|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่ (Lahu Na) ลาหู่เชเล (Lahu Shehle) การเต้นและดนตรี ภาคเหนือของไทย |
Author |
Jaquetta Hill, Nannaphat Saenghong, Kate Grim-Feinberg |
Title |
Dance or Change Your Religion: Conservation of Dance Music “Awhui” and Ethnic Identity among Lahu Na Shehleh of Northern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุด ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
36 |
Year |
2554 |
Source |
Studies on Asia Series IV, Volume 1, No. 2, Summer 2011 |
Abstract |
บทความนี้กล่าวถึงการศึกษา “AwHui”ซึ่งหมายถึงดนตรีและการเต้นของลาหู่นะเชเล โดยเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีและการเต้น ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่า AwHuiเป็นทั้งกิจกรรมทางการเมืองการปกครองและกิจกรรมทางศาสนาความเชื่อและการรักษาดูแล การเต้นที่มีพิธีกรรมจะรักษาสืบทอดอัตลักษณ์ของลาหู่นะเชเล และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันทางสังคมให้เข้มแข็งขึ้นทั้งหมู่บ้านและการค้นพบในเครือข่ายหมู่บ้านลาหู่นะเชเลน.146) บทความนี้มีสองส่วน ส่วนแรกเน้นการหาวิธีการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญในดนตรีกับการเต้น ส่วนที่สองสรุปผลการศึกษา AwHuiของการศึกษาดนตรีเชิงชาติพันธุ์ (ethnomusicology) กับการศึกษาการเคลื่อนไหวร่างกายเชิงชาติพันธุ์( ethnochoreology) |
|
Focus |
การศึกษานี้สนใจศึกษา “AwHui” ซึ่งหมายถึงการเต้นและดนตรีในภาษาลาหู่ ผู้เขียนเห็นว่าการที่ลาหู่ไม่ได้แยกคำเรียกดนตรีและการเต้นออกจากกัน แสดงถึงความคิดของพวกเขาว่ามองการเต้นกับดนตรีเป็นหนึ่งเดียวกัน (น.121) |
|
Theoretical Issues |
ไม่มี อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้กล่าวถึงแนวทางการศึกษาว่าเป็นการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีกับจังหวะท่าเต้นจากมิติการมองของคนนอก ในการศึกษาวิเคราะห์จึงใช้ Labanotationซึ่งเป็นระบบการเขียนที่ รูดอล์ฟ ลาบาน(Ludolf Laban)ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อบันทึก(notate)การเต้นโดยระบบนี้สามารถปรับใช้กับระบบการเคลื่อนไหวร่างกายระบบใดๆก็ได้ (น.134)ทั้งนี้ผู้เขียนให้เหตุผลในการศึกษาว่า การเต้นของลาหู่นะเชเลอยู่ภายใต้สภาวะกดดันให้เปลี่ยนแปลง ซึ่งได้แก่ การเผยแพร่ศาสนาของมิชชันนารี การเข้าโรงเรียน เจ้าหน้าที่ของรัฐ พลังดึงดูดของวัฒนธรรมมวลชน กระแสวัฒนธรรมของสื่อใหม่ๆ และการแสดงให้นักท่องเที่ยวชม ขณะที่การศึกษาชาติพันธุ์วรรณนาที่ผ่านมาก็ไม่เคยศึกษาการเต้นและดนตรีในเชิงลึก อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่นอกเหนือการตระหนักรู้ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องบันทึก ศึกษา เข้าใจและรักษารูปแบบการเต้นและดนตรีเพื่อจุดมุ่งหมายทางวิชาการและเพื่อเป็นแหล่งความรู้ทางประวัติศาสตร์สำหรับคนลาหู่นะเชเลรุ่นต่อๆไป (น.116) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาลาหู่เชเล(Lahu Shehleh)ใน 5หมู่บ้านทางภาคเหนือของไทย ลาหู่เชเลเป็นกลุ่มลาหู่ย่อยกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเรียกตนเองว่า “ลาหู่นะ”(Lahu Na) ซึ่งในงานศึกษานี้ผู้เขียนเรียกพวกเขาว่า “ลาหู่นะเชเล”ตามชื่อที่พวกเขาเรียกตัวเองและตามที่คนภายนอกเรียกเพื่อจะได้เข้าใจว่าพูดถึงลาหู่กลุ่มใด (น.124) (ดูเพิ่มในหัวข้อ 27Ethnicity) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของลาหู่อยู่ในตระกูลทิเบต-พม่า (น.123) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุระยะเวลาการศึกษาชัดเจน เริ่มเก็บข้อมูลภาคสนามครั้งแรกตอนช่วงฤดูร้อน ปี ค.ศ.2004 ครั้งสองช่วงปีใหม่ ค.ศ.2005และครั้งที่สาม ช่วงปีใหม่ ค.ศ.2006และวิเคราะห์ข้อมูลในปี ค.ศ.2008 และ ปี ค.ศ.2009(น.119,122) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
ไม่ได้กล่าวถึงลักษณะการตั้งบ้านเรือน แต่กล่าวถึงลานเต้นรำในหมู่บ้านว่าทุกหมู่บ้านจะมีลานดินมีรั้วล้อมรอบ ตรงกลางลานมีโคกหรือกองดิน ปลายยอดเป็นพื้นราบ เรียกโคกนี้ว่า ‘Teh Pvu’ ผู้เขียนเห็นว่าลานเต้นรำถูกทำให้เป็นเครื่องหมายทางภูมิศาสตร์การปกครองของหมู่บ้าน แสดงถึงการมีหรือดำรงอยู่ของหน่วยทางการปกครอง-ศาสนา(a separate religio-political unit) ลานเต้นรำเป็นลักษณะทางกายภาพของวัฒนธรรม และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับลานเต้นรำก็เป็นการเชื่อมโยงเชิงเครื่องหมายกับอัตลักษณ์ลาหู่นะเชเล (น.115, 117) |
|
Demography |
ในประเทศไทยมีลาหู่ประมาณ 50,000-70,000คน (น.124) |
|
Social Organization |
การรวมกลุ่มทางสังคม การเต้นเป็นเหตุการณ์การมีส่วนร่วมทางสังคม ซึ่งผูกพันกับศาสนาความเชื่อและความรู้สึกของอัตลักษณ์กลุ่ม และส่งเสริมการเคลื่อนไหวของชาวบ้านในอันที่จะอนุรักษ์และรักษาการเต้นและดนตรีนี้ในฐานะความจริงทางประวัติศาสตร์(an historical reality) การร่วมการเต้นในงานปีใหม่ไม่เพียงส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวกันทางศาสนาความเชื่อของคนภายในหมู่บ้านเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคนจากหมู่บ้านอื่นด้วย โดยมีการแลกเปลี่ยนขนมเค้กข้าวเหนียวเป็นสัญลักษณ์ (น.125-127) |
|
Political Organization |
ผู้นำทางศาสนาแต่ละหมู่บ้านมีนักบวชและภรรยาเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมของหมู่บ้าน ซึ่งลาหู่เรียกนักบวชว่า “KehLu Ma” และเรียกภรรยาของเขาว่า “KehLu Pa” (น.116) |
|
Belief System |
เทศกาลปีใหม่ การฉลองปีใหม่เริ่มตั้งแต่วันข้างขึ้นจนถึงวันพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งจะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับเทศกาลตรุษจีน หมู่บ้านในชุมชนรอบๆ(this “multivillage” community) จะมาเยี่ยมเยียนและร่วมงานฉลองด้วย งานปีใหม่จะเริ่มตั้งแต่ตอนกลางคืนของวันแรม 15ค่ำ โดยเริ่มจากการทำขนมเค้กข้าวเหนียว(sticky rice cake)ที่บ้านผู้นำทางศาสนาหรือเขอลู่ (KehLu) ก่อน แล้วตามด้วยบ้านอื่นๆ ชาวบ้านจะนำขนมหนึ่งคู่ไปแลกเปลี่ยนกับบ้านอื่นๆในหมู่บ้านและระหว่างหมู่บ้าน (น.126-127)
ความเชื่อในการเต้น ผู้เขียนเห็นว่าหิ้งบูชา(BoBa)ในบ้านผู้นำทางศาสนา หิ้งบูชาของบ้านสำคัญๆทั้งหมดในหมู่บ้าน และลานเต้นที่มี ‘Teh Pvu’ มีความเชื่อมโยงกัน ในตอนปีใหม่บ้านที่มีหิ้งบูชาเหล่านี้ เป็น พื้นที่แห่งการร่วมกันแลกเปลื่ยนขนมเค้กข้าวเหนียว การแลกเปลี่ยนเชิงพิธีกรรมนี้สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันทางสังคมระหว่างครัวเรือนต่างๆในหมู่บ้านและในเครือข่ายของครัวเรือนรวมทั้งระหว่างกลุ่มหมู่บ้าน ความเชื่อมโยงกันเชิงพิธีกรรมความเชื่อนี้ยังเห็นได้ในกระบวนของสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ได้แก่ เทียนขี้ผึ้งในตะกร้า และ Naw Khu Maตามเส้นทางจากหิ้งในบ้านผู้นำศาสนาไปยัง Teh Pvn ในลานเต้น และเส้นทางกลับเมื่อการเต้นสิ้นสุดลง นักดนตรีซึ่งเล่นดนตรีพร้อมกับเต้นไปด้วย และผู้เต้นทั้งหลายจะวนรอบกองดิน 7 รอบทวนเข็มนาฬิกาเพื่อเริ่มการเต้นและวนตามเข็มนาฬิกา 7 รอบเมื่อการเต้นสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้การเต้นและดนตรีที่บรรเลงจึงเป็นการกระทำเชิงการรักษา-ศาสนา(a religious –medical event)ที่นำสุขภาพดีมาให้( AwBa) ละทิ้งและปกป้องให้พ้นจากโรคเจ็บป่วย และก่อให้เกิดความกลมกลืนในความสัมพันธ์ทางสังคม การเต้นและดนตรีจึงเป็นเหตุการณ์การมีส่วนร่วมทางสังคม(น.117) |
|
Education and Socialization |
การถ่ายทอดวัฒนธรรมลาหู่ ผู้เขียนกล่าวถึงการถ่ายทอดและการเรียนรู้การเต้นและดนตรีว่า โรงเรียนประถมคะบิ(The Kha Bi Primary School) ได้จ้างผู้หญิงลาหู่ที่ชำนาญการเต้นและนักดนตรีผู้ชายลาหู่มาสอนเด็กนักเรียนตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่หนึ่งจนถึงปีที่หก และเด็กๆลาหู่ได้นำความรู้ทางดนตรีและการเต้นนี้ไปใช้ในเทศกาลปีใหม่ พวกผู้ใหญ่ลาหู่ประทับใจกับการเต้นของเด็กๆ และรู้ว่าเด็กของพวกเขาสนใจและจะยังคงสืบทอดการเต้นนี้ต่อไป (น.145-146) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องดนตรี ในการเต้นมีเครื่องดนตรี 5ชิ้น เป็นเครื่องเป่า 4ชิ้น เครื่องสายหนึ่งชิ้น ได้แก่
1.Seh เป็นเครื่องเป่ารูปร่างเหมือนขลุ่ย (the vertical flute) เครื่องดนตรีชนิดนี้ไม่ค่อยใช้ในการเต้น แม้ว่าผู้หญิงมักจะเป่าเพื่อความบันเทิง (น.130)
2.NawKhu Ma เป็นเครื่องเป่าลักษณะคล้ายแคน (free-reed mouth organ) มีขนาดยาวที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ใช้เล่นเพลงเชิงพิธีกรรมสำหรับจุดมุ่งหมายที่เป็นการเฉลิมฉลอง ปกติเพลงของเครื่องดนตรีชิ้นนี้ใช้เปิดและปิดการเต้น เสียงต่ำ( bass pitch)ของมันจะใช้เล่นเพียงทำนองเดียวเท่านั้น สำหรับการเต้น awhui (น.131)
3.Naw Sui เป็นเครื่องเป่าแบบเดียวกับ NawKhu Ma แต่มีขนาดเล็กกว่า ใช้เล่นทำนองเต้นรำหลายทำนอง(several dance tunes)ในพิธีเฉลิมฉลอง (น.131)
4.Nawkeh Leh เป็นเครื่องเป่าแบบเดียวกับ NawKhu Ma และ Nawkeh Sui มีขนาดเล็กที่สุด ใช้เล่นเสียงสูง(a high pitch)มีเสียงหวานกว่า ดังกว่า NawKu Ma และ Naw Sui(น.131)
5.Tung เป็นเครื่องสาย เสียงคล้ายแบนโจ(น.131-132)
ดนตรี ดนตรีของลาหู่นะเชเลไม่เหมือนกับลาหู่กลุ่มอื่น กล่าวคือ ไม่มีกลอง ฆ้อง ฉาบ หรือเครื่องให้จังหวะอื่นๆ จังหวะดนตรีมาจากเสียงเท้ากระทบพื้นของผู้ชายและเสียงเท้าปัดพื้นของผู้หญิง(น.132) ส่วนทำนองดนตรีนั้น นักดนตรีจะมีทำนองหลัก(musical “formula”) 4-5ทำนอง เมื่อบรรเลงก็จะแปรทำนองหลักเป็นทำนองแปร (น.132-133)
ผู้เขียนกล่าวถึงลักษณะดนตรีของลาหู่นะเชเลว่า สร้างจากการซ้ำวลีสั้นๆสองสามวลีที่แปรทำนองและไม่แปรทำนอง ภายในรูปแบบที่วนไปวนมาขนาดใหญ่ที่มี 16หรือ 32จังหวะ ดนตรีลาหู่มี”โยน”จังหวะ(rhythmic ‘swing) คือ แม้มีการเปลี่ยนอัตราความเร็ว แต่จังหวะของดนตรีเต้นรำจะซ้ำจังหวะเดิม ทำนองดนตรีโดยปกติมี 4หรือ 5ระดับเสียง(tone)ซึ่งใกล้กับเสียง C-D-E-Gหรือ A-B-flat-C-E-Fในระบบเสียงดนตรีตะวันตก (น.128-129)
การเต้น ผู้เขียนกล่าวว่าการเต้นของลาหู่นะเชเลคล้ายคลึงกับการเต้นของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู(Lisu) โดยอ้างหลักฐานจากภาพถ่ายและแถบบันทึกเสียงการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ลีซูในประเทศไทยของพอล เดอเรนเบอร์เกอร์(Paul Durrrenberger)ในคริสตทศวรรษ 1960และข้อมูลจากลาหู่นะเชเลที่บอกว่า พวกเขาสามารถเข้าร่วมเต้นกับลีซูได้ทันที ต่างจากการเข้าร่วมการเต้นของลาหู่กลุ่มอื่น พวกเขาต้องเรียนรู้จังหวะท่าเต้นและความสัมพันธ์กับดนตรีก่อน(น.125)
ผู้เขียนกล่าวถึงการศึกษาโครงสร้างของ AwHuiว่า มีจังหวะเท้า 10จังหวะ(10 steps) ซึ่งเมื่อนำจังหวะเหล่านั้นมาผสมเรียงลำดับต่างกัน จะได้วลี 13วลี( 13 phrases)แล้วจึงนำวลีมาวางเข้าด้วยกันเป็น AwHui ซึ่งพบว่ามี 16AwHui(น.136) ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างท่วงทำนองจังหวะของดนตรีกับจังหวะการเต้นจะปรากฏในหน่วยวลีของการเต้น(the phrase unit of the dance) ในการเคลื่อนไหวพบว่า จังหวะเท้า(step)ของผู้หญิงและผู้ชายเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันและประสานกันอย่างใกล้ชิด การเต้นจะเน้นที่ร่างกายส่วนล่าง ในการเต้น นักดนตรีสามารถเปลี่ยนบรรเลง AwHui ตรงท่อนไหนก็ได้ ผู้เต้นต้องฟังรู้เองว่าเป็นการเล่นซ้ำหรือเปลี่ยนจังหวะใหม่ ผู้เต้นที่ชำนาญจะเปลี่ยนจังหวะเท้าได้โดยการฟังดนตรี แต่ผู้เต้นที่ไม่ชำนาญจะเปลี่ยนจังหวะเท้าโดยดูผู้ที่ชำนาญรอบๆตัวพร้อมๆกับฟังดนตรี (น.141) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่กลุ่มย่อย นักมานุษยวิทยาและนักภาษาศาสตร์จัดกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ในประเทศไทยเป็นกลุ่มย่อย 4กลุ่ม ได้แก่
1.ลาหู่ดำ(Black Lahu) ลาหู่กลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “ลาหู่นะ”(Lahu Na)
2.ลาหู่แดง(Red Lahu) ซึ่งในภาษาลาหู่เรียกว่า “ลาหู่ยี”(Lahu Nyi)
3.ลาหู่เชเล(Lahu Shehleh) แต่พวกเขาเรียกตัวเองว่า “ลาหู่นะ”และเรียกลาหู่กลุ่มอื่นว่า “ปาลี”(Pali) ขณะที่ลาหู่กลุ่มอื่นเรียกพวกเขาว่า “ลาหู่เชเล”
4.ลาหู่เหลือง (Yellow Lahu)ในภาษาลาหู่เรียกว่า “ลาหู่ซิ”(Lahu Shi) ภาษาถิ่นของลาหู่กลุ่มนี้ต่างจากกลุ่มอื่น (น.124) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การอนุรักษ์วัฒนธรรมหมู่บ้าน หมู่บ้านลาหู่นะเชเลหนึ่งในห้าหมู่บ้านได้เก็บรวบรวมสิ่งของที่เป็นหัตถกรรมแล้วตั้งพิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นและนำไปสู่การตั้งศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรม ด้วยชาวบ้านกลัวว่าวัฒนธรรมของพวกเขาจะสูญหายไปเพราะการไหลบ่าของสื่อรูปแบบใหม่ๆ การขาดการมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ทางวัฒนธรรมและสังคมในหมู่บ้านของคนหนุ่มสาวที่เข้าโรงเรียนและการทำงานรับจ้าง และความรู้สึกว่าพวกเขาถูกคุกคามจากการพยายามเผยแพร่ศาสนาคริสต์ของลาหู่กลุ่มอื่น ในการดำเนินกิจกรรมของศูนย์เรียนรู้นี้ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งดำเนินงานสนับสนุนเงินทุนทั้งแก่หน่วยงานท้องถิ่นรัฐและแก่โรงเรียนท้องถิ่น(น.144-145) ซึ่งผู้เขียนกล่าวว่าความสำเร็จในการดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์นี้สืบเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการรักษาวัฒนธรรมและนโยบายการถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ส่งเสริมความคิดเรื่องศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมและให้ทุนสนับสนุน นโยบายดังกล่าวนี้ได้รับการผลักดันจาก 3แหล่งสำคัญ คือ 1) ความคิดท้องถิ่นนิยมขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ซึ่งเน้นความสำคัญระบบคุณค่าของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น 2) แนวความคิดเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ UNESCO และ OECDแนะนำในช่วงวิกฤติการเงินอาเซียนเมื่อคริสตทศวรรษ 1990 และ 3) การปฏิรูปโครงสร้างรัฐและเศรษฐกิจของรัฐธรรมนูญปี ค.ศ.1999ที่นำไปสู่การกระจายอำนาจทางการเมืองไปสู่การบริหารท้องถิ่น (น.142-143) |
|
|