สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การเกษตร,การยอมรับนวัตกรรม,ปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม,เชียงใหม่
Author พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์
Title ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อการยอมรับสิ่งใหม่ๆ ในการดำเนินการเกษตรที่ราบสูงของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง จังหวัดเชียงใหม่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 118 Year 2525
Source กรุงเทพฯ: คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ
Abstract

จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลให้ชาวไทยภูเขาเผ่าม้งยอมรับนวกรรมนั้นมีหลายปัจจัย เช่น จากบุคคลของรัฐได้แก่เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับสูงสุด รองลงไปได้แก่เพื่อนบ้าน ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลในการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ ได้แก่ การฟังข่าวสารทางวิทยุและหนังสือพิมพ์ การพบปะกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและความถี่หรือจำนวนครั้งที่ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เกษตร เมื่อมีการศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางเศรษฐกิจ และสังคม และปัจจัยอื่นๆ กับการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ในการดำเนินการเกษตรของชาวไทยภูเขาเผ่าม้งพบว่า ปัจจัยทางสังคมที่มีความสัมพันธ์ในทางที่แตกต่างในการยอมรับ ได้แก่ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน หากมีสมาชิกมาก จะมีการยอมรับต่อสิ่งปฏิบัติใหม่ดีกว่าและเร็วกว่า ส่วนปัจจัยเกี่ยวกับอายุ ระดับการศึกษาและจำนวนแรงงานในการทำการเกษตรนั้นไม่มีความแตกต่างในการยอมรับสิ่งใหม่เลย ปัจจัยทางเศรษฐกิจ พบว่าปัจจัยเกี่ยวกับทุนในการทำการเกษตรของชาวไทยภูเขามีความสัมพันธ์กับการยอมรับแตกต่างกัน ได้แก่ ทุนในการทำการเกษตรเครดิตหรือความสามารถในการกู้ยืม เงินและภาวะหนี้สินของเกษตรกร ส่วนปัจจัยที่ไม่ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ของการยอมรับที่แตกต่างกันได้แก่ การถือครองที่ดิน ภาวะรายได้ต่อปีของเกษตรกรเป็นต้น (หน้า 2-3 )

Focus

ศึกษาปัจจัยที่จะทำให้ชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง จังหวัดเชียงใหม่ ยอมรับนวัตกรรมต่าง ๆ

Theoretical Issues

แนวความคิดเกี่ยวกับนวกรรมนั้นใช้ตามแนวคิดของ Roger(1971) คือ สิ่งปฎิบัติไม่ว่าจะเป็นความคิด การกระทำหรือสิ่งของ ซึ่งบุคคลนั้นเห็นว่าเป็นของใหม่ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นของใหม่ตั้งแต่เวลาที่พบ แต่ขึ้นกับบุคคลรับรู้เองว่าเป็นของใหม่หรือไม่ โดยความเห็นของบุคคลเองเป็นเครื่องตัดสิน ถ้าคนเห็นว่าสิ่งใดใหม่สำหรับเขา สิ่งนั้นก็จะเป็นนวกรรม คำว่า "ใหม่" ในเรื่องนวกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้ใหม่ของบุคคล บุคคลอาจมีความรู้เรื่องนั้นมาระยะหนึ่งแล้วก็ได้ แต่ยังไม่ได้พัฒนาทัศนคติที่จะชอบหรือไม่ชอบ และจะรับหรือปฏิเสธ "ความใหม่" ของนวกรรม ซึ่งอาจจะเป็นความใหม่ในเรื่องของความรู้ ทัศนคติ หรือเกี่ยวกับการตัดสินใจที่จะใช้นวกรรม ดังนั้นความคิดหรือการกระทำทุกอย่างอาจจะเป็นนวกรรมช่วงหนึ่ง นวกรรมจึงต้องเปลี่ยนไปตามเวลาที่ผ่านไป การวิจัยนี้ได้แบ่งชนิดของนวกรรมเป็น สี่อย่าง คือ ปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนฝิ่น การใช้ปุ๋ย การใช้ยาป้องกันกำจัดศัตรูพืช และการทำเกษตรกรรมใหม่ สำหรับกระบวนการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่หรือนวกรรมนั้นใช้การวิเคราะห์ตาม Roger แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตื่นตน เป็นขั้นแรกซึ่งบุคคลจะเริ่มได้รู้เห็นเกี่ยวกับสิ่งปฏิบัติใหม่ในเบื้องต้น ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งปฏิบัติใหม่จึงยังไม่สมบูรณ์ จึงยังไม่สามารถสร้างการยอมรับได้ แต่ก็เป็นพื้นฐานของการยอมรับหรือปฏิเสธต่อไป ขั้นสนใจ ขั้นนี้เมื่อบุคคลเริ่มได้ข่าวสารในขั้นแรก จะเริ่มแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งปฏิบัติใหม่นั้น บุคคลเกิดความเชื่อ แต่ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะมีผลดีแก่ตนเองอย่างไร ขั้นไตร่ตรองหรือการประเมินผล ขั้นนี้เป็นขั้นที่บุคคลเอาข้อมูลที่ศึกษาจากขั้นที่สองมาพิจารณาประกอบสถานะของตนเองทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อคาดการณ์ถึงผลที่ตนเองจะได้รับจากการเอาสิ่งปฏิบัติใหม่ไปใช้ ในกรณีที่ผลการคิดคำนวณออกมาทำให้สถานที่เป็นอยู่ของตนเองดีขึ้น บุคคลผู้นี้จะเริ่มทดลองกับสิ่งๆนั้นทันที แต่ถ้าผลออกมาในทางตรงข้ามการยอมรับก็จะไม่เกิดขึ้น เขาจะหยุดการกระทำใด ๆ ต่อสิ่งนั้นทันที ขั้นลองทำ เป็นขั้นที่บุคคลกระทำการทดลองผลของการประเมินว่าถูกต้องเพียงใด ผลการทดลองจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ย่อมขึ้นกับความรู้ความสามารถและความเพียรของผู้ทดลองเอง ขั้นนี้จึงเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่การยอมรับอย่างแท้จริง ขั้นสุดท้ายคือขั้นนำไปใช้หรือขั้นยอมรับอย่างถาวร ขั้นนี้เป็นขั้นยอมรับสิ่งใหม่ เพื่อจะได้นำไปใช้ในชีวิตตนเองอย่างแน่นอนและเป็นการถาวร โดยทั่วไปขั้นนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผ่านกระบวนการยอมรับมาแล้วสี่ขั้นตอน แต่บางกรณีอาจข้ามขั้นตอนก็ได้ (หน้าที่ 14-16) แต่ทว่ากระบวนการยอมรับนี้ก็ยังมีข้อบกพร่องคือ เมื่อเกิดกระบวนการยอมรับขึ้นแล้วมักบรรลุหรือจบลงด้วยการยอมรับเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งความจริงแล้วกระบวนการยอมรับอาจสิ้นสุดสุดโดยการปฏิเสธหรือไม่ก็ได้ และกระบวนการยอมรับไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับก็ได้ ดังนั้น Roger (1971) จึงได้เสนอแนวคิดใหม่ คือ กระบวนการตัดสินใจยอมรับหรือไม่ยอมรับนวกรรม หรือสิ่งปฏิบัติใหม่ มีสี่ขั้น คือ ขั้นความรู้ เป็นขั้นที่บุคคลรู้จักสิ่งปฏิบัติใหม่เป็นครั้งแรก และได้มีการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม แต่ยังมีข้อสงสัยในหมู่นักวิชาการว่าบุคคลเกิดความรู้เกี่ยวกับสิ่งปฏิบัติใหม่ก่อน หรือว่ามีความต้องการใช้สิ่งปฏิบัติใหม่ก่อน แต่มีความเห็นส่วนใหญ่ว่าในขั้นนี้ความต้องการเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะความต้องการที่มุ่งไปสู่ความสัมฤทธิ์ผล ขั้นต่อมาคือขั้นความรู้สึก เป็นขั้นที่บุคคลเกิดความรู้สึกต่อนวกรรมว่าชอบหรือไม่ชอบ หรือว่ามีทัศนคติต่อสิ่งปฏิบัติใหม่อย่างไร ขั้นนี้เปรียบเทียบได้กับขั้นประเมินผลของกระบวนการยอมรับที่กล่าวมาแล้ว ขั้นตัดสินใจ ขั้นนี้เป็นขั้นที่บุคคลผ่านการพิจารณาต่อสิ่งปฏิบัติใหม่มาระยะหนึ่งซึ่งต้องพิจารณายอมรับหรือไม่ยอมรับ ยังรวมไปถึงการตัดสินใจทดลองใช้สิ่งปฏิบัติใหม่ด้วยเปรียบเทียบกับกระบวนการยอมรับคือขั้นทดลองนั่นเอง ในขั้นนี้ทัศนคติและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ มีอิทธิพลสูงมากต่อการยอมรับ ขั้นยืนยัน นับเป็นสุดท้าย ซึ่งบุคคลจะแสวงหาข้อมูลหรือแรงเสริมมาสนับสนุนการตัดสินใจยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ หากข้อมูลหรือแรงเสริมมีความขัดแย้งกับข้อมูลเดิมที่ได้รับมาตลอด บุคคลอาจตัดสินใจไม่ยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ แต่โดยทั่วไปแล้วเมื่อกระบวนการได้ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วบุคคลมักจะมีแนวโน้มในการยอมรับสูงและพยายามหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น ขั้นนี้เปรียบได้กับขั้นยอมรับถาวรของกระบวนการรับนวกรรม (หน้า 16-18) หลังจากทราบถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจตามแนวคิดของ Roger แล้ว สิ่งที่ต้องศึกษาต่อคือสิ่งที่มีผลหรืออิทธิพลต่อการยอมรับนวกรรมหรือที่เรียกว่า "ปัจจัย" ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ซึ่งแยกแบ่งหัวข้อใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม และปัจจัยอื่น ๆ (หน้า 21)

Ethnic Group in the Focus

ม้งหรือแม้ว หมู่ที่ 6 ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาแม้วหรือม้งเป็นกลุ่มภาษาจีนทิเบต (หน้า 29)

Study Period (Data Collection)

เดือนเมษายน 2525 ระยะเวลาวิจัย 12 เดือน (หน้า 47) ใช้เวลาในการสัมภาษณ์สอบถาม 10 วัน (หน้า 45)

History of the Group and Community

ชาวไทยภูเขาเผ่าม้งมีต้นกำเนิดหรือเชื้อสายมาจากกลุ่มมอญ-เขมร พม่า-ทิเบต หรือไซนิติก และบางคนให้ข้อคิดว่าม้งอาจจะเป็นกลุ่มอิสระหรือกลุ่มรวมผสมกับกลุ่มอื่นๆ หลายกลุ่มก็ได้ ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าม้งมาจากเชื้อชาติใดกันแน่ แต่ม้งเป็นชนชาติที่มาจากมองโกลอย ซึ่งมีความผูกพันกับเผ่าเย้ามากชาวไทยภูเขาเผ่านี้ได้รับการเรียกขานจากคนจีนว่าเป็นกลุ่มชนป่าเถื่อน ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของทิเบต และอพยพเข้าสู่จีน เอเชียอาคเนย์ และไซบีเรีย แต่บางคนรายงานว่าม้งอาศัยอยู่แถบลุ่มน้ำเหลืองก่อนอพยพเข้าสู่ประเทศจีนในศตวรรษที่ 27 ม้งได้ทำสงครามกับจีนละแพ้ จึงถอยร่นมาทางใต้ของจีน ในระยะเวลา 150 ปีต่อมาม้งได้อพยพเข้าสู่เอเชียอาคเนย์ โดยผ่านทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม เข้าสู่ประเทศไทย แต่การอพยพก็เป็นไปเป็นจำนวนน้อยและได้มีการอพยพครั้งใหญ่อีก โดยอพยพผ่านเข้าไปในประเทศลาว ซึ่งเกิดจากผลการกบฏในตังเกี๋ย ในปี 1860 และมีการอพยพจำนวนมากผ่านเข้าไปทางพม่าและประเทศไทยปี 1890 และต่อจากการอพยพใหญ่สองครั้งมาก็มีการอพยพลงมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 และการปฎิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนได้มีการอพยพเข้ามามากขึ้น (หน้า 36)

Settlement Pattern

ชาวไทยภูเขาเผ่าม้งจะตั้งถิ่นฐานอยู่บนเขาซึ่งมีระดับความสูง 5,000 ฟุต และบางกลุ่มอาจอาศัยสูงขึ้นไป 7,000 ฟุต การตั้งถิ่นฐานบนที่สูงมีเหตุผลหลายประการ ทั้งทางสภาพแวดล้อม สภาวะทางเศรษฐกิจสังคม สภาพการเมืองและวัฒนธรรม ม้งพบว่าการอาศัยอยู่ในระดับต่ำลงไปทำให้ร้อนและมีความชื้นสูง ไม่สามารถที่จะปลูกพืชเลี้ยงสัตว์และการล่าสัตว์ได้ โดยเฉพาะพืชสำคัญ คือ ฝิ่น ซึ่งม้งจะรู้สึกเป็นอิสระในการดำรงชีวิต จึงต้องอยู่บนที่สูง นอกจากนี้โดยทั่วไปแล้วม้งจะโยกย้ายถิ่นฐานจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง การอยู่อย่างถาวรประมาณ 10 -25 ปี ขึ้นกับความพอเพียงและอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ (หน้า 37-38)

Demography

ในประเทศไทยมีประชากรม้งประมาณ 45,000-50,000 คน Young (1962)ได้ประมาณประชากรเผ่าม้งทั้งหมดไว้ว่าเป็นม้งน้ำเงิน 26,400 คน ใน 93 หมู่บ้าน 14,200 คน เป็นม้งขาวใน 69 หมู่บ้าน และ 200 คนเป็นม้งกัวมะบาใน 2 หมู่บ้าน (หน้า 37)

Economy

ม้งมีอาชีพหลักคือการทำไร่แบบเลื่อนลอยโดยการเผาป่า แต่ม้งเองมีความรู้ในการเตรียมดิน โดยใช้แรงงานสัตว์และการทำนาขั้นบันได และการชลประทาน ปัจจุบันมีน้อยรายที่ทำดังกล่าว เพราะข้อจำกัดเรื่องเวลาและแรงงานทำให้ม้งหันวิธีไปทำเกษตรแบบง่ายๆเมื่อดินบริเวณนั้นเริ่มเสื่อมก็จะถางที่ใหม่ต่อไป พืชสำคัญที่เป็นพื้นฐานการดำรงชีวิตได้แก่ ฝิ่น ซึ่งเป็นพืชเศรฐกิจที่ทำรายได้ให้แก่ม้ง อีกชนิดคือพืชที่ใช้ดำรงชีวิตนำมาเป็นอาหารแก่ครอบครัวคือ ข้าว ข้าวโพด และผักสด โดยข้าวเป็นพืชที่สำคัญที่สุดและม้งปลูกเป็นประจำ ส่วนพืชอื่นๆมักปลูกแซมในแปลงข้าว เช่น แตงกวาและหัวผักกาด ส่วนถั่วต่างๆมักปลูกเวลาเดียวกับข้าวแต่แยกพื้นที่ งาจะปลูกในแปลงข้าวและจะเก็บเกี่ยวในระยะเวลา 4 เดือน ข้าวโพดนับเป็นพืชที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสามรถนำมาเป็นอาหารและเลี้ยงสัตว์ กรณีที่ขาดแคลนข้าวโพดในการเลี้ยงสัตว์สามารถหาซื้อจากเพื่อนบ้านได้ การปลูกและจำหน่ายฝิ่นนับเป็นประเพณีของม้งที่สืบทอดมาแต่โบราณและเป็นแหล่งรายได้สำคัญ สามารถทำรายได้ให้ชาวเขาได้มากแต่น้อยกว่าการปลูกข้าว ผลผลิตของฝิ่นจะขายให้กับพ่อค้าคนจีนซึ่งจะไปซื้อฝิ่นดิบถึงหมู่บ้าน การปลูกฝิ่นจะไม่ปลูกในแปลงข้าวเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องแร่ธาตุในดิน (หน้าที่ 38-39) การถือครองที่ดินราว 6-10 ไร่ ปัจจุบันมีการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนฝิ่นเช่น กาแฟ ถั่วแดงหลวง พืชผัก ไม้ผลบางชนิด มีทั้งการปลูกชนิดเดียวและไร่นาสวนผสม ทำรายได้ต่อปีราว 2,000-3,000 บาท รายได้จากการปลูกพืชอื่นๆราว 5,000 บาท ไม่นิยมทำงานรับจ้าง สรุปรวมรายได้ต่อปีทั้งการปลูกพืชและรับจ้างแล้วส่วนใหญ่มีรายได้ 5,000 บาท บางที่รายได้ได้ถึง 10,000 บาท (หน้าที่ 106)

Social Organization

ในแต่ละครัวเรือนมีสมาชิกราว 9 คน ซึ่งเป็นแรงงานในการเกษตร 1-3 คนต่อครัวเรือน (หน้า 106)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ระดับการศึกษาต่ำ ไม่ได้รับการศึกษาคิดเป็นร้อยละ 75.95 ถัดมาเป็นการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ร้อยละ 10.13 (หน้า 106) ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 7 ร้อยละ 3.80 (หน้า 48)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ม้งจัดว่าเป็นกลุ่มจีนทิเบต กลุ่มนี้ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ คือ กะเหรี่ยง เย้า อีก้อ มูเซอร์ และลีซอ ม้งกับเย้านับเป็นเผ่าที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มไซโนทิเบตระดับเดียวกันกับกลุ่มจีนและทิเบต-พม่า ส่วนเผ่าอื่นมีความสัมพันธ์ห่างออกไปบ้าง บางเผ่าเกือบไม่มีความสัมพันธ์เลย (หน้า 29)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

การยอมรับนวกรรมของชาวไทยภูเขา เผ่าม้ง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า มีการยอมรับนวกรรมหรือสิ่งปฏิบัติใหม่มาราว 2-3 ปีแล้ว และมีการยอมรับเป็นส่วนใหญ่ โดยมีปัจจัยในการยอมรับมาจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรที่ราบสูงและเพื่อนบ้านของเกษตรกรเอง ปัจจัยต่อมาคือจำนวนสมาชิกในครัวเรือนพบว่า เกษตรกรที่มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนมากมักจะยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ได้เร็วกว่าเกษตรกรที่มีสมาชิกในครัวเรือนน้อย ส่วนปัจจัยด้านเศรษฐกิจพบว่าทุนในการดำเนินการเกษตรเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ หากมีทุนมากก็จะเกิดการยอมรับได้เร็ว ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการยอมรับการปฏิบัติใหม่ก็ เช่น การรับฟังข่าวสารทั้งจากทางวิทยุและหนังสือพิมพ์ หากเป็นผู้ที่มีการรับฟังข่าวสารอยู่เสมอ ก็จะทำให้มีการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ได้ดี สำหรับสิ่งปฏิบัติใหม่ที่มีการยอมรับแล้ว ได้แก่ การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ซึ่งมีจำนวนสูงมาก ต่อมาคือการยอมรับที่จะนำเอาพืชเศรษฐกิจใหม่มาปลูกแทนฝิ่น การใช้ยากำจัดศัตรูพืช และการทำเกษตรกรรมแผนใหม่ เรียงลงมาตามลำดับ ระดับความมากน้อยในการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ที่มีแรงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการยอมรับสิ่งปฏิบัติใหม่ ร้อยละ 10.00 กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้ที่ยอมรับเร็ว ร้อยละ 22.78 กลุ่มที่ 3 กลุ่มผู้ที่มีการยอมรับปานกลาง ร้อยละ 25.32 และกลุ่มที่ 4 กลุ่มผู้ที่มีการยอมรับช้า ร้อยละ 37.97 ไม่มีผลของผู้ที่ไม่ยอมรับ

Map/Illustration

แผนภูมิที่ 3 หน้าที่ 41 แผนภูมิหน้าที่ 42ตารางหน้า 60-103

Text Analyst ภาพันธ์ รักษ์ศรีทอง Date of Report 07 มิ.ย 2548
TAG ม้ง, การเกษตร, การยอมรับนวัตกรรม, ปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง