สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่, ลาหู่ญี (มูเซอแดง), ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ปาย, แม่ฮ่องสอน
Author ยาโพ จะตีก๋อย, ปะกู จะตีก๋อย, ไพศาล พุทธพันธ์
Title การศึกษาภูมิปัญญามูเซอแดง บ้านหัวปาย ต.เวียงเหนือ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 106 หน้า Year 2556
Source สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย , สำนักงานภาค
Abstract

          งานวิจัยชิ้นนี้เกิดขึ้นจากความต้องการของชุมชนในการค้นหาองค์ความรู้ต่างๆของชุมชนที่แสดงให้เห็นว่า ชุมชนบ้านหัวปายสามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้อย่างไรนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ชุมชนอยู่ในพื้นที่สูงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการพัฒนาขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น บริการด้านสาธารณสุข ไฟฟ้า การคมนาคม โอกาสทางการศึกษา จากหน่วยงานภาครัฐ แต่กลับดำเนินวิถีชีวิตอยู่รอดมาได้และยังคงสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าดั้งเดิมไว้ ดังนั้นการที่ชุมชนสามารถดำรงชีพอยู่รอดสืบต่อมาได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะต้องมีหัวใจสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความสุขของชุมชนนั้นก็คือ ความจำเป็นขั้นพื้นฐานหรือปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ภูมิปัญญาหรือองค์ความรู้ที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อที่คอยควบคุมการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องเป็นไปตามกฎหมายชุมชน ระบบผู้นำตามธรรมชาติที่เข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้นำและสืบทอดภูมิปัญญา ประเพณีวัฒนธรรม และความเชื่อต่างๆ ให้สามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างราบรื่นตั้งแต่อดีต ถึงแม้ในปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัด แต่ชุมชนก็มีแนวทางในการปรับตัวในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ชุมชนอยู่ได้ โดยไม่ทอดทิ้งวิถีแบบดั้งเดิมตามความเชื่อของบรรพชน และมีการผสมผสานสิ่งใหม่เข้ากับสิ่งเก่าได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน (หน้า 94, 106)

Focus

          ศึกษารวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ประเพณีวัฒนธรรม ความมั่นคงทางอาหาร ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ที่ส่งผลให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน (หน้า 2)

Theoretical Issues

ไม่มี

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาพูดของมูเซอจัดอยู่ในตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) มีลักษณะเป็นภาษาคำโดด ไม่มีเสียงพยัญชนะสะกด (หน้า 5)

Study Period (Data Collection)

มีนาคม 2547- มกราคม 2549 เป็นการเก็บข้อมูลภาคสนาม โดยเน้นกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติแบบมีส่วนร่วม (หน้า 3, 18)

History of the Group and Community

          ชาวมูเซอแดงดั้งเดิมอาศัยอยู่ที่เมืองลาซา ประเทศทิเบต แต่เนื่องจากสงครามกับประเทศจีนบวกและการแย่งชิงอาณาเขต จึงทำให้มูเซอแดงอพยพมายังประเทศไทยที่บ้านแสนคำลือ และบางส่วนได้อพยพไปอยู่ประเทศลาว เมื่อชาวบ้านอพยพเข้ามาอยู่บริเวณบ้านแสนคำลือ เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นจัดและพื้นที่ทำกินไม่เพียงพอ จึงอพยพไปที่ดอยสามจุก ซึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาใกล้หัวน้ำต้อในประเทศพม่า ชาวบ้านอยู่บริเวณนี้เป็นเวลา 50ปี ต่อมาเนื่องจากปัญหาชายแดน ชาวบ้านจึงย้ายไปบริเวณที่เรียกว่าแหม่กี๊แส่เด อ.ปาย พื้นที่นี้อยู่ใกล้ริมทางหลวงจึงเป็นเส้นทางคาราวานชาวจีน ที่มีการจี้ปล้นเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านในหมู่บ้านถูกฆ่าตาย จึงทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวอยู่อาศัยในพื้นที่นี้เป็นระยะเวลา 20 ปี ก่อนจะอพยพไปยังบริเวณทาโก๋ย ซึ่งมีลักษณะภูมิศาสตร์ที่อยู่ใกล้น้ำตกห้วยงู แต่ก็เกิดเหตุการณ์ทะเลาะกับชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ปลายน้ำและมีโรคมาลาเรียเกิดขึ้น จึงอพยพต่อไปยังบริเวณป่ามะนอด ซึ่งมีลักษณะพื้นที่เป็นสันดอย ชาวบ้านอยู่อาศัยบริเวณนี้เป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากโครงการหลวงฯเสนอให้ไปรับจ้างปลูกป่าและได้รายได้ดี ชาวบ้านจึงตัดสินใจอพยพไปยังบริเวณปางงาน ชาวบ้านอาศัยในพื้นที่นี้ได้เพียง 4 ปี ก็ทำการย้ายที่อยู่ใหม่ เนื่องจากอาชีพปลูกป่าได้รายได้น้อยไม่พอกิน ชาวบ้านจึงย้ายที่อยู่อีกครั้งไปอยู่อาศัยบริเวณแฮะป่าเสอเวะ ชาวบ้านอยู่อาศัยบริเวณนี้ได้เพียง 6 ปีเท่านั้น ก็ต้องย้ายที่อยู่ใหม่ เนื่องมาจากโครงการสามหมื่นได้เข้ามาสำรวจพื้นที่ และเห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้ไม่เหมาะสมกับการอยู่อาศัย จึงทำการสำรวจพื้นที่บริเวณใกล้เคียงและให้ชาวมูเซอย้ายมาอยู่ในอาศัยในพื้นที่ริมฝั่งน้ำปายในปัจจุบัน (หน้า 7,9-10)

Settlement Pattern

          รูปแบบการตั้งถิ่นฐานมักตั้งในบริเวณพื้นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาใกล้ทางน้ำ หรือพื้นที่ที่เป็นสันดอน หรือพื้นที่ใกล้กับแหล่งน้ำเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 7,9-10)
          ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของมูเซอแดงจะใช้ประโยชน์จากไม้ที่มีในบริเวณชุมชนเป็นหลัก มักจะสร้างบ้านแบบไม่ติดดิน บ้านจะไม่มีกันสาด ประตูห้องจะสร้างไม่ตรงกับประตูบ้าน ส่วนบันไดบ้านจะต้องให้สร้างให้เป็นจำนวนคี่ เช่น 5 ซี่ เป็นต้น (หน้า 92)

Demography

บ้านหัวปายมีจำนวนประชากรรวม 122 คน เป็นชาย 66 คน และหญิง 56 คน (หน้า 10,12)

Economy

          ชุมชนใช้แหล่งทรัพยากรธรรมชาติรอบๆหมู่บ้าน คือ  บริเวณป่าและแหล่งน้ำต่างๆทั้งในน้ำเชี่ยวและน้ำนิ่ง บริเวณหน้าผาน้ำตกสองเมืองหรือบริเวณห้วยลอกานะ ในการทำการเกษตรเพื่อยังชีพ เมื่อมีผลผลิตเหลือมากพอจึงนำมาขาย (หน้า10, 15-17, 66-77)
          ระบบการผลิตของชุมชนมีทั้งการขายสัตว์เลี้ยงจำพวกวัว ควาย หมู ซึ่งวัวถือเป็นรายได้หลักและทำรายได้ให้มากที่สุด ขายข้าว พืชผักเกษตร เป็ดเทศ ตีมีด เย็บผ้า และต้นไม้กวาดซึ่งเก็บมาจากบริเวณป่ารอบๆหมู่บ้านแล้วนำมาตีดอกแล้วนำก้านดอกหญ้าไปขายให้กับพ่อค้า เพื่อทำไม้กวาด (หน้า 15-17)
          นอกจากนี้ยังมีการออกไปรับจ้างทำงานเกษตรหรืองานก่อสร้าง เพื่อให้มีรายได้มาซื้อสินค้า เครื่องนุ่งห่ม และรถจักรยานยนต์ (หน้า 16-17)
          รายได้เสริมอีกส่วนหนึ่งได้จากการขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยว และจัดนำเที่ยวชุมชนโดยผ่านโครงการฟื้นฟูชีวิตและวัฒนธรรม (หน้า 17)
          การบริโภคอาหารของคนในหมู่บ้านนี้ก็จะอาศัยการพึ่งพาอาหารจากธรรมชาติก็มีทั้งสัตว์ปีก อย่างเช่น ไก่ป่า พิแตว ที่นำมาตำน้ำพริก และสัตว์ป่าซึ่งนอกจากการล่าเพื่อนำมาแบ่งกันกิน แล้วยังมีการนำไปเป็นยาอีกด้วย เช่น เลียงผา ที่นำเขามาเผาไฟแล้วนำมาทานมแก้นมคัด หรือใช้ไขข้อกระดูกมารักษาอาการปวดเมื่อตามร่างกาย รวมไปถึงปัสสาวะที่ใช้รักษาแผลจากการถูกยิงได้ ค่างนำขี้ เนื้อ และเลือด มาใช้เป็นยารักษาได้ทุกโรค หมูหมาหรือหมูหลึ่ง นำสมองและกระดูกส่วนหัวมาใช้แก้โรคลมบ้าหมูได้และแก้ผดผื่นคันได้อีกด้วย ฯลฯ ส่วนอาหารประเภทสัตว์น้ำนั้นก็อย่างเช่น ปลาพวงหรือปลามุง ปลามอนนำมาย่างหัวจะมัน ฯลฯ พืชอาหารในป่าก็พวกยอดส้มปี้ จะนำใบและยอดมาประกอบอาหาร ส่วนต้นจะทำขี้โยหรือยาเส้น เป็นยาระบายอ่อน บัวบกจะต้มดื่มน้ำ ตะไคร้ ต้นจะนำมาเม็ดที่เป็นพวงมาแกงใส่ผักอื่นๆ ฯลฯ และสุดท้ายอาหารประเภทผักในไร่ข้าวที่ชาวบ้านปลูกไว้เองภายในชุมชน อย่างเช่น เผือก ข้าวโพด หม่ากะเลาหรือที่เรียกว่ามันสำปะหลัง จะนำมาใช้แกงใส่ไก่ ทำขนม บ้างก็ปิ้งกินได้ ผักอีหลื่อ ชาวบ้านจะใช้ใส่ปรุงรสตำน้ำพริก หรือนำมาใส่แกง ใบชู ที่จะนิยมกินใบกับหัว นำมาใส่เวลาตำน้ำพริก หรือใส่แกง เป็นต้น (หน้า 66-77)

Social Organization

         โครงสร้างทางสังคมของมูเซอในระดับครอบครัวจะยึดถือแบบผัวเดียวเมียเดียว และในระดับหมู่บ้านจะมีลักษณะทางสังคมที่ผูกพันกันอย่างหลวมๆ  ทั้งหมู่บ้านนับเป็นญาติพี่น้องกันหมดและต้องช่วยเหลือกัน ครัวเรือนมีอิสระแยกตัวจากหมู่บ้านได้
          ระบบเครือญาติ มูเซอมีการสืบตระกูลทางฝ่ายแม่ ผู้ชายแต่งงานแล้วก็จะต้องออกไปอยู่บ้านภรรยา แต่สำหรับผู้ชายมูเซอแดงนั้นเมื่อแต่งงานไปเป็นเขย และไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของภรรยาตามประเพณีและมักจะเกิดเหตุกับพี่น้องของภรรยา จนทำให้ต้องแยกตัวออกมาสร้างบ้านเรือนใหม่ ดังนั้นเมื่อมีการประกอบพิธีกรรมก็มักจะเข้าร่วมกับญาติฝ่ายสามี เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้น ฝ่ายสามีจะเป็นผู้สืบตระกูลแทนเมื่อบิดามารดาของตนเสียชีวิต (หน้า 6)
         ในอดีตไม่มีการแบ่งพื้นที่การเพาะปลูกที่แน่นอน มีการบุกเบิกพื้นที่ไปเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง คณะกรรมการหมู่บ้านจึงเป็นผู้เลือกพื้นที่ให้ประมาณครัวเรือนละ 15 ไร่ (หน้า 50)
         มีการรวมกลุ่มกันภายในชุมชนเป็นกองทุนชุมชนหลายรูปแบบ ได้แก่ 1.) ธนาคารข้าวที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการดอยสามหมื่น มีไว้สำหรับซื้อข้าวและให้กู้ยืมทั้งข้าวและเงิน 2.) สหกรณ์ ที่ได้รับสนับสนุนจากศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอปาย ศศช.แม่ฟ้าหลวง “บ้านหัวปาย” เพื่อใช้ในการซื้อของมาขายในหมู่บ้าน และ 3.) กองทุนยาของสมเด็จย่า ที่ให้เป็นตัวยามาแล้วนำมาขายให้กับคนในหมู่บ้านเพื่อใช้ในการรักษาโรคต่างๆ (หน้า 14-15)

Political Organization

          ผู้นำที่สำคัญของชุมชนตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ท่าน คือ ปู่เหล็ก มีบทบาทสำคัญในการทำเครื่องมือทางการเกษตรให้แก่ทุกครัวเรือนในหมู่บ้าน ปู่จองมีบทบาทด้านพิธีกรรมต่างๆของชุมชน และลาส่อ ทำหน้าคล้ายครูที่คอยอบรมสั่งสอนเยาวชนให้ปฏิบัติตนในครรลองที่ถูกต้อง และในปัจจุบันผู้อาวุโสนายปะกู จะตีก๋อย รับหน้าที่เป็นผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 10-11)
          เนื่องจากชุมชนผ่านการอพยพแยกย้ายไปยังถิ่นต่างๆ ทำให้คู่หนุ่มสาวต้องเลิกหรือแยกกันอยู่ จึงมี “การตั้งราคา” เพื่อชดใช้ เช่น ใช้ “เงินสามขัน” ห่อผ้าขว้างแม่น้ำให้อีกฝ่ายซึ่งต้องอพยพไปที่อื่น ต่อมาจึงกลายเป็นกฎการกำหนดราคากันอย่างจริงจัง ในชุมชนหัวปายเริ่มตั้งราคาในปี พ.ศ. 2527 และมีการตั้งกฎระเบียบเอาไว้หากใครผิดกฎกติกาก็จะต้องเสียค่าปรับตามที่ได้ตกลงกันไว้ เช่น การเล่นชู้ การแต่งงาน การเลิกล้างกัน ยังมีการตั้งข้อห้ามและโทษของการปรับเอาไว้อีกด้วย หากทำผิดกฎกติกาหรือข้อห้ามจะต้องได้รับบทลงโทษโดยการปรับเป็นค่าทดแทน เช่น ห้ามยิงปืนภายในหมู่บ้าน คนขโมยของในบ้าน ช๊อตปลาหรือจับปลาในเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลา หรือกฎระเบียบในการดูแลและรักษาป่าที่ทำกิน หากทำผิดกฎระเบียบที่ตั้งไว้ก็จะถูกปรับตามกฎระเบียบที่ได้ตกลงกันไว้ (หน้า 34-37)
          นอกจากนี้แล้วหมู่บ้านแห่งนี้ยังมีการตั้งคณะกรรมการดูแลและรักษาป่า/พื้นที่ทำกิน จำนวน 15 คน และตั้งกฎในการดูแลรักษาป่า หากหาได้แล้วไม่แบ่งปันก็จะต้องเสียค่าปรับไหม(แล้วแต่จะเรียก) เช่น หมูป่า เก้ง และจะนำเงินที่ได้จากการปรับไหมมาใช้ประโยชน์ การตั้งราคานี้เป็นการกำหนดราคาร่วมกันของคนในหมู่บ้านและมีการปรับราคากันเรื่อยๆให้เหมาะสม (หน้า34-37)

Belief System

          มูเซอนับถือว่าพระเจ้าอื่อชาเป็นผู้สร้างโลก และมีความเชื่อในภูติผีวิญญาณ เช่น ผีเรือน ผีประจำหมู่บ้าน ผีฟ้า ผีไร่ ผีป่า ผีดอย ฯลฯ ความเชื่อต่างๆยังมีการเล่าสืบทอดเป็นนิทานมากมาย (หน้า 7) ความเชื่อเกี่ยวกับการเกษตร คือ เชื่อกันว่าเมื่อเล่นหมากข่างเละแคะปู๋ฉี่ แล้วพืชผักในไร่จะให้ผลผลิตดี ห้ามจัดพิธีแต่งงานในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เพราะเชื่อกันว่าถ้าหากแต่งงานช่วงนี้จะทำอะไรไม่เจริญ และยังมีความเชื่อต่างๆอีกมากมาย เช่น เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี ตัดทรงโอ๊ะกู่เกอเอเว (หัวมน) เพื่อให้เด็กโตไว้ ห้ามหันหน้าครกตำข้าวไปตรงหน้าประตูบ้านเพราะเปรียบเหมือนครกขวางทางเข้าออกขวัญของเรา นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องการสร้างบ้าน การคัดวัว ม้า และหมู รวมไปถึงพฤติกรรมของสัตว์ที่สามารถเป็นลางบอกเหตุร้าย (หน้า 7, 57, 82, 90-94)
          ประเพณีที่สำคัญของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปาย คือ กินวอปีใหม่ เป็นการขอบคุณพระเจ้าที่ประทานข้าวให้มีกินตลอดทั้งปี และเพื่อให้ฟ้าฝนดี จัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม จะมีการเต้นจะคึ มีพิธีตำข้าวปุ๊กขึ้นมาเพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ได้ประทานข้าวให้กับชาวบ้านมีกินตลอดปีและเพื่อให้ฟ้าฝนดี ในประเพณีนี้ชาวมูเซอแดงจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าประจำเผ่าชุดใหม่ ชาวมูเซอแดงบ้านหัวปายจะมีวันศีลใหญ่ (ศีลโหลง) 3วัน คือ วันศีลใหญ่เดือนหก (แซะก่อเว) วันศีลใหญ่เข้าพรรษา (เข่าเว) มีพิธีตานศาลาเป็นการทำบุญให้กับเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าดอย พิธีฮ้องขวัญสัตว์ เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการล่าสัตว์จะทำหลังจากทำพิธีตานศาลาเสร็จ และวันศีลใหญ่ออกพรรษา (เอ๊าะเว) ซึ่งจะไม่กินเนื้อ ไม่ล่า สัตว์ ไม่เอาของป่ามาใช้ และไม่ทำไร่ทำงาน และวันศีลน้อย (ศีลยี) คือ วันพระที่ชาวบ้านจะไม่ทำบาป ไม่ทำงาน แต่ละบ้านจะทำบุญให้กับผีบ้านผีเรือน (หน้า 78-85)
          พิธีกรรมของชาวมูเซอบ้านหัวปายก็มีหลากหลาย เช่น พิธีปลูกข้าวไร่ในช่วงเดือนเมษายนพิธีนี้ทำขึ้นเพื่อให้เจ้าที่เจ้าดอยรู้ว่าปีนี้เราจะทำมาหากินที่นี่ นอกจากนี้ยังมีพิธีขอบคุณปู่เหล็ก เพื่อเป็นการขอบคุณที่ได้ทำเครื่องทางการเกษตรให้ใช้ พิธีกินข้าวใหม่ ที่จะทำทุกปีหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว นอกจากนี้แล้วยังมีพิธีกรรมอื่นๆอีกมาก ได้แก่ การสืบชะตา พิธีขอบคุณเครื่องมือการเกษตร (อะถ่ออ่อจ่าเว) พิธีเสี่ยงทายกระดูกไก่ การขอขมาน้ำ (ผิดผีน้ำ) พิธีการส่งผี พิธีตู้คนตาย พิธีปราบผี พิธีฝังศพ พิธีซอซะปูโกยเตเว พิธีงานแต่งงาน และพิธีขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น (หน้า 54, 79, 84-91)

Education and Socialization

          คณะวิจัยได้รวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาที่มีผู้รู้น้อย แล้วทำกิจกรรมให้เกิดการเรียนรู้ถ่ายทอดภายในชุมชน เช่น การเย็บชุดมูเซอแดงมีแม่เฒ่านาทอ ตอคอ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และคอยให้คำปรึกษา (หน้า 27)
          มีการสืบทอดความรู้ในการทำคลอดทั้งหมด 4 คน คือ พ่อเฒ่ายาคะ แอบิ, พ่อเฒ่าจะนู แอพู, แม่เฒ่านาแกและแม่เฒ่านะอือ จะตีก๋อย ได้รับการถ่ายทอดมาจากคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งจะส่งต่อให้กับลูกหลานได้เรียนรู้วิธีการบีบท้องว่าจะต้องบีบอย่างไร และต้องขอเรียนจึงจะได้รับการถ่ายทอดวิชา (หน้า 57)
          นอกจากนี้ยังมีการทำเครื่องจักสานจำพวก กระด้ง ขันโตก (พี๊เข่า) สายก๋วย จำนวน 3 คน คือ พ่อเฒ่ายาคะ แอบิ, พ่อเฒ่าจะนู แอพู และพ่อเฒ่าจะหยี จะตีก๋อย ซึ่งในวัยหนุ่มได้สืบทอดวิชาให้แก่ลูกหลาน (หน้า 37)
          ปู่เหล็กได้เดินทางไปศึกษาดูงานสมุนไพรและเก็บข้อมูลด้านพิธีกรรมยังต่างหมู่บ้าน และนำความรู้ที่ได้รับกลับมาถ่ายทอดให้กับคนในหมู่บ้าน (หน้า 25-26)

Health and Medicine

          การรักษาโรคของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปาย หมอผีจะทำการเสี่ยงทายด้วยกระดูกไก่ เพื่อดูว่าอาการที่เจ็บไข้นั้นถูกผีอะไร การรักษาจะใช้ยาต้ม ยาอบสมุนไพร และคาถาประกอบกัน อย่างเช่น ไข้มาลาเรีย การคลอดบุตรจะมีพ่อเฒ่ายาคะ แอบิ เป็นผู้สืบทอดวิธีการทำคลอดมาจากบรรพบุรุษเป็นผู้ทำคลอดประจำหมู่บ้าน ส่วนการห้ามเลือด ถ้ามีดบาดเลือดตกยางออก เลือดไม่หยุดไหล ตกห้วยตกดอย ปู่เหล็กสามารถรักษาอาการต่างๆให้หายได้ มีการใช้ภูมิปัญญาในการตรวจสารพิษในอาหาร โดยใช้หอมแดงปลอกใส่เห็ด หากมีพิษจะเปลี่ยนสีเป็นแดงหรือเขียว ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการดูแลสุขภาพ ปัจจุบันการรักษาโรคยังคงเหมือนในอดีต หากรักษาไม่หายจึงจะไปโรงพยาบาล เนื่องจากโรคในปัจจุบันไม่เหมือนโรคในอดีตและเป็นโรคที่ไม่รู้จัก เช่น โรคเอดส์ ส่วนในด้านประเพณีวัฒนธรรมของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปายนั้นในอดีตและปัจจุบันยังคงสืบทอดครบทุกประเพณี เพราะถ้าหากไม่ปฏิบัติแล้วจะไม่สบายใจ (หน้า 56-63, 76, 95-98, 104-105)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          ภาษาพูดและชุดประจำเผ่าหรือชุดมูเซอแดงที่ตัดเย็บเองถือเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของชนเผ่ามูเซอ (หน้า 5, 26)
          มูเซอแดงบ้านหัวปายยังคงสืบทอดการดำรงชีพและประเพณีวัฒนธรรมหลายอย่างเช่น ยังคงมีเตาไฟในบ้านที่จะต้องใช้ตากข้าวเปลือกเพราะมีความเชื่อว่าหากไม่มีเตาไฟก็จะเป็นมาลาเรีย เพราะสมัยก่อนไม่มีมุ้ง เสื่อ ผ้าห่ม เวลานอนต้องนอนรอบเตาไฟ และนอกจากนี้ยังมีครกตำข้าว ด้งฝัดข้าว คานเหนือเตาไฟ ครกตำน้ำพริก เหล็กสามขาตั้งหม้อ เครื่องมือล่าสัตว์ที่ยังสามารถพบเห็นได้ในการดำรงชีพของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปาย ส่วนในด้านของประเพณีวัฒนธรรมที่ยังคงให้เห็นอยู่ก็คือเครื่องบูชาทำพิธีในห้องที่ใช้สำหรับทำบุญ สะเดาะห์เคราะห์ และประกอบในพิธีต่างๆ ส่วนเครื่องดนตรีในงานประเพณีก็จะพบเห็นในเทศกาลกินวอและวันศีลใหม่ที่จะต้องใช้เครื่องดนตรีเหล่านี้ในการประกอบจังหวะ เช่น แคน (หน้า 101-102)
          มูเซอแดงบ้านหัวปายมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านของอาหาร ที่ในอดีตชาวบ้านพึ่งพาอาหารจากธรรมชาติและปลูกข้าวไร่ เลี้ยงหมูเป็นหลัก ปัจจุบันชุมชนก็ยังคงพึ่งพาอาหารจากป่าเป็นหลักเช่นกัน แต่สัตว์ป่านั้นลดเหลือน้อยลง จึงทำให้ชุมชนต้องพึ่งพาแหล่งอาหารจากร้านค้าภายนอก เนื่องจากมีถนนและการคมนาคมสะดวกจึงสามารถออกไปหาซื้ออาหารจากตัวอำเภอปายและอำเภอเวียงแหงได้ (หน้า 95)
          การแต่งกายในอดีตเสื้อผ้าของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปายจะเย็บและทอเอง เสื้อผ้าจะทำมาจากเปลือกไม้ชื่อ “ต้นปอ” ไม่มีรองเท้าใส่ ปัจจุบันมีการสวมใส่เสื้อผ้า2แบบ คือ ใส่แบบที่คนไทยพื้นราบทั่วไปจะมีผู้สวมใส่มาก เพราะเกิดจากการปรับตัวเพื่อติดต่อสื่อสารกับสังคมภายนอกมากขึ้น และหาใส่ง่ายและมีราคาถูกกว่าชุดประจำเผ่า และใส่แบบชุดมูเซอแดงจะสวมใส่ในกลุ่มผู้นำ ชุดมูเซอแดงชาย-หญิงในปัจจุบันได้ประยุกต์รูปแบบมาจากชุดชนเผ่ามูเซอแดงแบบดั้งเดิมเข้ากับชุดของชนเผ่ามูเซอดำ เพราะมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน (หน้า 95-98, 104-105)

Social Cultural and Identity Change

          ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้านหัวปายจะอยู่ในกลุ่มเยาวชนชายเป็นส่วนใหญ่ที่ออกไปทำงานในเมืองใหญ่ สัมผัสความเปลี่ยนแปลงในยุคบริโภคนิยมจากภายนอกชุมชนมากกว่าคนในวัยอื่นและสิ่งที่ตามมาก็ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงในด้านของวัตถุ จะนำสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเข้ามาสู่ชุมชน เช่น สเตอริโอ รถจักรยานยนต์ และอื่นๆอีกมากมาย และความเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมนั้นก็คือการย้อมสีผมเลียนแบบวัยรุ่นในเขตเมือง แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงมากมายกลุ่มเยาวชนยังให้ความเคารพเชื่อฟังคนเฒ่าคนแก่และผู้นำชุมชนเสมอมา (หน้า 99)

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่ประวัติศาสตร์การย้ายชุมชน (หน้า 8)
แผนผังบ้านหัวปาย (หน้า 12)
จำนวนประชากรแยกตามอายุ/เพศ (หน้า 12)
ตารางรายชื่อผู้รู้/ปราชญ์ชาวบ้าน (หน้า 64)
ภาพผู้รู้/ปราชญ์ชาวบ้าน (หน้า 65)
ภาพการเต้นจะคึ (หน้า 78)
ภาพโอ๊ะกู่เกอเอเว (หัวมน) (หน้า 91)
ภาพบันไดบ้าน 5ซี่ (หน้า 92)
ภาพชุดแต่งกายประจำเผ่ามูเซอแดง ชาย-หญิง (หน้า 97)

Text Analyst สุดารัตน์ ขาวปลื้ม Date of Report 25 เม.ย 2559
TAG ลาหู่, ลาหู่ญี (มูเซอแดง), ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ปาย, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง