนหนังสือ - ผู้ที่เด็กอาศัยอยู่ด้วย แม้เด็กส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่กับทั้งพ่อและแม่ แต่ในกรณีของเด็กที่อยู่กับพ่อหรือแม่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็พบว่ามีอยู่ร้อยละ 8 และเด็กจะแยกกันอยู่กับพ่อมากกว่าแม่เป็น 2 เท่า - ส่วนเด็กที่ไม่ได้อยู่กับทั้งพ่อและแม่ ในชนบทจะพบเด็กในกรณีเช่นนี้มากกว่าในเขตเมือง (เทศบาล) เนื่องจากคนในชนบทอพยพไปอยู่นอกพื้นที่มากกว่าคนในเขตเมือง และเด็กจำนวนนี้โดยมากจะถูกทิ้งให้อยูกับตายายหรือญาติทางฝ่ายแม่มากกว่าฝ่ายพ่อ ซึ่งสอดคล้องกับหลักคำสอนของอิสลามที่ให้สิทธิ์การดูแลเด็กกับฝ่ายแม่มากกว่าฝ่ายพ่อในกรณีที่เกิดการหย่าร้าง (หน้า 22-29) ความคาดหวังทางการศึกษาของเด็ก : พบว่าเด็กส่วนใหญ่คาดว่าจะได้เรียนถึงระดับมัธยม แต่ทั้งนี้ภูมิหลังก็มีผลต่อการศึกษาของเด็ก ทั้งทางด้านเพศ สถานภาพสมรสของพ่อแม่ ที่อยู่ของเด็ก หรือประเภทของครอบครัว แต่มีเด็กจำนวนมากที่ไม่เคยได้เข้าโรงเรียนโดยมีสาเหตุหลาย ๆ ประการ และเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือส่วนใหญ่จะไม่ได้ประกอบอาชีพ โดยเฉพาะเด็กหญิงในชนบท จึงไม่มีรายได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่างจากเด็กที่มีอาชีพค่อนข้างมาก (หน้า 31-49) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|