|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์มุสลิม,ประวัติศาสตร์,การธำรงชาติพันธุ์,ภาษา,ความยากจน,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
Seni Mudmarn |
Title |
Social Science Research in Thailand: The Case of Muslim Minority |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Total Pages |
21 |
Year |
2537 |
Source |
Muslim social science in Asean, Omar Farouk Bajunid, Asean Forum for Muslim Social Scientists 1988: Bangkok, Kuala Lumpur : Yayasan Penataran Ilmu. |
Abstract |
ผู้เขียนได้เปรียบเทียบงาน 3 งานที่เขียนโดยมุสลิมและชี้ให้เห็นว่ามีประเด็นปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ดังนี้ 1) ประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ไม่ตรงกันของจังหวัดทางภาคใต้ของไทย โดยนักประวัติศาสตร์ไทยอ้างว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นของไทยมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่นักประวัติศาสตร์มาเลย์กลับอ้างว่าพื้นที่นั้นเป็นเอกเทศ และขึ้นกับไทยเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คนในพื้นที่พยายามต่อต้านอำนาจการครอบงำของไทย 2) ความสับสนระหว่างความเป็นชาติพันธุ์กับความเป็นชาติ แม้ว่ามุสลิมทางภาคใต้จะยอมรับว่าตนเป็น "คนไทย" แต่ในแง่ชาติพันธุ์แล้ว วิถีชีวิตของคนเหล่านี้ ทั้งทางด้านภาษา ประเพณีและพฤติกรรมทางสังคมยังมีความเป็นชนเผ่าอยู่มาก 3) ความหวาดกลัวว่าการเข้ามาของวัฒนธรรมไทยจะทำให้วัฒนธรรมมาเลย์หายไปในที่สุด จึงทำให้มุสลิมพยายามทำทุกวิถีทางให้วัฒนธรรมของตนยังดำรงอยู่ต่อไป 4) ปัญหาความยากจนของมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ 5) งานเขียนทั้งสามชิ้นเสนอว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทางภาคใต้มี 5 ประการคือ ด้านวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา การศึกษา และความยากจน รัฐบาลควรยอมรับข้อแตกต่างเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นปัญหาเหล่านี้ก็จะมีอยู่ต่อไป |
|
Focus |
เปรียบเทียบแนวทางต่าง ๆ ในการอธิบายปัญหาความรุนแรงใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล) จากงานเขียน 3 งานคือ 1. Islam and Malay Nationalism: A case study of the Malay-Muslims of Southern Thailand, by Surin Pitsuwan 2. Islam and Violence: A case study of violent Events in the four provinces of Thailand, 1976-1981, by Chaiwat Satha-Anand 3. Language Use and Loyalty Among the Muslims-Malays of Southern Thailand, by Seni Mudmarn |
|
Theoretical Issues |
ในทัศนะของผู้เขียน งาน 3 งานนี้ ซึ่งเขียนโดยมุสลิมสะท้อนให้เห็นว่า มีประเด็นปัญหาทางวิชาการในการอธิบายความขัดแย้งระหว่างรัฐและมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายประเด็นด้วยกันคือ (1) มีความไม่สอดคล้องในเรื่องการตีความประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีและความสัมพันธ์ที่มีกับรัฐไทยระหว่างงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ไทยและนักประวัติศาตร์มลายูท้องถิ่น (2) ข้าราชการไทยสับสนในความหมายของ "สัญชาติ" และ "ชาติพันธุ์" เพราะที่จริงมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้รู้ว่าเป็นคนไทยโดยสัญชาติ แต่ก็เป็นมลายูโดยชาติพันธุ์ (3) สำหรับมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มลายูและศาสนาอิสลามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (4) งาน 3 งานที่ยกมามองว่าวัฒนธรรม ศาสนา ภาษา การศึกษาและความยากจน นำไปสู่ปรากฏการณ์ "ปัญหาชายแดนภาคใต้" |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาสและสตูล) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษามาเลย์เป็นภาษาแม่ของมุสลิมทางภาคใต้ 75% ของประชากรทางภาคใต้ (อายุมากกว่า 5 ปี) พูดภาษาไทยไม่ได้ (หน้า 33) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Economy |
ใน Islam and Violence: A case study of violent Events in the four provinces of Thailand, 1976-1981, by Chaiwat Satha-Anand ระบุมีความแตกต่างระหว่างไทยมุสลิมทางภาคใต้กับไทยพุทธทางด้านเศรษฐกิจ กล่าวคือ ไทยมุสลิมมีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าไทยพุทธหรือคนไทยเชื้อสายจีน โดยคนไทยเชื้อสายจีนจะมีบทบาทในกิจการใหญ่ ๆ ไทยพุทธก็จะเป็นข้าราชการ มุสลิมส่วนใหญ่กลับมีอาชีพประมง ขายของหรือเป็นเจ้าของร้านเล็ก ๆ หรือเป็นชาวไร่ชาวสวนที่มีพื้นที่ทำกินไม่มากนัก (หน้า 31) |
|
Political Organization |
ใน Islam and Malay Nationalism: A case study of the Malay-Muslims of Southern Thailand, by Surin Pitsuwan ระบุว่ามีการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) เพื่อต้านลัทธิอาณานิคมจากชาติตะวันตก การปฏิรูปการปกครองทำให้อำนาจของผู้นำมาเลย์ลดลง เป็นการไปแทรกแซงอำนาจของผู้นำมาเลย์ ศาลอิสลามที่จัดตั้งโดยรัฐบาลถูกคว่ำบาตรจากผู้นำทางศาสนาในปัตตานี มีการติดต่อขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ แต่อังกฤษไม่สนใจ เพราะต้องการใช้ไทยเป็นกันชนกับฝรั่งเศส ในช่วงปี พ.ศ. 2465 - พ.ศ. 2488 เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางอำนาจ มีความคิดเรื่องชาตินิยมมากขึ้น "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" เป็นสิ่งสำคัญ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษา รวมทั้งสื่อการเรียนการสอน ต่าง ๆ ในโรงเรียนสอนศาสนา และรัฐบาลยังควบคุมคนมาเลย์ในด้านอื่น ๆ อีกด้วย แต่เมื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองใน พ.ศ. 2475 "มลายูมุสลิม" ก็มีความหวังที่จะมีอำนาจในการปกครองตนเองได้มากขึ้น เพราะ มุสลิมได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้แทนราษฎรในท้องที่เป็นจำนวนมาก ในยุคที่จอมพล ป. พิบูลย์สงครามเป็นผู้นำประเทศ ได้มีการออกนโยบายทางวัฒนธรรมออกมา ซึ่งบังคับให้ประชาชนทุกคนรวมทั้งมุสลิมแต่งกายตามแบบตะวันตก พูดภาษาไทย และปฏิบัติตามธรรมเนียมไทย แต่เมื่อสิ้นยุคจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ก็ได้มีการตรากฎหมายอิสลามขึ้นในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของปัญหาการแบ่งแยกดินแดนได้ระดับหนึ่ง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้นำมาเลย์ได้สนับสนุนฝ่ายอังกฤษในการต่อสู้กับญี่ปุ่นโดยหวังว่าอังกฤษจะช่วยตนเป็นการตอบแทน แต่เพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ขยายตัวกว้างขึ้น อังกฤษจึงต้องสานสัมพันธ์กับทางฝ่ายรัฐบาลและเพิกเฉยต่อสถานการณ์ของชาวมาเลย์ ช่วงหลังสงคราม รัฐบาลได้เข้าไปแทรกแซงกิจการของมุสลิมหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งด้านตุลาการ ทำให้ผู้นำมุสลิมชื่อหะยี สุหลง ลุกขึ้นมาต่อต้านและยื่นข้อเสนอเจ็ดประการให้กับรัฐบาล ซึ่งฝ่ายมุสลิมมองว่าเป็นข้อเรียกร้องที่จะช่วยรักษาวัฒนธรรมของมุสลิมต่อไป แต่ฝ่ายรัฐบาลกลับมองว่าเป็นการท้าทายรัฐ จึงได้จับกุมตัวนายหะยี สุหลง ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้นำมุสลิมเป็นอย่างมาก ในช่วงปี พ.ศ. 2500 - พ.ศ.2516 ได้มีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้น ทำให้ปัญหาความขัดแย้งลดลง มีการปฏิรูปโรงเรียนปอเนาะ มีการลงทะเบียนจัดตั้งโรงเรียน ในที่สุดโรงเรียนปอเนาะก็เปลี่ยนเป็นโรงเรียนเอกชนและใช้หลักสูตรการเรียนการสอนที่ออกแบบโดยรัฐ และภาษาไทยก็ค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ภาษามลายู มีการสนับสนุนให้ผู้ที่จบจากโรงเรียนปอเนาะได้เรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น เพื่อให้มุสลิมรุ่นใหม่ ๆ ยอมรับความเป็นไทยมากขึ้น และด้วยเหตุนี้เอง คนมาเลย์ที่เกรงว่ามรดกทางภาษาและวัฒนธรรมของตนจะค่อย ๆ ถูกกลืนหายไปจึงลุกขึ้นมาก่อความรุนแรงต่าง ๆ เพื่อตอบโต้การแทรกแซงของรัฐ และต่อสู้เพื่อรักษาวัฒนธรรมของตนให้คงอยู่สืบไป (หน้า 24-27) |
|
Belief System |
หลักคำสอนของอิสลามสอนให้ลงมือปฏิบัติและต่อสู้เพื่อความถูกต้อง แต่การตีความคำสอนของศาสนานั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ดังนั้นความหมายของคำสอนทางศาสนาจึงแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล จาก Islam and Violence: A case study of violent Events in the four provinces of Thailand, 1976-1981, by Chaiwat Satha-Anand (หน้า 32) |
|
Education and Socialization |
ใน Language Use and Loyalty Among the Muslims-Malays of Southern Thailand, by Seni Mudmarn ระบุว่าโรงเรียนปอเนาะ หรือโรงเรียน "tadikas" เป็นแหล่งสอนหลักคำสอนทางศาสนารวมทั้งภาษามาเลย์ให้กับมุสลิมทางภาคใต้ และนอกจากนั้นยังมีสถาบันทางศาสนา เช่น มัสยิดและสุเหร่าต่าง ๆ อีกด้วย (หน้า 36-37) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ใน Language Use and Loyalty Among the Muslims-Malays of Southern Thailand, by Seni Mudmarn ระบุว่าการคงอัตลักษณ์ของชนเผ่าของมุสลิมทางภาคใต้ทำได้อย่างเหนียวแน่น โดยบ้านเป็นสถาบันหลักในการคงเอกลักษณ์ทางภาษาไว้ด้วยการสื่อสารกันด้วยภาษามลายู ภาษามลายูจึงเป็นภาษาแม่ของมุสลิมทางภาคใต้ ส่วนสถาบันทางศาสนา เช่น โรงเรียนปอเนาะ หรือโรงเรียน "tadikas" เป็นแหล่งที่ช่วยคงและเผยแพร่วัฒนธรรมและภาษามาเลย์ (หน้า 36-38) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|