|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ความเชื่อ,การเคลื่อนไหวทางศาสนา,การช่วงชิงพื้นที่,อัตลักษณ์,ภาคเหนือ |
Author |
Kwanchewan Buadang |
Title |
Khuba Movements and the Karen in Northern Thailand: Negotiating Sacred Space and Identity |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
23 |
Year |
2545 |
Source |
เอกสารประกอบการสัมมนาระดับนานาชาติ เรื่อง |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการอธิบายถึงการเข้าร่วมของกะเหรี่ยงและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ทางภาคเหนือของประเทศไทยในกระบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาหรือกระบวนการเคลื่อนไหวครูบา และการสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเครื่องหมายของการต่อต้านอำนาจส่วนกลาง ทั้งที่เป็นรัฐและองค์กรสงฆ์ กระบวนการเคลื่อนไหวครูบานี้ก็เพื่อการสร้างศาสนสถานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน โดยมีกะเหรี่ยงและชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อตัวครูบาจนทำให้เกิดการขยายตัวของความเคลื่อนไหวดังกล่าว ซึ่งจัดประเภทอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงที่เข้าร่วมในกระบวนการนี้ได้ 3 ลักษณะ คือ 1.กะเหรี่ยงที่อยู่บริเวณชายขอบของความเคลื่อนไหว 2.กะเหรี่ยงที่อยู่ระหว่างขอบเขตกับศูนย์กลางความเคลื่อนไหว 3.กะเหรี่ยงที่อยู่ศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว นอกจากนี้องค์ประกอบสำคัญในการเชื่อมโยงการสร้างศาสนสถานตามพื้นที่ต่าง ๆ มี 4 อย่าง ได้แก่ 1.คนเหล่านี้มีความเชื่อร่วมกันเกี่ยวกับดินแดนทางศาสนา จากการที่มีการผลิตซ้ำในตำนานต่างๆ และซากศาสนสถานที่ปรากฏ ซึ่งมีนัยของพื้นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ยังคงต่อรองกันอยู่ในเรื่องเกี่ยวกับพิธีกรรมและการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน 2.ผู้เข้าร่วมและสานุศิษย์ต่างก็มีความเชื่อว่าการสร้างสังคมขึ้นมาใหม่นั้นจะต้องเกิดขึ้นจริงไม่ใช่เพียงแต่จินตนาการเท่านั้น อันเป็นสังคมที่มีเขตแดนและอัตลักษณ์ที่มีคนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งด้วย 3.กิจกรรมที่เกิดขึ้นทำให้เกิดสังคมที่เหมือนเป็นศูนย์ของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและผู้คนที่ดี ไม่เห็นแก่ตัว และยอมสละตนเองเพื่อสังคมที่สงบสุข 4.แม้ในสังคมยุคสมัยใหม่ความเชื่อเกี่ยวกับต้นบุญหรือการทำบุญก็ยังคงแผ่เข้าไปในสังคมทุกชนชั้น เป็นความเชื่อที่ได้รับการอุปถัมภ์และการสนับสนุนพระป่าและครูบา โดยผู้คนที่มีการศึกษา มีถิ่นฐานในเมือง มีความร่ำรวยจากภาคธุรกิจรวมทั้งชาวเกษตรกรและชนกลุ่มน้อยด้วย |
|
Focus |
ศึกษากระบวนการความเคลื่อนไหวของครูบาและสานุศิษย์ที่เป็นกะเหรี่ยง ซึ่งมีความเชื่อความศรัทธาต่อครูบาและการสร้างศาสนสถานต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ (หน้า 3) |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนา หรือที่เรียกว่า "กระบวนการเคลื่อนไหวครูบา" ซึ่งเกิดขึ้นในภาคเหนือหลายครั้ง และมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ ความศรัทธาในตัวครูบาว่า เป็นผู้มีบุญ มีความศักดิสิทธิ์ตามแนวคิด "ต้นบุญ" การสร้างหรือปฏิสังขรณ์วัดและพระธาตุ อันถือเป็นพื้นที่ที่ศักดิสิทธิ์ในหลาย ๆ แห่ง เช่น พระธาตุดอยสุเทพ และการที่มีสานุศิษย์ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หรือชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ รวมทั้งกะเหรี่ยงด้วย ได้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก (หน้า 4-5) ผู้เขียนได้อธิบายการเข้ามามีส่วนร่วมของกะเหรี่ยงว่า ครูบา ได้รับการยกย่องนับถือมากกว่า เพราะเป็นพระแห่งป่าและขุนเขา สามารถสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนที่ห่างไกลทุรกันดาร ที่ถือเป็นพื้นที่ของคนชายขอบ ครูบายังถือว่ามีอำนาจเหนือกว่าผีกะเหรี่ยง ซึ่งจำกัดอยู่กับพื้นที่ การที่กะเหรี่ยงได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างสถานที่ศักดิสิทธ์ดังกล่าว คือ การได้มีส่วนร่วมกับ "สังคมในฝัน" ที่คนต่างกลุ่มได้มาทำบุญร่วมกัน (หน้า 11-12) ผู้มีส่วนร่วมในการสร้างบุญ จะนิยามตนเองเข้ากับการเป็นสมาชิกของชุมชนศาสนา ซึ่งสร้างสังคมที่รุ่งเรืองและถูกต้องเที่ยงธรรม ซึ่งต่างไปจากโลกของชุมชนศาสนาที่ถูกควบคุมโดยองค์กรสงฆ์ส่วนกลาง เป็นชุมชนที่อยู่นอกเหนืออำนาจของรัฐและองค์กรสงฆ์ส่วนกลาง (หน้า 13) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงในแถบภาคเหนือของประเทศไทย ที่ร่วมการจาริกแสวงบุญและกิจกรรมการสร้าง ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงมีสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของชุมชน อันเป็นผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาและเป็นผู้ที่คนให้ความเคารพสูง (หน้า 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กล่าวถึงตำราตัวอักษรที่ใช้ในตำราพระพุทธศาสนาที่เป็นที่รู้จักกันดี หรือที่เรียกว่า ตำนานมูลศาสน์ (Tamnan Mulsasna) ซึ่งเขียนเป็นอักษรยวน (Yuen) อันเชื่อมโยงถึงพระพุทธศาสนาในล้านนา เกี่ยวกับการกำเนิดของพระพุทธศาสนา โดยใช้เพื่อการเทศนา (หน้า 6) |
|
Study Period (Data Collection) |
เริ่มศึกษาตั้งแต่ทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ในปี พ.ศ.2530 เรื่อยมา จนได้ศึกษาอีกครั้งเมื่อทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเกี่ยวกับ ข้อปฏิบัติทางศาสนาของกะเหรี่ยง ในปี พ.ศ.2544 |
|
History of the Group and Community |
|
Political Organization |
โดยประเพณีของกะเหรี่ยงที่มีผู้นำหมู่บ้าน (เรียกว่า he kho) ที่คอยปกปักษ์ดูแลสภาพแวดล้อม ก็คือ ผีแห่งผืนดินและน้ำ (Kaw Ka Cha and Thee Ka Cha หรือ Lord of land and water) จะเป็นผู้นำที่ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของของสมาชิกในชุมชน และขอพรจากผีให้มีความเจริญรุ่งเรืองด้วยเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามจารีต (หน้า 11) |
|
Belief System |
กระบวนการเคลื่อนไหวครูบา เป็นกระบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาในการสร้างและปฏิสังขรณ์ศาสนสถานหลายๆ แห่งในพื้นที่ต่างๆ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ประการแรกคือ ความเชื่อที่ว่า ครูบา ก็คือ "ต้นบุญ" เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาและให้ประชาชนได้ร่วมกันสร้างบุญกุศล เพื่อสร้างชุมชนที่ดีงามเพื่อรอการกลับมาเกิดใหม่ของพระศรีอาริยเมตตรัย ประการที่สองคือ การสร้างและการบูรณะศาสนสถานต่าง ๆ ทำให้ครูบายิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยายพื้นที่กิจกรรมดังกล่าวกว้างออกไปมาก เช่น การสร้างถนนเส้นทางยาว 12 กม.สู่วัดพระธาตุดอยสุเทพของครูบาศรีวิชัย ประการสุดท้ายคือ จำนวนสานุศิษย์มาจากชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ที่เข้าร่วมในกระบวนการนี้มีเป็นจำนวนมาก อันเนื่องจากการมีความศรัทธาว่าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ บารมี (หน้า 3-5) ด้วยลักษณะของกระบวนการเคลื่อนไหวครูบานี้ จึงทำให้กะเหรี่ยงเข้าร่วมในกระบวนการดังกล่าว และยังถือเป็นข้อปฏิบัติที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ นอกจากนี้ ครูบายังต่างจากพระอื่น ๆ ตรงที่เป็นพระของชาวป่าชาวเขาอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นชาวเขาเผ่าใดก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ก็ยึดติดอยู่กับกระบวนการนี้ บางคนอาจจะเพียงบริจาคปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นในการก่อสร้าง เช่น อาหาร หรือวัสดุก่อสร้าง แต่สำหรับกะเหรี่ยงแล้วจะลงแรงอยู่เสมอ (หน้า 11-12) กะเหรี่ยงยังเชื่อกันอีกว่า ครูบา เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือผีบรรพบุรุษหรือผีที่เชื่อกันในท้องถิ่น เพราะครูบาได้สร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่จาการสร้างและบูรณะศาสนสถานต่าง ๆ อันเกี่ยวโยงกับตำนานของกษัตริย์กะเหรี่ยงและการประพาสของพระพุทธเจ้า (หน้า 11) นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการสักการะพระบรมธาตุ ตามปีนักษัตร เช่น ปีชวดควรสักการะพระธาตุจอมทอง (จ.เชียงใหม่) ปีฉลูควรสักการะพระธาตุลำปางหลวง (จ.ลำปาง) เป็นต้น ซึ่งศาสนสถานต่างอยู่ครอบคลุมทางภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือในประเทศไทย ทั้งในประเทศพม่า และอินเดียหรือแม้แต่ที่ไม่ใช่ภูมิโลก (หน้า 8) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในพิธีฉลองการสรงน้ำของครูบาลา (La) มีกะเหรี่ยงหลายพันคนที่ร่วมในพิธีนี้ในชุดประจำเผ่าที่มาจากหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งจะมีการสร้างเจดีย์ชั่วคราวที่ทำจากไม้ไผ่แล้วตกแต่งด้วยเสื้อผ้า กระโปรง ผ้าโพกหัว และย่าม ก่อนพิธีสรงน้ำจะเริ่ม กะเหรี่ยงก็จะเดินล้อมรอบ ๆ วัด พร้อมกับร้องเพลงประจำเผ่า (เพลง "tha") (หน้า 14) |
|
Folklore |
ตำนานเกี่ยวกับการเสด็จประพาสเยือนตามดินแดนต่าง ๆ ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีเรื่องราวของพระองค์กับชาวบ้าน จึงเป็นที่มาของชื่อศาสนสถานต่าง ๆ เช่น ตำนานพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบพระเกศาธาตุและพระบรมสารีริกธาตุแก่ลัวะ ที่ชื่อ Ai Khon หลังจากที่พระองค์นิพพาน เนื่องจากลัวะคนนี้ได้เห็นพระองค์จึงเข้ามาเติมน้ำผึ้งในกะบอกน้ำ และได้ถวายมะพร้าว 4 ลูกแด่พระองค์ เป็นต้น (หน้า 7) นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงตำราทางศาสนา เช่น ตำนานโยนกโลก (Yonok Lok) ซึ่งเป็นตำราใบลาน (palm scripts) ที่เกี่ยวกับความสำคัญของพระยาธรรม อันมีลักษณะคล้ายกับครูบาศรีวิชัยและครูบาเขาพิ (Khao Pi) และตำนานเกี่ยวกับพระยาธรรมที่กล่าวถึงความไม่เป็นธรรมของผู้ปกครองนครล้านนา โดยมีพระยาธรรมเป็นผู้ช่วยเหลือจากการร้องของของอินทรา (Indra) (หน้า 9) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ได้กล่าวถึงการที่ครูบาศรีวิชัยได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์ นักธุรกิจ นักการเมืองทางภาคเหนือ ด้วยความศรัทธาที่มีต่อท่านจึงเกิดการบูรณะและสร้างอุโบสถที่วัดพระสิงห์ หรือที่วัดสวนดอก ในการสร้างที่บรรจุพระธาตุของบรมวงศานุวงศ์ในอดีต นอกจากนี้ กลุ่มคนเหล่านี้ยังช่วยในการเจรจากับรัฐ Sangha เพื่อสร้างศาสนสถานจนเสร็จ ในปรากฏการณ์ของชาวเมืองแถบภาคกลางที่ร่ำรวยได้อุปถัมภ์พระป่าหรือพระของท้องถิ่นหรือของชนกลุ่มน้อยด้วยการนำมาซึ่งทรัพยากรต่างๆ ที่มากมายเพื่อการก่อสร้างศาสนสถาน จนสามารถทำได้เสร็จในระยะเวลาอันสั้น อันเนื่องด้วยเหตุผล 2 ประการ วิถีชีวิตในสังคมสมัยใหม่แต่กลับมีความรู้สึกเสื่อมถอยทางคุณธรรมและศีลธรรม อันนำมาซึ่งปัญหาต่าง ๆ ผนวกกับการสื่อสารและการคมนาคมที่ทันสมัย ข่าวเกี่ยวกับพระที่ประพฤติดีหรือไม่ดีแพร่ไปอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้จึงต้องการมาจาริกแสวงบุญกับพระที่อยู่ในถิ่นห่างไกลได้อย่างง่ายดาย (หน้า 15-18) |
|
Social Cultural and Identity Change |
กะเหรี่ยงที่ร่วมในความเคลื่อนไหวดังกล่าว มีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา กล่าวคือ กะเหรี่ยงมีการนิยามตนเองเข้ากับการเป็นสมาชิกกลุ่มทางศาสนา โดยจัดประเภทได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กะเหรี่ยงที่อยู่บริเวณชายขอบของความเคลื่อนไหว จะมีการเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่อยู่ใกล้หมู่บ้านแบบนาน ๆ ที และยังคงปฏิบัติตามจารีตประเพณีเป็นส่วนใหญ่ 2.กะเหรี่ยงที่อยู่ระหว่างขอบเขตกับศูนย์กลางความเคลื่อนไหว จะมีการเข้าร่วมที่บ่อยครั้งกว่าไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม และปฏิบัติตนตามแนวพุทธศาสนิกชนเมื่อพักอาศัยอยู่ในบริเวณวัด แต่เมื่อกลับไปยู่บ้านก็จะทำตามจารีตประเพณีเช่นเดิม 3.กะเหรี่ยงที่อยู่ศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว จะย้ายที่อยู่มาใกล้กับบริเวณวัดหรือกุฎิของครูบา หลังจากที่ติดตามการสร้างมาหลายแห่ง กลุ่มนี้จะเลิกการประพฤติปฏิบัติตามจารีต โดยหันมาปฏิบัติตามแนวทางศาสนาพุทธ รวมทั้งลดพิธีกรรมการเซ่นไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ เปลี่ยนมาเป็นการเซ่นไหว้ด้วยข้าวและขนมหวานแทนเท่านั้น ระดับของการนิยามตนเองเป็นสมาชิกใหม่ทางศาสนาจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการแยกตนเองจากการนับถือผีและชุมชนได้เพียงใด ดังที่ผู้วิจัยได้พบในปี ค.ศ.1987 กะเหรี่ยงที่วัดผาน้ำ (Pha Nam) ต้องการจะเลิกการนับถือผี โดยที่ผู้หญิงที่เป็นคนโตของสายตระกูลฝ่ายแม่ ซึ่งเป็นครอบครัวที่ตั้งถิ่นฐานก่อนนั้นจะต้องทำหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษแทนสมาชิกทั้งหมด จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติของครัวเรือนอื่นด้วยที่อยู่ในสายเลือดทางฝ่ายแม่เดียวกัน (หน้า 14-15) |
|
|