|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
การธำรงเอกลักษณ์,การปฏิวัติ,ชายแดนภาคใต้ |
Author |
Ruth Mcvey |
Title |
Identity and Rebellion among Southern Thai Muslims |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Total Pages |
16 |
Year |
2532 |
Source |
The Muslims of Thailand.,The Catholic Press, Ran |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุมถึงสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ในอดีตแสดงให้เห็นถึงปัญหา และการเคลื่อนไหวของมุสลิมเพื่อพยายามเรียกร้องอิสรภาพในการปกครอง มีความพยายามสร้างระบบการศึกษาขึ้นมาเองเพื่อแสดงเอกลักษณ์และปฏิเสธการรวมกับรัฐ รวมทั้งปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชนทั้ง 2 กลุ่ม แนวทางการการแก้ไข และการปฏิบัติทั้งของรัฐบาลไทยและของกลุ่มชนชั้นนำของมุสลิมเพื่อนำไปสู่ทางออกที่ดี ป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นอีกในชายแดนภาคใต้ |
|
Focus |
ผู้เขียนพยายามอธิบายถึงสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของกลุ่มมุสลิม 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานการณ์และเงื่อนไขการต่อต้านรัฐของมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะปัตตานี ยะลา นราธิวาส ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ประชากรมุสลิมในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสพูดภาษามาเลย์ ส่วนที่สตูลส่วนใหญ่มักพูดภาษาไทย |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชนตั้งแต่เกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เกิดการเสียพื้นที่ชายแดนที่เป็นส่วนของประเทศมาเลเซียไป แต่ส่วนพื้นที่ปัตตานีอันรวมถึงพื้นที่ที่เป็นจังหวัดยะลา นราธิวาสในปัจจุบันยังคงเป็นของไทย ทำให้เกิดการพยายามเรียกร้องอิสรภาพขึ้นเรื่อยมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (น.34-35) |
|
Economy |
ส่วนใหญ่ทำการเกษตร และทำสวนยางพารา แต่ตั้งแต่สมัยค.ศ.1950 ระบบเศรษฐกิจมีความเจริญเติบโตมาก มีการสร้างถนน การปลูกพืชเศรษฐกิจยางพารา ทำให้การดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงในชนบทเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป การที่ต้องติดต่อสื่อสารกับเมืองและรัฐมากขึ้นทำให้มุสลิมเริ่มเห็นปัญหาในเรื่องของภาษาที่ไม่สามารถพูดไทยได้ เห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวมากขึ้น(น.39-40) |
|
Social Organization |
ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงสภาพครอบครัวไว้ แต่ได้กล่าวถึงสถาบันทางสังคมที่สำคัญคือ สถาบันการศึกษาว่าในชุมชนมุสลิมนี้มีโรงเรียนศาสนาเป็นของตนเอง ทั้งนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่จะป้องกันไม่ให้เด็กเข้าเรียนโรงเรียนทั่วไปที่สอนบนพื้นฐานทางศาสนา และประวัติศาสตร์ของชาติไทย และแสดงถึงการขึ้นตรงต่อรัฐไทยด้วย (น.37) |
|
Political Organization |
แต่เดิมนั้น 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้นี้ปกครองกันเอง แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการขยายอำนาจของรัฐออกไปมากขึ้น ผู้ปกครองของมุสลิมเหล่านั้นต้องขึ้นตรงกับรัฐบาลในกรุงเทพฯ ทำให้เกิดการประท้วงขึ้นเพื่อเรียกร้องต้องการเป็นรัฐอิสระ ในปี 1947 มีความพยายามจะรวม 4 จังหวัดชายแดนนี้ให้เป็น 1 ภูมิภาค ปกครองโดยคนในพื้นที่ที่เลือกกันเอง มีอำนาจเต็มที่แทนข้าราชการของรัฐไทย สนับสนุนโดยสภาอิสลาม ปกครองโดยกฎหมายมุสลิม มีศาลของตนเอง และให้ภาษามาเลย์เป็นภาษาราชการและเป็นภาษาที่ใช้สอนในโรงเรียน (น.40) อย่างไรก็ตาม ในสภาพที่เป็นอยู่นั้น ผู้เขียนกล่าวว่าผู้ที่มีอำนาจน่าจะเป็นผู้นำทางศาสนา เพราะมีผู้ไว้วางใจมาก หรือ เป็นพวกคนหัวกะทิของสังคมทั้งหลาย (น.42) และในที่สุดแล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบมากขึ้น มุสลิมเหล่านี้ก็หันมาต้องการความปลอดภัยและการได้รับการบริการจากรัฐบาล |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยโดยเฉพาะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับมุสลิมนั้นส่วนใหญ่จะประสบปัญหาเรื่องการสื่อสาร เพราะมุสลิมจะพูดได้แต่ภาษามาเลย์เท่านั้น ประกอบกับความคิดอคติว่าคนไทยคือคนพุทธเท่านั้น จึงมักปฏิบัติต่อมุสลิมอย่างไม่เท่าเทียมนัก มุสลิมจึงคิดว่าหากรวมกับไทยแล้วตนก็จะต้องเสียเปรียบ ไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควร ก่อให้เกิดความไม่พอใจ เกิดความไม่สงบอยู่เรื่อยมา นอกจากนี้มุสลิมยังมีการเปิดโรงเรียนสอนศาสนาระบบ pondok เองเพื่อป้องกันไม่ให้มุสลิมออกนอกศาสนาและหันมาเรียนและขึ้นตรงต่อไทย (น.44-45) |
|
Social Cultural and Identity Change |
มุสลิมเริ่มเล็งเห็นความจำเป็นของภาษาไทยและการติดต่อกับรัฐมากขึ้น เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักว่าเขาไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างขาดการติดต่อกับภายนอกได้อีกต่อไป |
|
|