|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,กรือเซะ,การต่อรองทางอัตลักษณ์,ปัตตานี |
Author |
Chaiwat Satha-Anand |
Title |
Kru-ze: A Theatre for Renegotiating Muslim Identity |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
21 |
Year |
2536 |
Source |
SOJOURN Vol.8 , No.1 , Feb.1993 , P.195-218. |
Abstract |
รัฐบาลเข้าใจว่า เหตุการณ์ที่กรือเซะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของการเมืองท้องถิ่นและอิทธิพลต่างชาติ ในความเป็นจริงการชุมนุมที่กรือเซะเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่อรองทางอัตลักษณ์อันเป็นผลจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การโฆษณาเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปัตตานี ได้เปลี่ยนให้สุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว การทำให้คำสาปแช่งของกรือเซะกลายเป็นสินค้าสอดคล้องด้วยมัสยิดที่สร้างไม่เสร็จ เป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับสุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ความยากจนที่เกิดขึ้นกับมุสลิม ในขณะที่เศรษฐกิจของปัตตานีอยู่ในมือของครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน รวมทั้งอิทธิพลการฟื้นตัวของมุสลิมต่างชาติ เป็นผลต่อการยึดมั่นในอัตลักษณ์ เป็นผลให้เกิดการชุมนุมที่กรือเซะ พยายามเรียกร้องพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่กว้างขึ้นโดยใช้ความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนา (หน้า 214-215) |
|
Focus |
ศึกษาการชุมนุมประท้วงที่มัสยิดกรือเซะ (หน้า 196) |
|
Theoretical Issues |
มีข้อสันนิษฐานว่าการชุมนุมที่กรือเซะเป็นการแสดงอัตลักษณ์ของมุสลิมในภาคใต้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงภายใต้การครอบงำของรัฐไทย (หน้า 196) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
พ.ศ. 2530 -2533 (หน้า 198) |
|
History of the Group and Community |
พื้นที่ 4 จังหวัดทางภาคใต้ของไทย ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ประกอบด้วยประชากรกลุ่มใหญ่ที่เป็นมุสลิม ดินแดนนี้ได้ถูกผนวกเข้ากับรัฐชาติสมัยใหม่ของไทย หลังจากที่มีการบริหารแบบรวมศูนย์ ระบบเทศาภิบาล ที่ใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยสนธิสัญญาไทย - อังกฤษ ที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2452 ทำให้เกิดพรมแดนไทย - มาเลเซีย และมุสลิมในสี่จังหวัดดังกล่าวก็กลายเป็นพลเมืองของรัฐไทย (หน้า 195) สำหรับการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวจีน มีคนจีนอพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากในศตวรรษที่ 16-17 ชาวจีนที่ปรารถนาจะตั้งถิ่นฐานในปัตตานีได้แต่งงานกับครอบครัวมุสลิม เปลี่ยนศาสนา ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของชาวจีนอพยพที่ได้ละทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเขาเพื่อรักษาผลประโยชน์และโอกาสทางเศรษฐกิจ (หน้า 205) |
|
Demography |
จากหลักฐานของทางราชการพบว่า มีมัสยิดทั้งประเทศ 2,632 แห่ง เป็นมัสยิดของนิกายชีอะห์ 32 แห่ง อยู่ในกรุงเทพฯจำนวนประมาณ 12 แห่ง โดยการประมาณการมี 186 ครัวเรือน ต่อมัสยิด 1 แห่ง และ 1 ครัวเรือน มี 8 คน จึงพอประมาณได้ว่ามีมุสลิมนิกายชีอะห์ 46,848 คนในประเทศไทย ส่วนตัวเลขของคนที่มาชุมนุมที่กรือเซะมีความแตกต่างกันตามแหล่งข่าว บางกอกโพสต์ประมาณว่ามีมุสลิม 6,000 คน ส่วนมติชนระบุว่ามีประมาณ 6,000-7,000 คน แต่ Islamic Guidance Post ให้ตัวเลขถึง 50,000 คน (หน้า 200) |
|
Economy |
ปัตตานีเป็นจังหวัดที่ยากจนจังหวัดหนึ่ง ในปี พ.ศ.2533 มีรายได้ต่อปี 7,975 บาท เศรษฐกิจส่วนใหญ่อยู่ในมือของคนไทยเชื้อสายจีน ทำธุรกิจเหมืองแร่ ปลูกยาง ประมง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่วนมุสลิมยังคงยากจน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ทำประมงพื้นบ้าน ทำสวนยางและเป็นแรงงานในสวนยาง (หน้า 210 - 211) |
|
Political Organization |
การเคลื่อนไหวทางการเมือง : ได้เกิดการชุมนุมของมุสลิมในมัสยิดกรือเซะหลายครั้งนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เริ่มจากที่มีมุสลิมกลุ่มหนึ่งจากยะลาเข้าไปสวดมนตร์ในมัสยิด และมีการเข้าไปสวดมนตร์และประกอบพิธีทางศาสนาเรื่อยมา ในปี พ.ศ. 2532 , 2533 มีผู้มาร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้นเรื่อยจนเกือบ 3,000 คน จนกระทั่งวันที่ 2-3 มิถุนายน 2533 ตำรวจได้เข้าจับกุมแกนนำการชุมนุม รัฐประกาศต่อต้านแกนนำ ส่งกำลังทหารและตำรวจตระเวนชายแดนไปดูแลรอบมัสยิดเพื่อขัดขวางการรวมตัวและจับกุมแกนนำไปดำเนินคดี ทางการเชื่อว่า กลุ่มแกนนำในการชุมนุม คือ กลุ่มชีอะ ที่พยายามแบ่งแยกดินแดนเพื่อจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามปัตตานี โดยได้รับการช่วยเหลือจากต่างชาติ สำหรับผู้เข้าร่วมนั้นไม่ได้คิดว่าจะถูกชักนำโดยผู้ก่อตั้ง พวกเขาเพียงต้องการแสดงออกความรู้สึกต่อต้านคนนอก (หน้า 198 - 200) แกนนำในการชุมนุมได้กล่าวว่า มุสลิมได้รับความเจ็บปวดจากการเผยแพร่สิ่งที่ไม่เป็นจริงที่มัสยิดสร้างไม่เสร็จเพราะคำสาปแช่ง พวกเขารู้สึกว่ามีความจำเป็นที่กรือเซะจะต้องกลับสู่สถานะมัสยิด ความเชื่อในเรื่องการสาปแช่งนั้นเป็นการดูถูกศาสนาอิสลาม พวกเขาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนสถานะแหล่งประวัติศาสตร์ของกรือเซะ และให้ย้ายสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (หน้า 212) การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีความเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มชีอะห์แต่จากการวิเคราะห์จำนวนชีอะห์ในประเทศไทยกับกลุ่มชุมนุมแล้วน่าจะมีพวกซุนนี่อยู่จำนวนหนึ่ง รัฐบาลวิตกกับการชุมนุมครั้งนี้ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดการแบ่งแยกในชุมชนมุสลิม และไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง (หน้า 201) |
|
Belief System |
การฟื้นตัวของศาสนาอิสลามในมาเลเซียนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อมุสลิมทางภาคใต้ การมาชุมนุมที่กรือเซะโดยอาศัยการปฏิบัติทางศาสนาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงมุสลิมภาคใต้กับอดีตที่รุ่งเรืองของปัตตานี (หน้า 211) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มัสยิดกรือเซะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างไม่เสร็จ ขนาดกว้าง 15.1 เมตร ยาว 29.6 เมตร ความสูงจากพื้นดินถึงคาน 6.5 เมตร เสากลม ประตูและหน้าต่างเป็นวงโค้งแหลมและวงโค้งกลม เป็นศิลปะยุโรปแบบกอธิค ปีที่สร้างกรือเซะยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ ทางราชการระบุว่า มัสยิดแห่งนี้สร้างก่อน พ.ศ. 2328 แต่ในทางศาสนา กล่าวว่า ได้สร้างประมาณปี พ.ศ. 2121 -2136 ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กรมศิลปากร กล่าวว่า มัสยิดนี้สร้างขึ้นเมื่อปลายอยุธยา ราว พ.ศ. 2199-2231 (หน้า 196-197) |
|
Folklore |
ตำนานของกรือเซะแยกไม่ออกจากตำนานลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งมีหลุมศพอยู่ข้างหน้ามัสยิดกรือเซะห์ ตามตำนานลิ้มกุนยิว (Lim Kun Yew) หรือ ลิ้มกอเหนี่ยว มาที่ปัตตานีเพื่อตามพี่ชายให้กลับไปหาแม่ที่เมืองจีน แต่พี่ชายไม่ยอมกลับ เพราะได้เปลี่ยนมานับถืออิสลามและกำลังสร้างมัสยิด น้องสาวจึงฆ่าตัวตายใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ก่อนตายได้สาปแช่งให้สร้างมัสยิดไม่สำเร็จ ศพของลิ้มกุนยิวจึงฝังไว้ที่หน้ามัสยิด คนจีนปัตตานีได้ยกย่องให้นางเป็นเจ้าแม่ แล้วนำต้นไม้ที่นางผูกคอตายมาทำเป็นรูปเคารพ มีศาลเจ้าตั้งอยู่กลางเมืองปัตตานี ทุกปีในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมจะมีงานที่ระลึกถึงนาง และผลของคำสาปแช่งทำให้มัสยิดสร้างไม่เสร็จ แม้พยายามสร้างก็จะถูกฟ้าผ่าพังทลายลง บางตำนานเล่าว่า ลิ้มกุนยิว ไม่ได้ชวนให้พี่ชายเลิกนับถืออิสลามแต่เกิดกบฎขึ้น เธอจึงรบเคียงข้างพี่ชาย แต่เธอโดนปิดล้อมไว้ เธอจึงใช้ดาบฆ่าตัวตาย มีข้อสันนิษฐานหนึ่งว่า มัสยิดกรือเซะไม่น่าจะถูกฟ้าผ่าเพราะไม่มีร่องรอยแตกร้าว ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการส่งทหารมาที่ปัตตานี กรือเซะน่าจะโดนเผาในสมัยนั้นพร้อมกับคัมภีร์ทางศาสนา โครงสร้างที่เป็นอิฐยังคงอยู่ ส่วนอื่น ๆ โดนเผา ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือ ลิ้มกุนยิว ได้เชื่อมโยงกับ ลิ้มเต้าเคี่ยน (Lim Tho Khiem) ผู้เป็นพี่ชาย เรื่องราวของลิ้มเต้าเคี่ยนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่อพยพจากชายฝั่งตอนใต้ของจีน ในศตวรรษที่ 16 เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ปัตตานี และแต่งงานกับบุตรสาวของเจ้าเมืองปัตตานี และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลิ้มกุนยิว หรือลิ้มกอเหนี่ยว ว่าเป็นเจ้าแม่แห่งทะเล ชาวประมงจีนเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่คอยปกป้องคุ้มครองผู้คนที่เดินเรือในทะเล มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลิ้มกุนยิวกว่า 1,000 แห่งทั่วโลก และมีอายุราว 1,030 ปี ดูเหมือนว่าจะมีระยะเวลายาวนานก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นที่ปัตตานี เรื่องของคำสาปแช่งก็มีขึ้นเฉพาะไทย (หน้า 202-204) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
คนจีนในปัตตานีเลือกที่จะเชื่อว่าลิ้มกุนยิวหรือลิ้มกอเหนี่ยวฆ่าตัวตายและสาปแช่งมัสยิด ในขณะที่มุสลิมเลือกที่จะเชื่อว่าเธอเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องปัตตานี ตำนานกรือเซะจึงนำมาใช้แสดงอัตลักษณ์ทั้งของมุสลิมและจีนให้มีขึ้นอีกครั้ง (หน้า 204) การฆ่าตัวตายของลิ้มกุนยิวเป็นการเสียสละชีวิต เพื่อเตือนให้ชาวจีน โดยเฉพาะชายจีนซึ่งเดินทางมายังต่างแดนเพื่อหาความมั่งคั่งไม่ให้ลืมตัวตน ลิ้มกุนยิวหรือลิ้มกอเหนี่ยว จึงเป็นรูปลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนจีนได้พยายามรื้อฟื้นอัตลักษณ์ของตนขึ้นมาให้แตกต่างจากมุสลิมพื้นเมือง (หน้า 205-206) มุสลิมก็พยายามรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ขึ้นมาเพื่อแสดงอัตลักษณ์และต่อต้านอำนาจรัฐ มัสยิดกรือเซะได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ ซึ่งจะไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยนแปลงแหล่งประวัติศาสตร์ได้ นอกจากได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากร จึงเป็นการยากที่แหล่งประวัติศาสตร์จะถูกใช้งาน แต่มุสลิมยังใช้กรือเซะเป็นสถานที่สวดมนตร์ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้เป็นสถานที่ทางศาสนา ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของการต่อรองเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของมุสลิม (หน้า 208) |
|
Social Cultural and Identity Change |
มุสลิมยอมรับในอัตลักษณ์ของชาวจีน ถึงแม้คำสาบแช่งต่อมัสยิดกรือเซะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งโดยตรงต่ออัตลักษณ์ของมุสลิม คำสาปแช่งนี้เป็นเสียงที่พูดกันเฉพาะภายในชุมชนจีน แต่เสียงนี้เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคำสาปแช่งได้ถูกทำให้เป็นสินค้าในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จากคำสาปแช่งที่เล่าด้วยปากกลายเป็นตำนานที่ถูกเขียนขึ้น และละทิ้งตำนานในแบบมุสลิม ทำให้เกิดการต่อรองและชุมนุมที่กรือเซะเพื่อฟื้นอัตลักษณ์ของมุสลิม (หน้า 206) |
|
|