|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มลายูมุสลิม,ความรุนแรง,การจัดการความจริง,ปัตตานี |
Author |
ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ |
Title |
ความรุนแรงกับการจัดการ |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
232 |
Year |
2545 |
Source |
ศูนย์ข่าวสารสันติภาพ มูลนิธิเพื่อการศึกษาประชาธิปไตยและการพัฒนา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
วิธีวิทยาดวงตาค้างคาว ช่วยให้เห็นแบบของการบอกความจริงเกี่ยวกับความรุนแรงในความสัมพันธ์ระหว่างปัตตานีกับสยาม หรือรัฐไทยอันแตกต่างกัน เมื่อรัฐปรารถนาจะเห็นบูรณาการ แต่ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมไม่เห็นพ้องด้วยเนื่องจากความเป็นตัวตนที่ต่างกันออกไป นับเนื่องให้บูรณาการด้วยการบังคับ ไม่อยู่บนฐานของความจริงในความหมายที่เป็นความหลากหลายแตกต่างกันของชุมชนในสังคม ความรุนแรงหลากกรณีจึงเกิดขึ้น จนกระทั่ง พ.ศ. 2542 เกิดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลให้อาณาบริเวณวัฒนธรรมปัตตานีถูกมองใหม่ โดยเริ่มยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่และหาหนทางให้เกิดการธำรงอัตลักษณ์ในทำนองว่าอยู่อย่างมุสลิมในสังคมไทย แต่อย่างไรก็ตามความรุนแรงก็ยังเกิดขึ้นอยู่ หากสามารถมองเป็นภาพสะท้อนการทำงานของสังคมไทยได้ การทำความเข้าใจความรุนแรง จึงเท่ากับพยายามเข้าใจความสลับซับซ้อนของสังคมไทยผ่านรูปแบบการจัดการความจริงรูปแบบต่างๆ ตลอดจนเห็นความจริงที่พร่าเลือนในบริบทของประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ประวัติศาสตร์ความลวง" (น.230) |
|
Focus |
ผู้เขียนมุ่งเน้นที่จะชี้ให้เห็นประเด็นที่ว่าเมื่อเกิดกรณีความรุนแรงขึ้นแล้ว "ความจริง" เกี่ยวกับกรณีนั้น ๆ ถูกจัดการอย่างไร ในบริบทของสังคมการเมืองปัตตานีนี้ มลายูมุสลิมจะดำรงตนผ่านอดีตอันรุนแรงไปได้อย่างไร (น.4) ทั้งนี้ผู้เขียนยังสนใจที่จะแสดงให้เห็นว่าวิธีการที่สังคม "จัดการ" กับความจริงนั้น อาจเป็นผลจากความสามารถในการจัดการ, เทคโนโลยีแห่งอำนาจในการจัดการ และลักษณะตัวปรากฏการณ์ที่จะถูกจัดการ (น.2) ทั้งนี้ผู้เขียนได้อาศัยการวิเคราะห์การ "จัดการ" ความจริงในสังคมไทย ในปรากฎการณ์ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะปัตตานีในรอบกึ่งศตวรรษ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนต้องการจะอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะปรากฎการณ์ (ที่จะถูกจัดการ), ความสามารถในการจัดการ และเทคโนโลยีแห่งอำนาจในการจัดการ กับวิธีการที่สังคม "จัดการ" กับความจริง โดยเป็นลักษณะปรากฎการณ์ที่อยู่ในขอบข่ายของความรุนแรง ในความหมายที่ว่าเป็นการทำร้ายกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ ศักดิ์ศรี หรือตัวตน ที่จะส่งผลต่อ "วิธีการจัดการความจริง" ในสังคมนั้น "ความจริง" ในงานนี้ตรงกับ "Truth" ซึ่งความสำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่ "facts" หรือสิ่งที่ผูกโยงกับประสาทสัมผัสเพียงเท่านั้น หากยังอยู่ที่ว่าความจริงนั้นปรากฎสู่การรับรู้ของสาธารณชนอย่างไร เพราะในทางทฤษฎี "ความจริง" จะปรากฎผ่านสื่อกลาง หรือตัวแทน ซึ่งจากแนวคิดของ Arendt "ความจริง" จะถูกผลิตโดยมนุษย์ (ในสังคมต่างๆ) และจากทัศนะของ Foucault "ความจริง" ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจ และเมื่อพิจารณาโดยอาศัยความคิดของ Gadamar การเปิดโปง "ความจริง" ก็หมายความว่าเปิดเผยความจริงส่วนหนึ่ง และปิดบังส่วนอื่นไว้ ในการพิจารณาความสัมพันธ์ดังกล่าว ในกรณีของปัตตานีผู้เขียนได้ใช้วิธีวิทยาที่เรียกว่า "ดวงตาค้างคาว" ซึ่งหมายความว่าได้อาศัย "ดวงตา" (มุมมอง) ของผู้วิจัยซึ่งให้ความสนใจ "ความรุนแรง" ได้ส่งสัญญาณออกไปยังกรณีศึกษาซึ่งก็สะท้อนกลับมาหาผู้วิจัยเปรียบเสมือนค้างคาวที่ "ตาบอด" แต่อาศัยสัญญาณส่งออกไปกระทบสิ่งต่าง ๆ และส่งสัญญาณกลับมายังค้างคาว ทำให้ค้างคาวบินต่อไปได้ แม้ว่าจะไม่ถึงกับมั่นใจนัก ผู้วิจัยเองก็อาจจะตาบอดด้วยอคติต่าง ๆ ก็จะต้องไม่มั่นใจกับผลการวิจัยจนเกินไป และพยายามสร้างกรอบการวิจัยให้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการเลือกกรณีศึกษาที่เกี่ยวกับปัตตานี (น. 13-33) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ปัตตานีถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสยามเมื่อปี พ.ศ. 2445 ในระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ระบอบอาณานิคมที่อังกฤษเป็นเจ้าอ่อนกำลังลง พร้อมกับความเข้มแข็งของขบวนการกู้ชาติต่าง ๆ ที่ประกาศเอกราช รวมทั้งในคาบสมุทรมลายู ในแง่สภาวะทางการเมืองของไทยก็เปลี่ยนแปลงจาก "ยุคเผด็จการ" ใต้อำนาจจอมพล ป. พิบูลสงคราม สู่ "ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน" หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แล้วถึง "ยุคมืด" ของรัฐบาลเผด็จการพลเรือนหลังเหตุการณ์นองเลือดโหดร้าย 6 ตุลาคม 2519 ก่อนจะมาถึงยุคที่เรียกว่า "ประชาธิปไตยครึ่งใบ" ซึ่งประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น เมื่อประกอบกับจินตนาการสาธารณะ ที่ปรากฏผ่านข่าวสารความเห็นต่าง ๆ จึงทำให้ดูเหมือนว่า "ปัตตานีจะสัมพันธ์กับสังคมไทยผ่านความรุนแรง" การจัดการความจริงในกรณีความรุนแรงเหล่านี้ ในช่วงเวลายาวนานราวครึ่งศตวรรษ ภายใต้บริบททางการเมืองต่าง ๆ ที่แปรเปลี่ยนไป ทำให้ผู้เขียนมองในฐานะเป็นภาพสะท้อนการจัดการความจริงในสังคมไทย (น.31) |
|
Social Organization |
เอกลักษณ์ของคน "ไทยมุสลิม" ที่เด่นชัดอย่างหนึ่งคือ ความใกล้ชิดของสังคมมุสลิมผ่านเครือข่ายทางศาสนา ผู้คนในแถบปัตตานีจึงอาจมีชีวิตประจำวันใน 4 สถานะคือ ในฐานะเป็นศาสนิกภายใต้กรอบปฏิบัติทางศาสนา เป็นทายาททางชาติพันธุ์ภายใต้อิทธิพลทางประเพณีวัฒนธรรมของตน เป็นพลเมืองของประเทศไทยใต้กฎหมายไทย และเป็นพลโลกที่ต้องเผชิญกับวัฒนธรรมตามสมัยนิยม (น. 56) |
|
Political Organization |
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ระบอบอำนาจทหารนิยมอย่างเด็ดขาดยุติลง พบว่ารัฐบาลตระหนักในสภาพเฉพาะของจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามภูมิหลังทางวัฒนธรรมประเพณีและศาสนา จึงได้ใช้นโยบายพิเศษในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสตูล แต่ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลในบางยุคสมัยกระทำการประหนึ่งบีบบังคับคนไทยมุสลิมโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางด้านสังคมวัฒนธรรม ความไม่พอใจในหมู่ประชาชนจึงบังเกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นข้าราชการซึ่งเป็นกลไกของรัฐก็เป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการดำเนินนโยบายของรัฐให้บรรลุสู่เป้าหมาย สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481-2487 ได้ออกรัฐนิยมฉบับแรกที่ว่าด้วย "ใช้ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ" ได้เปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็น ประเทศไทย กำหนดให้เรียกคนสยามว่า คนไทย เพื่อเน้นความถูกต้องตามเชื้อชาติ แนวคิดชาตินิยมดังนี้ สื่อให้เห็นการใช้อำนาจรัฐกำหนดทิศทางวัฒนธรรม และปริมณฑลทางอัตลักษณ์ของพลเมืองในประเทศ รัฐนิยมที่สร้างความไม่พอใจให้กับมลายูมุสลิมคือ 3 ฉบับที่ว่าด้วยการเรียกชื่อชาวไทย ภาษาและหนังสือไทยกับหน้าที่พลเมืองดี และการแต่งกายของประชาชนชาวไทย (น. 112) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความเป็นศาสนิกที่เคร่งครัดต่อกรอบปฏิบัติของศาสนาอิสลาม สะท้อนผ่านเอกลักษณ์ทางประเพณีและวัฒนธรรม จนเห็นได้ถึงความเป็นชาติพันธุ์มุสลิม (น. 56) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนเสนอ "มายาการแห่งอัตลักษณ์" อันหมายถึงการใช้ลักษณะพิเศษเฉพาะของตน หรือกลุ่มของตนมาแยกพวกตนออกจากผู้อื่น และสถาปนาความสัมพันธ์ให้ผู้อื่นกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ด้อยกว่าต่ำต้อยกว่า กระทั่งกลายเป็นวัตถุที่สามารถทุบทำลายหรือใช้ความรุนแรงด้วยได้ (น.224) ดังในสมัยจอมพล ป. ที่มลายูมุสลิมถูกห้ามไม่ให้แต่งกายตามวัฒนธรรมมลายู ห้ามไม่ให้ตั้งชื่อมลายู ห้ามพูดภาษามลายู และห้ามนับถือศาสนาอิสลามจนเป็นศาสนาที่ต้องห้ามไม่ได้รับการส่งเสริม ชาวมลายูที่อำเภอสายบุรีถูกบังคับให้ไหว้พระพุทธรูป ในจังหวัดสตูลมีหนังสือราชการขอความร่วมมือจากพ่อค้าให้งดนำผ้าโสร่งมาขาย ในปัตตานีใครนุ่งโสร่งหรือแต่งกายตามประเพณีเดิมจะไม่ได้รับความสะดวกในการติดต่อกับราชการ ตลอดจนอาจรุนแรงถึงขั้นทำร้ายทุบตีดึงมาโรงพัก ผู้หญิงมุสลิมที่แต่งกายด้วยเสื้อแขนยาวและคลุมหัวเคยถูกตำรวจถีบและทุบตีด้วยด้ามปืนขณะจ่ายตลาด ในทำนองเดียวกับที่ต่อมาเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้ยื่นคำขอ 7 ประการเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและสิทธิของมลายูมุสลิม ต่อรัฐบาล เพื่อเรียกร้องอิสระ ให้ความสำคัญกับการปกครองที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นทั้งด้านการศึกษา การคลัง การศาล รวมทั้งภาษา แต่ท้ายสุดหะยีสุหลงถูกพิพากษาว่าผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 104 ฐานกบฏในราชอาณาจักร(น.113-118) |
|
Critic Issues |
เมื่อเกิดความรุนแรงขึ้น ความจริงมักถูกจัดการผ่านเงื่อนไขของอำนาจ ให้เผยบางส่วนของความเป็นจริง ในขณะที่อีกหลายส่วนถูกบิดเบือนไป หากแต่ในพื้นที่ดังเช่นนวนิยายกลับเป็นพื้นที่ที่ผู้เขียนมองว่าปลอดภัยในการเสนอความจริง ทั้งนี้เพราะเป็นเรื่องแต่ง (fiction) ที่ถูกมองว่าไม่จริงอยู่แล้วเป็นธรรมดา ทำให้อาจบอกกล่าวเรื่องราวที่เป็นจริงเท่าที่ตนรู้ได้มากกว่าเรื่องที่ถูกมองว่าจริงตั้งแต่ต้น แม้จะทำให้สมจริงเพียงไร ก็ยังปลอดภัยอยู่ได้ในความเป็นเรื่องแต่ง และดังนั้นในสภาพที่ความเป็นจริงเกี่ยวกับปัญหาภาคใต้สลับซับซ้อน ผูกพันผลประโยชน์ คดโกงของผู้คนหลายฝ่าย มีการใช้อำนาจรังแกผู้คนจนไม่กล้าพูดความจริง เรื่องแต่งอย่างนวนิยายซือโก๊ะแซกอ กลับเข้าใกล้ความจริงเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นมากกว่าสถาบันผลิตความจริงอย่างอื่น ทั้งนี้ขนบของการแต่งนวนิยายคือการใช้จินตนาการจึงน่าจะมีพื้นที่ในการบอกความจริงที่อาจรบกวนการทำงานปรกติของสังคมการเมืองได้ (น. 228) |
|
|