|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,การเกษตร,การยอมรับนวัตกรรม,ปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม,เชียงใหม่ |
Author |
พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ |
Title |
ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อการยอมรับสิ่งใหม่ๆ ในการดำเนินการเกษตรที่ราบสูงของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
118 |
Year |
2525 |
Source |
กรุงเทพฯ: คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ |
Abstract |
จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลให้ชาวไทยภูเขาเผ่าม้งยอมรับนวกรรมนั้นมีหลายปัจจัย เช่น จากบุคคลของรัฐได้แก่เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับสูงสุด รองลงไปได้แก่เพื่อนบ้าน ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลในการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ ได้แก่ การฟังข่าวสารทางวิทยุและหนังสือพิมพ์ การพบปะกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและความถี่หรือจำนวนครั้งที่ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เกษตร
เมื่อมีการศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางเศรษฐกิจ และสังคม และปัจจัยอื่นๆ กับการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ในการดำเนินการเกษตรของชาวไทยภูเขาเผ่าม้งพบว่า ปัจจัยทางสังคมที่มีความสัมพันธ์ในทางที่แตกต่างในการยอมรับ ได้แก่ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน หากมีสมาชิกมาก จะมีการยอมรับต่อสิ่งปฏิบัติใหม่ดีกว่าและเร็วกว่า ส่วนปัจจัยเกี่ยวกับอายุ ระดับการศึกษาและจำนวนแรงงานในการทำการเกษตรนั้นไม่มีความแตกต่างในการยอมรับสิ่งใหม่เลย ปัจจัยทางเศรษฐกิจ พบว่าปัจจัยเกี่ยวกับทุนในการทำการเกษตรของชาวไทยภูเขามีความสัมพันธ์กับการยอมรับแตกต่างกัน ได้แก่ ทุนในการทำการเกษตรเครดิตหรือความสามารถในการกู้ยืม เงินและภาวะหนี้สินของเกษตรกร ส่วนปัจจัยที่ไม่ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ของการยอมรับที่แตกต่างกันได้แก่ การถือครองที่ดิน ภาวะรายได้ต่อปีของเกษตรกรเป็นต้น (หน้า 2-3 ) |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยที่จะทำให้ชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง จังหวัดเชียงใหม่ ยอมรับนวัตกรรมต่าง ๆ |
|
Theoretical Issues |
แนวความคิดเกี่ยวกับนวกรรมนั้นใช้ตามแนวคิดของ Roger(1971) คือ สิ่งปฎิบัติไม่ว่าจะเป็นความคิด การกระทำหรือสิ่งของ ซึ่งบุคคลนั้นเห็นว่าเป็นของใหม่ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นของใหม่ตั้งแต่เวลาที่พบ แต่ขึ้นกับบุคคลรับรู้เองว่าเป็นของใหม่หรือไม่ โดยความเห็นของบุคคลเองเป็นเครื่องตัดสิน ถ้าคนเห็นว่าสิ่งใดใหม่สำหรับเขา สิ่งนั้นก็จะเป็นนวกรรม คำว่า "ใหม่" ในเรื่องนวกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้ใหม่ของบุคคล บุคคลอาจมีความรู้เรื่องนั้นมาระยะหนึ่งแล้วก็ได้ แต่ยังไม่ได้พัฒนาทัศนคติที่จะชอบหรือไม่ชอบ และจะรับหรือปฏิเสธ "ความใหม่" ของนวกรรม ซึ่งอาจจะเป็นความใหม่ในเรื่องของความรู้ ทัศนคติ หรือเกี่ยวกับการตัดสินใจที่จะใช้นวกรรม
ดังนั้นความคิดหรือการกระทำทุกอย่างอาจจะเป็นนวกรรมช่วงหนึ่ง นวกรรมจึงต้องเปลี่ยนไปตามเวลาที่ผ่านไป การวิจัยนี้ได้แบ่งชนิดของนวกรรมเป็น สี่อย่าง คือ ปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนฝิ่น การใช้ปุ๋ย การใช้ยาป้องกันกำจัดศัตรูพืช และการทำเกษตรกรรมใหม่ สำหรับกระบวนการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่หรือนวกรรมนั้นใช้การวิเคราะห์ตาม Roger แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตื่นตน เป็นขั้นแรกซึ่งบุคคลจะเริ่มได้รู้เห็นเกี่ยวกับสิ่งปฏิบัติใหม่ในเบื้องต้น ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งปฏิบัติใหม่จึงยังไม่สมบูรณ์ จึงยังไม่สามารถสร้างการยอมรับได้ แต่ก็เป็นพื้นฐานของการยอมรับหรือปฏิเสธต่อไป ขั้นสนใจ ขั้นนี้เมื่อบุคคลเริ่มได้ข่าวสารในขั้นแรก จะเริ่มแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งปฏิบัติใหม่นั้น บุคคลเกิดความเชื่อ แต่ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะมีผลดีแก่ตนเองอย่างไร ขั้นไตร่ตรองหรือการประเมินผล ขั้นนี้เป็นขั้นที่บุคคลเอาข้อมูลที่ศึกษาจากขั้นที่สองมาพิจารณาประกอบสถานะของตนเองทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อคาดการณ์ถึงผลที่ตนเองจะได้รับจากการเอาสิ่งปฏิบัติใหม่ไปใช้ ในกรณีที่ผลการคิดคำนวณออกมาทำให้สถานที่เป็นอยู่ของตนเองดีขึ้น บุคคลผู้นี้จะเริ่มทดลองกับสิ่งๆนั้นทันที แต่ถ้าผลออกมาในทางตรงข้ามการยอมรับก็จะไม่เกิดขึ้น เขาจะหยุดการกระทำใด ๆ ต่อสิ่งนั้นทันที
ขั้นลองทำ เป็นขั้นที่บุคคลกระทำการทดลองผลของการประเมินว่าถูกต้องเพียงใด ผลการทดลองจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ย่อมขึ้นกับความรู้ความสามารถและความเพียรของผู้ทดลองเอง ขั้นนี้จึงเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่การยอมรับอย่างแท้จริง
ขั้นสุดท้ายคือขั้นนำไปใช้หรือขั้นยอมรับอย่างถาวร ขั้นนี้เป็นขั้นยอมรับสิ่งใหม่ เพื่อจะได้นำไปใช้ในชีวิตตนเองอย่างแน่นอนและเป็นการถาวร โดยทั่วไปขั้นนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผ่านกระบวนการยอมรับมาแล้วสี่ขั้นตอน แต่บางกรณีอาจข้ามขั้นตอนก็ได้ (หน้าที่ 14-16)
แต่ทว่ากระบวนการยอมรับนี้ก็ยังมีข้อบกพร่องคือ เมื่อเกิดกระบวนการยอมรับขึ้นแล้วมักบรรลุหรือจบลงด้วยการยอมรับเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งความจริงแล้วกระบวนการยอมรับอาจสิ้นสุดสุดโดยการปฏิเสธหรือไม่ก็ได้ และกระบวนการยอมรับไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับก็ได้
ดังนั้น Roger (1971) จึงได้เสนอแนวคิดใหม่ คือ กระบวนการตัดสินใจยอมรับหรือไม่ยอมรับนวกรรม หรือสิ่งปฏิบัติใหม่ มีสี่ขั้น คือ ขั้นความรู้ เป็นขั้นที่บุคคลรู้จักสิ่งปฏิบัติใหม่เป็นครั้งแรก และได้มีการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม แต่ยังมีข้อสงสัยในหมู่นักวิชาการว่าบุคคลเกิดความรู้เกี่ยวกับสิ่งปฏิบัติใหม่ก่อน หรือว่ามีความต้องการใช้สิ่งปฏิบัติใหม่ก่อน แต่มีความเห็นส่วนใหญ่ว่าในขั้นนี้ความต้องการเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะความต้องการที่มุ่งไปสู่ความสัมฤทธิ์ผล ขั้นต่อมาคือขั้นความรู้สึก เป็นขั้นที่บุคคลเกิดความรู้สึกต่อนวกรรมว่าชอบหรือไม่ชอบ หรือว่ามีทัศนคติต่อสิ่งปฏิบัติใหม่อย่างไร ขั้นนี้เปรียบเทียบได้กับขั้นประเมินผลของกระบวนการยอมรับที่กล่าวมาแล้ว ขั้นตัดสินใจ ขั้นนี้เป็นขั้นที่บุคคลผ่านการพิจารณาต่อสิ่งปฏิบัติใหม่มาระยะหนึ่งซึ่งต้องพิจารณายอมรับหรือไม่ยอมรับ ยังรวมไปถึงการตัดสินใจทดลองใช้สิ่งปฏิบัติใหม่ด้วยเปรียบเทียบกับกระบวนการยอมรับคือขั้นทดลองนั่นเอง ในขั้นนี้ทัศนคติและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ มีอิทธิพลสูงมากต่อการยอมรับ ขั้นยืนยัน นับเป็นสุดท้าย ซึ่งบุคคลจะแสวงหาข้อมูลหรือแรงเสริมมาสนับสนุนการตัดสินใจยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ หากข้อมูลหรือแรงเสริมมีความขัดแย้งกับข้อมูลเดิมที่ได้รับมาตลอด บุคคลอาจตัดสินใจไม่ยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ แต่โดยทั่วไปแล้วเมื่อกระบวนการได้ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วบุคคลมักจะมีแนวโน้มในการยอมรับสูงและพยายามหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น ขั้นนี้เปรียบได้กับขั้นยอมรับถาวรของกระบวนการรับนวกรรม (หน้า 16-18)
หลังจากทราบถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจตามแนวคิดของ Roger แล้ว สิ่งที่ต้องศึกษาต่อคือสิ่งที่มีผลหรืออิทธิพลต่อการยอมรับนวกรรมหรือที่เรียกว่า "ปัจจัย" ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ซึ่งแยกแบ่งหัวข้อใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม และปัจจัยอื่น ๆ (หน้า 21) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งหรือแม้ว หมู่ที่ 6 ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาแม้วหรือม้งเป็นกลุ่มภาษาจีนทิเบต (หน้า 29) |
|
Study Period (Data Collection) |
เดือนเมษายน 2525 ระยะเวลาวิจัย 12 เดือน (หน้า 47) ใช้เวลาในการสัมภาษณ์สอบถาม 10 วัน (หน้า 45) |
|
History of the Group and Community |
ชาวไทยภูเขาเผ่าม้งมีต้นกำเนิดหรือเชื้อสายมาจากกลุ่มมอญ-เขมร พม่า-ทิเบต หรือไซนิติก และบางคนให้ข้อคิดว่าม้งอาจจะเป็นกลุ่มอิสระหรือกลุ่มรวมผสมกับกลุ่มอื่นๆ หลายกลุ่มก็ได้ ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าม้งมาจากเชื้อชาติใดกันแน่ แต่ม้งเป็นชนชาติที่มาจากมองโกลอย ซึ่งมีความผูกพันกับเผ่าเย้ามากชาวไทยภูเขาเผ่านี้ได้รับการเรียกขานจากคนจีนว่าเป็นกลุ่มชนป่าเถื่อน ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของทิเบต และอพยพเข้าสู่จีน เอเชียอาคเนย์ และไซบีเรีย แต่บางคนรายงานว่าม้งอาศัยอยู่แถบลุ่มน้ำเหลืองก่อนอพยพเข้าสู่ประเทศจีนในศตวรรษที่ 27 ม้งได้ทำสงครามกับจีนละแพ้ จึงถอยร่นมาทางใต้ของจีน ในระยะเวลา 150 ปีต่อมาม้งได้อพยพเข้าสู่เอเชียอาคเนย์ โดยผ่านทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม เข้าสู่ประเทศไทย แต่การอพยพก็เป็นไปเป็นจำนวนน้อยและได้มีการอพยพครั้งใหญ่อีก โดยอพยพผ่านเข้าไปในประเทศลาว ซึ่งเกิดจากผลการกบฏในตังเกี๋ย ในปี 1860 และมีการอพยพจำนวนมากผ่านเข้าไปทางพม่าและประเทศไทยปี 1890 และต่อจากการอพยพใหญ่สองครั้งมาก็มีการอพยพลงมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 และการปฎิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนได้มีการอพยพเข้ามามากขึ้น (หน้า 36) |
|
Settlement Pattern |
ชาวไทยภูเขาเผ่าม้งจะตั้งถิ่นฐานอยู่บนเขาซึ่งมีระดับความสูง 5,000 ฟุต และบางกลุ่มอาจอาศัยสูงขึ้นไป 7,000 ฟุต การตั้งถิ่นฐานบนที่สูงมีเหตุผลหลายประการ ทั้งทางสภาพแวดล้อม สภาวะทางเศรษฐกิจสังคม สภาพการเมืองและวัฒนธรรม ม้งพบว่าการอาศัยอยู่ในระดับต่ำลงไปทำให้ร้อนและมีความชื้นสูง ไม่สามารถที่จะปลูกพืชเลี้ยงสัตว์และการล่าสัตว์ได้ โดยเฉพาะพืชสำคัญ คือ ฝิ่น ซึ่งม้งจะรู้สึกเป็นอิสระในการดำรงชีวิต จึงต้องอยู่บนที่สูง นอกจากนี้โดยทั่วไปแล้วม้งจะโยกย้ายถิ่นฐานจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง การอยู่อย่างถาวรประมาณ 10 -25 ปี ขึ้นกับความพอเพียงและอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่
(หน้า 37-38) |
|
Demography |
ในประเทศไทยมีประชากรม้งประมาณ 45,000-50,000 คน Young (1962)ได้ประมาณประชากรเผ่าม้งทั้งหมดไว้ว่าเป็นม้งน้ำเงิน 26,400 คน ใน 93 หมู่บ้าน 14,200 คน เป็นม้งขาวใน 69 หมู่บ้าน และ 200 คนเป็นม้งกัวมะบาใน 2 หมู่บ้าน (หน้า 37) |
|
Economy |
ม้งมีอาชีพหลักคือการทำไร่แบบเลื่อนลอยโดยการเผาป่า แต่ม้งเองมีความรู้ในการเตรียมดิน โดยใช้แรงงานสัตว์และการทำนาขั้นบันได และการชลประทาน ปัจจุบันมีน้อยรายที่ทำดังกล่าว เพราะข้อจำกัดเรื่องเวลาและแรงงานทำให้ม้งหันวิธีไปทำเกษตรแบบง่ายๆเมื่อดินบริเวณนั้นเริ่มเสื่อมก็จะถางที่ใหม่ต่อไป พืชสำคัญที่เป็นพื้นฐานการดำรงชีวิตได้แก่ ฝิ่น ซึ่งเป็นพืชเศรฐกิจที่ทำรายได้ให้แก่ม้ง อีกชนิดคือพืชที่ใช้ดำรงชีวิตนำมาเป็นอาหารแก่ครอบครัวคือ ข้าว ข้าวโพด และผักสด โดยข้าวเป็นพืชที่สำคัญที่สุดและม้งปลูกเป็นประจำ ส่วนพืชอื่นๆมักปลูกแซมในแปลงข้าว เช่น แตงกวาและหัวผักกาด ส่วนถั่วต่างๆมักปลูกเวลาเดียวกับข้าวแต่แยกพื้นที่ งาจะปลูกในแปลงข้าวและจะเก็บเกี่ยวในระยะเวลา 4 เดือน
ข้าวโพดนับเป็นพืชที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสามรถนำมาเป็นอาหารและเลี้ยงสัตว์ กรณีที่ขาดแคลนข้าวโพดในการเลี้ยงสัตว์สามารถหาซื้อจากเพื่อนบ้านได้
การปลูกและจำหน่ายฝิ่นนับเป็นประเพณีของม้งที่สืบทอดมาแต่โบราณและเป็นแหล่งรายได้สำคัญ สามารถทำรายได้ให้ชาวเขาได้มากแต่น้อยกว่าการปลูกข้าว ผลผลิตของฝิ่นจะขายให้กับพ่อค้าคนจีนซึ่งจะไปซื้อฝิ่นดิบถึงหมู่บ้าน การปลูกฝิ่นจะไม่ปลูกในแปลงข้าวเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องแร่ธาตุในดิน (หน้าที่ 38-39)
การถือครองที่ดินราว 6-10 ไร่ ปัจจุบันมีการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนฝิ่นเช่น กาแฟ ถั่วแดงหลวง พืชผัก ไม้ผลบางชนิด มีทั้งการปลูกชนิดเดียวและไร่นาสวนผสม ทำรายได้ต่อปีราว 2,000-3,000 บาท รายได้จากการปลูกพืชอื่นๆราว 5,000 บาท ไม่นิยมทำงานรับจ้าง สรุปรวมรายได้ต่อปีทั้งการปลูกพืชและรับจ้างแล้วส่วนใหญ่มีรายได้ 5,000 บาท บางที่รายได้ได้ถึง 10,000 บาท (หน้าที่ 106) |
|
Social Organization |
ในแต่ละครัวเรือนมีสมาชิกราว 9 คน ซึ่งเป็นแรงงานในการเกษตร 1-3 คนต่อครัวเรือน (หน้า 106) |
|
Education and Socialization |
ระดับการศึกษาต่ำ ไม่ได้รับการศึกษาคิดเป็นร้อยละ 75.95 ถัดมาเป็นการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ร้อยละ 10.13
(หน้า 106) ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 7 ร้อยละ 3.80 (หน้า 48) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้งจัดว่าเป็นกลุ่มจีนทิเบต กลุ่มนี้ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ คือ กะเหรี่ยง เย้า อีก้อ มูเซอร์ และลีซอ ม้งกับเย้านับเป็นเผ่าที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มไซโนทิเบตระดับเดียวกันกับกลุ่มจีนและทิเบต-พม่า ส่วนเผ่าอื่นมีความสัมพันธ์ห่างออกไปบ้าง บางเผ่าเกือบไม่มีความสัมพันธ์เลย (หน้า 29) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
การยอมรับนวกรรมของชาวไทยภูเขา เผ่าม้ง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า มีการยอมรับนวกรรมหรือสิ่งปฏิบัติใหม่มาราว 2-3 ปีแล้ว และมีการยอมรับเป็นส่วนใหญ่ โดยมีปัจจัยในการยอมรับมาจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรที่ราบสูงและเพื่อนบ้านของเกษตรกรเอง ปัจจัยต่อมาคือจำนวนสมาชิกในครัวเรือนพบว่า เกษตรกรที่มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนมากมักจะยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ได้เร็วกว่าเกษตรกรที่มีสมาชิกในครัวเรือนน้อย
ส่วนปัจจัยด้านเศรษฐกิจพบว่าทุนในการดำเนินการเกษตรเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ หากมีทุนมากก็จะเกิดการยอมรับได้เร็ว ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการยอมรับการปฏิบัติใหม่ก็ เช่น การรับฟังข่าวสารทั้งจากทางวิทยุและหนังสือพิมพ์ หากเป็นผู้ที่มีการรับฟังข่าวสารอยู่เสมอ ก็จะทำให้มีการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ได้ดี สำหรับสิ่งปฏิบัติใหม่ที่มีการยอมรับแล้ว ได้แก่ การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ซึ่งมีจำนวนสูงมาก
ต่อมาคือการยอมรับที่จะนำเอาพืชเศรษฐกิจใหม่มาปลูกแทนฝิ่น การใช้ยากำจัดศัตรูพืช และการทำเกษตรกรรมแผนใหม่ เรียงลงมาตามลำดับ ระดับความมากน้อยในการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ที่มีแรงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ ร้อยละ 10.00 กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้ที่ยอมรับเร็ว ร้อยละ 22.78 กลุ่มที่ 3 กลุ่มผู้ที่มีการยอมรับปานกลาง ร้อยละ 25.32 และกลุ่มที่ 4 กลุ่มผู้ที่มีการยอมรับช้า ร้อยละ 37.97 ไม่มีผลของผู้ที่ไม่ยอมรับ |
|
Map/Illustration |
แผนภูมิที่ 3 หน้าที่ 41 แผนภูมิหน้าที่ 42ตารางหน้า 60-103 |
|
|