สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,กรือเซะ,การต่อรองทางอัตลักษณ์,ปัตตานี
Author Chaiwat Satha-Anand
Title Kru-ze: A Theatre for Renegotiating Muslim Identity
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 21 Year 2536
Source SOJOURN Vol.8 , No.1 , Feb.1993 , P.195-218.
Abstract

รัฐบาลเข้าใจว่า เหตุการณ์ที่กรือเซะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของการเมืองท้องถิ่นและอิทธิพลต่างชาติ ในความเป็นจริงการชุมนุมที่กรือเซะเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่อรองทางอัตลักษณ์อันเป็นผลจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การโฆษณาเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปัตตานี ได้เปลี่ยนให้สุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว การทำให้คำสาปแช่งของกรือเซะกลายเป็นสินค้าสอดคล้องด้วยมัสยิดที่สร้างไม่เสร็จ เป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับสุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ความยากจนที่เกิดขึ้นกับมุสลิม ในขณะที่เศรษฐกิจของปัตตานีอยู่ในมือของครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน รวมทั้งอิทธิพลการฟื้นตัวของมุสลิมต่างชาติ เป็นผลต่อการยึดมั่นในอัตลักษณ์ เป็นผลให้เกิดการชุมนุมที่กรือเซะ พยายามเรียกร้องพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่กว้างขึ้นโดยใช้ความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนา (หน้า 214-215)

Focus

ศึกษาการชุมนุมประท้วงที่มัสยิดกรือเซะ (หน้า 196)

Theoretical Issues

มีข้อสันนิษฐานว่าการชุมนุมที่กรือเซะเป็นการแสดงอัตลักษณ์ของมุสลิมในภาคใต้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงภายใต้การครอบงำของรัฐไทย (หน้า 196)

Ethnic Group in the Focus

มุสลิม

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2530 -2533 (หน้า 198)

History of the Group and Community

พื้นที่ 4 จังหวัดทางภาคใต้ของไทย ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ประกอบด้วยประชากรกลุ่มใหญ่ที่เป็นมุสลิม ดินแดนนี้ได้ถูกผนวกเข้ากับรัฐชาติสมัยใหม่ของไทย หลังจากที่มีการบริหารแบบรวมศูนย์ ระบบเทศาภิบาล ที่ใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยสนธิสัญญาไทย - อังกฤษ ที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2452 ทำให้เกิดพรมแดนไทย - มาเลเซีย และมุสลิมในสี่จังหวัดดังกล่าวก็กลายเป็นพลเมืองของรัฐไทย (หน้า 195) สำหรับการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวจีน มีคนจีนอพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากในศตวรรษที่ 16-17 ชาวจีนที่ปรารถนาจะตั้งถิ่นฐานในปัตตานีได้แต่งงานกับครอบครัวมุสลิม เปลี่ยนศาสนา ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของชาวจีนอพยพที่ได้ละทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเขาเพื่อรักษาผลประโยชน์และโอกาสทางเศรษฐกิจ (หน้า 205)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

จากหลักฐานของทางราชการพบว่า มีมัสยิดทั้งประเทศ 2,632 แห่ง เป็นมัสยิดของนิกายชีอะห์ 32 แห่ง อยู่ในกรุงเทพฯจำนวนประมาณ 12 แห่ง โดยการประมาณการมี 186 ครัวเรือน ต่อมัสยิด 1 แห่ง และ 1 ครัวเรือน มี 8 คน จึงพอประมาณได้ว่ามีมุสลิมนิกายชีอะห์ 46,848 คนในประเทศไทย ส่วนตัวเลขของคนที่มาชุมนุมที่กรือเซะมีความแตกต่างกันตามแหล่งข่าว บางกอกโพสต์ประมาณว่ามีมุสลิม 6,000 คน ส่วนมติชนระบุว่ามีประมาณ 6,000-7,000 คน แต่ Islamic Guidance Post ให้ตัวเลขถึง 50,000 คน (หน้า 200)

Economy

ปัตตานีเป็นจังหวัดที่ยากจนจังหวัดหนึ่ง ในปี พ.ศ.2533 มีรายได้ต่อปี 7,975 บาท เศรษฐกิจส่วนใหญ่อยู่ในมือของคนไทยเชื้อสายจีน ทำธุรกิจเหมืองแร่ ปลูกยาง ประมง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่วนมุสลิมยังคงยากจน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ทำประมงพื้นบ้าน ทำสวนยางและเป็นแรงงานในสวนยาง (หน้า 210 - 211)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

การเคลื่อนไหวทางการเมือง : ได้เกิดการชุมนุมของมุสลิมในมัสยิดกรือเซะหลายครั้งนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เริ่มจากที่มีมุสลิมกลุ่มหนึ่งจากยะลาเข้าไปสวดมนตร์ในมัสยิด และมีการเข้าไปสวดมนตร์และประกอบพิธีทางศาสนาเรื่อยมา ในปี พ.ศ. 2532 , 2533 มีผู้มาร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้นเรื่อยจนเกือบ 3,000 คน จนกระทั่งวันที่ 2-3 มิถุนายน 2533 ตำรวจได้เข้าจับกุมแกนนำการชุมนุม รัฐประกาศต่อต้านแกนนำ ส่งกำลังทหารและตำรวจตระเวนชายแดนไปดูแลรอบมัสยิดเพื่อขัดขวางการรวมตัวและจับกุมแกนนำไปดำเนินคดี ทางการเชื่อว่า กลุ่มแกนนำในการชุมนุม คือ กลุ่มชีอะ ที่พยายามแบ่งแยกดินแดนเพื่อจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามปัตตานี โดยได้รับการช่วยเหลือจากต่างชาติ สำหรับผู้เข้าร่วมนั้นไม่ได้คิดว่าจะถูกชักนำโดยผู้ก่อตั้ง พวกเขาเพียงต้องการแสดงออกความรู้สึกต่อต้านคนนอก (หน้า 198 - 200) แกนนำในการชุมนุมได้กล่าวว่า มุสลิมได้รับความเจ็บปวดจากการเผยแพร่สิ่งที่ไม่เป็นจริงที่มัสยิดสร้างไม่เสร็จเพราะคำสาปแช่ง พวกเขารู้สึกว่ามีความจำเป็นที่กรือเซะจะต้องกลับสู่สถานะมัสยิด ความเชื่อในเรื่องการสาปแช่งนั้นเป็นการดูถูกศาสนาอิสลาม พวกเขาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนสถานะแหล่งประวัติศาสตร์ของกรือเซะ และให้ย้ายสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (หน้า 212) การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีความเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มชีอะห์แต่จากการวิเคราะห์จำนวนชีอะห์ในประเทศไทยกับกลุ่มชุมนุมแล้วน่าจะมีพวกซุนนี่อยู่จำนวนหนึ่ง รัฐบาลวิตกกับการชุมนุมครั้งนี้ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดการแบ่งแยกในชุมชนมุสลิม และไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง (หน้า 201)

Belief System

การฟื้นตัวของศาสนาอิสลามในมาเลเซียนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อมุสลิมทางภาคใต้ การมาชุมนุมที่กรือเซะโดยอาศัยการปฏิบัติทางศาสนาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงมุสลิมภาคใต้กับอดีตที่รุ่งเรืองของปัตตานี (หน้า 211)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

มัสยิดกรือเซะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างไม่เสร็จ ขนาดกว้าง 15.1 เมตร ยาว 29.6 เมตร ความสูงจากพื้นดินถึงคาน 6.5 เมตร เสากลม ประตูและหน้าต่างเป็นวงโค้งแหลมและวงโค้งกลม เป็นศิลปะยุโรปแบบกอธิค ปีที่สร้างกรือเซะยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ ทางราชการระบุว่า มัสยิดแห่งนี้สร้างก่อน พ.ศ. 2328 แต่ในทางศาสนา กล่าวว่า ได้สร้างประมาณปี พ.ศ. 2121 -2136 ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กรมศิลปากร กล่าวว่า มัสยิดนี้สร้างขึ้นเมื่อปลายอยุธยา ราว พ.ศ. 2199-2231 (หน้า 196-197)

Folklore

ตำนานของกรือเซะแยกไม่ออกจากตำนานลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งมีหลุมศพอยู่ข้างหน้ามัสยิดกรือเซะห์ ตามตำนานลิ้มกุนยิว (Lim Kun Yew) หรือ ลิ้มกอเหนี่ยว มาที่ปัตตานีเพื่อตามพี่ชายให้กลับไปหาแม่ที่เมืองจีน แต่พี่ชายไม่ยอมกลับ เพราะได้เปลี่ยนมานับถืออิสลามและกำลังสร้างมัสยิด น้องสาวจึงฆ่าตัวตายใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ก่อนตายได้สาปแช่งให้สร้างมัสยิดไม่สำเร็จ ศพของลิ้มกุนยิวจึงฝังไว้ที่หน้ามัสยิด คนจีนปัตตานีได้ยกย่องให้นางเป็นเจ้าแม่ แล้วนำต้นไม้ที่นางผูกคอตายมาทำเป็นรูปเคารพ มีศาลเจ้าตั้งอยู่กลางเมืองปัตตานี ทุกปีในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมจะมีงานที่ระลึกถึงนาง และผลของคำสาปแช่งทำให้มัสยิดสร้างไม่เสร็จ แม้พยายามสร้างก็จะถูกฟ้าผ่าพังทลายลง บางตำนานเล่าว่า ลิ้มกุนยิว ไม่ได้ชวนให้พี่ชายเลิกนับถืออิสลามแต่เกิดกบฎขึ้น เธอจึงรบเคียงข้างพี่ชาย แต่เธอโดนปิดล้อมไว้ เธอจึงใช้ดาบฆ่าตัวตาย มีข้อสันนิษฐานหนึ่งว่า มัสยิดกรือเซะไม่น่าจะถูกฟ้าผ่าเพราะไม่มีร่องรอยแตกร้าว ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการส่งทหารมาที่ปัตตานี กรือเซะน่าจะโดนเผาในสมัยนั้นพร้อมกับคัมภีร์ทางศาสนา โครงสร้างที่เป็นอิฐยังคงอยู่ ส่วนอื่น ๆ โดนเผา ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือ ลิ้มกุนยิว ได้เชื่อมโยงกับ ลิ้มเต้าเคี่ยน (Lim Tho Khiem) ผู้เป็นพี่ชาย เรื่องราวของลิ้มเต้าเคี่ยนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่อพยพจากชายฝั่งตอนใต้ของจีน ในศตวรรษที่ 16 เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ปัตตานี และแต่งงานกับบุตรสาวของเจ้าเมืองปัตตานี และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลิ้มกุนยิว หรือลิ้มกอเหนี่ยว ว่าเป็นเจ้าแม่แห่งทะเล ชาวประมงจีนเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่คอยปกป้องคุ้มครองผู้คนที่เดินเรือในทะเล มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลิ้มกุนยิวกว่า 1,000 แห่งทั่วโลก และมีอายุราว 1,030 ปี ดูเหมือนว่าจะมีระยะเวลายาวนานก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นที่ปัตตานี เรื่องของคำสาปแช่งก็มีขึ้นเฉพาะไทย (หน้า 202-204)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

คนจีนในปัตตานีเลือกที่จะเชื่อว่าลิ้มกุนยิวหรือลิ้มกอเหนี่ยวฆ่าตัวตายและสาปแช่งมัสยิด ในขณะที่มุสลิมเลือกที่จะเชื่อว่าเธอเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องปัตตานี ตำนานกรือเซะจึงนำมาใช้แสดงอัตลักษณ์ทั้งของมุสลิมและจีนให้มีขึ้นอีกครั้ง (หน้า 204) การฆ่าตัวตายของลิ้มกุนยิวเป็นการเสียสละชีวิต เพื่อเตือนให้ชาวจีน โดยเฉพาะชายจีนซึ่งเดินทางมายังต่างแดนเพื่อหาความมั่งคั่งไม่ให้ลืมตัวตน ลิ้มกุนยิวหรือลิ้มกอเหนี่ยว จึงเป็นรูปลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนจีนได้พยายามรื้อฟื้นอัตลักษณ์ของตนขึ้นมาให้แตกต่างจากมุสลิมพื้นเมือง (หน้า 205-206) มุสลิมก็พยายามรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ขึ้นมาเพื่อแสดงอัตลักษณ์และต่อต้านอำนาจรัฐ มัสยิดกรือเซะได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ ซึ่งจะไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยนแปลงแหล่งประวัติศาสตร์ได้ นอกจากได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากร จึงเป็นการยากที่แหล่งประวัติศาสตร์จะถูกใช้งาน แต่มุสลิมยังใช้กรือเซะเป็นสถานที่สวดมนตร์ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้เป็นสถานที่ทางศาสนา ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของการต่อรองเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของมุสลิม (หน้า 208)

Social Cultural and Identity Change

มุสลิมยอมรับในอัตลักษณ์ของชาวจีน ถึงแม้คำสาบแช่งต่อมัสยิดกรือเซะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งโดยตรงต่ออัตลักษณ์ของมุสลิม คำสาปแช่งนี้เป็นเสียงที่พูดกันเฉพาะภายในชุมชนจีน แต่เสียงนี้เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคำสาปแช่งได้ถูกทำให้เป็นสินค้าในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จากคำสาปแช่งที่เล่าด้วยปากกลายเป็นตำนานที่ถูกเขียนขึ้น และละทิ้งตำนานในแบบมุสลิม ทำให้เกิดการต่อรองและชุมนุมที่กรือเซะเพื่อฟื้นอัตลักษณ์ของมุสลิม (หน้า 206)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ขนิษฐา อลังกรณ์ Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG มุสลิม, กรือเซะ, การต่อรองทางอัตลักษณ์, ปัตตานี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง