|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่, ลาหู่ญี (มูเซอแดง), ภูมิปัญญาชาวบ้าน, ปาย, แม่ฮ่องสอน |
Author |
ยาโพ จะตีก๋อย, ปะกู จะตีก๋อย, ไพศาล พุทธพันธ์ |
Title |
การศึกษาภูมิปัญญามูเซอแดง บ้านหัวปาย ต.เวียงเหนือ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
106 หน้า |
Year |
2556 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย , สำนักงานภาค |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้เกิดขึ้นจากความต้องการของชุมชนในการค้นหาองค์ความรู้ต่างๆของชุมชนที่แสดงให้เห็นว่า ชุมชนบ้านหัวปายสามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้อย่างไรนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ชุมชนอยู่ในพื้นที่สูงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการพัฒนาขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น บริการด้านสาธารณสุข ไฟฟ้า การคมนาคม โอกาสทางการศึกษา จากหน่วยงานภาครัฐ แต่กลับดำเนินวิถีชีวิตอยู่รอดมาได้และยังคงสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าดั้งเดิมไว้ ดังนั้นการที่ชุมชนสามารถดำรงชีพอยู่รอดสืบต่อมาได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะต้องมีหัวใจสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความสุขของชุมชนนั้นก็คือ ความจำเป็นขั้นพื้นฐานหรือปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ภูมิปัญญาหรือองค์ความรู้ที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อที่คอยควบคุมการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องเป็นไปตามกฎหมายชุมชน ระบบผู้นำตามธรรมชาติที่เข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้นำและสืบทอดภูมิปัญญา ประเพณีวัฒนธรรม และความเชื่อต่างๆ ให้สามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างราบรื่นตั้งแต่อดีต ถึงแม้ในปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัด แต่ชุมชนก็มีแนวทางในการปรับตัวในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ชุมชนอยู่ได้ โดยไม่ทอดทิ้งวิถีแบบดั้งเดิมตามความเชื่อของบรรพชน และมีการผสมผสานสิ่งใหม่เข้ากับสิ่งเก่าได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน (หน้า 94, 106) |
|
Focus |
ศึกษารวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ประเพณีวัฒนธรรม ความมั่นคงทางอาหาร ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ที่ส่งผลให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน (หน้า 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดของมูเซอจัดอยู่ในตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) มีลักษณะเป็นภาษาคำโดด ไม่มีเสียงพยัญชนะสะกด (หน้า 5) |
|
Study Period (Data Collection) |
มีนาคม 2547- มกราคม 2549 เป็นการเก็บข้อมูลภาคสนาม โดยเน้นกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติแบบมีส่วนร่วม (หน้า 3, 18) |
|
History of the Group and Community |
ชาวมูเซอแดงดั้งเดิมอาศัยอยู่ที่เมืองลาซา ประเทศทิเบต แต่เนื่องจากสงครามกับประเทศจีนบวกและการแย่งชิงอาณาเขต จึงทำให้มูเซอแดงอพยพมายังประเทศไทยที่บ้านแสนคำลือ และบางส่วนได้อพยพไปอยู่ประเทศลาว เมื่อชาวบ้านอพยพเข้ามาอยู่บริเวณบ้านแสนคำลือ เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นจัดและพื้นที่ทำกินไม่เพียงพอ จึงอพยพไปที่ดอยสามจุก ซึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาใกล้หัวน้ำต้อในประเทศพม่า ชาวบ้านอยู่บริเวณนี้เป็นเวลา 50ปี ต่อมาเนื่องจากปัญหาชายแดน ชาวบ้านจึงย้ายไปบริเวณที่เรียกว่าแหม่กี๊แส่เด อ.ปาย พื้นที่นี้อยู่ใกล้ริมทางหลวงจึงเป็นเส้นทางคาราวานชาวจีน ที่มีการจี้ปล้นเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านในหมู่บ้านถูกฆ่าตาย จึงทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวอยู่อาศัยในพื้นที่นี้เป็นระยะเวลา 20 ปี ก่อนจะอพยพไปยังบริเวณทาโก๋ย ซึ่งมีลักษณะภูมิศาสตร์ที่อยู่ใกล้น้ำตกห้วยงู แต่ก็เกิดเหตุการณ์ทะเลาะกับชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ปลายน้ำและมีโรคมาลาเรียเกิดขึ้น จึงอพยพต่อไปยังบริเวณป่ามะนอด ซึ่งมีลักษณะพื้นที่เป็นสันดอย ชาวบ้านอยู่อาศัยบริเวณนี้เป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากโครงการหลวงฯเสนอให้ไปรับจ้างปลูกป่าและได้รายได้ดี ชาวบ้านจึงตัดสินใจอพยพไปยังบริเวณปางงาน ชาวบ้านอาศัยในพื้นที่นี้ได้เพียง 4 ปี ก็ทำการย้ายที่อยู่ใหม่ เนื่องจากอาชีพปลูกป่าได้รายได้น้อยไม่พอกิน ชาวบ้านจึงย้ายที่อยู่อีกครั้งไปอยู่อาศัยบริเวณแฮะป่าเสอเวะ ชาวบ้านอยู่อาศัยบริเวณนี้ได้เพียง 6 ปีเท่านั้น ก็ต้องย้ายที่อยู่ใหม่ เนื่องมาจากโครงการสามหมื่นได้เข้ามาสำรวจพื้นที่ และเห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้ไม่เหมาะสมกับการอยู่อาศัย จึงทำการสำรวจพื้นที่บริเวณใกล้เคียงและให้ชาวมูเซอย้ายมาอยู่ในอาศัยในพื้นที่ริมฝั่งน้ำปายในปัจจุบัน (หน้า 7,9-10) |
|
Settlement Pattern |
รูปแบบการตั้งถิ่นฐานมักตั้งในบริเวณพื้นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาใกล้ทางน้ำ หรือพื้นที่ที่เป็นสันดอน หรือพื้นที่ใกล้กับแหล่งน้ำเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 7,9-10)
ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของมูเซอแดงจะใช้ประโยชน์จากไม้ที่มีในบริเวณชุมชนเป็นหลัก มักจะสร้างบ้านแบบไม่ติดดิน บ้านจะไม่มีกันสาด ประตูห้องจะสร้างไม่ตรงกับประตูบ้าน ส่วนบันไดบ้านจะต้องให้สร้างให้เป็นจำนวนคี่ เช่น 5 ซี่ เป็นต้น (หน้า 92) |
|
Demography |
บ้านหัวปายมีจำนวนประชากรรวม 122 คน เป็นชาย 66 คน และหญิง 56 คน (หน้า 10,12) |
|
Economy |
ชุมชนใช้แหล่งทรัพยากรธรรมชาติรอบๆหมู่บ้าน คือ บริเวณป่าและแหล่งน้ำต่างๆทั้งในน้ำเชี่ยวและน้ำนิ่ง บริเวณหน้าผาน้ำตกสองเมืองหรือบริเวณห้วยลอกานะ ในการทำการเกษตรเพื่อยังชีพ เมื่อมีผลผลิตเหลือมากพอจึงนำมาขาย (หน้า10, 15-17, 66-77)
ระบบการผลิตของชุมชนมีทั้งการขายสัตว์เลี้ยงจำพวกวัว ควาย หมู ซึ่งวัวถือเป็นรายได้หลักและทำรายได้ให้มากที่สุด ขายข้าว พืชผักเกษตร เป็ดเทศ ตีมีด เย็บผ้า และต้นไม้กวาดซึ่งเก็บมาจากบริเวณป่ารอบๆหมู่บ้านแล้วนำมาตีดอกแล้วนำก้านดอกหญ้าไปขายให้กับพ่อค้า เพื่อทำไม้กวาด (หน้า 15-17)
นอกจากนี้ยังมีการออกไปรับจ้างทำงานเกษตรหรืองานก่อสร้าง เพื่อให้มีรายได้มาซื้อสินค้า เครื่องนุ่งห่ม และรถจักรยานยนต์ (หน้า 16-17)
รายได้เสริมอีกส่วนหนึ่งได้จากการขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยว และจัดนำเที่ยวชุมชนโดยผ่านโครงการฟื้นฟูชีวิตและวัฒนธรรม (หน้า 17)
การบริโภคอาหารของคนในหมู่บ้านนี้ก็จะอาศัยการพึ่งพาอาหารจากธรรมชาติก็มีทั้งสัตว์ปีก อย่างเช่น ไก่ป่า พิแตว ที่นำมาตำน้ำพริก และสัตว์ป่าซึ่งนอกจากการล่าเพื่อนำมาแบ่งกันกิน แล้วยังมีการนำไปเป็นยาอีกด้วย เช่น เลียงผา ที่นำเขามาเผาไฟแล้วนำมาทานมแก้นมคัด หรือใช้ไขข้อกระดูกมารักษาอาการปวดเมื่อตามร่างกาย รวมไปถึงปัสสาวะที่ใช้รักษาแผลจากการถูกยิงได้ ค่างนำขี้ เนื้อ และเลือด มาใช้เป็นยารักษาได้ทุกโรค หมูหมาหรือหมูหลึ่ง นำสมองและกระดูกส่วนหัวมาใช้แก้โรคลมบ้าหมูได้และแก้ผดผื่นคันได้อีกด้วย ฯลฯ ส่วนอาหารประเภทสัตว์น้ำนั้นก็อย่างเช่น ปลาพวงหรือปลามุง ปลามอนนำมาย่างหัวจะมัน ฯลฯ พืชอาหารในป่าก็พวกยอดส้มปี้ จะนำใบและยอดมาประกอบอาหาร ส่วนต้นจะทำขี้โยหรือยาเส้น เป็นยาระบายอ่อน บัวบกจะต้มดื่มน้ำ ตะไคร้ ต้นจะนำมาเม็ดที่เป็นพวงมาแกงใส่ผักอื่นๆ ฯลฯ และสุดท้ายอาหารประเภทผักในไร่ข้าวที่ชาวบ้านปลูกไว้เองภายในชุมชน อย่างเช่น เผือก ข้าวโพด หม่ากะเลาหรือที่เรียกว่ามันสำปะหลัง จะนำมาใช้แกงใส่ไก่ ทำขนม บ้างก็ปิ้งกินได้ ผักอีหลื่อ ชาวบ้านจะใช้ใส่ปรุงรสตำน้ำพริก หรือนำมาใส่แกง ใบชู ที่จะนิยมกินใบกับหัว นำมาใส่เวลาตำน้ำพริก หรือใส่แกง เป็นต้น (หน้า 66-77) |
|
Social Organization |
โครงสร้างทางสังคมของมูเซอในระดับครอบครัวจะยึดถือแบบผัวเดียวเมียเดียว และในระดับหมู่บ้านจะมีลักษณะทางสังคมที่ผูกพันกันอย่างหลวมๆ ทั้งหมู่บ้านนับเป็นญาติพี่น้องกันหมดและต้องช่วยเหลือกัน ครัวเรือนมีอิสระแยกตัวจากหมู่บ้านได้
ระบบเครือญาติ มูเซอมีการสืบตระกูลทางฝ่ายแม่ ผู้ชายแต่งงานแล้วก็จะต้องออกไปอยู่บ้านภรรยา แต่สำหรับผู้ชายมูเซอแดงนั้นเมื่อแต่งงานไปเป็นเขย และไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของภรรยาตามประเพณีและมักจะเกิดเหตุกับพี่น้องของภรรยา จนทำให้ต้องแยกตัวออกมาสร้างบ้านเรือนใหม่ ดังนั้นเมื่อมีการประกอบพิธีกรรมก็มักจะเข้าร่วมกับญาติฝ่ายสามี เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้น ฝ่ายสามีจะเป็นผู้สืบตระกูลแทนเมื่อบิดามารดาของตนเสียชีวิต (หน้า 6)
ในอดีตไม่มีการแบ่งพื้นที่การเพาะปลูกที่แน่นอน มีการบุกเบิกพื้นที่ไปเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง คณะกรรมการหมู่บ้านจึงเป็นผู้เลือกพื้นที่ให้ประมาณครัวเรือนละ 15 ไร่ (หน้า 50)
มีการรวมกลุ่มกันภายในชุมชนเป็นกองทุนชุมชนหลายรูปแบบ ได้แก่ 1.) ธนาคารข้าวที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการดอยสามหมื่น มีไว้สำหรับซื้อข้าวและให้กู้ยืมทั้งข้าวและเงิน 2.) สหกรณ์ ที่ได้รับสนับสนุนจากศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอปาย ศศช.แม่ฟ้าหลวง “บ้านหัวปาย” เพื่อใช้ในการซื้อของมาขายในหมู่บ้าน และ 3.) กองทุนยาของสมเด็จย่า ที่ให้เป็นตัวยามาแล้วนำมาขายให้กับคนในหมู่บ้านเพื่อใช้ในการรักษาโรคต่างๆ (หน้า 14-15) |
|
Political Organization |
ผู้นำที่สำคัญของชุมชนตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ท่าน คือ ปู่เหล็ก มีบทบาทสำคัญในการทำเครื่องมือทางการเกษตรให้แก่ทุกครัวเรือนในหมู่บ้าน ปู่จองมีบทบาทด้านพิธีกรรมต่างๆของชุมชน และลาส่อ ทำหน้าคล้ายครูที่คอยอบรมสั่งสอนเยาวชนให้ปฏิบัติตนในครรลองที่ถูกต้อง และในปัจจุบันผู้อาวุโสนายปะกู จะตีก๋อย รับหน้าที่เป็นผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 10-11)
เนื่องจากชุมชนผ่านการอพยพแยกย้ายไปยังถิ่นต่างๆ ทำให้คู่หนุ่มสาวต้องเลิกหรือแยกกันอยู่ จึงมี “การตั้งราคา” เพื่อชดใช้ เช่น ใช้ “เงินสามขัน” ห่อผ้าขว้างแม่น้ำให้อีกฝ่ายซึ่งต้องอพยพไปที่อื่น ต่อมาจึงกลายเป็นกฎการกำหนดราคากันอย่างจริงจัง ในชุมชนหัวปายเริ่มตั้งราคาในปี พ.ศ. 2527 และมีการตั้งกฎระเบียบเอาไว้หากใครผิดกฎกติกาก็จะต้องเสียค่าปรับตามที่ได้ตกลงกันไว้ เช่น การเล่นชู้ การแต่งงาน การเลิกล้างกัน ยังมีการตั้งข้อห้ามและโทษของการปรับเอาไว้อีกด้วย หากทำผิดกฎกติกาหรือข้อห้ามจะต้องได้รับบทลงโทษโดยการปรับเป็นค่าทดแทน เช่น ห้ามยิงปืนภายในหมู่บ้าน คนขโมยของในบ้าน ช๊อตปลาหรือจับปลาในเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลา หรือกฎระเบียบในการดูแลและรักษาป่าที่ทำกิน หากทำผิดกฎระเบียบที่ตั้งไว้ก็จะถูกปรับตามกฎระเบียบที่ได้ตกลงกันไว้ (หน้า 34-37)
นอกจากนี้แล้วหมู่บ้านแห่งนี้ยังมีการตั้งคณะกรรมการดูแลและรักษาป่า/พื้นที่ทำกิน จำนวน 15 คน และตั้งกฎในการดูแลรักษาป่า หากหาได้แล้วไม่แบ่งปันก็จะต้องเสียค่าปรับไหม(แล้วแต่จะเรียก) เช่น หมูป่า เก้ง และจะนำเงินที่ได้จากการปรับไหมมาใช้ประโยชน์ การตั้งราคานี้เป็นการกำหนดราคาร่วมกันของคนในหมู่บ้านและมีการปรับราคากันเรื่อยๆให้เหมาะสม (หน้า34-37) |
|
Belief System |
มูเซอนับถือว่าพระเจ้าอื่อชาเป็นผู้สร้างโลก และมีความเชื่อในภูติผีวิญญาณ เช่น ผีเรือน ผีประจำหมู่บ้าน ผีฟ้า ผีไร่ ผีป่า ผีดอย ฯลฯ ความเชื่อต่างๆยังมีการเล่าสืบทอดเป็นนิทานมากมาย (หน้า 7) ความเชื่อเกี่ยวกับการเกษตร คือ เชื่อกันว่าเมื่อเล่นหมากข่างเละแคะปู๋ฉี่ แล้วพืชผักในไร่จะให้ผลผลิตดี ห้ามจัดพิธีแต่งงานในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เพราะเชื่อกันว่าถ้าหากแต่งงานช่วงนี้จะทำอะไรไม่เจริญ และยังมีความเชื่อต่างๆอีกมากมาย เช่น เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี ตัดทรงโอ๊ะกู่เกอเอเว (หัวมน) เพื่อให้เด็กโตไว้ ห้ามหันหน้าครกตำข้าวไปตรงหน้าประตูบ้านเพราะเปรียบเหมือนครกขวางทางเข้าออกขวัญของเรา นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องการสร้างบ้าน การคัดวัว ม้า และหมู รวมไปถึงพฤติกรรมของสัตว์ที่สามารถเป็นลางบอกเหตุร้าย (หน้า 7, 57, 82, 90-94)
ประเพณีที่สำคัญของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปาย คือ กินวอปีใหม่ เป็นการขอบคุณพระเจ้าที่ประทานข้าวให้มีกินตลอดทั้งปี และเพื่อให้ฟ้าฝนดี จัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม จะมีการเต้นจะคึ มีพิธีตำข้าวปุ๊กขึ้นมาเพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ได้ประทานข้าวให้กับชาวบ้านมีกินตลอดปีและเพื่อให้ฟ้าฝนดี ในประเพณีนี้ชาวมูเซอแดงจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าประจำเผ่าชุดใหม่ ชาวมูเซอแดงบ้านหัวปายจะมีวันศีลใหญ่ (ศีลโหลง) 3วัน คือ วันศีลใหญ่เดือนหก (แซะก่อเว) วันศีลใหญ่เข้าพรรษา (เข่าเว) มีพิธีตานศาลาเป็นการทำบุญให้กับเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าดอย พิธีฮ้องขวัญสัตว์ เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการล่าสัตว์จะทำหลังจากทำพิธีตานศาลาเสร็จ และวันศีลใหญ่ออกพรรษา (เอ๊าะเว) ซึ่งจะไม่กินเนื้อ ไม่ล่า สัตว์ ไม่เอาของป่ามาใช้ และไม่ทำไร่ทำงาน และวันศีลน้อย (ศีลยี) คือ วันพระที่ชาวบ้านจะไม่ทำบาป ไม่ทำงาน แต่ละบ้านจะทำบุญให้กับผีบ้านผีเรือน (หน้า 78-85)
พิธีกรรมของชาวมูเซอบ้านหัวปายก็มีหลากหลาย เช่น พิธีปลูกข้าวไร่ในช่วงเดือนเมษายนพิธีนี้ทำขึ้นเพื่อให้เจ้าที่เจ้าดอยรู้ว่าปีนี้เราจะทำมาหากินที่นี่ นอกจากนี้ยังมีพิธีขอบคุณปู่เหล็ก เพื่อเป็นการขอบคุณที่ได้ทำเครื่องทางการเกษตรให้ใช้ พิธีกินข้าวใหม่ ที่จะทำทุกปีหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว นอกจากนี้แล้วยังมีพิธีกรรมอื่นๆอีกมาก ได้แก่ การสืบชะตา พิธีขอบคุณเครื่องมือการเกษตร (อะถ่ออ่อจ่าเว) พิธีเสี่ยงทายกระดูกไก่ การขอขมาน้ำ (ผิดผีน้ำ) พิธีการส่งผี พิธีตู้คนตาย พิธีปราบผี พิธีฝังศพ พิธีซอซะปูโกยเตเว พิธีงานแต่งงาน และพิธีขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น (หน้า 54, 79, 84-91) |
|
Education and Socialization |
คณะวิจัยได้รวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาที่มีผู้รู้น้อย แล้วทำกิจกรรมให้เกิดการเรียนรู้ถ่ายทอดภายในชุมชน เช่น การเย็บชุดมูเซอแดงมีแม่เฒ่านาทอ ตอคอ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และคอยให้คำปรึกษา (หน้า 27)
มีการสืบทอดความรู้ในการทำคลอดทั้งหมด 4 คน คือ พ่อเฒ่ายาคะ แอบิ, พ่อเฒ่าจะนู แอพู, แม่เฒ่านาแกและแม่เฒ่านะอือ จะตีก๋อย ได้รับการถ่ายทอดมาจากคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งจะส่งต่อให้กับลูกหลานได้เรียนรู้วิธีการบีบท้องว่าจะต้องบีบอย่างไร และต้องขอเรียนจึงจะได้รับการถ่ายทอดวิชา (หน้า 57)
นอกจากนี้ยังมีการทำเครื่องจักสานจำพวก กระด้ง ขันโตก (พี๊เข่า) สายก๋วย จำนวน 3 คน คือ พ่อเฒ่ายาคะ แอบิ, พ่อเฒ่าจะนู แอพู และพ่อเฒ่าจะหยี จะตีก๋อย ซึ่งในวัยหนุ่มได้สืบทอดวิชาให้แก่ลูกหลาน (หน้า 37)
ปู่เหล็กได้เดินทางไปศึกษาดูงานสมุนไพรและเก็บข้อมูลด้านพิธีกรรมยังต่างหมู่บ้าน และนำความรู้ที่ได้รับกลับมาถ่ายทอดให้กับคนในหมู่บ้าน (หน้า 25-26) |
|
Health and Medicine |
การรักษาโรคของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปาย หมอผีจะทำการเสี่ยงทายด้วยกระดูกไก่ เพื่อดูว่าอาการที่เจ็บไข้นั้นถูกผีอะไร การรักษาจะใช้ยาต้ม ยาอบสมุนไพร และคาถาประกอบกัน อย่างเช่น ไข้มาลาเรีย การคลอดบุตรจะมีพ่อเฒ่ายาคะ แอบิ เป็นผู้สืบทอดวิธีการทำคลอดมาจากบรรพบุรุษเป็นผู้ทำคลอดประจำหมู่บ้าน ส่วนการห้ามเลือด ถ้ามีดบาดเลือดตกยางออก เลือดไม่หยุดไหล ตกห้วยตกดอย ปู่เหล็กสามารถรักษาอาการต่างๆให้หายได้ มีการใช้ภูมิปัญญาในการตรวจสารพิษในอาหาร โดยใช้หอมแดงปลอกใส่เห็ด หากมีพิษจะเปลี่ยนสีเป็นแดงหรือเขียว ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการดูแลสุขภาพ ปัจจุบันการรักษาโรคยังคงเหมือนในอดีต หากรักษาไม่หายจึงจะไปโรงพยาบาล เนื่องจากโรคในปัจจุบันไม่เหมือนโรคในอดีตและเป็นโรคที่ไม่รู้จัก เช่น โรคเอดส์ ส่วนในด้านประเพณีวัฒนธรรมของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปายนั้นในอดีตและปัจจุบันยังคงสืบทอดครบทุกประเพณี เพราะถ้าหากไม่ปฏิบัติแล้วจะไม่สบายใจ (หน้า 56-63, 76, 95-98, 104-105) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ภาษาพูดและชุดประจำเผ่าหรือชุดมูเซอแดงที่ตัดเย็บเองถือเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของชนเผ่ามูเซอ (หน้า 5, 26)
มูเซอแดงบ้านหัวปายยังคงสืบทอดการดำรงชีพและประเพณีวัฒนธรรมหลายอย่างเช่น ยังคงมีเตาไฟในบ้านที่จะต้องใช้ตากข้าวเปลือกเพราะมีความเชื่อว่าหากไม่มีเตาไฟก็จะเป็นมาลาเรีย เพราะสมัยก่อนไม่มีมุ้ง เสื่อ ผ้าห่ม เวลานอนต้องนอนรอบเตาไฟ และนอกจากนี้ยังมีครกตำข้าว ด้งฝัดข้าว คานเหนือเตาไฟ ครกตำน้ำพริก เหล็กสามขาตั้งหม้อ เครื่องมือล่าสัตว์ที่ยังสามารถพบเห็นได้ในการดำรงชีพของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปาย ส่วนในด้านของประเพณีวัฒนธรรมที่ยังคงให้เห็นอยู่ก็คือเครื่องบูชาทำพิธีในห้องที่ใช้สำหรับทำบุญ สะเดาะห์เคราะห์ และประกอบในพิธีต่างๆ ส่วนเครื่องดนตรีในงานประเพณีก็จะพบเห็นในเทศกาลกินวอและวันศีลใหม่ที่จะต้องใช้เครื่องดนตรีเหล่านี้ในการประกอบจังหวะ เช่น แคน (หน้า 101-102)
มูเซอแดงบ้านหัวปายมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านของอาหาร ที่ในอดีตชาวบ้านพึ่งพาอาหารจากธรรมชาติและปลูกข้าวไร่ เลี้ยงหมูเป็นหลัก ปัจจุบันชุมชนก็ยังคงพึ่งพาอาหารจากป่าเป็นหลักเช่นกัน แต่สัตว์ป่านั้นลดเหลือน้อยลง จึงทำให้ชุมชนต้องพึ่งพาแหล่งอาหารจากร้านค้าภายนอก เนื่องจากมีถนนและการคมนาคมสะดวกจึงสามารถออกไปหาซื้ออาหารจากตัวอำเภอปายและอำเภอเวียงแหงได้ (หน้า 95)
การแต่งกายในอดีตเสื้อผ้าของชาวมูเซอแดงบ้านหัวปายจะเย็บและทอเอง เสื้อผ้าจะทำมาจากเปลือกไม้ชื่อ “ต้นปอ” ไม่มีรองเท้าใส่ ปัจจุบันมีการสวมใส่เสื้อผ้า2แบบ คือ ใส่แบบที่คนไทยพื้นราบทั่วไปจะมีผู้สวมใส่มาก เพราะเกิดจากการปรับตัวเพื่อติดต่อสื่อสารกับสังคมภายนอกมากขึ้น และหาใส่ง่ายและมีราคาถูกกว่าชุดประจำเผ่า และใส่แบบชุดมูเซอแดงจะสวมใส่ในกลุ่มผู้นำ ชุดมูเซอแดงชาย-หญิงในปัจจุบันได้ประยุกต์รูปแบบมาจากชุดชนเผ่ามูเซอแดงแบบดั้งเดิมเข้ากับชุดของชนเผ่ามูเซอดำ เพราะมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน (หน้า 95-98, 104-105) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้านหัวปายจะอยู่ในกลุ่มเยาวชนชายเป็นส่วนใหญ่ที่ออกไปทำงานในเมืองใหญ่ สัมผัสความเปลี่ยนแปลงในยุคบริโภคนิยมจากภายนอกชุมชนมากกว่าคนในวัยอื่นและสิ่งที่ตามมาก็ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงในด้านของวัตถุ จะนำสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเข้ามาสู่ชุมชน เช่น สเตอริโอ รถจักรยานยนต์ และอื่นๆอีกมากมาย และความเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมนั้นก็คือการย้อมสีผมเลียนแบบวัยรุ่นในเขตเมือง แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงมากมายกลุ่มเยาวชนยังให้ความเคารพเชื่อฟังคนเฒ่าคนแก่และผู้นำชุมชนเสมอมา (หน้า 99) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ประวัติศาสตร์การย้ายชุมชน (หน้า 8)
แผนผังบ้านหัวปาย (หน้า 12)
จำนวนประชากรแยกตามอายุ/เพศ (หน้า 12)
ตารางรายชื่อผู้รู้/ปราชญ์ชาวบ้าน (หน้า 64)
ภาพผู้รู้/ปราชญ์ชาวบ้าน (หน้า 65)
ภาพการเต้นจะคึ (หน้า 78)
ภาพโอ๊ะกู่เกอเอเว (หัวมน) (หน้า 91)
ภาพบันไดบ้าน 5ซี่ (หน้า 92)
ภาพชุดแต่งกายประจำเผ่ามูเซอแดง ชาย-หญิง (หน้า 97) |
|
|